5

ในห้องหอ

บทที่ ๕

ในห้องหอ

 

“แม่วา เป็นอย่างไรบ้าง”

งานพิธีวันสุกดิบผ่านไปแล้ว วันนี้ก็ได้ฤกษ์แต่งงาน หลังจากชวาลายืนตัวเกร็งตักบาตรร่วมขัน ใช้ทัพพีเดียวกันกับขุนสุริยนหัสดี แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เธอก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือการที่หมื่นวรไชยเดินเข้ามานั่งข้างๆ พร้อมไต่ถามด้วยน้ำเสียงเอาใจใส่

“ก็...” เด็กสาวตอบไม่ได้จริงๆ มันฝืนเกินไป “พี่ไชยมีกระไรฤๅไม่เจ้าคะ”

“ไม่มีดอก เอ็งได้กินกระไรหรือยังเล่า กินนี่เสียหน่อยซี”

ชวาลาค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ รับกระทงใบตองใส่ขนมจุกจิกใบน้อยมาถือไว้ รู้สึกแปลกพิกล

ตั้งแต่มีเหตุการณ์บุกไปเรือนเล็กจนแตกหักกันคราวนั้น เธอก็ไม่ได้พูดคุยกับพี่ชายอีกเลย ไม่ว่าเพราะบาดเจ็บต้องรักษาตัวหรือเพราะอีกฝ่ายวิ่งวุ่นจัดงานใหญ่ให้ทันภายในยี่สิบวันก็ตาม แต่ชวาลาเองไม่คิดสนทนากับเขาตั้งแต่สังเกตได้ว่ามีบ่าวผู้ชายนั่งเฝ้าหน้าห้องเธอตลอดเวลา ทำให้เธอมั่นใจว่าที่การแต่งงานครั้งนี้รวบรัดตัดตอน ไร้เหตุผล และสับสนอย่างบอกไม่ถูก ส่วนหนึ่งย่อมเกิดจากนายไชยแน่

ซึ่งไม่เคยเป็นเรื่องดี แต่เธอจะทำเช่นไรได้ ในเมื่อสตรีชาวสยามตั้งแต่เกิดจนตาย ชีวิตล้วนถูกกำหนดด้วยผู้ชายในครอบครัว แรกเริ่มคือบิดา ต่อมาคือพี่ชาย เมื่อออกเรือนไปคือสามี หากหมื่นวรไชยอยากขายเธอให้ตลาดทาสโดยกุเรื่องเลวร้ายขึ้นมาสักเรื่องหนึ่งก็ยังทำได้ นับประสาอะไรกับการออกเรือนตามประเพณี

ยิ่งได้เป็นถึง ‘เมียนาง’ ก็ราวกับตุ๊กตาดินเหนียวปั้นจากตมอย่างเธอถูกสวมชฎาเชิดสูงเป็นตัวนาง จากนี้ไปทำอะไรต้องคิดให้หนัก

“วันนี้ได้เจอท่านขุนอีกหน ดีฤๅไม่เล่า” จู่ๆ หมื่นวรไชยก็ถามขึ้นมา

“ท่านขุนแสงผลาญก็คือพันแสง อริของพี่มิใช่ฤๅเจ้าคะ” ชวาลาถามกลับ สงสัยอย่างสัตย์ซื่อ “ท่านจักอยากแต่งงานกับฉันได้อย่างไร ฉันมิคิดว่าที่พี่บอกนั่นเป็นเรื่องจริงดอก”

ชายหนุ่มยิ้มมีเลศนัยแบบที่เด็กสาวไม่ชอบ “ก็เพราะมันมิถูกกับข้าน่ะซี ถึงได้ลักพาตัวเอ็งหนีไปเช่นนั้น คิดจักทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียก็ย่อมต้องรับผิดชอบ”

“พี่ไชยเข้าใจผิดแล้ว ฉันเข้าไปอยู่ในเกวียนนั่นเองจริงๆ มิเกี่ยวกับท่านขุนเลยสักนิด”

