4

บทที่ 4

บทที่ 4

 

ภูริดลไม่สนใจเจ้าของเสียงหวานที่ต่อว่าต่อขาน เขารับรู้ได้จากการตอบสนองทางร่างกายว่าเธอชอบสิ่งที่เขาทำอยู่ เพราะปลายถันสีกุหลาบที่ถูกไล้เลียและดูดดึงนั้นชูชันหดเกร็งอยู่ในปากของเขา ลมหายใจของเธอหอบกระชั้น มือที่ดันอยู่บนบ่าเลื่อนขึ้นมาโอบรอบคอแล้วกดศีรษะของเขาลงไปหา พร้อมกับแอ่นหน้าอกเข้าหาปากและลิ้นช่ำชองอย่างสุขซ่าน 

อาจเป็นเพราะความปรารถนาที่ยังคั่งค้างอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน เธอถึงจุดติดเร็วขนาดนี้ 

เมื่อคืนนี้หลังจากทุกอย่างชะงักลงกลางคัน เขาก็เข้าไปปลดปล่อยตัวเองในห้องน้ำ ส่วนฟ้าพราว เขาไม่รู้ว่าเธอได้จัดการกับความต้องการของตัวเองหรือไม่ แต่เท่าที่ดูจากความกระหายใคร่อยากของเธอตอนนี้ เขาคิดว่าไม่

“ถ้าอยากมาก ผัวก็จะจัดให้” เขาพึมพำอยู่กับทรวงอกอวบอิ่มแล้วเลื่อนตัวขึ้นไปจูบริมฝีปากของเธออย่างดูดดื่ม เธอตอบสนองเขาอย่างอ่อนหวาน เผยอริมฝีปากขึ้นเพื่อเปิดทางให้เขาแทรกปลายลิ้นเข้าไปในปากเธอ

ฝ่ามือใหญ่ร้อนผ่าวที่ลูบไล้อยู่ข้างลำตัวลากลงไปตามเนินหน้าท้องแล้วสอดเข้าไปใต้ขอบกางเกงชั้นในตัวบาง กอบกุมและฟอนเฟ้นเนินเนื้อนุ่มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกรีดปลายนิ้วไปตามรอยแยกแล้วสะกิดตุ่มที่ไวต่อความรู้สึก

“อื้อ” ลมหายใจของฟ้าพราวหอบกระชั้น สะโพกบิดส่ายตอบสนองสัมผัสจากปลายนิ้ว เมื่อคืนเขาก็แตะต้องเธอแบบนี้ แล้วเขาก็ใจร้ายทิ้งเธอให้เคว้งคว้างอยู่กลางทางเพียงลำพัง ความโกรธที่ถูกปล่อยให้อารมณ์คั่งค้างเมื่อคืนทำให้ฟ้าพราวเผลอทุบไหล่เขาอย่างแรง

“โกรธอะไรผัว...หือ?” ภูริดลหัวเราะเสียงทุ้มต่ำในลำคอแล้วกดปลายนิ้วแทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่ม ไล้วนเป็นวงเชื่องช้าชวนให้บ้าคลั่ง เขาบดขยี้ปุ่มเนื้ออ่อนไหวซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในอย่างลึกลับ ที่แม้แต่ตัวเจ้าของก็ยังไม่เคยแตะต้องมันมาก่อน

ฟ้าพราวรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ ลมหายใจของเธอลึกและขาดเป็นห้วง ความร้อนผ่าวแผ่กระจายอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่าง ยามที่นิ้วแข็งแกร่งขยับเข้าออกเป็นจังหวะรัวเร็ว หญิงสาวก็รู้สึกถึงความแข็งเกร็งของร่างกาย ความเครียดครัดขมวดเกรียวแน่นขึ้นและแน่นขึ้นอยู่ภายในช่องท้อง กล้ามเนื้อภายในส่วนที่ลึกลับที่สุดบีบรัดเป็นจังหวะรุนแรง ครู่หนึ่งเธอก็ระเบิดเสียงกรีดร้องหวานล้ำ พร้อมกับรู้สึกราวกับตัวแตกกระจายออกมาเป็นเศษเสี้ยวนับร้อยพัน ความอัดอั้นที่คั่งค้างมาตั้งแต่เมื่อคืนหายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือเพียงความสุขซ่านชนิดที่ไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิต

