10
ทบทวนความจำ
ตอนที่จูบกับดลธีครั้งแรก สติของแพรวไพลินไม่เต็มร้อยนัก
จำได้เลือนรางว่าเขาค่อยๆ บดคลึงกลีบปากของเธออย่างเชื่องช้า อ้อยอิ่ง ดูดดึงซ้ำไปซ้ำมาสลับกันระหว่างริมฝีปากบนและล่างราวกับมีเวลาทำสิ่งนั้นชั่วชีวิต เขาล่อหลอก มอมเมา ปลุกเร้าให้เธอเคลิบเคลิ้มไปกับความหวานล้ำที่อันตรายยิ่งกว่าอาวุธใดในโลก ช่วงชิงลมหายใจอย่างเรียกร้องจนรู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
ทว่าสัมผัสครานี้...สติสัมปชัญญะของเธอรับรู้มันได้อย่างชัดเจน
กลีบปากของดลธีนุ่มหยุ่น หวานล้ำ
แม้ไม่มีรสชาติของไวน์แบรนด์ดัง ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เข้ามาเจือปน แต่ก็ทำให้เธอหลงใหลมัวเมาในความหวานซ่านจนอดไม่ได้ที่จะดูดกลับอย่างเรียกร้อง
แรงขึ้น...
แรงขึ้นเรื่อยๆ
และทันทีที่เรียวลิ้นอุ่นชื้นสอดแทรกเข้ามาในโพรงปาก ทุกอย่างรอบด้านก็เหมือนจะหยุดลงไปชั่วขณะ
มือเล็กจิกแผ่นหลังกว้าง ร่างกายคล้ายล่องลอยไม่เป็นตัวของตัวเอง แม้สมองจะสั่งให้ผลักเขาออกห่าง ทำยังไงก็ได้ให้คนตัวโตเลิกสูบวิญญาณกันแบบนี้ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือเธอขยับเข้าหาเรือนกายสูงอย่างเผลอไผล แล้วจูบตอบเขาอย่างตั้งอกตั้งใจไม่ต่างกัน
แพ้...
เธอแพ้เขาอีกแล้ว...
แพรวไพลินได้ยินเสียงชายหนุ่มครางเบาๆ ตอนที่เรียวลิ้นเกี่ยวรัดแนบแน่น มั่นใจว่าอีกฝ่ายสนุกที่ได้รังแกกันแบบนี้ พอเห็นว่าร่างกายของเธอสั่นน้อยๆ เพราะหายใจไม่ทัน เขาก็ยอมละจากริมฝีปากอิ่มมาคลอเคลียที่ผิวแก้ม จูบไล่มาเรื่อยๆ จนถึงปลายคางแล้วถามเสียงนุ่ม
“แน่ใจนะว่าไม่รู้สึก...”
“ไม่...”
“โกหก...”
น้ำเสียงคนฟังคล้ายไม่ชอบใจ ดวงตาที่มองสบกันแฝงความชั่วร้าย ก่อนที่กลีบปากอิ่มจะถูกกลืนกินคำปฏิเสธอีกครั้ง
“อื้อ...”
“โกหกกันชัดๆ เลยนะ”
มือหนาสอดเข้ามาใต้ท้ายทอย บังคับให้หญิงสาวแหงนหน้าพร้อมดูดดึงปลายลิ้นเบาๆ อย่างยั่วเย้า จูบของเขาอ่อนหวานซาบซ่าน เรียกร้องล่อลวงให้เธอยอมตอบสนอง
“รู้อะไรไหม...”
ดวงตาคู่สวยลืมขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยแววตาสับสน อารมณ์ที่อัดแน่นภายในปั่นป่วนจนแทบระเบิดออก ขณะที่ปลายนิ้วเรียวไล้ริมฝีปากของเธอราวกับจะตอกย้ำถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้า
“คนที่เหมือนพิน็อคคิโอน่ะ...คือคุณต่างหาก”
“พูดอะไรของคุณ...”
“คุณกำลังโกหกความรู้สึกตัวเองอยู่...”