“เอ็งถูกมันทำร้ายบาดเจ็บหนักเลยสับสน” หมื่นวรไชยพูดจริงจัง “เอ็งจำมิได้ดอกว่าตอนกลับมาที่ป้อมประตูเมืองมันทำเยี่ยงไรบ้าง คนเขาเห็นกันทั้งพระนครว่ามันทั้งอุ้มทั้งกอด อยากได้เอ็งขนาดไหน”

คำว่า ‘อยากได้’ ฟังแล้วน่าสะอิดสะเอียนจนชวาลาหน้าขึ้นสีจัด ผุดลุกขึ้นทันที

“แล้วไยพี่ไชยต้องเอากำไลคู่นั้นมาให้ฉันด้วยเจ้าคะ”

ใบหน้าของชายเจ้าสำอางพลันขุ่นเคือง เสียงเข้มจัด “อีละออมันบอกเอ็งฤๅ”

“ละออมิต้องบอก ฉันก็รู้อยู่แล้วเจ้าค่ะ พี่ไชย พี่โกหก ฉันรู้ทั้งหมดแต่คร้านจักพูด พี่ช่วยบอกความจริงกับฉันมาเถิดว่าตกลงเรื่องทั้งหมดนี้พี่ทำไปเพราะเหตุใดกัน”

“จักด้วยเหตุใดเล่า พี่ก็แค่ห่วงความรู้สึกเอ็งเท่านั้นว่าต้องออกเรือนกะทันหัน กลัวว่าจักหม่นหมอง” ว่าแล้วก็ถอนหายใจดังเฮือก “คิดว่าหากมีความรู้สึกดีๆ ต่ออ้ายพันแสงมันบ้างก็คงจักสะดวกใจมากขึ้น”

ชวาลาขมวดคิ้ว “พี่อยากให้ฉันกับท่านขุน…ดีต่อกัน ไปเพื่อกระไรเจ้าคะ” 

ทีนี้หมื่นวรไชยก็เริ่มขมวดคิ้วบ้างแล้วเหมือนกัน น้องสาวตัวดียังคงเป็นเด็กช่างซักช่างถาม น่ารำคาญเหมือนในวันวานไม่มีผิด ชักจูงยากน่าโมโห แต่ถ้าไม่ยอมลงให้วันนี้แผนเสียขึ้นมาจะยุ่ง

“แม่วา พี่เป็นพี่ชาย จักหวังกระไรนอกจากอยากให้น้องสาวออกเรือนไปมีครอบครัวที่ดี ต่อให้มันเป็นศัตรูของพี่ แต่ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้วพี่จักทำกระไรได้ นอกจากสนับสนุนเอ็งกับผัวของเอ็งให้ได้อยู่กันอย่างเป็นสุข เอ็งถามเหมือนพี่รังเกียจเอ็ง ถามแบบนี้มิเห็นแก่พี่ ก็เห็นแก่พ่อแม่หน่อยได้ฤๅไม่”

ครั้นพี่ชายเอาบิดามารดาผู้ล่วงลับมาอ้างได้เต็มปากเช่นนั้น ชวาลาก็จำต้องกล้ำกลืนคำพูดไว้ รู้ว่าเขามาไม้ไหน แต่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง เพียงคิดว่าหากท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่เด็กสาวก็ขอบตาร้อนผ่าว

หมื่นวรไชยเห็นนัยน์ตาน้องสาวเริ่มแดงเรื่อ ประจวบเหมาะกับมีใครคนหนึ่งเดินผ่านมาหยุดด้านหลังพอดี ก็รีบชิงพูดขึ้นว่า

“โถ แม่วา เอ็งดีใจที่ได้ออกเรือนเพียงนี้พี่ก็สบายใจ ต่อให้วันนี้พ่อแม่มิอยู่แล้วก็มิต้องโศกเศร้าไปดอกหนา พวกท่านจักต้องรับรู้ว่าลูกสาวของท่าน น้องสาวของพี่ วันหน้าจักเป็นแม่เรือนที่ดี เป็นที่ชื่นใจของผัว แลท่านขุนจักต้องรู้แน่ว่าเอ็งเคารพรักท่านแค่ไหน”

ตามด้วยการลูบศีรษะที่ดูเหมือนรักใคร่ครั้งหนึ่ง ก่อนร่างเพรียวสะโอดสะองจะหมุนตัวเดินจากไป

