บทที่ 1
Take Care
ผู้ใดอดทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอดพ้นได้
พระคัมภีร์ไบเบิล
แปดชั่วโมงก่อนเกิดเหตุจี้เครื่องบิน วันที่ 5 มิถุนายน เวลา 22:00 น. ตามเขตเวลาตะวันออก สหรัฐอเมริกา
เครื่องบินสายการบินแพนอเมริกาเตรียมมุ่งหน้าจากบอสตันไปยังเหิงเฉิง เคาน์เตอร์เปิดเช็กอิน ผู้โดยสารทยอยเตรียมขึ้นเครื่อง
เซิ่งเจาซีซื้อที่นั่งชั้นเฟิสต์คลาส จึงได้สิทธิ์ขึ้นเครื่องก่อน ตอนที่เธอขึ้นมาบนเครื่อง ในห้องโดยสารมีผู้โดยสารนั่งอยู่เพียงคนหรือสองคนเท่านั้น
ที่นั่งของเธอคือหมายเลข 1B ที่นั่ง 1A ริมหน้าต่างมีชายคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าของเขาถูกบังไว้หลังแผ่นกระดาษ เห็นเพียงแจ็กเกตสูทสีดำ กับขาท่อนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากชายกางเกงสูท ผิวของชายคนนั้นขาวมาก ส่วนเท้าสวมรองเท้าออกซ์ฟอร์ดที่ตัดเย็บอย่างประณีต แต่งตัวสไตล์อังกฤษขนานแท้
ที่นั่งชั้นเฟิสต์คลาสพื้นที่กว้างมาก แต่เขานั่งตัวตรงแหน็ว ยิ่งขับเน้นให้เห็นรูปร่างสูงเพรียวงามสง่า ขาเรียวยาวทั้งสองยกขึ้นไขว่ห้างอย่างเหมาะเจาะ ดูผ่อนคลายแต่แฝงไว้ด้วยความมีวินัย เธอเดาว่าเขาคงเป็นคนยุโรป
เธอต้องสะสางงานให้เสร็จก่อนออกเดินทาง สองวันที่ผ่านมาเซิ่งเจาซีจึงแทบไม่ได้ประกบตาปิด พอวางสัมภาระเสร็จเธอก็ขอผ้าห่มจากแอร์โฮสเตสและปรับเก้าอี้เอนเตรียมตัวนอน คิดว่าถ้าได้นอนยาวตลอดทางจนถึงเหิงเฉิง ก็น่าจะพอชดเชยการอดนอนสองคืนที่ผ่านมาได้
เครื่องไม่ทันออกเธอก็ชิงหลับก่อนแล้ว เสียงดนตรีจากหูฟังตัดเสียงจากภายนอกได้ชะงัด หญิงสาวไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าใด จังหวะหนึ่งที่พลิกตัวระหว่างหลับ หูฟังข้างซ้ายบังเอิญหล่นลงไปที่พื้น
เธอได้ยินเสียงน่าฟังของชายคนหนึ่งแว่วอยู่ข้างหู “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ ให้เขานอนไปเถอะครับ เดี๋ยวผมดูแลเอง”
สำเนียงบริทิชเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว เป็นคนอังกฤษจริงอย่างที่คิด ความคิดนี้แวบเข้ามาในสมองก่อนเซิ่งเจาซีจะดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง คราวนี้หลับลึกยิ่งกว่าตอนแรก
หนึ่งชั่วโมงก่อนเหตุจี้เครื่องบิน วันที่ 6 มิถุนายน เวลา 05:00 น. เซิ่งเจาซีสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน
เวลานี้แสงไฟในห้องโดยสารมืดมาก แต่ไฟอ่านหนังสือตรงที่นั่งข้างเธอยังเปิดสว่าง ใบหน้าของอีกฝ่ายถูกบังอยู่ด้านหลังแผงกั้น เธอจึงเห็นเพียงคัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาอังกฤษที่วางอยู่เหนือตักของเขา ท่ามกลางความมืดอันสงัดเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจเบาแผ่วกับเสียงพลิกหน้าหนังสือของเขา
เซิ่งเจาซีได้กลิ่นไวน์แดงจางๆ ลอยมาในอากาศ เธอเป็นคนจมูกไวมาแต่ไหนแต่ไร พอหันไปจึงเห็นว่าถาดวางของตรงที่นั่งด้านข้างมีไวน์แก้วหนึ่งวางอยู่จริงดังคาด หญิงสาวมองของเหลวสีแดงเข้มภายในแก้วใสพลางกลืนน้ำลาย ชักรู้สึกหิวน้ำขึ้นมานิดหน่อย
เซิ่งเจาซีหันไปจะกดปุ่มเรียกพนักงาน จึงสังเกตเห็นว่ามีคนกดเปิดไฟ ‘กรุณาอย่ารบกวน’ ตรงที่นั่งของเธอ มิน่าเมื่อครู่แอร์โฮสเตสถึงไม่ปลุกเธอตอนเสิร์ฟอาหาร