“ไม่ค้างแล้วนะ” เขายิ้มเยาะใส่นัยน์ตาเธอแล้วเช็ดนิ้วที่เปียกชุ่มกับชายเสื้อที่พันอยู่เหนือเนินอก

หญิงสาวอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี เขาร้ายกาจมากที่จับความรู้สึกของเธอได้ ทั้งที่คิดว่าเก็บงำความรู้สึกไว้อย่างมิดชิดที่สุดแล้ว

“ไม่ต้องอายหรอกน่า รอบนี้ผมทำให้คุณหญิงแล้ว รอบหน้าคุณหญิงก็ทำให้ผมบ้างก็แล้วกัน” เขาพูดพลางดึงชายเสื้อของคนที่ยังนอนหอบสะท้านหมดเรี่ยวแรงลงให้เรียบร้อย เสร็จแล้วขยับตัวไปนั่งพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ

“จะให้ฉันทำอะไร” ฟ้าพราวยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก้มหน้าด้วยความอับอาย ยิ่งเห็นบราเซียร์ตกอยู่ที่พื้นก็ยิ่งปั้นหน้าไม่ถูก

“คืนนี้จะบอก” ว่าแล้วก็รวบเอวคนตัวบางให้ขึ้นมานั่งบนตัก โอบกอดเธอไว้หลวมๆ แล้วซุกไซ้ใบหน้าเข้ากับซอกคอหอมละมุน หญิงสาวก็ปล่อยให้เขานัวเนียเนื้อตัวเธออย่างอิสระ 

“จะทำสัญญาอะไรกับผมก็ว่ามา”

“อย่าใจร้ายกับฉันมากนักได้มั้ย มีอะไรก็คุยกันดีๆ คุณอยากให้ฉันทำอะไร หรือไม่อยากให้ทำอะไรก็บอก ฉันตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาเป็นภรรยาของคุณ คุณก็ช่วยทำตัวเป็นสามีที่น่าอยู่ด้วยหน่อยได้มั้ย”

คำขอร้องอย่างตรงไปตรงมาทำให้ภูริดลนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนตอบเสียงห้วน 

“จะพยายามก็แล้วกัน”

ฟ้าพราวมองสบตาสามีผู้แข็งกระด้างแล้วยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานเป็นครั้งแรก แค่เขารับปากว่าจะ ‘พยายาม’ ก็ถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่ดีมากแล้ว

 

ฟ้าพราวอาบน้ำชำระล้างรอยคราบแห่งความสุขที่ได้รับจากสามีแล้วแต่งตัวใหม่ด้วยชุดแม็กซีเดรสสายเดี่ยวสีแดงลายดอกไม้สีขาวเล็กๆ น่ารัก จากนั้นรื้อของออกจากกระเป๋าเดินทางที่น้ำมณีขนมาให้จากกรุงเทพฯ จัดใส่ตู้เสื้อผ้ารวมกับของภูริดล โดยมีเจ้าแมวอ้วนเดินพันแข้งพันขาอยู่ไม่ห่าง

                “เนี่ยเหรอ ‘ที่รัก’ ที่คุณหญิงละเมอหาเมื่อเช้า” คนที่นั่งเหยียดขาพิงหัวเตียงมองภรรยาจัดของถามเสียงราบเรียบ

                หญิงสาวมองค้อนนิดหนึ่ง เพราะยังไม่หายเคืองที่ถูกเขาตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงสำส่อน ผ่านผู้ชายมานับไม่ถ้วนเพราะความเข้าใจผิดของเขาเอง 

“ใช่ ท่านพ่อเพิ่งซื้อให้เป็นของขวัญวันรับปริญญาเมื่อไม่กี่เดือนนี่เอง”

                “เพิ่งเรียนจบ...?” 

