บทที่ 9

9

โรคประจำตัว

ยิ่งคิดสริณยาก็ยิ่งโกรธ ยิ่งเศร้า เธอกัดริมฝีปากแน่นก่อนต้องเชิดหน้าขึ้นเพราะน้ำตาทำท่าจะไหลออกมา

เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่พร่าไปด้วยหยาดน้ำตาก็พบกับดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังมองเธออยู่ เขามองเธออย่างเข้าใจ และเอื้อมมือมาตบไหล่เธอเบาๆ เพื่อปลอบใจ

สริณยารีบหันหลังให้แล้วใช้สองมือปาดน้ำตา

“ถ้ามีคนวางยาจริงๆ เห็นทีจะไม่ได้มีแต่พรินซ์ตัวเดียวที่เจ็บ ผมจะรีบกลับไปตรวจดู ถ้ายังพอช่วยเหลือได้ผมจะรีบนำพวกเขามาที่นี่”

สิ่งที่จิณณวัตรคิดจะทำมันดีงามกว่าการมายืนสาปแช่ง ด่าว่า หรือเสียใจเป็นไหนๆ สริณยารีบหันหน้ากลับมาแล้วพยักหน้า “ฉันก็จะช่วยด้วยค่ะ”

“หมอก็จะช่วย” คนจิตใจดีทั้งสามมองหน้ากันแล้วยิ้มให้กัน จากนั้นจิณณวัตรสั่งให้สริณยานำพรินซ์เข้ากระเป๋า ส่วนเขาลงไปจัดการค่าใช้จ่าย

ไม่นาน สองคนกับอีกหนึ่งตัวก็กลับไปที่เดอะพราวผับเพื่อปฏิบัติการช่วยเหลือสัตว์ในซอยนั้น

   

หมาสองตัว แมวหนึ่งตัวถูกพบอยู่ภายในซอย แต่ละตัว...แข็งไปหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่สริณยากับจิณณวัตรพอทำได้ก็คือนำซากพวกมันไปเผาที่วัด

สริณยามองจิณณวัตรอุ้มซากไร้ชีวิตของหมาและแมวที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของตนเองขึ้นรถไปทีละตัวๆ อย่างไม่รังเกียจ เธอรู้สึกว่าตนเองดูจะมองผู้ชายคนนี้ผิดไปมาก งานที่เขาทำทำให้เขาดูเป็นคนไม่ดี แต่เนื้อแท้แล้วเขากลับเป็นคนดี มีเมตตามิใช่น้อย

คนบางคนดีเฉพาะกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง ในขณะที่เมินเฉย หรือถึงขั้นใจร้ายกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่จิณณวัตรไม่ใช่คนแบบนั้น

“เธอไม่ต้องไปหรอก อยู่กับพรินซ์ที่นี่ ฉันพาพวกมันไปวัดเอง”

“ค่ะ”

“อย่าทิ้งให้พรินซ์อยู่ตัวเดียว อย่าให้อาหารที่ไม่ได้แกะใหม่ ห้ามให้พรินซ์ออกมาจากห้องแม้ว่ามันจะอาละวาดแค่ไหนก็ตาม” จิณณวัตรสั่งแล้วกวาดมองไปรอบตัวอย่างไม่ไว้วางใจ “ไม่รู้ว่าไอ้คนใจบาปมันยังวางยาเบื่อเอาไว้ตรงไหนอีกรึเปล่า”

“ค่ะ”

เมื่อได้รับคำตอบรับหนักแน่นจากพี่เลี้ยงแมวแล้ว จิณณวัตรก็ขึ้นรถแล้วขับตรงไปยังวัดที่อยู่ในละแวกนั้น ส่วนสริณยาก็รีบเดินเร็วๆ ขึ้นไปยังห้องของเจ้านายเพื่อดูแลพรินซ์

   