ชายหนุ่มจุมพิตเธออย่างลึกซึ้ง เขาทำราวกับจะลงโทษเธอที่เอาแต่โกหกและพูดจาไม่เข้าหู แพรวไพลินมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยทำตัวออกนอกลู่นอกทางมาก่อน ไม่คิดด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งจะยอมจำนนต่อรสสวาทของ ดลธี พฤกษดำรง ง่ายๆ แบบนี้
ทำไมล่ะ...
ทำไมถึงทำแบบนี้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่ผลักไสเธอมาตลอดแท้ๆ
‘ทำไมแพรวไม่ยอมบอกพี่ว่าถูกพวกมันแกล้ง’
‘แล้วทำไมแพรวต้องบอกด้วย ในเมื่อพี่ดลเองก็คิดเหมือนคนพวกนั้น...’
‘แพรว!’
หยดน้ำตาคลอหน่วยในดวงตาใส รู้สึกเหมือนตัวเองย้อนกลับไปเป็นเด็กหญิงที่คอยเดินตามดลธีต้อยๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ลูกชายคนเดียวของเจ้านายก็ทำตัวเย็นชากับเธอมาตลอด ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะมองเธอในฐานะอื่นนอกจากคนรับใช้
ทั้งที่ดลธีร้ายกับเธอขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่หัวใจไม่รักดีก็ยังคิดถึงแต่เขา...
“คุณโกหกผมไม่ได้หรอก...”
ฝ่ามือหนาที่สอดเข้ามาภายในเสื้อเชิ้ตเพื่อบีบคลึงอะไรบางอย่างเรียกสติของหญิงสาว เธอรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่น้อยนิดผลักร่างสูงออกห่าง ก่อนจะฟาดมือลงไปที่ซีกหน้าด้านซ้ายของคนหื่นกามในทันที
เผียะ!
“สารเลว! คุณไม่มีสิทธิ์ทำกับฉันแบบนี้!”
ดลธีมองคนที่ใช้หลังมือปาดริมฝีปากของตัวเองด้วยท่าทางรังเกียจนิ่ง ผิวแก้มชาวาบเพราะแรงกระทบจากฝ่ามือเล็ก ทั้งๆ ที่เธอเองก็จูบตอบเขาด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องทำหน้าขยะแขยงแบบนั้นด้วย
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อเรา...”
ปัง!
แพรวไพลินรีบผลักร่างสูงออกห่างเมื่อมีคนเปิดประตูพรวดเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง เธอรีบขยับไปยืนด้านข้างโต๊ะทำงานพลางก้มหน้าลง เพราะไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าที่กำลังแดงก่ำของตัวเอง
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอคะคุณดล”
ผู้บริหารหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจที่มีคนเข้ามาขัดจังหวะ แม้ใบหน้าคมคายจะยังเรียบเฉย แต่แววตาบอกชัดว่าไม่สบอารมณ์
“คุณมีธุระอะไรครับ”
“ต้องมีธุระเท่านั้นเหรอคะ นีน่าถึงจะมาหาคุณได้” นีรชาถามกลับ ก่อนจะปรายตามองหญิงสาวที่ยืนตัวลีบอยู่ใกล้คนถามตั้งแต่หัวจดเท้า “แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะ ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในห้องคุณได้”
“เธอเป็นแขกของผม”
“แขก?”