ชวาลายืนมึนงงอยู่ตรงนั้น ถ้าเธอจะร้องไห้ก็เพราะเจ็บใจที่ไปพิษณุโลกไม่สำเร็จต่างหาก

เด็กสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ผู้เป็นพี่ทำไมประเดี๋ยวพูดรู้เรื่อง ประเดี๋ยวก็พูดไม่รู้เรื่อง น่าหงุดหงิดนัก พอหันหลังมาเงยหน้าขึ้น กลับพบขุนสุริยนหัสดีมายืนอยู่ก่อนแล้ว

ออกขุนหนุ่มมองเธอนิ่ง ชวาลากะพริบตามองตอบอย่างงงงวย

“เอ่อ...”

ถ้าเช่นนั้นเขาคงได้ยินประโยคเมื่อครู่ใช่หรือไม่

เธอไม่รู้จะแก้ตรงไหนก่อนดีเพราะมันผิดพลาดไปหมด ขณะกำลังพูดตะกุกตะกักหาคำปฏิเสธ สีหน้าชายหนุ่มก็บอกชัดว่าหมดความอดทน แล้วร่างสูงก็ก้าวผ่านเธอไปราวกับไม่มีตัวตนทันที

ชวาลาแทบร้องไห้ออกมาจริงๆ เกิดมาก็มีพี่ชายทำตัวน่าโมโห จะออกเรือนว่าที่สามีก็ไม่พูดไม่ฟัง...

“แม่นายเจ้าคะ อยู่ที่นี่เอง” สายหยุดเดินมาท่าทางรีบร้อน บอกว่าต้องไปเตรียมตัวเดินทางกันแล้ว

เจ้าสาวคนงามอึ้ง ลืมไปสนิทว่าคืนนี้ตัวเองยังต้องเข้าหอกับท่านขุนแสงผลาญผู้องอาจ

 

กลางคืนเงียบสงัด เถ้าแก่และคนของฝ่ายหญิงไม่กี่คนพาชวาลาลงเรือเดินทางมาถึงเรือนของขุนสุริยนหัสดี พื้นที่กว้างขวางริมฝั่งแม่น้ำมีการประดับประดาจุดตะเกียงให้แสงนวลตารอต้อนรับอยู่แล้ว พิธีการถัดไปคือการปูที่นอนและส่งตัวเข้าหอ ซึ่งคู่บ่าวสาวก็ต่างคนต่างทำตามพิธีกันไปเงียบๆ ไม่ลอบยิ้มสบตากันเหมือนคู่รักคู่อื่นให้เห็นแม้แต่น้อย

ชวาลานั่งฟังผู้ใหญ่ให้ศีลให้พรไปก็เหม่อมองเตียงนอนที่มีฟักเขียวผลหนึ่ง หม้อใส่น้ำใบหนึ่ง หินบดยา และพานถั่วงาคู่หนึ่งวางอยู่ข้างๆ เป็นสิ่งของมงคล คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอเถ้าแก่เรียกชื่อเข้าก็สะดุ้ง

“เจ้าคะ?”

“ดูเจ้าสาวท่านเข้าซี ใจลอยมิอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว” เถ้าแก่หญิงแซว

ด้วยความที่เป็นคนอัธยาศัยดีทำให้ชวาลายิ้มแห้งๆ รับโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนพันแสงถึงขั้นเบือนหน้ามองไปทางอื่น สูดลมหายใจเข้าลึกสะกดอารมณ์

ระหว่างนั้นเองจู่ๆ ละออก็ยกถาดไม้มีถ้วยเล็กสองใบวางอยู่เข้ามาให้ เถ้าแก่หญิงดูงุนงงเล็กน้อย แต่ก็แก้สถานการณ์ได้ดี

“อันนี้น่าจักเป็น...น้ำชา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว มาดื่มกันเสียก่อนเถิด”