เกือบบ่ายสามโมงแล้วกว่าจิณณวัตรจะจัดการซากหมาและแมวไร้เจ้าของพวกนั้นเสร็จ เขาหิวเป็นบ้า หิวจนแทบจะเป็นลมเนื่องจากวันนี้ทั้งวันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

ตอนเช้าเพราะเป็นห่วงพรินซ์จึงรีบออกไป กลางวันเพราะในวัดไม่มีอะไรน่ารับประทานจึงกินไม่ลง ตอนนี้เขาหิวจนแทบจะกินหมูทั้งตัวได้

เจ้าของผับดังเดินเข้าร้านมาทางประตูหลัง เขาจงใจแวะที่ห้องครัวเพื่อสั่งอาหารก่อนแล้วจึงก้าวเท้าหมายขึ้นไปยังห้องตน

“คุณจอห์นครับ นี่เป็นลำดับการโชว์ของคืนนี้ครับ คืนนี้เรามีโชว์พิเศษรับหน้าฝน ผมว่ามันต้องตื่นเต้นแน่”

จิณณวัตรจำต้องหยุดเมื่อประภัสรายื่นแฟ้มงานส่งให้เขา ยังไม่ทันได้เปิดอ่าน ตรัณก็เดินเข้ามาเพื่อรายงานอีกเรื่อง

“การไฟฟ้ายังไม่มาซ่อมไฟที่ลานจอดรถเลยครับ ผมเลยคิดว่าเราคงต้องจัดการเรื่องไฟกันเองไปก่อน”

ใครว่าเป็นเจ้าของกิจการสบาย จิณณวัตรถอนหายใจเบาๆ ก่อนสั่งการ “เอาโคมไฟสนามที่ปักหน้าร้านไปใช้แก้ขัดก่อน ถ้าจำไม่ผิดมีอยู่สิบอันได้ คุณว่าพอไหมตรัณ”

“ถ้าปักห่างๆ ก็พอครับ อาจไม่สว่างมากแต่ก็พอทำให้ลูกค้าเห็นทาง”

“หวังว่าคืนนี้คงไม่มีลูกค้าคนไหนเมาจนทำกุญแจรถหายอีกล่ะ” จิณณวัตรพูดถึงปัญหาหยุมหยิมของเมื่อคืนก่อนที่มีลูกค้าทำกุญแจตกแล้วหาไม่เจอ ไฟที่เสาก็ดันมาเสีย เป็นเหตุให้ลูกค้าที่เมานั้นต่อว่าผับเขาไม่หยุดจนเกือบมีเรื่องกับคนรับรถ

นี่แหละผลของน้ำเปลี่ยนนิสัย พอดื่มเข้าไปทำให้สมองเหลือเท่าเมล็ดถั่วแต่ความกล้าบ้าบิ่นขยายเท่าตึกสามชั้น

สุดท้ายแล้วแม้จะหิวแทบตาย เขาก็ต้องไปทำงานในส่วนของตนเองให้เสร็จก่อน ทั้งเรื่องไฟให้ความสว่างและระบบไฟรอบเวทีที่อาจมีปัญหาได้หากโดนน้ำฝนจำลองที่จะตกบนเวทีในค่ำคืนนี้

   

เพราะจัดระบบระเบียบทุกอย่างดีพร้อม ลูกค้าที่มาเดอะพราวผับในคืนรับหน้าฝนจึงสนุกสนานและมีความสุขอย่างมาก

เหล้า มิกเซอร์ ขายดีราวกับแจกฟรี สาวๆ ได้ทิปกันเป็นกอบเป็นกำจนมาอ้อนกับเขาว่าขอให้จัดวันฝนตกแบบนี้อาทิตย์ละครั้งเลยได้หรือไม่ ซึ่งเขาก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่