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างรำคาญกับท่าทางสงสัยใคร่รู้ของนักแสดงสาว อยู่ดีๆ ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องโดยไม่ขออนุญาตก่อน แล้วยังจะมาซักไซ้ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองอีก
“ดูเหมือนคุณจะมีแขก งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” แพรวไพลินพูดเสียงขรึม ทำท่าจะเดินหนีออกไปจากบริเวณนั้น ทว่าข้อมือกลับถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
“เรายังคุยกันไม่จบ คุณห้ามไปไหนทั้งนั้น”
สายตาแข็งกระด้างของคนพูดทำให้หญิงสาวนึกหวั่น ดลธีเวอร์ชันบ้าอำนาจน่ากลัวเกินกว่าจะรับมือไหว เธอค่อยๆ จับมือเขาออกจากข้อมือของตัวเองก่อนจะก้าวถอยหลังไปยืนรอที่มุมห้อง
พอเห็นว่าอดีตเด็กในบ้านไม่แสดงท่าทีต่อต้านแล้ว ชายหนุ่มก็หันไปทางแขกไม่ได้รับเชิญอีกครั้ง
“สรุปคุณนีน่ามีอะไรจะคุยกับผมครับ”
นีรชามองสายตาเรียบเฉยของผู้บริหารหนุ่มด้วยแววตาขุ่นเคือง ยิ่งเห็นว่าดลธีเอาแต่มองไปทางผู้หญิงท่าทางเฉิ่มเชยคนนั้นด้วยแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด
“นีน่าแวะมาชวนคุณไปทานมื้อเย็นด้วยกันค่ะ”
“ผมไม่สะดวกครับ”
“ทำไมล่ะคะ ได้ยินว่าเย็นนี้คุณไม่มีนัดที่ไหนแล้วนี่นา”
ดลธีมองคนถามด้วยสายตาเย็นชา นึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายถามซอกแซกไปถึงตารางงานของเขา เห็นทีจะต้องเรียกพฤกษ์มาอบรมสักหน่อยแล้วว่าถ้าไม่ได้สั่ง ก็ไม่มีสิทธิ์บอกเรื่องของเขาให้คนอื่นรับรู้
“ผมไม่สะดวกครับ” ชายหนุ่มย้ำคำตอบเดิมเสียงเรียบ “ถ้าคุณนีน่าไม่มีธุระอะไรแล้ว กรุณาออกไปจากห้องของผมด้วยครับ”
นีรชาอ้าปากค้างกับการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของอีกฝ่าย ถึงจะรู้ดีว่า ดลธี พฤกษดำรง เป็นคนเย็นชาชนิดที่น้ำแข็งขั้วโลกยังอบอุ่นกว่า แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะใจร้ายใจดำขนาดหักหน้าเธอต่อหน้าคนอื่นแบบนี้
“คุณดล นี่คุณ...”
“เชิญออกไปด้วยครับ”
นักแสดงสาวจ้องคนพูดด้วยสายตากระเง้ากระงอด ถ้าไม่ติดว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วยละก็ เธอคงอาละวาดโวยวายใส่ดลธีโดยไม่สนภาพลักษณ์นางเอกเจ้าน้ำตาของตัวเองไปแล้ว มือเล็กกำแน่นอย่างระงับอารมณ์ ก่อนที่หญิงสาวจะยอมหมุนตัวออกไปจากห้อง
คอยดูเถอะ! เธอจะฟ้องคุณปู่พายัพให้หมดเลย!
แพรวไพลินลอบมองเสี้ยวหน้าไร้อารมณ์ของเจ้าของห้องระหว่างที่เขากำลังกดปุ่มอะไรบางอย่างที่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะ แม้จะผ่านไปนานหลายปี แต่ปราการน้ำแข็งสูงชันของดลธีก็ยังคงแข็งแกร่งไม่ต่างจากเมื่อสิบปีก่อน ขนาดฝ่ายหญิงเป็นถึงนางเอกละครดัง แต่ชายหนุ่มก็ยังกล้าปฏิเสธนีรชาด้วยคำพูดขวานผ่าซากแบบนั้น
ใจร้ายจริงๆ
“ว่าไงครับบอส”
เสียงที่ดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ดึงสติของแพรวไพลินให้กลับคืนมาอีกครั้ง
“ห้ามให้ใครเข้ามาในห้องทำงานเด็ดขาด ถ้าผมไม่อนุญาต”
“รับทราบครับผม”
“แล้วก็อย่าเที่ยวบอกตารางงานของผมให้คนอื่นรู้ด้วย ถ้าผมไม่ได้สั่ง”
“ครับบอส ขอโทษด้วยครับ”
พอบทสนทนาระหว่างหัวหน้าลูกน้องจบลง ความเงียบสงบก็กลับคืนมาอีกครั้ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันมาทางเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย
“ขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อตะกี้ด้วย ผมไม่ควรทำกับคุณแบบนั้น”
แพรวไพลินมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู แม้จะยังโกรธที่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่ให้เกียรติกัน แต่พอเห็นแววตารู้สึกผิดอย่างจริงใจของเขาแล้ว ความขุ่นมัวที่เกาะกุมหัวใจก็เริ่มเบาบางลง
“มานั่งนี่ก่อนสิ”
หญิงสาวตัดสินใจเดินไปนั่งที่โซฟารับแขกตามการผายมือของอีกฝ่าย ประเมินแล้วว่าการยอมพูดคุยกับดลธีด้วยเหตุผลน่าจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะขืนเขาทำบ้าแบบเมื่อกี้ขึ้นมาอีก เธอก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะรับมือไหว
ดลธียิ่งล่อลวงเก่งอยู่ด้วย
ทั้งล่อหลอก ดื้อดึง เอาแต่ใจ น่าหมั่นไส้!