เธอเดาว่าน่าจะเป็นผู้ชายที่นั่งด้านข้าง หญิงสาวพึมพำเสียงเบาว่า “Thank you” แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือไม่
แอร์โฮสเตสยกไวน์แดงแก้วหนึ่งมาเสิร์ฟ เซิ่งเจาซียกดื่มรวดเดียวหมด เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่ศึกษาเรื่องไวน์อย่างลึกซึ้ง เธอแค่ชอบดื่ม ทุกวันก่อนนอนต้องจิบแอลกอฮอล์เสียหน่อยถึงจะนอนหลับ เป็นนิสัยแย่ๆ ที่เธอบ่มเพาะให้ตัวเองตั้งแต่หกปีก่อน
กลับบ้านเกิดครั้งนี้ ถ้าเธอเจอเขาคนนั้น เธอขอลั่นสาบานว่าจะตบบ้องหูเขาแรงๆ ให้สาแก่ใจ หลังจากนั้นก็จะเลิกนิสัยขี้เหล้าของตัวเองซะ
ผ่านไปพักหนึ่ง หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ ตอนเดินออกมาบังเอิญชนเข้ากับชายคนหนึ่ง รูปร่างเขาสูงใหญ่และบึกบึนมาก แต่กลับเดินถือไม้เท้า
เธอได้กลิ่นแปลกๆ จากร่างของชายคนนั้น ผมม้าของเขายาวปรกดวงตาทำให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่เดาว่าเป็นคนจีน ตอนที่เดินชนเซิ่งเจาซี เขาใช้มือข้างหนึ่งเท้าผนังพยุงตัว เผยให้เห็นลายสักรูปงูที่ข้อมือ อีกฝ่ายไม่ขอโทษ และเดินผ่านเธอเข้าไปในห้องน้ำทันที
พอเซิ่งเจาซีกลับมาถึงที่นั่งของตัวเองก็สั่งแชมเปญมาดื่มอีกแก้ว ในเวลาเดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงแอร์โฮสเตสบ่นอยู่ในห้องครัวว่าหาเหล้าไม่เจอ เธอหันไปกวาดตาสำรวจห้องโดยสารชั้นเฟิสต์คลาส ผู้โดยสารนั่งเต็มทั้งแปดที่นั่ง นอกจากเธอแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มชาวจีนอีกคนนั่งอยู่แถวหนึ่งถัดจากห้องน้ำ ดูจากหน้าตาเดาว่าอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด เขากำลังก้มหน้าเล่นอะไรอยู่ในมืออย่างใจจดใจจ่อ แต่เธอไม่เห็นชายที่เดินชนเธอตรงหน้าห้องน้ำเมื่อครู่
ห้องน้ำชั้นเฟิสต์คลาสเป็นห้องน้ำแยก บริการเฉพาะผู้โดยสารในชั้นนี้ และมีม่านกั้นระหว่างห้องน้ำกับห้องโดยสารชั้นธุรกิจ ผู้ชายคนเมื่อครู่น่าจะแอบเดินเข้ามาจากชั้นธุรกิจตอนที่แอร์โฮสเตสไม่ทันสังเกต
ห้องน้ำในชั้นธุรกิจอาจจะเต็ม ผู้โดยสารอยากประหยัดเวลาจึงแอบเข้ามาใช้ห้องน้ำตรงนี้ ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อย
เซิ่งเจาซีไม่อยากสนใจอะไรมาก แต่พอเอนตัวลงนอนกลับไม่อาจข่มตาหลับ เธอรู้สึกร้อนใจและฟุ้งซ่านอย่างบอกไม่ถูก สังหรณ์ใจคล้ายจะเกิดเหตุร้าย
ชายที่นั่งข้างเธอกำลังสวดภาวนาตอนเช้า ได้ยินเสียงเขาพึมพำบทข้าแต่พระบิดาอย่างแผ่วเบา
“ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์...ตลอดนิรันดร อาเมน!”
เซิ่งเจาซีไม่นับถือศาสนาใดๆ แต่ความศรัทธาในน้ำเสียงของเขาทำให้จิตใจเธอรู้สึกสงบอย่างมาก เธอหลับตาฟังเสียงสวดภาวนาของเขา รู้สึกราวกับร่างกายและจิตใจได้รับการชำระบาป
ความสงัดเงียบทำให้สมองปลอดโปร่ง หญิงสาวฉุกคิดได้ว่ากลิ่นประหลาดเมื่อครู่คือกลิ่นอะไร
เธอเรียกแอร์โฮสเตสมาและบอกว่า “ในห้องน้ำเหมือนจะมีผู้โดยสารที่ไม่สบายนะคะ เขาเข้าไปตั้งนานแล้วยังไม่ออกมาเลย รบกวนคุณช่วยไปดูให้หน่อยได้ไหมคะ”
สิบนาทีก่อนเหตุจี้เครื่องบิน วันที่ 6 มิถุนายน เวลา 05.50 น. แอร์โฮสเตสเคาะประตูห้องน้ำ
“อ๊า!”