สำหรับเจ้าของกิจการ อะไรที่ทำแล้วได้ผลตอบรับดีย่อมต้องอยากทำเป็นธรรมดา

เสียแต่ว่า...พวกกิจกรรมพิเศษจำพวกนี้ หากนำมาจัดบ่อยๆ ช่วงเวลาพิเศษก็จะไม่พิเศษอีกต่อไป พวกนักเที่ยวก็เป็นกลุ่มคนจำพวกขี้เบื่อเสียด้วย

ก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย จิณณวัตรเริ่มรับรู้ถึงสัญญาณเตือนจากโรคประจำตัว เขาเริ่มจุก เสียดท้อง แม้อาการยังไม่หนักถึงขนาดยืนตัวตรงไม่ได้ แต่เมื่อเริ่มมีอาการเหล่านี้แล้วเขาก็รับรู้ว่าคืนนี้เขาต้องทรมานไปอีกนานแน่

ชายหนุ่มรีบฝากงานเอาไว้กับตรัณก่อนเดินขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อพักผ่อน เขารอช้ากว่านี้ไม่ได้ เพราะหากยังฝืนทนต่อไป ทุกคนคงได้เห็นเขาตอนอ่อนแอ

เขาอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้หรอก เสียการควบคุมหมด!

เจ้าของเดอะพราวผับขึ้นเชื่อเรื่องความเนี้ยบ แข็งกร้าว จัดการทุกเรื่องแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม หากเกิดมีใครเห็นเขานอนบิด ครวญครางเพราะโรคกระเพาะ นอกจากจะไม่สงสารแล้วยังอาจสมน้ำหน้าอีก

ชายหนุ่มก้าวขึ้นมาถึงชั้นสามของร้านอย่างไม่ยากเย็นนัก ทว่าพอพ้นสายตาคน สีหน้าเขาเหยเกจนปิดไม่มิด มือข้างหนึ่งของเขากุมท้อง ส่วนอีกข้างยันผนังเอาไว้ เขาหลับตาปี๋แล้วรอ รอจนกว่าระลอกคลื่นแห่งความเจ็บปวดจะคลายลงจึงเดินต่อได้

ทั้งๆ ที่พยายามปกปิดอาการ ไม่อยากให้ใครเห็นตอนอ่อนแอ แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเขา ขณะกำลังยืนตัวงออยู่หน้าประตูห้อง ประตูห้องของเขาก็เปิดออก จิณณวัตรรีบยืดตัวขึ้นมาแล้วพบว่า คนที่เดินออกมาจากห้องเขานั้นคือสริณยา

“อ้าว มีอะไรเหรอคะ” สริณยาถามเนื่องจากปกติแล้วเจ้านายจะไม่ขึ้นมายังห้องในช่วงกลางดึกเลย

“ไม่มี” จิณณวัตรกลั้นใจตอบแล้วพยายามอย่างที่สุดที่จะทำตัวเป็นปกติ “เธอกลับไปเถอะ”

“ค่ะ” สริณยารับคำก่อนเดินออกจากห้องโดยแง้มประตูไว้ ไม่ปิดสนิทเพราะคาดว่าเจ้านายคงจะเข้าไปในห้อง เธอยิ้มให้เขาอย่างมีไมตรีแล้วค้อมตัวนิดๆ เมื่อเดินผ่านเขา

พอเห็นสริณยาเดินจากไปโดยไม่มีทีท่าสงสัยอะไร สีหน้าจิณณวัตรก็แย่ลงอีก ร่างที่ยืนตรงคู้ตัวลงอีกเมื่อความเจ็บปวดระลอกใหม่มาเยือน

“เอ๊ะ นั่นคุณเป็นอะไรคะ”

ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้ใครรู้แท้ๆ ว่าเขากำลังอ่อนแอ แต่กลับมีคนรู้เข้าจนได้ และตอนนี้จิณณวัตรก็ปวดเสียจนไม่อาจซ่อนสีหน้าหลอกคนอื่นว่าเขาไม่เป็นอะไรได้อีกต่อไป