แล้วเธอก็ไม่เคยเอาชนะเขาได้เลยสักครั้ง
“สรุปจะบอกได้หรือยังครับว่าคุณทำเรื่องทั้งหมดนี่ทำไม”
แพรวไพลินเงยหน้าสบตาคนถาม ดวงตาแข็งกระด้างของอีกฝ่ายคล้ายมีความห่วงใยซ่อนอยู่ หญิงสาวไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชายหนุ่มถึงทำแบบนี้ เขาเป็นถึงรองประธานบริษัท มีอำนาจสั่งการลูกน้องทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลามานั่งจับเข่าคุยกับเธอด้วยซ้ำ
“คุณใช้ชื่อปลอมว่าแพรวนภามาสมัครเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ของรายการ The Idol บุกรุกเข้าไปในห้องพักพนักงาน แล้วยังแฝงตัวไปเป็นแขกในงานเลี้ยงของห้างดิเอ็มเมอรัลอีก...” ผู้บริหารหนุ่มร่ายยาวถึงวีรกรรมที่เธอก่อเอาไว้เสียงเรียบ “คุณต้องการอะไรกันแน่ครับ คุณแพรวไพลิน”
ร่างบางเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจ เธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคนอย่าง ดลธี พฤกษดำรง ร้ายกาจแค่ไหน เขาสืบเรื่องของเธอมาหมดแล้ว แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าตัวเองรู้อะไรบ้าง ทำให้เธอหวาดระแวงและยอมเผยจุดอ่อนออกมาเองในที่สุด
ผู้ชายคนนี้อันตรายมาก
เขาเหมือนเสือร้ายจอมเจ้าเล่ห์ที่ไม่ยอมตะครุบเป้าหมายในทันที แต่จะค่อยๆ ทรมานเหยื่อให้ตายอย่างเชื่องช้า แล้วจับกินทีเดียวตอนที่หมดทางสู้
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”
“เพลงรัก...” ดลธีพูดต่อพร้อมสบตาคนที่นั่งตรงข้ามอย่างตรงไปตรงมา “เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณใช่ไหม”
ร่างบางเม้มริมฝีปาก ถึงจะเดาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายคงตามสืบเรื่องของเธอมาบ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะรู้ละเอียดขนาดนี้
“คุณไม่เชื่อว่าเธอฆ่าตัวตายสินะ”
“แล้วคุณเชื่อแบบนั้นเหรอ” หญิงสาวถามกลับเสียงห้วน “วันนั้นเป็นวันเกิดคุณแม่ของเพลง พวกเรานัดกันว่าจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านเพื่อฉลองให้คุณป้า ไม่มีทางที่น้องจะตัดสินใจทำแบบนั้น”
ชายหนุ่มมองสีหน้าไม่พอใจของคู่สนทนานิ่ง ถึงจะไม่ใช่ญาติของผู้เสียชีวิต แต่เขาก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของแพรวไพลินและครอบครัวของเธอ การสูญเสียลูกสาวในวัยที่กำลังมีอนาคตสดใสคงทำให้คนเป็นแม่ใจสลาย แถมตอนนี้ก็ยังไม่รู้สาเหตุการตายที่แท้จริงของเพลงรักอีก
“คุณก็เลยแฝงตัวเข้ามาที่นี่ เพื่อจะสืบเรื่องนี้สินะ”
แพรวไพลินสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากตอบคำถามคนที่น่าจะสืบเรื่องของเธอมาหมดแล้ว หญิงสาวรู้ดีว่าดลธีต้องการอะไร เขาเป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารของดีพีโกลบอลมีเดีย เป็นเหมือนเจ้านายของเพลงรัก แล้วการที่เขามาพบเธอซึ่งเป็นญาติของผู้เสียชีวิต ก็คงมาต่อรองไม่ให้เธอเอาเรื่องของลูกพี่ลูกน้องไปเปิดเผยต่อสาธารณชน
คนอย่างเขาคงห่วงชื่อเสียงของบริษัทยิ่งกว่าสิ่งใด
“แล้วคุณแฝงตัวเข้าไปในงานเลี้ยงของห้างดิเอ็มเมอรัลทำไม แถมยังวางยานอนหลับผมด้วย”
“คุณรู้...”
หญิงสาวเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตรวจสอบทุกอย่างมาหมดแล้ว ดลธี พฤกษดำรง ยังคงฉลาดรอบคอบเสมอต้นเสมอปลาย เธออุตส่าห์คิดว่าตัวเองวางแผนมาดีแล้วแท้ๆ แต่ก็พลาดท่าเข้าจนได้
“คุณตั้งใจจะมอมเหล้าผมเพื่อล้วงความลับใช่ไหม”
“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันไม่ได้อยากยุ่งกับคุณเลยสักนิด” ร่างบางปฏิเสธเสียงแข็ง คนที่เธออยากสืบข้อมูลคือคิมหันต์ต่างหาก แล้วดลธีก็เป็นคนที่ทำให้แผนการของเธอพังไม่เป็นท่า!
“โกหก...”
“ฉันไม่ได้โกหก ฉันไม่อยากเจอคุณ ไม่คิดอยากเจอเลยสักครั้ง!”
แววตาของดลธีเย็นเยียบลงอีกระดับ ไม่คิดเลยว่าอดีตเด็กในบ้านจะกล้าพูดจาอวดดีกับเขาได้ขนาดนี้ พอเห็นท่าทางแข็งกร้าวของเธอแล้วก็อยากสั่งสอนให้รู้สำนึก
“รู้ตัวไหมว่าสิ่งที่คุณกำลังทำมันอันตรายแค่ไหน นึกยังไงถึงได้ตามคนแปลกหน้าไปถึงบ้าน ถ้าเกิดผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ผมจะเป็นยังไง”
“ฉันเอาตัวรอดได้ ไม่อย่างนั้นจะรอดจากคุณได้ยังไงล่ะ”
ผู้บริหารหนุ่มเถียงไม่ออก ยิ่งเห็นสายตาท้าทายของหญิงสาวแล้วก็นึกอยากลงโทษในความดื้อรั้นของเธออีกสักรอบ
“ครั้งหน้าคุณอาจไม่โชคดีแบบนี้ โลกนี้ยังมีเรื่องอันตรายอีกมากที่คุณไม่รู้จัก”
“คนที่อันตรายที่สุดสำหรับฉันคือคุณต่างหาก...คุณดลธี”
“แพรว!”
ชายหนุ่มขึ้นเสียงอย่างเหลืออด ยิ่งคุยกับยัยเด็กเมื่อวานซืนนี่ ความอดทนของเขาก็ยิ่งน้อยลง ถึงจะอยากทำให้หญิงสาวเลิกแสดงท่าทีก้าวร้าวแบบนี้ แต่พอคิดในมุมของคนที่เพิ่งสูญเสียคนในครอบครัวอย่างไม่ยุติธรรมแบบเธอแล้ว ดลธีก็พอเข้าใจได้
แพรวไพลินกำลังโกรธแค้น...
โกรธที่ลูกพี่ลูกน้องจากไปกะทันหัน แค้นที่ไม่รู้ว่าใครทำให้น้องสาวต้องตายไปแบบนั้น เธอก็เลยทำทุกอย่างเพื่อค้นหาความจริง แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่มองไม่เห็นก็ตาม
“ผมขอร้องให้คุณเลิกยุ่งกับเรื่องนี้ ดีพีเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เรายินดีออกค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ รวมทั้งมอบเงินเยียวยาจิตใจให้พวกคุณเป็นจำนวนสิบเท่าของเงินเดือนปัจจุบันของคุณเพลงรัก...”