เสียงกรีดร้องแหลมลั่นอย่างเจ็บปวดแว่วมาจากประตูห้องน้ำ แอร์โฮสเตสนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น ชายสวมหน้ากากคนหนึ่งถือมีดเหยียบบนร่างของเธอแล้วพุ่งตรงไปที่ห้องนักบินอย่างรวดเร็ว จริงดังคาด เขาคือชายที่ถือไม้เท้าอยู่เมื่อครู่ เขาแอบซ่อนมีดไว้ในโพรงกลวงตรงกลางไม้เท้าและนำขึ้นมาบนเครื่อง
ตำรวจอากาศอเมริกาตัวสูงเกือบสองเมตรซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าสุดลุกขึ้นยืน เซิ่งเจาซีไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าสถานการณ์จะพลิกผันอีกรอบ ตำรวจอากาศใส่รหัสเปิดประตูให้เพื่อนร่วมขบวนการ ทั้งยังติดต่อกัปตันในห้องนักบินและหลอกให้เขาเปิดประตูรักษาความปลอดภัยทั้งสองชั้น
คนร้ายพุ่งตรงเข้าไปในห้องนักบินอย่างง่ายดายและสังหารผู้ช่วยนักบินทันที กัปตันถูกจับเป็นตัวประกัน ส่วนตำรวจอากาศซึ่งเป็นหนอนบ่อนไส้ทำหน้าที่ดูต้นทาง ตรวจตราสถานการณ์ในห้องโดยสารชั้นเฟิสต์คลาส
ในเวลาเดียวกันก็เริ่มเกิดความชุลมุนในห้องโดยสารชั้นธุรกิจ แม้ว่ามีผ้าม่านบังอยู่ทำให้ไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เดาได้ไม่ยากว่าพวกมันต้องมีเพื่อนร่วมขบวนการคนอื่นอยู่ที่ชั้นธุรกิจด้วย
ชายคนร้ายใช้ภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ ประกาศผ่านเสียงตามสายว่า “พวกเรายึดเครื่องบินลำนี้ไว้แล้ว! พวกเรามีปืน และมีระเบิดด้วย ทุกคนต้องทำตามคำสั่งของพวกเรา อย่าคิดตุกติก! ไม่งั้นก็ตายไปพร้อมกันเนี่ยแหละ!”
เสียงกรีดร้องและร่ำไห้ของฝูงชนดังขึ้นเป็นระลอก ทุกคนต่างหวาดวิตกเรื่องความปลอดภัยในชีวิตของตัวเอง
แอร์โฮสเตสที่ได้รับบาดเจ็บมีเลือดออกมาก เธอร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดอยู่กับพื้น
เซิ่งเจาซีลองใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับตำรวจอากาศคนนั้น “คุณคะ ฉันเป็นพยาบาล กรุณาอนุญาตให้ฉันเข้าไปช่วยทำแผลให้แอร์โฮสเตสคนนั้นเถอะนะคะ”
“ไม่ นั่งลง!” ตำรวจอากาศปฏิเสธอย่างเฉียบขาด ทั้งยังชักปืนออกมาชี้หน้าเธอด้วย
เซิ่งเจาซียกมือทั้งสองเหนือหัวแล้วนั่งลงอย่างว่าง่าย
ผู้โดยสารตรงที่นั่ง 1A ด้านข้างเธอลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วพูดว่า “คุณเจสันครับ ได้โปรดเถอะนะครับ แอร์โฮสเตสคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เป้าหมายของพวกคุณไม่ใช่การฆ่าทุกคนเสียหน่อย จริงไหมครับ”
ตอนนี้เองเซิ่งเจาซีถึงเห็นว่าชายที่นั่งข้างเธอเป็นคนเอเชีย เครื่องหน้าของเขาไม่นับว่าคมเข้มโดดเด่น แต่สิ่งที่กินขาดคือบุคลิกและความสง่างาม นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นอบอุ่นและใสกระจ่าง ตาชั้นเดียว มุมข้างตาขวามีไฝเล็กจิ๋วเม็ดหนึ่ง แต่ถูกกรอบแว่นโลหะบังไว้อยู่ ทำให้มองแทบไม่ออก
ตำรวจอากาศที่มีชื่อว่าเจสันคนนั้นยกมือขึ้นปิดป้ายชื่อบนเครื่องแบบของตัวเองโดยอัตโนมัติ เขาหันกลับไปมองแอร์โฮสเตสที่นอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น เมื่อครู่เธอคือคนที่เดินมาเติมน้ำส้มให้เขา เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็เริ่มลังเล