หน้าผากชายหนุ่มมีเหงื่อเป็นเม็ดผุดขึ้นมา ฟันเขาขบริมฝีปากจนเจ็บ ทว่าความเจ็บใดๆ ล้วนไม่เท่าความเจ็บที่ท้องในเวลานี้ เขาเจ็บจนแทบก้าวขาไม่ไหว เจ็บจนอยากล้มตัวลงนอนกลิ้ง

เขาคิดจะทิ้งตัวลงกับพื้นแล้วจริงๆ หากแขนเขาไม่ถูกสริณยาคว้าเอาไว้ก่อน

“คุณเป็นอะไรคะ ไหวไหม” ปากถาม มือก็ช่วยพยุงร่างเขาเอาไว้อย่างทุลักทุเล ทว่าในที่สุด เธอก็พาเขาเข้าไปในห้องได้

พอพ้นสายตาคน เข่าข้างหนึ่งของจิณณวัตรก็อ่อนลงเสียเฉยๆ และผู้หญิงแรงเท่ามดแบบสริณยาก็รั้งตัวเขาเอาไว้ไม่ไหว ร่างสูงใหญ่จึงล้มตัวงออยู่กับพื้นหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่นั่นเอง

“ตายแล้ว! คุณจอห์นคะ คุณเป็นยังไงบ้าง ไหวไหมคะ ฉัน...ฉันจะลงไปตามคนมาช่วยนะคะ”

ทันทีที่ได้ยินว่าเธอจะลงไปตามคนให้มาเห็นสภาพที่น่าทุเรศของเขา จิณณวัตรก็รีบเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับการใช้มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือสริณยาเอาไว้ เสียงเขาเบา เบาอย่างยิ่งเมื่อสั่ง 

“อย่า...”

“อะไรนะคะ” สริณยาที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างเขาดูเหมือนจะฟังสิ่งที่เขาพูดไม่รู้เรื่อง เธอพยายามโน้มตัวลงมาจนหูใกล้ปากเขา ทำให้เขาจำต้องข่มความเจ็บสั่งออกมาอีก

“อย่าไป อย่าให้ใครรู้”

เพราะหูเธออยู่ใกล้ปากเขาแค่คืบ คราวนี้สริณยาจึงได้ยินเสียงเบาๆ ขาดเป็นห้วงๆ ของเจ้านายได้ค่อนข้างชัด “ทำไมล่ะคะ คุณเจ็บมาก”

“เดี๋ยว...ก็หาย”

สิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมาไม่ได้ทำให้หญิงสาวเชื่อได้เลย ท่าทางเขาดูแย่มาก นอนตัวงออยู่บนพื้น เหงื่อออกที่หน้าผาก มันจะเป็นอะไรได้ หรือว่า...

“ไส้ติ่ง! ไส้ติ่งคุณอาจจะอักเสบก็ได้นะคะ คุณต้องรีบไปโรงพยาบาล”

จิณณวัตรไม่เคยรู้สึกรำคาญและอยากถีบผู้หญิงคนไหนมากเท่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาคนนี้มาก่อนเลย เธอถามๆ พูดๆ อยู่ได้ นี่เธอดูแล้วไม่รู้หรืออย่างไรว่าสภาพเขาในตอนนี้ไม่มีอารมณ์มาตอบคำถามสารพันของเธอ!

“ไม่ใช่ไส้ติ่ง!”