เจ้าบ่าวแค่เห็นไม่ต้องใช้ความคิดก็รู้ว่าต้องเป็นของที่หมื่นวรไชยส่งมาให้เป็นแน่ ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคืออะไร แต่เขาก็ไม่ได้แสดงกิริยาต่อต้าน แค่รับถ้วยมา เพ่งมองน้ำสีน้ำตาลใสอยู่ครู่หนึ่งก็เป่าเวทบทแก้ยาเลวลงไป ก่อนยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

ทีนี้ชายหนุ่มจึงมีเวลาลอบสังเกตชวาลาบ้างว่าเธอมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้หรือไม่ ก็พบว่าเด็กสาวยกถ้วยชาขึ้นมาดมด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจอยู่นาน ออกอาการลังเลอย่างเปิดเผย แต่พอเห็นเขาดื่มไปแล้วก็แอบถอนใจ ยอมดื่มตามอย่างเสียไม่ได้

“ประเดี๋ยวก่อน แม่หญิง”

กลายเป็นพันแสงที่ห้ามตัวเองไม่ไหว ไม่อาจทนเห็นเธอกินยาปลุกกำหนัดชั่วช้านั่นลงไปได้แม้ครึ่งคำจนต้องพูดขัดขึ้นเสียเอง

“น้ำชาร้อนนัก เอามาให้ข้าก่อนเถิด”

เด็กสาวส่งถ้วยให้เขาทันที ซึ่งเขาก็รับมาเป่าเวทบทเดียวกันลงไปช้าๆ ให้ดูราวกับกำลังไล่ความร้อนในน้ำชาออกไปให้เจ้าสาว เถ้าแก่หญิงยิ้มอย่างพอใจที่ทั้งคู่ดูจะมีปฏิสัมพันธ์กันบ้างเมื่อพันแสงส่งถ้วยคืนให้อีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง ทำให้มือสัมผัสกันอยู่หลายอึดใจ

แต่ชวาลาแทนที่จะขอบคุณกลับมองค้อนใส่ออกขุนหนุ่มทีหนึ่ง เธออุตส่าห์ทำท่าลุกลี้ลุกลนจนเสียมารยาทก็เพราะหวังให้เขาจับพิรุธได้แล้วช่วยกันทำอะไรสักอย่างให้ไม่ต้องกินของต้องสงสัยนี่ สุดท้ายเขาก็ส่งให้เธอดื่มอยู่ดี ไม่เห็นระวังตัวให้สมกับที่เป็นอริกับพี่ชายเธอเลยสักนิด

ถึงจักทำตัวดีพิลึกก็เถิด (เอียง)

ชวาลากลั้นใจดื่มโดยหวังว่ามันจะไม่ร้ายแรงนัก โดยไม่รู้เลยว่ามีคนจัดการอันตรายให้เรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้นพิธีก็ดำเนินต่อไปอย่างสงบปากสงบคำเช่นเดิม จนกระทั่งเจ้าสาวถูกพาไปนั่งอยู่หลังม่านบนเตียง วางมือตนลงบนมือเขา มองเห็นเงาร่างของชายหนุ่มนั่งอยู่อีกฝั่ง สีหน้าว่างเปล่าดุจรูปสลัก

ได้ยินเสียงเถ้าแก่หญิงประกาศให้นับแต่นี้ออกขุนสุริยนหัสดีกับแม่หญิงชวาลาเป็นสามีภรรยา มีสิทธิ์ขาดในตัวกันและกันแต่เพียงผู้เดียวแล้ว ทุกคนก็ออกจากห้องไป ปิดประตูตามหลัง

บัดนี้ห้องจึงเหลือเพียงหนุ่มสาวสองคนและความเงียบ

ชวาลารีบชักมือออกจากอุ้งมือหนา กระถดตัวเข้าหาผนังห้องนิดหนึ่ง เตียงนี้แคบเกินไปสำหรับนอนสองคน เธอซึ่งคุ้นกับการนอนเบียดเสียดกันบนฟูกกับน้องๆ ก็ใช่ว่าจะนอนกับบุรุษตัวเป็นๆ ได้โดยไม่กระดากอาย