“เธอไปช่วยเขาทำแผลให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับมานั่ง อย่าได้คิดเล่นลูกไม้อะไรกับฉัน! ไม่งั้นเธอถูกยิงตายคาที่แน่” เจสันพูดพลางใช้ปืนจ่อเซิ่งเจาซี
เธอหยิบผ้าเช็ดปากที่วางอยู่ข้างตัวแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาแอร์โฮสเตสที่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นช่วยผูกปากแผลห้ามเลือดให้ พอแอร์โฮสเตสอีกคนหนึ่งเห็นก็หยิบกล่องปฐมพยาบาลเข้ามาช่วยอย่างระมัดระวัง ทั้งสองช่วยกันนำตัวผู้บาดเจ็บไปไว้ที่ห้องครัว และแจ้งให้ศูนย์ควบคุมการบินทราบข่าว
วันที่ 6 มิถุนายน เวลา 06.00 น. เลข 666 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของซาตาน เที่ยวบิน CT9872 ของสายการบินแพนอเมริกาประสบเหตุจี้เครื่องบิน
ทันทีที่คนร้ายบุกเข้าไปถึงห้องนักบินก็สังหารผู้ช่วยนักบินทันที เหลือไว้เพียงกัปตันซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นคนเชื้อสายจีน เขาลองพูดประโยคหนึ่ง ปรากฏว่าอีกฝ่ายพูดภาษาจีนได้จริงดังที่คาด แบบนี้ค่อยสื่อสารคล่องตัวขึ้นหน่อย
เขาเทเหล้าทั้งขวดลงบนแผงควบคุมนักบิน แล้วหยิบไฟแช็กขึ้นมาข่มขู่กัปตันให้เปลี่ยนเส้นทางวกกลับไปยังเมืองแคนคูน เม็กซิโก และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินเตรียมเงินสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรถหนึ่งคัน ทั้งยังเรียกร้องให้รัฐบาลเม็กซิโกปล่อยตัวนักโทษสัญชาติเวียดนามชื่อ โจว เทน ที่ถูกตำรวจเม็กซิกันจับกุมตัวในข้อหาลักพาตัว ฆาตกรรม และค้ามนุษย์ หากไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องจะเผาทำลายห้องนักบิน ให้ผู้โดยสารทั้งหมดตายไปพร้อมเครื่องบินลำนี้
กัปตันอ้างว่าน้ำมันเหลือไม่พอให้บินกลับเม็กซิโก และขอร้องให้บินลงจอดเพื่อเติมน้ำมันก่อน
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เครื่องบินก็ทิ้งตัวลงอย่างรุนแรง คนร้ายเกือบเสียการทรงตัว ต้องเกาะเก้าอี้นักบินไว้เพื่อไม่ให้ล้มลง
หลังจากนั้นเครื่องบินก็เข้าสู่โหมดการบินแบบตกหลุมอากาศ
ตำรวจอากาศเจสันพุ่งเข้ามาในห้องนักบินและถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“เครื่องบินน้ำมันจะหมดแล้วครับ เราต้องรีบบินลงจอดฉุกเฉิน!” กัปตันแกล้งทำหน้าตื่น เพื่อไม่ให้คนร้ายรู้ว่าเป็นฝีมือเขา
ตอนนี้เครื่องบินเข้าสู่น่านฟ้าของประเทศจีนแล้ว กัปตันแอบใส่รหัส ‘7500’ (ฉันถูกจับเป็นตัวประกัน) ลงในเครื่องมือสื่อสาร
เวลานี้ไม่มีคนเฝ้าห้องโดยสารชั้นเฟิสต์คลาส เซิ่งเจาซีฉวยโอกาสเข้าไปคุยกับผู้โดยสารที่นั่งอยู่โดยรอบ เพื่อคิดแผนรับมือ “มีใครรู้บ้างว่าเครื่องบินลำนี้มีผู้โดยสารทั้งหมดกี่คน”
“โบอิง 737 รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 200 คน เที่ยวบินนี้คนเดินทางน้อย รวมพนักงานสายการบินแล้ว ทั้งหมดไม่น่าเกิน 120 คน” ชายตรงที่นั่ง 1A เป็นคนตอบคำถามของเธออีกเช่นเคย
ผู้โดยสารชาวอเมริกันรูปร่างบึกบึนที่นั่งอยู่ด้านข้างเริ่มถูกำปั้น “ถ้าเป็นลูกผู้ชายก็มากับฉันนี่ เราไปอัดไอ้ตำรวจอากาศคนนั้นด้วยกัน!”
