1

บทที่ ๑

บทที่ ๑

 

การจราจรตอนเที่ยงตรงของกรุงเทพมหานครไม่ได้บรรเทาเบาบางลงสักเท่าใด แย่ไปกว่านั้นปลายฝนยังติดแหง็กอยู่บนรถแท็กซี่ที่คนขับมีอาการเมาค้าง ช่างพูดช่างถาม แล้วยังมักหันมามองเธอ

“จะไปทำอะไรที่มูลนิธินั่นน่ะ ถูกข่มขืนมาเรอะ”

“หนูทำงานที่นั่น น้า”

“อ๋อ เป็นเจ้าหน้าที่เหรอ”

“ใช่ค่ะ นี่หนูก็เพิ่งเรียกรถน้าจากหน้ากระทรวงพัฒน์ฯ ไง มูลนิธิเราคอยทำหน้าที่ประสานหน่วยงานราชการและด้านกฎหมาย” หญิงสาวจงใจพูดจาใหญ่โตเข้าไว้ หวังให้คนขับระมัดระวังคำพูดและกิริยามากกว่านี้

ถึงอย่างนั้นปลายฝนก็ไม่ได้โป้ปด เธอเพิ่งเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ประจำมูลนิธิกัญญามิตรไม่ถึงปี ได้มีส่วนช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจหลายคน

“แล้วปกติมีคนถูกข่มขืนมาให้ช่วยเยอะไหม”

“เราไม่ได้ดูแค่นั้น ส่วนมากเป็นปัญหาในครอบครัวมากกว่า”

“อ้าว อย่างนี้ก็ยุ่งเรื่องชาวบ้านน่ะสิ” แกว่า น้ำเสียงกล่าวหา

“การทำร้ายร่างกายในครอบครัวเป็นความผิดทางกฎหมายค่ะ เวลาผัวเมียตีกันแล้วตำรวจมาห้าม น้าคิดว่าไงล่ะ”

“ก็เสือกไง” คนขับวัยกลางคนตอบกลั้วหัวเราะ

ปลายฝนอยากกรีดร้องระบายความหงุดหงิด แต่ก็ทำได้เพียงเบือนหน้าหนีไปกลอกตาอย่างอิดหนาระอาใจ

ถ้าไม่ติดว่าเธอเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันที่ไว้ใจได้ เธอคงลงจากรถไปแล้ว หญิงสาวพยายามข่มใจอดทน เธอกดโทรศัพท์หาชไมพร แต่รุ่นพี่ที่เธอทำงานด้วยไม่ได้รับสาย เมื่อคนขับหาเรื่องชวนคุยขึ้นมาอีก เธอจึงแสร้งเปิดเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือตนเอง ทำทีรับสายเหมือนว่ามีคนโทร. เข้ามา

วิธีนั้นได้ผล ชายวัยกลางคนหันมามองก่อนหันกลับไป ปลายฝนยอมเป็นคนบ้าพูดคนเดียวไปตลอดครึ่งค่อนทาง ดีกว่าจะเป็นบ้าไปจริงๆ เพราะคุยกับคนตรรกะพังพินาศและไร้มารยาทต่อไป

หลังลงจากรถแท็กซี่หน้ามูลนิธิที่มีรั้วรอบขอบชิด ปลายฝนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอยิ้มน้อยๆ ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหญิงที่ถือชามก๋วยเตี๋ยวมาจากรถจักรยานยนต์ ก่อนเดินเข้าไปภายในอาณาบริเวณร่มรื่น ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่สนามหญ้าเขียวขจี ตัดกับอาคารสามชั้นสีชมพูอ่อนที่เป็นที่ทำการของมูลนิธิเพื่อสิทธิเด็กและสตรี

เจ้าหน้าที่สาวในเสื้อโปโลสีชมพูกับกระโปรงทรงสอบสีดำ ความยาวระดับเข่า ตัวเดียวกับกระโปรงนักศึกษาที่เธอเคยสวมใส่ ก้าวขึ้นบันไดขั้นเตี้ยหน้าอาคาร ปลายฝนกำลังเดินไปทางปีกซ้ายฝั่งสำนักงาน ทว่าหางตาเหลือบเห็นผู้ชายร่างสูงเดินเตร่ไปทางโรงอาหารอีกฝั่งหนึ่งเสียก่อน ครั้นนึกได้ว่าเมื่อกี้เจ้าหน้าที่ด้านหน้าไปซื้อก๋วยเตี๋ยว อาจเปิดช่องให้คนนอกสบโอกาสเข้ามา เธอก็รีบเดินตามไปทันที