อีกทั้งสองสามวันที่ผ่านมาพวกภรรยานายทหารก็ผลัดกันเล่า ‘เรื่องอย่างว่า’ ของตัวเองกับสามีให้ฟังอย่างละเอียดลออถึงพริกถึงขิง จนเธอกับสายหยุดครั่นเนื้อครั่นตัวแทบเก็บเอาไปฝัน เวลานี้สถานการณ์ยิ่งเอื้อให้จินตนาการอะไรต่อมิอะไรได้ง่ายจนหายใจไม่คล่องเอาดื้อๆ

มิหนำซ้ำเธอยังถูกเถ้าแก่หญิงจับไปนั่งอบรมอยู่นานสองนานว่าด้วยการ ‘เอาใจ’ สามี ทุกคนต่างขนกลเม็ดเคล็ดลับมาประเคนให้เธอหมดเพราะเห็นว่าอายุน้อย ดูไม่ค่อยประสีประสา กลัวว่าถึงวันจริงแล้วชวาลาจะทำไม่ถูก ไม่ทันใจขุนแสงผลาญที่กำลังหนุ่มแน่น กิตติศัพท์ความแข็งแกร่งดุดันก็เลื่องลือ

ชื่อเสียงนั่นหมายถึงเรื่องการรบ แต่เรื่องอื่นที่ไม่มีใครรู้ก็...

เด็กสาวกัดริมฝีปาก ชั่งใจว่าพรหมจรรย์กับชีวิตของตนอะไรมีค่ามากกว่ากัน ในเมื่อเธอไม่พึงใจจะเข้าหอกับเขาเลยสักนิด แต่ถ้าเขาต้องการแล้วขัดขืน เธอก็เคยเห็นกับตามาแล้วว่าบุรุษผู้นี้มีวิชาอาคมร้ายกาจแค่ไหน คงจะเอาชีวิตกันได้แค่ขยับปลายนิ้วโดยที่เธอไม่ทันได้ร้องสักแอะด้วยซ้ำ

ฝ่ายพันแสงในใจตอนนี้กลับรู้สึกเหนื่อยหน่ายมากกว่าอย่างอื่น ต้องยอมรับว่าเขาไม่แยแสศัตรูจนถูกมันเล่นงานเข้าให้คราวนี้ครั้งใหญ่จริงๆ ร่างบางที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ข้างกายบนเตียงเดียวกันคือหลักฐานชั้นดี

ออกขุนหนุ่มยอมรับว่าตนผิดเองที่ไม่ใส่ใจตามเก็บกวาดพวกมันให้สิ้นซาก เพราะโทษของหมื่นวรไชยยังน้อยแค่พยายามสังหารเขา นอกจากตอบโต้พวกนักฆ่าแล้ว ขุนสุริยนหัสดีผู้มีงานรัดตัวก็รำคาญเกินกว่าจะไปตามเอาผิดพวกไร้น้ำยาขี้อิจฉา

ทว่าต่อให้ไม่สบอารมณ์อยากเดินหนีไปเดี๋ยวนั้น เขาก็อยากรู้ว่าแม่หญิงชวาลาจะมีฝีไม้ลายมือแพรวพราวได้เชื้อพี่ชายมาสักแค่ไหน ชายหนุ่มจงใจเปิดโอกาสให้เธอเริ่มแผนการอะไรก็ตามที่เตรียมมาตั้งแต่คืนเข้าหอด้วยซ้ำ คิดเสียว่าเกิดเรื่องเร็วเท่าไรยิ่งดี

หากใจมิคะนึงหา อวิชชาต้องห้ามก็ยังคงอยู่

การแต่งงานในนามไม่มีผล แม้ถูกบีบบังคับให้ชิดใกล้ร่วมห้อง หากใจไม่สิเน่หาก็สูญเปล่า ดูท่าพวกมันจะไม่เข้าใจเงื่อนไขของอวิชชาที่แท้จริง ถึงได้เล่นลูกไม้ต่ำช้า หวังใช้สตรีเป็นเครื่องมือเช่นนี้

ดังนั้นขุนสุริยนหัสดีจึงไม่อนาทรร้อนใจสักนิดเมื่อต้องล้มตัวนอนโดยมีไออุ่นจากร่างกายใครอีกคนวนเวียนอยู่เคียงข้างเป็นครั้งแรก และหลับตาลงไม่ทันเห็นสีหน้าของเด็กสาวที่มองร่างสูงเหมือนของร้อนที่ต้องอยู่ให้ห่างเอาไว้