“เรารอความช่วยเหลือจากทางการดีกว่านะ!” ภรรยาของผู้โดยสารคนนั้นดึงแขนเสื้อเขาอย่างเงียบๆ ไม่อยากให้เขาเข้าไปเสี่ยงอันตราย ผู้โดยสารเริ่มเสียงแตกเป็นหลายฝ่าย
เซิ่งเจาซีออกหน้ายุติความแตกแยกได้อย่างทันท่วงที “ตอนนี้พวกเราอยู่กลางอากาศ เสี่ยงเกินไปถ้าจะจู่โจมคนร้ายต่อให้ล้มตำรวจอากาศคนนั้นได้ เครื่องบินก็อาจเสียหลักจนเป็นอันตราย ทางที่ดีเราควรรอให้เครื่องลงจอดค่อยลงมือ อีกอย่างเราไม่รู้ว่ามีเพื่อนร่วมขบวนการอีกกี่คนในชั้นธุรกิจ ฉันจะลองเจรจากับพวกมันก่อน เพื่อให้รู้ชัดว่าพวกมันมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ ฉันเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยของ NYPD3 ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของฉันนะคะ”
ผู้โดยสารตรงที่นั่ง 1A อดไม่ได้ที่จะหันไปพินิจผู้หญิงที่เพิ่งอ้างว่าเป็นพยาบาลเมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา เธอสลับบทบาทได้รวดเร็วดีเหลือเกิน
เพราะเมื่อครู่เธอกล้าลุกขึ้นต่อรองกับคนร้ายและเข้าไปช่วยแอร์โฮสเตสที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้โดยสารที่เหลือจึงรู้สึกเชื่อใจเธอโดยอัตโนมัติ เซิ่งเจาซีกลายเป็นผู้นำกลุ่มผู้โดยสาร ช่วยรวมกลุ่มทุกคนเพื่อคิดหาแผนรับมือ
จู่ๆ เด็กหนุ่มชาวจีนที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายของชั้นเฟิสต์คลาสก็โพล่งขึ้นว่า “สอง”
“อะไรนะ”
“คนร้ายสองคน” เด็กหนุ่มชี้ไปที่ห้องโดยสารชั้นธุรกิจที่อยู่ด้านหลังม่าน เขาประหยัดถ้อยคำราวกลัวดอกพิกุลจะร่วง แต่เซิ่งเจาซีก็เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร
ที่นั่งของเด็กหนุ่มอยู่ห่างจากชั้นธุรกิจแค่ผ้าม่านกั้น เขาจึงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลัง
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่ามีผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด 4 คน หนึ่งในนั้นคือตำรวจอากาศที่มีอาวุธปืนและมีด ส่วนวัตถุระเบิดตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่ามีหรือไม่ แต่จากการวิเคราะห์ของเซิ่งเจาซี เธอคิดว่ามี เพราะเมื่อครู่ตอนที่เดินชนกับผู้ชายคนนั้น เธอได้กลิ่นเขม่าดินปืนจากตัวเขา
ชายที่มีลายสักและสวมหน้ากากอำพรางใบหน้าออกมาคุมห้องโดยสารชั้นเฟิสต์คลาสแทนเจสัน เขากวาดตามองไปรอบๆ แล้วใช้ภาษาอังกฤษแปลกแปร่งร้องขู่ว่า “โวยวายอะไรวะ! หุบปาก!”
ห้องนักบินเสียงดังมาก เซิ่งเจาซีมั่นใจว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเธอหารือกันเมื่อครู่ เธอลองใช้ภาษาจีนถามเขาว่า “คุณเป็นคนจีนใช่ไหม”
พอได้ยินเธอพูดภาษาจีน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคลายใจไปบ้าง แต่น้ำเสียงที่ตอบกลับยังแข็งกร้าวและดุดันไม่เปลี่ยน “แกฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ ฉันบอกให้หุบปากไง!”
ใบหน้าของเซิ่งเจาซีระบายด้วยรอยยิ้มจริงใจ “ฉันต้องการเจรจากับคุณในฐานะตัวแทนของผู้โดยสารทั้งหมด ข้อเรียกร้องของคุณมีอะไรบ้าง เงิน? รถสำหรับหลบหนี? ยังต้องการอย่างอื่นอีกไหม”
“เจรจา?” ชายที่มีลายสักคนนั้นทำหน้าเหมือนกำลังฟังเรื่องตลก “แกจะเอาอะไรมาเจรจากับฉัน ฉันว่าแกเอาเวลาไปอธิษฐานให้พวกมันยอมทำตามคำสั่งของพวกเราจะดีกว่า ไม่งั้นพวกแกเตรียมเรียงแถวกันไปเจอยมบาลได้เลย”