                “ฮื่อ” ตอบพลางจัดเรียงเครื่องสำอางและเครื่องประทินผิวยี่ห้อดังจากต่างประเทศไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเป็นระเบียบ

                “อายุเท่าไหร่” เขาเพิ่งสังเกตว่าหญิงสาวรูปร่างบอบบางที่สูงเพียงแค่ไหล่เขามีใบหน้าอ่อนวัยมาก ถ้าบอกว่าสักสิบแปดหรือสิบเก้าเขาก็เชื่อ

                “ตอนนี้ยี่สิบเอ็ด แต่เดือนหน้าก็จะยี่สิบสองปีเต็มแล้ว” เธอตอบแล้วก็หันมาเขาด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรมากขึ้น “แล้วคุณล่ะ”

                “สามสิบ”

                “แก่จัง” ฟ้าพราวพูดเบาๆ กับตัวเองแล้วหันไปจัดของต่อ 

แต่ภูริดลได้ยิน เขาลุกพรวดมาสวมกอดเธอไว้แน่นจากทางด้านหลังแล้วพูดเสียงเข้มที่ข้างหู พลางมองสบตาเธอผ่านกระจกเงาบานใหญ่อย่างดุดัน

                “แก่แล้วไง เป็นผัวคุณหญิงได้ก็แล้วกัน”

                “หยาบคายอีกแล้วนะ” หญิงสาวต่อว่าเสียงเบาแล้วพลิกตัวอยู่ภายในวงแขนแข็งแกร่งเพื่อหันมามองหน้าเขา “เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะพูดกันดีๆ”

                “แล้วผมพูดไม่ดีกับคุณหญิงตรงไหน” คราวนี้น้ำเสียงของเขาอ่อนลง ดวงตาสีเข้มก็ลดความแข็งกระด้างลงไปมาก “จะให้ผมพูดสามีอย่างงู้น สามีอย่างงี้ ผมพูดไม่ได้หรอก เจ็บปาก”

                “ฉันไม่เถียงกับคุณแล้ว อยากพูดอะไรก็พูดไปก็แล้วกัน เอาที่คุณสบายใจเลย” ว่าแล้วก็ดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขา ก่อนจะก้มลงอุ้มเจ้าแมวอ้วนไปนั่งที่เตียง

                ภูริดลเดินตามไปนั่งข้างๆ มองหน้าแมวคู่อริด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย 

“ผมไม่ให้ไอ้แมวอ้วนนี่นอนเตียงเดียวกับเรานะ”

                “แต่ฉันต้องนอนกอดที่รักถึงจะนอนหลับ”

                “กอดผมแทนก็ได้” เขาบอกหน้าตาเฉย

                “หือ?” ฟ้าพราวเลิกคิ้วมองหน้าเขา “ไม่เหมือนกัน”

                “ไม่เหมือนตรงไหน”

                “คุณไม่ได้น่ารักเหมือนที่รัก”

                “แต่ผมทำให้คุณหญิงมีความสุขได้มากกว่าไอ้ที่รักหลายเท่าก็แล้วกัน อยากลองอีกมั้ย” ว่าพลางขยับตัวเข้าไปใกล้ วางมือลงบนลาดไหล่เล็กเปลือยเปล่าที่มีเพียงสายเล็กๆ ของชุดเดรสพาดผ่าน แล้วปัดปลายนิ้วโป้งไปบนลำคอยาวระหงแผ่วเบาอย่างยั่วเย้า

                “นี่คุณ อย่าแกล้งสิ” ฟ้าพราวบอกเสียงสั่น ความวาบหวามแล่นวาบไปตามเนื้อตัวราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน ถ้าจะบอกว่าเขาหื่นจัด ก็ต้องยอมรับว่าเธอเองก็จุดติดง่ายพอกัน

                “เอาจริง ไม่แกล้ง” ใบหน้าคมคล้ามโน้มเข้าไปกระซิบเตือนด้วยน้ำเสียงแตกพร่าที่ข้างหูคนตัวเล็ก “เตือนไว้ก่อนนะว่าผมเซ็กซ์จัดมาก เป็นเมียผมต้องอึด ผมต้องการตอนไหน คุณหญิงก็ต้องพร้อมเสมอ”

                “ไม่ต้องขู่” เธอแอบบิดกล้ามท้องเขาไปทีหนึ่ง แล้วอุ้มแมวหนีไปยืนริมหน้าต่าง 

เขาหัวเราะเบาๆ แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียง 

“คุณดิน” ฟ้าพราวเรียกเขาเสียงเบาอย่างเกรงใจ

                “ว่า...?”