“นอนเถิด” เขาบอก “เดี๋ยวก็เช้า”

ชวาลานั่งทบทวนถ้อยคำสั้นๆ นั้นอยู่อีกครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่มีสิ่งแอบแฝง จึงค่อยผ่อนลมหายใจโล่งอก โชคดีที่เป็นไปตามคาด พันแสงไม่ได้สนใจเธออย่างที่หมื่นวรไชยคอยพูดกรอกหู เขาแค่แต่งงานเพราะเลี่ยงไม่ได้เหมือนกันเท่านั้น

หากขอเขาแยกเตียงคืนนี้เลยจักได้ฤๅไม่ (เอียง)

เด็กสาวพินิจโครงหน้าคมคาย เรียวปากบางหยักรั้นดูร้ายกาจแม้ยามสงบอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเขาช่างเหมือนพยัคฆ์หลับ พร้อมโผขึ้นมาตะครุบเหยื่อได้ทุกเมื่อ

อย่าเพิ่งก็แล้วกัน (เอียง)

เตียงแคบเหลือเกิน กว่าชวาลาจะจัดที่ทางให้ตัวเองนอนได้โดยไม่ถูกตัวเจ้าบ่าวก็ทำเอาง่วงตาจะปิด เธอเป็นคนหลับง่ายมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เช่นนั้นคงไม่นอนกับเด็กเล็กถึงสี่ห้าคนได้ดอก พอหัวถึงหมอนจึงหลับได้ทันทีทั้งที่ไม่ใช่เรือนตน ไม่ใช่เตียงนอนตน ซ้ำอยู่ในสถานะสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันอีกด้วย

อาจเพราะที่เรือนออกขุนหนุ่มเงียบสงบนัก มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรขับกล่อม ไม่มีเสียงอึกทึกโวยวายของพี่ชายและสหายขี้เมา ไม่มีเสียงเสพสังวาสหรือกรีดร้อง ห้องหับบานประตูก็แน่นหนายิ่ง เด็กๆ ทุกคนรวมทั้งสายหยุดก็เข้านอนอย่างปลอดภัยอยู่ในที่ของตน

ส่วนสามีของเธอถึงจะตาดุ ไม่พูด แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคามแต่อย่างใด ชวาลาจึงไม่เห็นว่าจะมีอะไรมาขัดขวางการนอนของตนได้เลย

ผ่านไปค่อนคืน คนที่นอนนิ่งแต่จิตไม่หลับกลับเป็นขุนสุริยนหัสดีเสียเอง

คงเป็นเพราะชาถ้วยนั้น ที่ต่อให้ไม่มีฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดแล้วก็ไม่วายทำให้ใจกระสับกระส่ายยิ่ง

แต่ไหนแต่ไรมาชายหนุ่มก็ชอบนอนคนเดียว แม้ยามไปทัพหน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหนก็ยังหาที่นอนไกลหูไกลตาทหารอื่นได้ ไม่เคยมีใครนึกห่วงว่าเขาจะหายหรือตาย เมื่อต้องมานอนข้างคนอื่นซ้ำยังเป็นสตรีก็ให้ทรมานใจกว่าที่คิดไว้มาก ครั้นจะลุกออกไปก็รู้สึกพ่ายแพ้ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนคุดคู้เหมือนลูกแมวตัวหนึ่ง

เสียงหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเด็กสาวหลับสนิท

แสงจันทร์บางเบาตกกระทบบนเรือนผมสีน้ำตาลยาวสลวยที่ทิ้งตัวเคลียแก้มใส เผลอมองเข้าแล้วชายหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าช่างเป็นภาพที่ชวนพิศดุจภวังค์ฝัน

นัยน์ตาดำสนิทพินิจดวงหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาตน ชั่วขณะหนึ่งก็สงสัยว่าไฉนหญิงมากเล่ห์จึงได้ครอบครองรูปโฉมงามพิสุทธิ์เช่นนี้ ไยพระอินทร์ถึงลำเอียงเข้าข้าง ประทานของขวัญให้เธอดูไร้เดียงสา ยากที่ใครจะจินตนาการว่าแม่หญิงชวาลาทำเรื่องต่ำช้าได้ลง