“คุณรู้ได้ไงคะ คุณเป็นหมอเหรอ”

โอ๊ย! ยายผู้หญิงน่ารำคาญนี่ 

“เธอก็ไม่ใช่หมอเหมือนกัน!” รำคาญนักจิณณวัตรก็ตวาดออกไป

เออ...พอได้ตวาดออกไปแล้วอาการปวดจนอยากดิ้นตายก็คล้ายกับจะทุเลาลงหน่อย ก็เหมือนทุกครั้ง หากได้นอนกลิ้งร้องครวญครางจนหมดเรี่ยวหมดแรงแล้วนอนหลับไปสักตื่น อาการก็จะดีขึ้นเอง

เมื่อความเจ็บลดน้อยลงไป คนที่นอนอยู่กับพื้นก็ค่อยๆ ยันตัวขึ้นมาโดยคนที่ถูกตวาดไปเมื่อครู่ไม่ถือสา รีบเข้ามาช่วยประคองเขาทันที

จิณณวัตรเหลือบมองคนที่ช่วยพยุงเขาให้ลุกจากพื้นด้วยแรงทั้งหมดของเธอ สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเขาอย่างจริงใจ

“ไปนอนที่เตียงก่อนเถอะค่ะ”

เพราะเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอเสนอ จิณณวัตรจึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขากัดฟันเดินไปจนถึงเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน

ยังไม่ทันได้ขยับตัวให้นอนสบายขึ้น เขาก็รู้สึกได้ว่ารองเท้าเขาถูกถอดออก เขาพลิกตัวจากการนอนคว่ำมาเป็นนอนตะแคง ดึงขาหนีจากมือเธอแล้วบอก

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

“ฉันทำให้เร็วกว่าค่ะ คุณป่วยขนาดนี้นอนนิ่งๆ จะดีกว่า”

“ฉัน...”

คำปฏิเสธยังพูดไปไม่ทันจบ รองเท้าอีกข้างของเขาก็ถูกถอดออกจากเท้า ต่อจากนั้นสริณยายังถอดถุงเท้าให้อย่างไม่รังเกียจอีก

เขาจ้องผู้หญิงที่ดูแลเขาทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่คำสั่ง ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ไม่เคยมีใครใส่ใจเขาแบบนี้มานานแล้ว

“อื้อ...” อารมณ์แปลกถูกปัดออกไปจากหัวใจเมื่อความเจ็บปวดเข้ามาเยือนอีกครั้ง ตอนนี้จิณณวัตรนอนอยู่บนเตียง เขาจึงกลิ้งไปกลิ้งมา ร้องคราง เพื่อคลายความเจ็บอย่างที่เคยทำได้สะดวก

ตอนนี้เขาไม่อายแล้วว่าใครจะเห็นความอ่อนแอของเขา เพราะความทรมานมันมีมากกว่า

สริณยายืนมองเจ้านายที่งอตัวกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดอยู่หลายรอบ เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่ที่แน่ใจคือเขาต้องปวดท้องอย่างมาก

คนปวดท้องทำอย่างไรจึงจะหาย หญิงสาวคิดวุ่นวายก่อนตัดสินใจเดินไปที่กระเป๋าของตัวเองที่มียาพาราเซตามอลสองเม็ดติดเอาไว้เสมอ

เธอนำยาและน้ำมาให้ยื่นให้คนที่นอนตะแคงข้างตัวงอ “ฉันมีพาราค่ะ”

จิณณวัตรเปิดเปลือกตามองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่างเตียง อยากขำ แต่ไม่มีแรง “ช่วยไม่ได้หรอก”

“แล้วทำยังไงคุณจะหายคะ บอกให้ไปหาหมอก็ไม่ไป” ประโยคสุดท้ายเธอบ่นพร้อมทำหน้ามุ่ย

“ฉันเป็นโรคกระเพาะ รักษาตัวอยู่ วันนี้ยุ่งๆ เลยไม่ได้กินข้าว อาการเลยกำเริบ ไม่เป็นไร มันปวดแล้วมันก็หายเอง”

มันแปลก...แต่จริง คนรวยมักเป็นโรคกระเพาะเนื่องจากทำงานหนักเสียจนบางทีก็ลืมเวลากินข้าว เจ้านายคนเก่าของเธอก็ดูเหมือนจะเป็นโรคนี้ แต่แน่นอน อาการไม่หนักจนน่ากลัวแบบเจ้านายใหม่คนนี้

ตอนเจ้านายเก่าเธอปวดท้องเขาทำอย่างไรหนอ...อ๋อ!