เซิ่งเจาซีล้วงข้อมูลสำเร็จและรู้ว่าพวกมันยื่นข้อเสนอไปแล้ว ทำให้ประเมินสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง ถ้าพวกมันไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย โอกาสที่จะระเบิดเครื่องบินย่อมน้อยลง พวกมันเป็นอาชญากรที่วางแผนปล้นเครื่องบินโดยมีเป้าหมายชัดเจน
“เครื่องบินเริ่มลดระดับลงแล้ว” ผู้โดยสาร 1A มองออกว่าคนร้ายไม่เก่งภาษาอังกฤษ จึงใช้ภาษาอังกฤษกระซิบบอกเธอ เขากำลังดูพิกัดของเครื่องบินผ่านหน้าจอประจำที่นั่ง “จุดลงจอดคือมณฑลเจียง ประเทศจีน”
สมองของเซิ่งเจาซีประมวลผลอย่างรวดเร็ว มณฑลเจียงมีสนามบินเพียงแห่งเดียวอยู่ในเมืองเยว่เฉิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑล เยว่เฉิงเป็นเมืองตอนใน ปัจจุบันยังไม่มีการจัดตั้งหน่วยเจรจาต่อรองของตำรวจ เธอต้องหาวิธีทำงานร่วมกับตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษของเยว่เฉิง และสร้างโอกาสให้พวกเขาบุกเข้าจู่โจม
เครื่องบินลงจอดที่สนามบินเฟิ่งเทียน ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษของเมืองเยว่เฉิงเข้าปิดล้อมไว้ทุกด้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายเม็กซิโกติดต่อกับกรมตำรวจของเยว่เฉิงแล้ว และบอกว่าจะปิดสนามบินแคนคูน ปฏิเสธไม่ให้เครื่องบินที่ถูกจี้ลงจอด หวังว่าตำรวจจีนจะสามารถจัดการเรื่องนี้ให้จบในเขตแดนของจีน
ตำรวจใช้วิทยุสื่อสารกับคนร้าย ตะโกนสั่งให้พวกเขาหยุดการต่อต้านแต่โดยดี
เซิ่งเจาซีร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนกอยู่ในใจ การออกคำสั่งให้ยอมจำนนยิ่งเป็นการกระตุ้นโทสะของคนร้าย
เป็นจริงดังคาด คนร้ายพุ่งเข้าไปในห้องครัวบนเครื่อง ลากคอเสื้อของแอร์โฮสเตสที่ได้รับบาดเจ็บออกมา เปิดประตูเครื่องบิน และโยนร่างของเธอจากความสูง 3.5 เมตรลงไปที่พื้นลานจอด
เธอมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน เห็นแอร์โฮสเตสที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้นนอนอยู่บนลานจอดขนาดยักษ์ ลำตัวบิดเบี้ยวอย่างผิดธรรมชาติ เลือดปริมาณมหาศาลไหลเจิ่งนองจากหลังศีรษะ ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษสองนายที่ถือปืนรีบเดินเข้าไปพาตัวเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายออกจากพื้นที่อันตรายและนำตัวขึ้นรถพยาบาลไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจรู้เลยว่าช่วยชีวิตเธอไว้ได้หรือไม่...เซิ่งเจาซีสูดลมหายใจลึก
ชายที่มีลายสักอำพรางใบหน้าด้วยผ้าปิดปากแล้วออกไปยืนอยู่ที่ประตูเครื่องบิน เพียงพริบตาก็มีจุดเลเซอร์ชี้เป้าจำนวนมากเล็งตรงมาที่ร่างของเขา เขาเปิดเสื้อโคตที่สวมอยู่อย่างไม่เร่งร้อน เผยให้เห็นระเบิดแบบคาดรอบเอวที่ซ่อนไว้ด้านใน
“พวกเราแค่แวะจอดเติมน้ำมันนิดหน่อย อย่าคิดสร้างความลำบากให้พวกเราจะดีกว่า! รีบเติมน้ำมันให้พวกเรา แล้วส่งข่าวบอกตำรวจเม็กซิโกซะ บอกพวกมันให้ปล่อยตัวเทน ไม่งั้นทุกคนบนเครื่องบินลำนี้ต้องกลายเป็นเครื่องสังเวย เดินทางไปยมโลกเป็นเพื่อนเขา! ฉันให้เวลาพวกแกครึ่งชั่วโมง ถ้าครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้พวกมันยังไม่ปล่อยตัวเทน ฉันจะฆ่าคน 1 คนทุก 10 นาที จนกว่าจะเติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อย”
หน่วยแม่นปืนไม่กล้าเหนี่ยวไกเพราะกลัวจะโดนชนวนระเบิด ได้แต่มองเขาปิดประตูเครื่องบินแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน ไม่อาจทำอะไรได้เลย