                “คุณแม่คุณไม่ได้เอาอาหารแมวของที่รักมาให้ด้วย กระบะทรายก็ไม่ได้เอามา ที่นอนก็ไม่มี คุณพาฉันออกไปซื้อหน่อยได้มั้ย”

                ภูริดลถอนหายใจพรืด กลอกตามองเพดาน เขาไม่ถูกชะตากับเจ้าแมวอ้วนนั่นอย่างแรง แล้วทำไมต้องพาเธอไปซื้อของให้มันด้วย 

“เหนื่อย ขี้เกียจขับรถ”

“ถ้างั้นฉันขอยืมรถคุณขับไปเองก็ได้”

“รู้ทางเหรอ”

ฟ้าพราวส่ายหน้าจ๋อยๆ แล้ววางที่รักไว้บนพื้นข้างหน้าต่างก่อนจะขึ้นมานั่งบนเตียง เขย่าแขนออดอ้อนสามีด้วยความลืมตัว ซึ่งเป็นกิริยาที่เธอมักจะทำกับท่านพ่อเป็นประจำเวลาที่ต้องการอะไรสักอย่างจากท่าน 

“คุณดินพาหญิงไปซื้อของให้ที่รักหน่อยนะคะ นะๆๆ ที่รักกินอาหารคนไม่ได้”

                ชายหนุ่มมองหน้าใสๆ ของภรรยาที่โน้มอยู่เหนือใบหน้าเขาแล้วกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ 

“จูบผมก่อนแล้วจะพาไป”

                “แกล้งอีกแล้วนะ” ฟ้าพราวทำท่าจะไม่ยอม

                “งั้นก็ปล่อยให้ที่รักของคุณหญิงหิวไปก็แล้วกัน”

                “ใจร้าย” หญิงสาวต่อว่า หน้ามุ่ย

                “ผมก็ไม่เคยบอกว่าผมใจดีหรือรักสัตว์ โดยเฉพาะไอ้แมวอ้วนตัวนี้ บอกตรงๆ ไม่ถูกชะตาอย่างแรง” ว่าพลางจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งแต่ถูกฟ้าพราวใช้มือกดหน้าอกเอาไว้

                “เพื่อที่รักของฉัน ฉันยอมจูบคุณก็ได้” ความสัมพันธ์ของเธอกับเขานับว่าไปไกลกว่าจูบหลายขั้นแล้ว ยอมจูบเขานิดหน่อยเพื่อแมวสุดที่รักคงไม่เป็นไร

                “เหอะ! รักมันมากขนาดนั้นเชียว” ภูริดลแค่นยิ้ม จะว่าเขาหมั่นไส้แมวหรืออิจฉาแมวก็คงไม่ผิด “ถามหน่อย แมวกับผัว รักใครมากกว่ากัน”

                “ถ้าให้ตอบตามตรง ตอนนี้ฉันรักที่รักมากกว่าคุณ แต่ฉันก็แน่ใจว่าสักวันฉันจะรักคุณได้ เพราะตอนนี้ฉันไม่มีใคร แล้วฉันก็ตั้งใจไว้แล้วว่าชีวิตนี้จะมีสามีแค่คนเดียว ก็คือคุณ แล้วคุณล่ะ จะรักฉันได้หรือเปล่า”

                หนุ่มชาวไร่ถึงกับอึ้งไปเลย ราชนิกุลสาวผู้สูงศักดิ์หน้าหวานคนนี้พูดจาตรงไปตรงมาเป็นบ้า

                “คุณลืมคนในอดีตของคุณได้หรือยัง” ฟ้าพราวถามเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปนาน

                “หมายถึงใคร” 

                “หม่อมก้อย”

                “คุณหญิงรู้เรื่องก้อยด้วยเหรอ” เสียงของเขาแผ่วเบาคล้ายจะติดอยู่แค่ในลำคอ

                ฟ้าพราวพยักหน้ารับ “คุณจะลืมผู้หญิงคนนั้นแล้วรักฉันได้หรือเปล่า”

                “ทำไมถามแบบนี้”