เมื่อจำได้แล้วว่าเธอเคยได้รับคำสั่งให้ทำอะไร สริณยาก็รีบลุกแล้ววิ่งไปยังตู้เย็น เธอวางยาที่ถืออยู่เอาไว้บนหลังตู้เย็นขนาดเล็กก่อนคว้านมขวดหนึ่งออกมา

คนเป็นโรคกระเพาะส่วนมากมักจะมีนมเอาไว้ในตู้เย็นเสมอ เพราะนมเป็นสิ่งที่กินง่ายสุด ลงไปเคลือบกระเพาะได้เร็วสุด

สริณยารีบเทนมลงแก้วกาแฟ จากนั้นเอานมเข้าไมโครเวฟซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ ตู้เย็น เธออุ่นนมจนได้ที่แล้วรีบนำแก้วนมไปส่งให้จิณณวัตร

“นมอุ่นๆ ค่ะ ฉันเคยได้ยินว่ามันช่วยได้นะคะ”

คราวนี้คนที่ปฏิเสธไม่ไปโรงพยาบาลไม่ยอมให้เธอลงไปตามคนมาช่วย ยันตัวขึ้นมานั่งก่อนรับแก้วนมไปแต่โดยดี แล้วจิบนมเข้าไปช้าๆ จนหมดแก้ว

เห็นแบบนั้นสริณยาก็ยิ้มออก “อีกสักแก้วไหมคะ”

“พอก่อน” จิณณวัตรส่งแก้วคืนให้สริณยาแล้วทิ้งตัวลงนอนขดอีกหน อาการปวดยังรบกวนเขาอยู่ ไม่ได้หายไปในทันทีหลังจากดื่มนมหรอก มันยังอยู่อีกพัก เขารู้

“คุณอยากได้อะไรอีกไหมคะ” ใจสริณยาคิดถึงกระเป๋าน้ำร้อน ตอนเธอปวดท้อง...เอ่อ...แม้จะปวดท้องคนละสาเหตุกับที่เขาปวด แต่ได้กอดกระเป๋าน้ำร้อนแล้วเธอรู้สึกดีมากจริงๆ 

“ไม่” คนที่นอนหลับตาราวเหนื่อยอ่อนพูดเสียงเบา “ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบคุณมาก นอนสักตื่นก็หาย เธอกลับไปเถอะ”

สริณยามองสภาพคนที่ไล่เธอกลับอย่างเป็นห่วง เธอไม่รู้ว่าหลังผับปิดตึกหลังนี้มีใครอยู่บ้าง เธอรู้เพียงหากทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวในสภาพแบบนี้คงไม่ดีเท่าใดนัก

“กลับก็ได้ค่ะ แต่คุณต้องให้ใครสักคนขึ้นมาดูแลนะคะ”

“ฉันไม่เป็นไร”

“มีใครที่คุณไว้ใจบ้างคะ เฮียลี่ คุณตรัณ” สองคนที่สริณยาพูดถึงดูจะเป็นคนที่ใกล้ชิดจิณณวัตรมากที่สุด แต่...ใกล้ชิดก็ใช่ว่าจะดูแลเขายามป่วยได้

“ไม่มีสักคน”

คำตอบที่ได้ยินทำสริณยาสะท้อนใจ เธออยู่ในห้องของเขาทุกวันมาเป็นเดือนแล้ว แม้เธอจะไม่สอดรู้สอดเห็น ก็ยังเห็นทุกอย่างในห้องเขา ทำให้พอรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาอยู่บ้าง