ตำรวจจีนและตำรวจเม็กซิโกหารือกันเรียบร้อยแล้วว่าจะแกล้งปล่อยตัวเทน และตามสะกดรอยเขาไปเงียบๆ หลังจากคลี่คลายสถานการณ์จี้เครื่องบินได้เรียบร้อยและผู้โดยสารทุกคนปลอดภัย ค่อยตามจับตัวเขากลับมาอีกครั้ง ฝ่ายเม็กซิโกยอมประนีประนอมโดยเสนอเงื่อนไขว่าทุกอย่างต้องจบในเขตแดนของประเทศจีน ห้ามนำปัญหาส่งข้ามแดนมาถึงเม็กซิโก
สามสิบนาทีหลังจากนั้น คนร้ายบนเครื่องบินก็ได้รับสายวิดีโอคอลล์จากเทน
เซิ่งเจาซีอยู่ใกล้กับพวกมันมาก จึงได้ยินเสียงสงบนิ่งของชายคนหนึ่งในโทรศัพท์พูดว่า
“เหล่าจิ่ว ฉันออกมาแล้ว พวกแกหาทางหนีจากที่นั่นซะ ถ้าจำเป็นก็ฆ่าตัวประกันสักคนสองคน พวกมันจะได้กลัว”
“ขอรับ!” ชายที่ถูกเรียกว่าเหล่าจิ่วกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างได้ใจ กว่าจะเติมน้ำมันเสร็จต้องใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง เขาหันไปพูดกับเจสันว่า “นายเฝ้าพวกมันไว้ ฉันจะไปฆ่าคนเล่นๆ สักสองสามคน”
เขากวาดตามองไปรอบห้องโดยสารชั้นเฟิสต์คลาส สุดท้ายตัดสินใจเลือกเป้าหมายเป็นเด็กหนุ่มชาวจีนคนนั้น
เขาหยิบปืนของเจสันจ่อไปที่ขมับของเด็กหนุ่ม สั่งให้เขาลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางเหมือนรู้สึกรำคาญ แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งโดยดี
“เรย์!” ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นจะเดินทางมากับผู้โดยสาร 1A เขาร้องเรียกชื่อเด็กหนุ่มและตั้งท่าจะเข้าไปห้าม เซิ่งเจาซีไวยิ่งกว่า หญิงสาวชิงลุกขึ้นยืนเตรียมจะพุ่งเข้าไป แต่เจสันใช้มีดจ่อหลังเธอไว้และสั่งไม่ให้เธอขยับ
เซิ่งเจาซียกมือทั้งสองขึ้นเหนือหัว แล้วแกล้งถามด้วยเสียงสบายๆ ว่า “คุณคงไม่คิดจะฆ่าเขาจริงๆ ใช่ไหม”
ชายคนนั้นหัวเราะอย่างอำมหิต “ทำไม เริ่มกลัวแล้วเหรอ”
“ฉันกลัวว่าถ้าทำแบบนั้นพวกคุณจะหนีไม่รอด หลังจากปฏิบัติการทันเดอร์โบลต์ประสบความสำเร็จในปี 1976 นานาชาติต่างสนับสนุนให้ดำเนินนโยบายไม่ประนีประนอมเมื่อประสบเหตุจี้เครื่องบิน ถ้าพวกคุณฆ่าเขา จะยิ่งกระตุ้นให้ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษลงมือด้วยความเฉียบขาดกว่าเดิม”
“แม่สาวน้อย เธอเป็นใครกันแน่” เขาสงสัยอยู่แต่แรกแล้วว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงกล้าลุกขึ้นมาต่อรองกับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ไม่น่าใจกล้าได้ขนาดนี้
“ฉันเคยทำงานเป็นนักเจรจาตอนอยู่อเมริกา ชื่อของฉันคือเซิ่งเจาซี หรือเรียกฉันว่าจอยซ์ก็ได้ ฉันจะช่วยต่อรองให้พวกคุณได้ประโยชน์มากที่สุด แต่มีข้อแม้ว่าพวกคุณต้องรับประกันว่าจะไม่ทำร้ายตัวประกันบนเครื่องบิน”
ดูเหมือนเหล่าจิ่วจะสนใจข้อเสนอของเธอ “ลองบอกมาซิว่าแกมีไอเดียอะไรบ้าง”
“สถานการณ์ตอนนี้ ฝั่งเม็กซิโกอยู่ในภาวะระแวดระวัง ไม่มีทางยอมปล่อยให้พวกคุณข้ามเขตแดนไปที่นั่นแน่ ต่อให้เครื่องเดินทางไปจนถึงแคนคูน ก็คงเอาเครื่องลงจอดไม่ได้ ดังนั้นพวกคุณควรหลบหนีจากที่นี่จะปลอดภัยกว่า”
เหล่าจิ่วหยุดคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคำพูดของเธอน่าเชื่อถืออยู่พอสมควร “แล้วยังไงต่อ”
“คุณจะใช้รถแบบไหน สภาพทางภูมิศาสตร์ของเมืองเยว่เฉิงสลับซับซ้อน ต้องเลือกรถที่มีสมรรถภาพดี สามารถเดินทางในพื้นที่ทุรกันดาร ถึงจะรับมือกับภูมิประเทศของที่นี่ได้”
ดูเหมือนตอนแรกเหล่าจิ่วจะไม่ได้คิดถึงปัญหาข้อนี้ จึงรีบใช้วิทยุสื่อสารติดต่อตำรวจท้องถิ่น เพื่อแจ้งข้อเรียกร้องเพิ่มเติม