“เข้ามาได้ไง”

มือที่กำลังจะกดตู้น้ำดื่มพลันชะงัก เขาหันไปมองต้นทางของเสียง ขมวดคิ้วมองหญิงสาวหน้าตาหมดจด รูปร่างผอมบาง และสูงเพียงไหล่ตน ถ้าเธอไม่ได้แต่งหน้าอ่อนๆ และสวมเสื้อเช่นเจ้าหน้าที่คนอื่น เขาคงคิดว่าเธอเป็นเด็กสาวที่มาพึ่งพิงมูลนิธิแห่งนี้

“ที่นี่ห้ามคนนอกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ทราบว่าติดต่อธุระอะไรคะ”

“เหรอ...”

ยัง...ยังจะมามองหน้าเธออีก ไม่รู้เมื่อเช้าเธอก้าวขาผิดข้างออกจากบ้านหรือไร ถึงต้องเจอผู้ชายน่าหงุดหงิดถึงสองคน

“อ้าว ฝน กลับมาแล้วเหรอ”

เสียงทักของชไมพรที่ดังขึ้นเบื้องหลังเป็นดั่งเสียงสวรรค์ ครั้นเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่มาปรากฏตัวข้างๆ ปลายฝนก็เชื่อว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ไม่ว่าปัญหาใดก็คลี่คลายเมื่อมีชไมพร

“เมื่อกี้พี่เพิ่งเห็นว่าฝนโทร. หา”

“ใช่ค่ะพี่ ฝนเจอแท็กซี่บ้าๆ บอๆ เลยกะหาเพื่อนคุย แต่พอพี่ไหมไม่ได้รับสาย ฝนเลยแกล้งคุยคนเดียว”

คนหนุ่มที่ได้ยินบทสนทนาหลุดเสียงหัวเราะขึ้นจมูก ปลายฝนหันขวับไปตวัดตามอง ก่อนชไมพรจะทำให้เธอประหลาดใจด้วยการพูดจากับเด็กหนุ่มราวรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี

“พี่คุยกับแม่ของไม้แล้วนะ แต่แม่เขายืนยันว่าอยากกลับบ้านมากกว่าอยู่ที่นี่ ทางมูลนิธิก็คงขัดขวางไม่ได้”

สีหน้าที่ติดจะยียวนกวนอารมณ์สลดลงจนหม่นหมอง ปลายฝนพิจารณาชายแปลกหน้าตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อมองผ่านรูปลักษณ์ภายนอกที่ค่อนข้างสูง ใบหน้าของเขายังคงเค้าความอ่อนเยาว์เสมือนเพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กมาไม่นาน 

ใช่...เธอมองเห็นมันผ่านสีหน้าแววตาเปิดเผย บอกอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าตัว เธอดูออกทันทีว่าเขากำลังผิดหวังรุนแรง

“แล้วถ้าเกิดเรื่องอีกล่ะฮะ” เด็กหนุ่มถามเสียงเครียด

“ไม้ติดต่อมูลนิธิได้เสมอ จำไว้ อย่าทำอะไรที่กระทบอนาคตตัวเองนะ”

“ผมไม่เข้าใจแม่เลย” เขาส่ายศีรษะ สีหน้าหงุดหงิดแกมผิดหวัง

“แม่ของไม้ไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่หวาดกลัวที่จะก้าวออกมาจากความสัมพันธ์ ตอนนี้เขาอาจจะยังรู้สึกไม่มั่นใจ เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่นี่ที่จะพิสูจน์ให้แม่ของไม้เห็นว่าแกเลือกได้ และเป็นทางเลือกที่ถูกต้องปลอดภัย”

มาวินพยักหน้าจำนน ปลายฝนเห็นว่าชไมพรและอีกฝ่ายคงมีเรื่องต้องพูดคุยกันอีก เธอจึงสบตารุ่นพี่เป็นเชิงขอตัว

หญิงสาวเดินกลับไปยังฝั่งสำนักงาน ขณะเดินผ่านห้องรับรองชั้นล่างก็อดหันมองกระจกขุ่นเข้าไปไม่ได้ แม้ไม่เห็นใคร เธอก็เชื่อว่าแม่ของเด็กหนุ่มคงอยู่ข้างในนั้น