ห้องเล็กๆ ที่แบ่งสัดส่วนเป็นทั้งห้องทำงานและห้องนอนนี้ไม่มีของกระจุกกระจิก เขามีแฟ้มที่น่าจะเกี่ยวกับธุรกิจของเขาวางอยู่เป็นแถวในตู้เก็บเอกสารข้างโต๊ะทำงาน มีนิตยสารเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารต่างๆ วางไว้บนพื้นข้างโซฟา หนังสือเกี่ยวกับแมววางอยู่บนเตียงข้างหมอน

ทุกสิ่งที่เอ่ยถึงล้วนบ่งบอกถึงตัวเขา แฟ้มที่เรียงอยู่ในตู้บอกว่าเขาเป็นคนมีระเบียบ นิตยสารท่องเที่ยวและหนังสือเกี่ยวกับแมวชี้ให้เห็นความสนใจ แต่...น่าแปลกที่ไม่มีอะไรสักอย่างบอกให้เธอรู้เกี่ยวกับครอบครัว คนรัก หรือกระทั่งเพื่อนของเขา

ไม่มีกรอบรูป ไม่มีภาพสักใบ จริงๆ กระทั่งรูปของตัวเองก็ยังไม่มี ทำไม...หรือเพราะเขาไม่มีครอบครัว ไม่มีคนรัก ไม่รักแม้กระทั่งตัวเอง

สริณยาเกือบถอนหายใจเพราะเรื่องที่ตนคิดดูท่าว่าจะเป็นจริง คนรักตัวเองหากเจ็บป่วยก็ต้องไปหาหมอสิ ไม่มีหรอกที่จะไม่หาหมอ ไม่บอกให้ใครรู้ แบบนี้ถ้าเกิดเขาเจ็บหนักแล้วปากหนักแบบนี้ มีหวังคงต้องตายสถานเดียว

“ถ้าอย่างนั้นฉันคงไปไม่ได้ ขืนฉันทิ้งคุณไว้แล้วคุณเป็นอะไรขึ้นมา ฉันคงรู้สึกบาปไปตลอดชีวิตแน่”

คนป่วยลืมตาขึ้นมองเธออีก คราวนี้เขามองนิ่งๆ อยู่พักหนึ่งก่อนพูดคำว่า “ขอบคุณ” ออกมา

   

จิณณวัตรตื่นขึ้นมาในวันนี้เพราะเสียงพูดของผู้หญิงคนหนึ่งกับเสียงที่มักจะปลุกให้เขาตื่นเป็นประจำ...เสียงร้องของพรินซ์

“ชู่...อย่าร้องสิพรินซ์ นี่เพิ่งตีสี่ แกจะร้องทำไมฮะ เห็นไหมว่าเจ้านายแกป่วย ต้องการพักผ่อน ต้องการความเงียบสงบ เข้าใจไหม เงียบๆ น่ะ”

ดูเหมือนพรินซ์จะไม่เข้าใจเพราะเสียงร้องม้าวๆ ดังแทรกเสียงของผู้หญิงคนนั้นแทบทุกประโยค

ชายหนุ่มที่ตื่นแล้วแต่ยังนอนหลับตานิ่งค่อยๆ สำรวจตนเอง เขาพบว่าอาการปวดท้องยังหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ไม่หนักหนาอะไรแล้ว รับรู้ดังนั้นเขาจึงสะบัดผ้าห่มออกจากกายแล้วลุกขึ้นนั่ง

พรินซ์เห็นเขาตื่นแล้วก็มองเขาด้วยตาโตๆ คู่นั้น ร้องทัก วิ่งผ่านสริณยาที่นั่งหันหลังให้เตียงมาหาทาสของมัน

“พรินซ์! บอกแล้วว่า...” สริณยายังบ่นแมวไม่จบ แต่พอหันหน้ามาแล้วพบว่าจิณณวัตรลุกขึ้นมานั่ง แถมยื่นมือทั้งสองข้างมาข้างหน้า เรียกพรินซ์ให้กระโดดขึ้นไปนั่งบนตักเหมือนเคยได้แล้วเธอก็ยิ้ม โล่งใจ