หรือความจริงก็เป็นเช่นนั้น (เอียง)

ความสงบของรัตติกาลกอปรกับสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นทำให้เขาผ่อนคลายอย่างประหลาด ห้วงคิดเหมือนจะเลอะเลือนห่างไกลจากความจริงทั้งปวงไปชั่วครู่

ทำให้กล้ามองเนิ่นนานเท่าที่อยากมอง กล้าคิดเหลวไหลอย่างที่อยากคิดโดยไม่ทันระวังจิตใจเป็นครั้งแรก

คือชลธีเย็นชื่นระรื่นจิต (เอียง)

คือทศทิศเป่ามนตร์ดลใจข้า (เอียง)

คือกลิ่นหอมระรวยหมื่นบุหงา (เอียง)

คือพักตร์ลออตาดังดวงเดือน (เอียง)

คือเสี้ยวนาทีที่พระสุธนแรกพบมโนราห์ (เอียง)

ชวาลาขยับตัว ออกขุนหนุ่มถึงละสายตาไปคล้ายเพิ่งได้สติ

เจ้าสาวที่นอนอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวหลังพิงฝานั้นปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย ง่วงงุน เขม้นมองร่างสูงที่อยู่ข้างกันครู่หนึ่งก็ยิ้มอ่อนใจ พึมพำเสียงกลั้วหัวเราะ

“ละออ มานี่มา...”

เสียงอ่อนหวานผะแผ่วนั้นทำให้พันแสงชะงักงันเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเป็นวงแขนเรียวที่รั้งศีรษะชายหนุ่มให้เข้าไปแนบชิดทรวงอกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นที่ทำเขาสะดุดลมหายใจค้าง หลงลืมตัวตนไปชั่วขณะ

“นอนมิหลับฤๅ”

คำถามเอาใจใส่นั้นมาพร้อมมือเล็กที่ค่อยๆ ลูบแก้มและท้ายทอยไล่ไปจนถึงแผ่นหลังกว้างอย่างอ่อนโยน หมายปลอบประโลมผู้เป็นน้องในความฝันให้เข้าสู่นิทราเช่นทุกคืน

ความชิดใกล้จนสัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนของร่างบาง จนรับรู้ถึงหัวใจดวงน้อยที่เต้นอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ในอกอุ่น โอบล้อมด้วยกลิ่นหอมกำซาบกาย ซ้ำยังถูกสัมผัสอย่างตั้งอกตั้งใจเต็มไปด้วยความรักเช่นนั้น ก่อให้เกิดความรู้สึกรุนแรงคล้ายเปลวไฟที่แผดเผาเทียนให้หลอมละลายเป็นน้ำตาร้อนลวกอาบใจพันแสงจนไม่อาจขยับเขยื้อนขัดขืน

ราวกระแสเวลาแน่นิ่งไม่รินไหล หัวใจเขาเต้นระรัวขึ้นคำรบหนึ่ง

“นอนนะเจ้า”

ชวาลากระซิบ ก้มหน้าลงแตะริมฝีปากแผ่วเบาบนเส้นผมดำสนิทที่ปรกหน้าผากของชายหนุ่มครั้งหนึ่งก่อนปล่อยเขาออกจากอ้อมแขน พลิกตัวนอนหันหลังให้ หลับใหลต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คราวนี้ใจเขาเต้นแทบเป็นบ้าเลยทีเดียว

ร่างสูงลุกพรวดพราดขึ้นมานั่ง ในอกสั่นหวิวเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวควบคุมไม่อยู่ หอบกระชั้น เหงื่อซึมตามไรผมอย่างที่ข้าศึกในสนามรบไม่อาจบันดาลได้ ต้องหลับตารวบรวมสมาธิอยู่ครู่ใหญ่จึงหายใจได้เป็นปกติ

ครานี้...หนักนัก (เอียง)

นัยน์ตาคมกล้าแข็งใจมองตัวการที่ทำเป็นนอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างเหลือเชื่อ