                “คงไม่แฟร์ ถ้าในขณะที่ฉันพยายามรักคุณ แต่คุณยังรักคนอื่นอยู่”

                “มันก็ขึ้นอยู่กับคุณหญิง ว่าจะทำให้ผมลืมก้อยได้หรือเปล่า”

                “ฉันจะทำให้คุณลืมผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต” ฟ้าพราวบอกมุ่งมั่นพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มของสามีแล้วโน้มใบหน้าลงไปแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากที่มีหนวดเครารกรุงรังน่ารำคาญ จากตอนแรกที่ตั้งใจจะจูบอย่างอ่อนหวานก็กลายเป็นชะงัก

                “ไหนบอกจะจูบ จูบสิ” ภูริดลขยับปากคลอเคลียอยู่กับเรียวปากนุ่มของภรรยา

                “หนวดคุณทิ่มจมูกฉันอะ”

                “เรื่องมาก จูบเร็ว จะได้ไปซื้อของกัน”

                ฟ้าพราวกลั้นหายใจแล้วจะจูบเขาให้เสร็จๆ ไป แต่แล้วก็ทนไหวต้องดีดตัวขึ้นมา 

“ฮะ...ฮะ...ฮัดชิ้ว!”

                ภูริดลยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองดังแปะ โมเมนต์โรมานซ์พังยับเยิน เขาอุตส่าห์แอบวางแผนไว้ในใจว่าพอเธอจูบเขา แล้วเขาจะตลบหลังทำอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาจะปล่อยเธอไปก่อนก็ได้ เพราะถึงยังไงวันนี้เธอไม่รอดแน่

 

รถเอสยูวีสีดำแล่นมาตามถนนคุณเส้นเล็กที่ราบเรียบผ่านประตูไร่ ‘ภูสรวง’ ออกไป สองข้างทางมองเห็นไร่ชากว้างใหญ่

                “ไร่คุณชื่อภูสรวงเหรอ” ฟ้าพราวถามพลางหันหลังกลับไปมองป้ายชื่อไร่ขนาดใหญ่ให้ชัดๆ อีกที “คุณตั้งเองหรือเปล่า”

                “ใช่ ถามทำไม” เจ้าของไร่ที่ขับรถอยู่ถามเสียงกระด้าง

                “ชื่อเพราะ ความหมายก็ดี”

                “รู้เหรอว่าแปลว่าอะไร”

                “ภูแปลว่า ‘ดิน’ ส่วนสรวงก็แปลว่า ‘ฟ้า’ ไง ตรงกับชื่อของเราสองคนเลย ดินกับฟ้า”

                “สองคำนี้แปลได้หลายความหมาย” ภูริดลแย้งหน้าตึง ไม่ชอบใจที่เธอทึกทักแปลความหมายเข้าข้างตัวเอง

                “ไม่รู้แหละ ฉันชอบความหมายนี้ เหมาะแล้วที่เป็นชื่อไร่ของเรา”

                “ของเรา” ชายหนุ่มกระตุกหัวคิ้วเข้าหากันอย่างข้องใจ

                “ก็คุณบอกเองว่าสามีภรรยาก็เหมือนคนคนเดียวกัน เพราะฉะนั้นไร่ของคุณก็ต้องเป็นไร่ของฉันด้วยสิ”

                “กะจะมาฮุบสมบัติผมหรือไง”

                “ถ้าจะฮุบ ฉันไม่เอาแค่ไร่ชานี่หรอก ฉันจะเอาโรงแรมของคุณด้วย โรงแรมหรูระดับหกดาว ใหญ่ที่สุดในประเทศอีกต่างหาก” ฟ้าพราวแกล้งพูดเล่นไปอย่างนั้นเอง แต่ดูเหมือนคนฟังจะแยกแยะไม่ออก เพราะเขาของขึ้นอีกแล้ว

                “ฝันไปเถอะ! อย่างคุณหญิงเป็นแค่คุณนายไร่ชากระจอกๆ ก็ดีถมไปแล้ว”