 

กว่านักจิตวิทยาสาวจะกลับมาที่สำนักงานก็เป็นเวลาบ่ายแก่ ชไมพรเป็นสาวอายุเลขสามที่อุทิศชีวิตและอนาคตความก้าวหน้าเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่กลุ่มแรกๆ ที่ทำงานที่นี่ตั้งแต่คุณหญิงแสงสุดาก่อตั้งมูลนิธิ

“กินข้าวกันหมดแล้วเหรอ” ชไมพรถามเพื่อนร่วมงานในสำนักงาน

“จวนจะบ่ายสองแล้ว ไม่รอแกหรอก” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตอบ แต่ยังมีน้ำใจบอกกล่าว “แบ่งไข่เค็มไว้กินกับน้ำพริกลงเรือให้แกกับฝนอยู่ แล้วก็มีน้ำแกงส้มด้วย”

“มีแต่น้ำแกงใช่เปล่า” ชไมพรเย้าแล้วหันไปถามกึ่งชวนรุ่นน้อง “ฝนก็ยังไม่ได้กินเหรอ ไปกินด้วยกัน”

ปลายฝนลุกจากโต๊ะทำงาน เดินตามสาวผมซอยสั้นผู้คล่องแคล่วทะมัดทะแมงไปยังโรงอาหาร เป็นประจำที่เจ้าหน้าที่แต่ละคนมักซื้อกับข้าวติดมือมาคนละอย่างเพื่อกินด้วยกัน จะได้ไม่ต้องฝ่าเปลวแดดออกไปหามื้อเที่ยงกินข้างนอก

สองสาวลำเลียงกับข้าวที่เหลือสองสามอย่างออกมาจากตู้ นั่งกินที่โต๊ะปิกนิกใต้ถุนอาคาร เดือนสองเดือนมานี้ไม่มีงานมากนัก เด็กสาวที่มาพึ่งพิงมูลนิธิคนสุดท้ายเพิ่งย้ายกลับไปอยู่กับครอบครัว บรรยากาศจึงเงียบเหงาไปอีกแบบ

ไม่ใช่สิ ปลายฝนนึกได้ว่ามีเคสใหม่ หลังสายตาชำเลืองเห็นตู้กดน้ำที่ตั้งอยู่มุมตึก

“เคสเมื่อกลางวันเกี่ยวกับอะไรหรือคะพี่ไหม” 

“อ๋อ การทำร้ายร่างกายภายในครัวเรือนอย่างเคย” ชไมพรตอบพลางถอนหายใจ “มาวิน...เด็กหนุ่มคนนั้นน่ะ เป็นคนพาแม่เขามาขอความช่วยเหลือจากเรา”

ปลายฝนอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าจากคนที่เธอเกือบเข้าใจผิดว่าบุกรุกเข้ามา กลับเป็นคนที่พาแม่ของเขามาที่นี่ และที่แตกต่างไปจากประสบการณ์ที่เธอเคยพบเจอ...คือเขาเป็นผู้ชาย

“ผู้กระทำเป็นใครคะ”

“ทายสิ”

“พ่อเลี้ยง?” 

“พ่อแท้ๆ นี่แหละ” ชไมพรเฉลย “เท่าที่ฟังเหมือนคนพ่อจะติดสุราเรื้อรัง ทุกครั้งที่เมามักจะทำร้ายร่างกายคนในบ้าน รวมถึงเวลาที่ไม่มีเงินซื้อเหล้าด้วย”

ปลายฝนหลุบตาซ่อนความสลดใจ ก่อนจะเกิดแรงฮึดขึ้นมา

“เมื่อไรผู้หญิงจะกล้าเดินออกมาจากชีวิตคนพรรค์นั้นเนอะพี่”

“มันก็พูดยากแหละฝน ยิ่งคนรุ่นก่อนเขาโตมาในสังคมชายเป็นใหญ่ ยากจะปรับเปลี่ยนความคิดเขาหรือทำให้เขากล้าหาญยืนหยัดแค่เพียงได้พบเจอหรือพูดคุยกันครั้งเดียว”