พูดจาเลื่อนเปื้อน กระทำการหน้ามิอายเพียงนี้แล้ว จักอ้างว่าแค่ละเมอเช่นนั้นฤๅ! (เอียง)

สำหรับผู้ใช้อาคม ศีรษะคืออวัยวะหวงห้ามที่ไม่อาจให้ใครแตะต้อง เด็กสาวจงใจจู่โจมเขาตรงนั้นย่อมหวังทำลายอวิชชาเป็นแน่แท้

พันแสงนั่งสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่อีกเกือบชั่วยามกว่าจะรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งขึ้น เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็นับว่าเขาครองสติได้ไม่มั่นคงพอ สมควรเพลี่ยงพล้ำให้แม่หญิงร้อยเล่ห์ใช้มารยาโปรยเสน่ห์ใส่เอา แผนการของสองพี่น้องเป็นเช่นนี้เอง

แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือ เมื่อครู่คนที่ยอมให้พวกมันหลอกเป็นตัวเขาเองทั้งนั้น จะโทษใครได้

จากที่คิดว่าถูกยั่วยวนอย่างไรก็ไม่เป็นผลก็ต้องทบทวนตัวเองเสียใหม่ ขุนสุริยนหัสดีรอบคอบพอที่จะไม่เอาอวิชชาต้องห้ามมาเสี่ยงล้อเล่นกับผู้หญิง ต่อให้บัดนี้สามารถมองร่างอรชรหลับพริ้มข้างกายได้อย่างเฉยเมยแล้วก็ยังไม่วางใจ ความหวั่นไหวเมื่อครู่สมจริงจนไม่อาจมองข้าม

ดังนั้นหากหลังจากนี้ภรรยาจะหาว่าเขาใจร้ายนัก ก็คงต้องโทษตัวเธอเองที่ล้ำเส้นก่อน

 

ปัง!

ชวาลาได้ยินเสียงหับประตูเต็มแรงก็สะดุ้งตื่น เหมือนคนที่เพิ่งออกไปนั้นไม่ใส่ใจว่าจะมีใครนอนหลับอยู่หรือไม่ เจ้าสาวหมาดๆ ลูบหน้าลูบตาไล่อาการงัวเงีย เหลียวมองไปรอบห้องไม่พบเจ้าบ่าวก็สงสัย คิดว่าเขาคงไปทำกิจของเขา คงไม่ได้ไม่พอใจ...

แต่จู่ๆ ก็ออกไปจากห้องหอกลางดึกแบบนี้ หรือว่าจักมิพอใจจริงๆ (เอียง)

เธอคิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ออกว่าไปทำอะไรให้พันแสงโกรธ ก่อนนอนก็ยังพูดคุยกันดี ตอนนอนเธอก็ระมัดระวังยิ่ง ด้วยกลัวจะไปรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของคนแววตาอันตรายอย่างเขาเข้า

หรือว่าเพราะนอนอย่างนั้นฤๅ (เอียง)

เด็กสาวใจชักเต้นตึ้กตั้กขึ้นมาอย่างคนมีความผิด จำได้แม่นว่าบรรดาพี่ๆ และเถ้าแก่กำชับนักหนาให้ปรนนิบัติขุนแสงผลาญ แล้วก็ฉุกคิดได้ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ต่อให้เขาบอกว่า ‘นอน’ ก็อาจมิได้หมายความอย่างนั้นใช่หรือไม่

ทั้งๆ ที่มิได้ปรารถนา ก็จำต้องเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาก่อนด้วยหรือ (เอียง)

...แต่จักทำเช่นไรได้ เมียนางมีทางเลือกอื่นนอกจากทำให้เจ้าของพึงใจฤๅ (เอียง)

“แล้วไยมิบอกกันตรงๆ เล่า” ชวาลาโอดครวญ หน้ามุ่ยทั้งง่วงทั้งฉุน “ฉันมิได้แต่งท่านขุนเป็นผัวคนที่สามเสียหน่อยนะเจ้าคะ ถึงจักได้รู้ดีไปหมด”

อย่างไรก็ตาม เด็กสาวตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะพยายาม ‘เอาใจ’ เขาให้มากขึ้นก็แล้วกัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น