                ฟ้าพราวเริ่มปรับตัวเข้ากับคนอารมณ์ฉุนเฉียวได้บ้างแล้วจึงไม่สะทกสะท้าน เธอรู้แล้วว่าต่อให้เขาอาละวาดฟาดงวงฟาดงามากแค่ไหน เขาก็ไม่ทำร้ายเธอ อย่างมากก็แค่พูดจาหยาบคายกวนโมโหเท่านั้นเอง

หญิงสาวเบื่อจะเถียงกับเขาแล้ว เธอเลิกชวนคุยแล้วมองทิวทัศน์สองข้างทางไปเรื่อยเปื่อย แล้วเอะใจเพราะถนนเส้นนี้ราบเรียบ ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนถนนเส้นที่เขาพาเธอมาเมื่อคืนนี้เลยสักนิด “นี่ไม่ใช่ทางที่เรามาเมื่อคืนนี้นี่”

                “เมื่อคืนเราเข้าทางหลังไร่ เส้นนี้เป็นถนนหน้าไร่”

                “เมื่อคืนคุณแกล้งพาฉันไปทางที่มันลำบากเหรอ” เธอทำเสียงกระเง้ากระงอดทว่าน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกินในความรู้สึกของคนมอง

                “ผมไม่ทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นหรอก” เมื่อวานเขาขับรถไปกลับกรุงเทพฯ-เชียงราย เหนื่อยจะตาย ไม่มีเวลาไปคิดแกล้งใครหรอก “เข้าทางหลังไร่มันเร็วกว่า”

                “อ๋อเหรอ” 

ฟ้าพราวพยักหน้ารับแล้วนั่งเงียบไปพักใหญ่เพราะไม่รู้จะชวนเขาคุยเรื่องอะไรแล้ว เธอเอนหลังพิงเบาะแล้วมองท้องฟ้าสีน้ำเงินสดใสที่มีก้อนเมฆรูปทรงแปลกตากระจายตัวประปรายอยู่เบื้องหน้าอย่างสบายใจ 

“ฟ้าสวยจัง”

ภูริดลหันมามองหญิงสาวข้างตัวที่กำลังจ้องมองท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มน่ารักแล้วเผลอพูดกับตัวเองเบาๆ 

“สวยมาก” 

ภรรยาของเขาสวยมากจริงๆ ยิ่งมองก็ยิ่งสวย

 

ภูริดลพาฟ้าพราวมาซื้อของให้ ‘ที่รัก’ ที่ห้างสรรพสินค้าในตัวเมืองเชียงราย ซึ่งมีร้านขายของใช้สำหรับแมวโดยเฉพาะ หญิงสาวเลือกซื้อของอย่างเพลิดเพลินจนลืมระวังตัว เดินสะดุดเกือบหกล้มหน้าคะมำ โชคดีที่สามีซึ่งคอยหิ้วตะกร้าใส่ของเดินตามหลังคว้าเอวไว้ได้ทันก่อนเธอจะเจ็บตัว

                “ระวังหน่อยสิ” คนเป็นสามีดุเสียงเข้ม

                ฟ้าพราวก้มมองเท้าตัวเอง เห็นว่าเชือกรองเท้าผ้าใบหลุดจึงก้มลงจะผูกเชือกรองเท้าใหม่ แต่ภูริดลจบไหล่เธอให้เงยหน้าขึ้นมาแล้วย่อตัวลงผูกเชือกรองเท้าให้ พลางส่งสายตาดุดันไปยังชายแก่หัวล้านลงพุงที่แอบมองภรรยาของเขาอยู่ที่มุมหนึ่ง ชายแก่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินหลบออกไป

                ภูริดลยืดตัวขึ้นแล้วถอดเสื้อแจ็กเกตยีนของตัวเองออกมาคลุมไหล่ให้ฟ้าพราว ก่อนดึงสาบเสื้อเข้ามาชิดกัน ปกปิดเนื้อหนังเธอไว้ทั้งตัว 

“วันหลังห้ามใส่แล้วนะชุดสายเดี่ยวเปิดหน้าเปิดหลังแบบนี้ คอเสื้อก็กว้าง จะก้มก็ระวังด้วย หรือว่าเป็นพวกชอบโชว์”

                “จะบ้าเหรอ” เธอทำหน้าง้ำใส่เขา “เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องดุเลย แล้วชุดนี้ก็ไม่ได้โป๊สักหน่อย ปกติฉันก็แต่งตัวแบบนี้อยู่แล้ว ท่านพ่อไม่เห็นว่าอะไรเลย”