“นี่คิดจะเอาเงินฟาดหัวกันเหรอ...” ร่างบางโต้กลับด้วยเสียงสั่นระริก “แทนที่จะสืบหาความจริงว่าทำไมเพลงถึงตกจากอาคาร พวกคุณกลับจ่ายเงินปิดปากนักข่าวเพื่อไม่ให้เล่นประเด็นนี้ จนในที่สุดคดีก็เงียบไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“คุณควรปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ”
“ที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยงั้นเหรอ!” หญิงสาวสวนกลับเสียงกร้าว “ตราบใดที่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร ต่อให้เอาเงินเป็นล้านมากองตรงหน้าก็เยียวยาจิตใจพวกเราไม่ได้หรอก!”
ดวงตาที่คลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำใสของอีกฝ่ายทำให้ดลธีชะงัก ผู้หญิงตรงหน้าเขาไม่เหลือคราบเด็กหญิงผมเปียที่เคยให้ช่วยสอนการบ้านเลยสักนิด แพรวไพลินเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนข้อให้เขาแม้แต่น้อย
“คุณไม่มีวันเข้าใจความเจ็บปวดของพวกเรา แล้วก็คงไม่มีวันเข้าใจด้วย!”
“แล้วทำไมคุณถึงมั่นใจนักว่าเพลงรักไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
หางเสียงที่อ่อนลงไปเล็กน้อย ทำให้แพรวไพลินมองคนถามอย่างประเมิน สมัยที่เธอยังเป็นเด็กรับใช้ในคฤหาสน์พฤกษดำรง แม้จะมีบุคลิกเย็นชาไม่น่าคบ แต่ดลธีมักจะคอยรับฟังเธออยู่เงียบๆ เวลามีเรื่องไม่สบายใจ ถึงเขาจะไม่เคยช่วยแก้ปัญหาให้ แต่ก็จะแนะแนวทางเพื่อให้เธอเลือกทางที่ดีที่สุด
แล้วตอนนี้...เธอยังเชื่อใจเขาได้ไหมนะ
“ถ้าคุณไม่กล้าพูดเพราะคิดว่าผมเป็นผู้บริหารของดีพีละก็ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น นี่จะเป็นความลับระหว่างเราสองคน”
“แล้วฉันจะเชื่อคุณได้ยังไง”
“ผมไม่ใช่คนอกตัญญู ในเมื่อคุณเคยช่วยชีวิตผม ผมก็จะตอบแทนคุณ”
แพรวไพลินมองสีหน้าจริงจังของดลธีอย่างไม่มั่นใจ แม้จะเคยช่วยชายหนุ่มจากการถูกทำร้าย แต่ก็ไม่มีอะไรประกันได้ว่าเขาจะซาบซึ้งในความดีของเธอจนยอมช่วยหาความจริงในคดีของเพลงรัก ก่อนที่เขาจะวางอะไรบางอย่างลงตรงหน้าเธอ
“ไฟล์ภาพจากกล้องวงจรปิดทุกตัวในวันที่เพลงรักเสียชีวิต”
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ และเหมือนชายหนุ่มจะเดาได้ว่าเธอกำลังลังเล ถึงได้หยิบแล็ปท็อปของตัวเองมาแล้วเสียบแฟลชไดร์ฟเข้าไปเพื่อเปิดไฟล์ให้ดู
“เพลง...”
ดวงตาคู่สวยสั่นระริกเมื่อเห็นภาพของลูกพี่ลูกน้องที่กำลังนั่งประชุมกับทีมงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณเคยช่วยชีวิตผม ดังนั้นผมจะไม่เอาเรื่องที่คุณปลอมตัวมาเป็นพนักงานสัญญาจ้างของดีพี...” ผู้บริหารหนุ่มพูดต่อพลางถอดแฟลชไดร์ฟออกจากแล็ปท็อปแล้วส่งให้เธอ “แต่ถ้าคุณยังอยากสืบเรื่องนี้ต่อ คุณก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไรคะ”
“มาเป็นผู้หญิงของผม...”
ความคิดเห็น |
---|