ปลายฝนพยักหน้ารับฟัง แล้วถามไถ่เรื่องกระบวนการที่ผู้เกี่ยวข้องวางไว้ เพื่อที่เธอจะได้รู้แนวทางการทำงาน สั่งสมประสบการณ์ในสายงานนี้

“ไม้อยากให้พ่อแม่หย่าร้างกัน พี่ก็เห็นด้วย แต่แม่เขาไม่ต้องการให้ถึงขั้นฟ้องหย่า เขาจะลองหาทางพูดคุยกับสามีก่อน”

คนฟังมีสีหน้าปูเลี่ยนๆ ชไมพรเห็นดังนั้นก็รู้ว่าพวกตนมีความคิดตรงกัน ยากที่เรื่องจะจบง่ายดายเช่นนั้น แต่พวกเธอก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายการตัดสินใจของเหยื่อ

“มันจะเป็นการส่งเนื้อเข้าปากเสือหรือเปล่าคะ”

“ตอนนี้เราคงทำได้แค่นี้ แต่พี่บอกไม้ไว้แล้วว่าถ้าเกิดความรุนแรงอีก ให้ติดต่อหาเราทันที แล้วอาทิตย์หน้าพี่ก็กะจะแวะไปเยี่ยมเยียนที่บ้าน”

พูดถึงเด็กหนุ่มคนนั้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ปลายฝนติดใจ

“พี่ไหมเคยเจอเคสแบบนี้บ่อยไหมคะ ที่ผู้ชายเป็นฝ่ายติดต่อมูลนิธิ”

“เคยมีเคสเด็กชายที่กระทำผิดขอคำปรึกษาเพื่อแก้ไขผลการกระทำของตัวเอง” นักจิตวิทยาสาวตอบพร้อมยิ้มน้อยๆ “แต่ถ้าติดต่อเข้ามาโดยตรงเพื่อขอความช่วยเหลือแทนแม่อย่างที่ไม้ทำ นี่เป็นครั้งแรก”

นั่นสินะ ปลายฝนก็คิดว่าน่าชื่นชมทีเดียวที่ผู้ชายเป็นฝ่ายติดต่อขอความช่วยเหลือ แทนที่จะยึดถือศักดิ์ศรีหรือยึดติดกับกรอบความคิดล้าสมัยเรื่องภาพลักษณ์ความเป็นชาย เพราะเหนือสิ่งอื่นใด คนทุกคนล้วนมีสิทธิ์เข้าถึงความมั่นคงปลอดภัยดุจเดียวกัน 

 

หมู่บ้านจัดสรรเล็กๆ ที่ประกอบด้วยทาวน์เฮาส์ยี่สิบหลังคาเรือนคือสถานที่ที่มาวินเติบโต ทว่าเขาแทบไม่มีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับบ้าน ถ้ามันเคยมีก็คงเก่าเก็บอยู่ในซอกหลืบความทรงจำ เด็กหนุ่มรู้แต่ว่าบ้านคือนรกดีๆ นี่เอง

“อ้าว ไปไหนกันมา แกไม่ได้ไปเรียนเรอะไอ้ไม้” ชายวัยกลางคนที่นั่งดื่มสุราอยู่ที่โต๊ะหินหน้าบ้านเอ่ยกับลูกเมียที่กลับมา

มาลัยหลบตาสามี ขณะที่มาวินเดินหนีเข้าบ้านโดยไม่ตอบคำถามพ่อบังเกิดเกล้า

“เฮ้ย! มึงเป็นเหี้ยไร” ชายขี้เมาตวาดลั่น ไม่วายตะคอกใส่ภรรยา “อีมาลัย มึงหัดสอนลูกมึงบ้างนะ กูถามดีๆ อารมณ์ดีอยู่แท้ๆ วอนตีนแล้วมึง”

เด็กหนุ่มไม่ได้ยินว่าแม่ตอบว่าอะไร เขาเปิดประตูเข้าห้องนอนเสียก่อน แล้วถีบเก้าอี้คอมพิวเตอร์ระบายอารมณ์

มาวินจำไม่ได้ว่าพ่อเคยดีต่อเขาอย่างไรบ้าง การถามดีๆ หรือพูดดีๆ ที่อีกฝ่ายยกมาอ้างไม่อาจทำให้เขาซาบซึ้ง เพราะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วพ่อก็จะเปลี่ยนเป็นปีศาจร้ายอาละวาดเช่นทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจ

พ่อเคยกอดเขาในวงเหล้าตอนที่เมากรึ่มๆ แต่แล้วในคืนเดียวกันพ่อก็เตะเขา ตบตีแม่ เมื่อแม่ปฏิเสธว่าไม่มีเงินให้พ่อไปซื้อเหล้าอีก พ่อเคยให้เงินเขาไปโรงเรียน แต่เมื่อไรที่พ่อไม่มีเงิน พ่อจะทวงบุญคุณ ขโมยเงินเก็บของเขาไปจนหมด ทุกเรื่องดีมักตามมาด้วยเหตุการณ์เลวร้ายยิ่งกว่า นานวันมาวินก็ชินชา ไม่เหลือความรู้สึกดีๆ ให้พ่ออีกต่อไป

แต่ไม่ใช่กับแม่ที่หลอกตัวเองว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แค่เพียงประนีประนอมและอยู่ให้เป็น

“พ่อเขาถามดีๆ ไม้ไม่น่าเดินหนีอย่างนั้น” มาลัยตามมาพูดกับลูกชายในห้องนอน

“ไม้ปิดเทอมมาอาทิตย์นึง ไม้ต้องตอบมันทุกวันเหรอแม่” เด็กหนุ่มย้อนด้วยอารมณ์คุกรุ่น

“วันนี้แม่ก็ไปกับไม้แล้วไง ไม้จะเอายังไงกับแม่อีก”

“ไม้ทำเพื่อแม่นะ!” เขาสวนกลับ

“ไม่จริง ถ้าไม้ทำเพื่อแม่จริงก็อย่าสร้างปัญหากับพ่อ แม่ขอแค่นี้”

มาวินจ้องมองแม่อย่างผิดหวัง เขาพยายามใจเย็น ให้เวลาแม่ได้ตัดสินใจอย่างที่นักจิตวิทยาประจำมูลนิธิแนะนำ แต่ดูเหมือนแม่ไม่ได้พิจารณาความหวังดีของเขาเลยด้วยซ้ำ แม่ยังคิดและตัดสินใจเหมือนเดิม คือการที่เขาและแม่ต้องเป็นฝ่ายอดทน

“แปลว่าแม่ไม่คิดจะเลิกกับพ่อเหรอ”

“คิด” มาลัยหลบตาลูก

ทว่ามาวินคาดคั้น “แล้วเมื่อไร แม่จะคุยกับมันเมื่อไร” 

“มีไร” เสียงอ้อแอ้ดังขึ้นพร้อมกับที่ประตูถูกผลักเข้ามา “มึงมีไรจะคุยกับกูฮะ ไอ้ไม้”

ชายวัยกลางคนผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมกางเกงขาสั้นตัวเดียว ก้าวเข้ามาในห้องลูกชาย เด็กหนุ่มขบกรามแน่น เขาปรายตามองแม่อย่างเจ็บใจ ก่อนจะถูกฝ่ามือหนาผลักศีรษะเต็มแรง

“กูถามไม่ได้ยินรึไง! มึงจะลองดีกับกูใช่ไหม!”

หมัดลุ่นๆ เสยเข้าโหนกแก้ม เด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัวถึงกับเซไปชนขอบเตียงเสียหลักทรุดนั่ง คนเมาได้ทีถีบยอดอกลูกชายซ้ำ

“ไอ้ห่า! มึงโตมาป่านนี้เพราะใคร อย่ามาทำอวดดีกับกู” ผู้เป็นพ่อชี้หน้าด่าทอ

“ผมโตมาเพราะแม่! ไม่ใช่เพราะพ่อ!” มาวินเหลืออด

“แต่กูทำให้มึงเกิดมา!” ชายขี้เมาเงื้อมือ

“ก็เอาดิ! ถ้าพ่อทำไรผม ผมสู้แน่!” เขาเงยหน้าท้าทาย “เป็นพ่อแล้วไงวะ! คิดว่ามีมือมีตีนคนเดียวหรือไง”

เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน คนเป็นแม่ต้องรีบเข้ามาขวางระหว่างพ่อกับลูก ก่อนถูกสามีจิกผมและเหวี่ยงให้หันมาเผชิญหน้าลูกชาย

“มึงดูไว้ มึงเลี้ยงลูกยังไงให้มันโตมาเป็นไอ้ลูกทรพี มึงสอนมันยังไงฮะ!”