                “พ่อไม่ว่า แต่ผัวไม่ชอบ” เขาดุเสียงแข็งจนพนักงานในร้านแอบทำหน้าสงสารฟ้าพราว “แล้วนี่ได้ของครบหรือยัง”

                “ครบแล้ว คุณไปหาที่นั่งรอข้างนอกก็ได้ ฉันจ่ายเงินเสร็จแล้วจะตามออกไป” ฟ้าพราวหยิบตะกร้าที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์คิดเงิน รอจนพนักงานสแกนบาร์โคดครบทุกชิ้นแล้วแจ้งยอดเงินที่ต้องชำระ จึงยื่นบัตรเครดิตให้

                “บัตรถูกระงับนะคะ รูดไม่ได้” พนักงานส่งบัตรเครดิตคืนให้

                “งั้นลองใบนี้นะคะ” ฟ้าพราวส่งบัตรเครดิตอีกใบให้

                “ใบนี้ก็รูดไม่ได้เหมือนกันค่ะ”

                “ลองอีกใบนะคะ ใบนี้เป็นบัตรเดบิต รูดได้แน่นอน”

                พนักงานรับบัตรไปเสียบกับเครื่องรูดบัตรแล้วถอดออกมาส่งคืนให้ “ยอดเงินคงเหลือในบัตรไม่พอชำระค่าสินค้าค่ะ”

                “อ้าว...เหรอคะ” ฟ้าพราวเริ่มจะหน้าชาด้วยความอับอาย เกิดมาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน “เท่าไหร่นะคะ ฉันจ่ายเงินสดก็ได้”

                “สี่พันเก้าร้อยสี่สิบบาทค่ะ”

                หญิงสาวเปิดกระเป๋าเงินดูแล้วทำหน้าจ๋อยสนิท เพราะมีเงินสดติดกระเป๋าอยู่แค่ห้าร้อยกว่าบาท “เงินไม่พอ ฉันขอคืนของก็แล้วกันนะคะ ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา”

                “ไม่เป็นไรค่ะ” พนักงานตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วเตรียมขนของไปเก็บ แต่ทันใดนั้นเสียงเข้มๆ ของภูริดลก็ดังขึ้น

                “เอาทั้งหมดนั่นแหละ ใส่ถุงเลย” หนุ่มชาวไร่ยื่นบัตรเครดิตแบบที่พนักงานมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบัตรเอกสิทธิ์เฉพาะ ‘คนรวย’ ผู้ที่จะถือบัตรระดับนี้ได้ต้องมีเงินในบัญชีขั้นต่ำสองร้อยล้านบาท

“รับไปสิ” ภูริดลย้ำเสียงหนักเมื่อเห็นพนักงานเอาแต่มองหน้าเขาสลับกับบัตรเครดิตในมืออย่างไม่แน่ใจว่าเขาเป็นเจ้าของบัตรจริงหรือไม่ จะให้พนักงานไว้ใจได้ยังไง ในเมื่อการแต่งตัวและหนวดเครารกรุงรังบนหน้าของเขาไม่บ่งบอกความเป็นเศรษฐีเลยสักนิด

                “ค่ะๆ” พนักงานรับบัตรไปรูดแล้วส่งบัตรคืนพร้อมกับสลิปให้ภูริดลเซ็น จากนั้นส่งถุงของทั้งหมดให้ชายหนุ่มอย่างนอบน้อมเพราะเกรงใจเงินในบัญชีของเขา

 

ปกติถ้าไม่จำเป็น ภูริดลจะไม่ยอมใช้บัตรเครดิตใบนี้เลย แต่วันนี้เขาอยากลองใจภรรยาผู้สูงศักดิ์ ว่าถ้าเห็นเงินของเขาแล้วจะตาวาวขนาดไหน แต่เธอไม่สนใจเลยสักนิด แถมยังบอกว่าจะคืนเงินค่าซื้อของให้เขาอีก