“คุณตื่นแล้ว เป็นยังไงบ้างคะ”

“หิว”

เมื่อจิณณวัตรตอบเช่นนั้นสริณยาก็รีบลุกขึ้นมาจากพื้น “ฉันสั่งให้แม่ขำทำโจ๊กเอาไว้ให้คุณค่ะ เดี๋ยวฉันอุ่นให้นะคะ”

“ฉันบอกแล้วว่าไม่ให้บอกใครเรื่องฉันป่วย”

สริณยาที่กำลังเดินไปเปิดตู้เย็นชะงักเท้า ปกติเวลาป่วยแล้วมีใครสักคนคอยดูแล คนปกติเขาจะต้องดีใจ ซาบซึ้งใจไม่ใช่เหรอ

“จริงๆ พอคุณขึ้นมานอนก่อนเวลาปิดร้าน ทุกคนก็รู้แล้วค่ะว่าคุณป่วย”

ความจริงที่เธอบอกทำให้คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยแต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว

“มีคนถามฉันว่าคุณป่วยเป็นอะไร ฉันก็บอกว่าเป็นไข้ธรรมดา ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ก็หาย”

จิณณวัตรลูบขนพรินซ์แล้วคิดตามสิ่งที่สริณยาบอก ความผิดปกติของเขานั้นแม้พยายามซ่อนแล้วก็ไม่พ้นสินะ แต่จะอย่างไรก็ยังดีที่ไม่มีคนเห็นเขาในสภาพน่าอนาถ

“แล้ว...คุณจะกินโจ๊กไหมคะ”

“กินสิ”

   

แม้จิณณวัตรจะเดินตัวงอเล็กน้อย ทว่าสีหน้าก็ไม่มีอาการเจ็บปวดอีกแล้ว สริณยาสังเกตอาการของเขาอย่างละเอียดก็พบว่า ถึงเขาจะยังไม่หายดี แต่ดูเหมือนอาการจะดีขึ้นแล้วจริงๆ 

“ซอส”

“คะ?” เพราะมัวแต่สังเกตอาการเขา สริณยาจึงไม่ทันได้ฟังสิ่งที่เขาพูดจึงต้องถามซ้ำ

“ขอซอสกับพริกไทยด้วย วางอยู่บนไมโครเวฟ”

“อ้อ” สริณยาขานรับก่อนเดินไปหยิบสิ่งที่เขาต้องการมาวางเอาไว้บนโต๊ะอาหาร

หญิงสาวเห็นเจ้านายปรุงรสโจ๊กจนพอใจ ก่อนกินอย่างเชื่องช้ากว่าปกติ เธอรู้ว่าขณะกินไม่ควรถามซอกแซกจึงหันไปหาพรินซ์ที่นอนอยู่บนพื้นข้างเท้านายของมัน

เธอหยิบเอาไม้พู่ของเล่นชิ้นโปรดของพรินซ์มาซ่อนเอาไว้ข้างหลัง ก่อนขยับไม้ให้พู่สีสดไหว ดวงตาแมวอ้วนจ้องของเล่นชิ้นโปรดเขม็ง หางเริ่มขยับตีพื้นเป็นจังหวะ และเมื่อสริณยาวาดไม้มาด้านหน้าแล้วส่ายเร็วๆ ใบหน้ากลมก็สั่นระริกเนื่องจากพรินซ์พยายามจ้องพู่ซึ่งไหวยั่วตาไม่กะพริบ

เห็นแมวอ้วนทำท่าตลกแบบนั้น ทั้งเจ้าของทั้งพี่เลี้ยงที่มองพรินซ์อยู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน

เสียงหัวเราะของกันและกันทำให้เขากับเธอมองหน้ากัน ยิ้มให้กันอย่างไม่รู้ตัว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น