ชายขี้เมาตวัดฝ่ามือบนใบหน้าภรรยา แล้วผลักร่างเล็กออกไปพ้นทาง ครั้นมาวินทำท่าจะตามไปเอาเรื่องพ่อบังเกิดเกล้า มาลัยก็ผวาคว้าแขนลูกไว้ทันท่วงที

“ไม้ แม่ขอ แม่ขอ...” เธอเอ่ยเสียงสะท้าน น้ำตาอาบใบหน้า

ดวงตาวาวโรจน์ของเด็กหนุ่มแดงเรื่อและมีน้ำตาคลอหน่วยเช่นกัน เขาไม่มีวันเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงต้องปกป้องและอดทนอยู่กับผู้ชายที่ทำร้ายตนเองและลูกได้ลง

“ไม้บอกแล้วว่าไม่อยากอยู่ที่นี่ แม่กลับมาให้มันตบตีอีกทำไม”

ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงสะอื้นไห้ ทว่ามาวินไม่อาจโอบกอดปลอบประโลมแม่ได้ดังวันวาน เพราะหัวใจเขาก็แตกสลายด้วยความผิดหวังเช่นกัน

“ถ้าแม่เชื่อไม้ เราก็ไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้”

“ไม้เป็นเด็ก ไม้ก็คิดอะไรง่ายๆ” มาลัยตัดพ้อ “ถ้าไปจากที่นี่เราจะไปอยู่ที่ไหน ทำอะไร ไม้คิดบ้างไหม แล้วถ้าพ่อรู้ว่าเราหนีไป เขาก็ต้องตามรังควานญาติพี่น้องของแม่”

“ไม้ถึงพาแม่ไปมูลนิธิไง เขาต้องช่วยเราได้”

“เขาเป็นคนอื่น ใครจะช่วยเราได้ตลอด ใครจะมาเดือดร้อนกับเรา”

มาวินไม่อยากเชื่อว่าความพยายามในวันนี้จะมีจุดจบเหมือนเดิม เขาผิดหวังจนต้องหันหน้าเข้าหาผนัง ยกแขนก่ายหน้าผากไม่ให้ใครเห็นน้ำตา

เด็กหนุ่มเบี่ยงกายหนีมือแม่ เขาไม่ต้องการการปลอบโยน โดยเฉพาะจากคนที่พร่ำสอนให้เขาอดทนมาทั้งชีวิต

“แม่ขอโทษ” มาลัยเอ่ยพร้อมกับถอนสะอื้น “ถ้าไม้ไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม้ไปอยู่กับป้าไหมล่ะลูก”

“แม่เลิกขอโทษ แล้วก็เลิกคิดแทนคนอื่นซะที” เขาหันมาต่อว่า แววตารวดร้าว “ไม้ไปแน่ถ้าไม่มีแม่ แต่ถ้าแม่ยังอยู่ที่นี่ ไม้จะปล่อยให้มันทำร้ายแม่ได้ไง ถ้าแม่รักไม้จริง แม่ก็ต้องเลิกปกป้องมัน เลิกบอกให้ไม้ยอมมันซะที”

มาลัยอับจนถ้อยคำ ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาพรั่งพรูระบายความอึดอัดและกดดันที่ต้องเผชิญจากทั้งพ่อและลูก

ใครไม่มาเป็นเธอไม่มีวันเข้าใจ เธอเติบโตมาอย่างยากลำบากเพราะขาดพ่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว กระทั่งแม่มีสามีใหม่ช่วยกันหาเช้ากินค่ำ ความเป็นอยู่ของทุกคนในบ้านจึงดีขึ้น การที่เธอทนอยู่กินกับสามีก็เช่นกัน แม้เขาจะอาละวาดตบตีเธอกับลูก แต่ก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ว่าไปจ่ายตลาดหรือขับรถไปออกร้านขายของตามตลาดนัด ถ้าขาดเสาหลักของครอบครัว เธอก็ไม่รู้จะทำงานทั้งหมดได้อย่างไร

มาวินยังต้องเรียนหนังสือ ไม่มีวันเข้าใจชีวิตที่ต้องอดทนและดิ้นรนอย่างแท้จริง แต่ลูกกลับบีบบังคับให้เธอต้องเลือก ราวกับชีวิตคนเรามีทางเลือกอย่างไรอย่างนั้น


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น