                “ฉันจะโทร. ไปถามท่านพ่อว่าทำไมบัตรเครดิตรูดไม่ได้ เพราะบัตรสองใบนี้เป็นบัตรเสริมของท่านพ่อ ถ้าเคลียร์เรียบร้อยแล้วฉันจะคืนเงินให้คุณนะ” ฟ้าพราวหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ “ฉันขอเงินท่านพ่อมาใช้หนี้คุณก่อนดีกว่า ไม่อยากมีอะไรติดค้างกัน”

                “ไม่ต้อง” คนที่หิ้วของใช้แมวเต็มสองมือบอกเสียงกระด้าง “เงินที่พ่อคุณมีอยู่ตอนนี้ก็เงินผมทั้งนั้น คุณจะเอาเงินผมมาใช้หนี้ผมเนี่ยนะ ใช้ตาตุ่มคิดเหรอ”

                “แต่ฉันเกรงใจคุณ ไม่อยากใช้เงินคุณ”

                “เอาเป็นว่าของทั้งหมดนี่ ผมซื้อให้ไอ้แมวอ้วนนั่นก็แล้วกัน ไม่ได้ซื้อให้คุณหญิง”

                “ยังไงฉันก็เกรงใจคุณอยู่ดี” ฟ้าพราวบอกเสียงเบาอ้อมแอ้มด้วยความเกรงใจมากจริงๆ 

                “อย่าเรื่องมาก น่ารำคาญ จะซื้ออะไรอีกมั้ย”

                “ไม่ซื้อแล้ว ไม่มีเงิน”

                “คุณหญิงไม่มี แต่ผัวคุณหญิงมี อยากได้อะไรก็ไปเลือกเอา ผมจ่ายให้เอง”

                ฟ้าพราวได้ยินแล้วปรี๊ด เลือดขึ้นหน้า เธอเท้าเอวสองข้าง เงยหน้ามองเขาท่าทางขึงขัง 

“ไม่ต้องมาอวดรวยกับฉันเลยนะ เงินมันหาง่ายนักหรือไง คุณต้องเก็บใบชากี่ใบถึงจะได้เงินแต่ละบาท หรือว่าสมองไหลไปอยู่ที่ตาตุ่มหมดแล้วเลยคิดไม่ได้”

                “ด่าผมเหรอ” ภูริดลอยากจะขย้ำคนตัวเล็กให้จมเขี้ยว แสบนักนะที่เอาคำพูดของเขามาย้อนด่าเขา และที่สำคัญ เกิดมาเขาไม่เคยโดนผู้หญิงด่าเรื่องที่จะซื้อของให้มาก่อนเลย ที่ผ่านมามีแต่คนออดอ้อนอยากได้นู่น อยากได้นี่จากเขาทั้งนั้น

                “ใช่! ฉันด่าคุณ อย่ามาทำตัวรวยไร้สาระ ฉันไม่ชอบ”

                “โอเคๆ ถ้าไม่ซื้ออะไรแล้วก็กลับ”

                หญิงสาวเดินนำไปได้สองก้าวก็หันหลังกลับมาขออนุญาตสามี “ขอซื้อของในซูเปอร์หน่อยได้มั้ย ตู้เย็นที่บ้านไม่มีอะไรเหลือเลย”

                “ไปสิ” เขาตอบแล้วก็เดินนำหน้าพาไปยังซูเปอร์มาร์เกต

                “คุณชอบกินอะไร ฉันจะได้ซื้อไปทำให้กินถูก” คนเดินตามถามอย่างใส่ใจ

                “ผมกินได้หมด ซื้อของที่คุณหญิงชอบไปก็แล้วกัน”

                “ไม่ได้สิ อยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน จะซื้อแต่ของที่ฉันชอบกินคนเดียวได้ยังไง คุณชอบกินอะไร บอกมาให้ไว อย่าเรื่องมาก”

                ภูริดลยอมบอกรายการอาหารที่ตัวเองชอบเพราะรำคาญคนพูดมาก ส่วนฟ้าพราวก็ตั้งใจฟังพร้อมกับหยิบสมาร์ตโฟนออกมากดบันทึกรายการตามที่เขาบอกไปด้วยกันลืม แล้วสุดท้ายของกินทั้งรถเข็นที่หญิงสาวหยิบมาเต็มรถก็มีแต่ของชอบของสามีทั้งนั้น

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น