“การรวบรวมเงินดอลลาร์จำนวนมหาศาลแบบนั้นในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างอาจมีการทำสัญลักษณ์บางอย่างไว้บนธนบัตร หลังจากนี้ถ้าพวกคุณนำเงินไปใช้จะเสี่ยงต่อการถูกแกะรอย ถ้าเงินไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของคุณ ฉันแนะนำว่าอย่าหนีไปพร้อมเงิน หากเทียบกันแล้ว การเตรียมอาหารและน้ำให้เพียงพอจะเป็นประโยชน์ต่อการหลบหนีมากกว่า”
พอพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็ดึงความสนใจของเหล่าจิ่วไว้อยู่หมัด ชายคนนั้นโยนตัวเด็กหนุ่มกลับไปไว้ตรงที่นั่ง แล้วหันกลับมาล็อกตัวเซิ่งเจาซีไว้แทน “ดูเหมือนว่าแกแค่คนเดียวก็มีมูลค่ามากพอแล้ว เมื่อกี้คนที่สังเกตเห็นฉันก็คือแกใช่ไหม”
คราวนี้ผู้หญิงสวมหน้ากากคนหนึ่งวิ่งออกมาจากชั้นธุรกิจ “พี่จิ่ว ตำรวจบอกว่าพวกเขาปล่อยตัวหัวหน้าแล้ว ขอให้พวกเราปล่อยตัวผู้โดยสารอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ถึงจะยอมมอบของที่พวกเราต้องการ”
“เธอไปบอกพวกมันว่าเรายอมรับข้อตกลง ผู้โดยสารตั้งแต่ชั้นเฟิสต์คลาสไล่ลงไป หมายเลข 1 ถึง 50 ให้ลงจากเครื่องทางประตูฉุกเฉิน ยกเว้นผู้หญิงคนนี้คนเดียว”
ในกลุ่มผู้โดยสารที่ได้รับการปล่อยตัว ผู้โดยสาร 1A เดินออกไปเป็นคนแรก เขาหยิบของติดตัวไปเพียงอย่างเดียว คือคัมภีร์ไบเบิลเล่มนั้น
จังหวะที่เดินผ่านเซิ่งเจาซี เขาแอบยัดของชิ้นหนึ่งใส่มือเธอ ดวงตาของทั้งสองประสานกันครู่หนึ่ง เธออ่านปากเขา และรู้ว่าเขาพูดกับเธอว่า “Take care” (ดูแลตัวเองด้วย)
เหล่าจิ่วกับเจสันซึ่งเป็นหัวโจกของกลุ่มคนร้ายพาเซิ่งเจาซีเดินไปที่ห้องนักบิน ผู้ร่วมขบวนการอีกสองคนที่เหลือคอยเฝ้าผู้โดยสารส่วนที่เหลือ
เนื่องจากมีผู้โดยสารเพียงครึ่งเดียวที่ได้รับการปล่อยตัว ผู้โดยสารอีกครึ่งลำที่เหลือจึงเริ่มโวยวายอย่างไม่พอใจ ผู้ร่วมขบวนการสองคนต้องเข้าไปสงบสถานการณ์
ตอนนั้นเอง จู่ๆ ใครคนหนึ่งก็ตะโกนว่า “ไฟไหม้!”
ผู้โดยสารที่กำลังเรียงแถวออกไปอย่างเป็นระเบียบเกิดความชุลมุนขึ้นในทันที กลุ่มควันหนาทึบลอยขึ้นที่กลางลำเครื่อง เปลวเพลิงตรงที่นั่งหมายเลข 20 โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ไฟลามตั้งแต่เบาะหนังไล่ลงไปถึงพรมที่พื้นโดยไม่มีทีท่าจะหยุดยั้ง เห็นแล้วชวนให้อกสั่นขวัญแขวนอย่างยิ่ง
และต้นตอของเปลวเพลิง ก็คือหน้ากระดาษจากคัมภีร์ไบเบิลที่กำลังลุกไหม้จนแทบไม่เหลือซาก
พื้นที่เล็กแคบ เปลวเพลิงโหมกระหน่ำอย่างน่ากลัว กลุ่มคนซึ่งเดิมตื่นตระหนกอยู่แล้วยิ่งโกลาหลหนักกว่าเก่า คนร้ายสองคนลนลานจนไม่รู้จะรับมืออย่างไร
“พี่จิ่วคะ! ทางนี้...” คนร้ายหญิงพยายามติดต่อเหล่าจิ่วซึ่งอยู่ในห้องนักบิน ชายร่างล่ำสันกลุ่มหนึ่งจากห้องโดยสารชั้นเฟิสต์คลาสทำตามแผนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า พุ่งเข้าตะครุบและควบคุมตัวหญิงคนนั้นไว้ ทำให้การสื่อสารของกลุ่มคนร้ายถูกตัดขาด
คนร้ายอีกคนเห็นดังนั้นก็คำรามเสียงลั่น ตั้งท่าจะพุ่งเข้ามาช่วย แต่ผู้โดยสารคนอื่นไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แอร์โฮสเตสฉวยโอกาสนี้ใช้การ้อนสำหรับเสิร์ฟกาแฟฟาดหัวเขาเต็มแรง
“อ๊าก!” น้ำกาแฟร้อนจัดราดใส่ทั้งหัวหู คนร้ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดพลางเหวี่ยงพลองเหล็กในมือ แต่เขาลืมตาไม่ขึ้น ทางเดินในเครื่องบินเล็กและแคบมากอยู่แล้ว ทุกคนจึงฉวยโอกาสนี้แย่งพลองเหล็กจากมือเขา
ผู้โดยสารที่ไม่รู้เห็นกับแผนการพากันยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เพียงอึดใจคนร้ายทั้งสองก็ถูกควบคุมตัวไว้ได้ ควันยังลอยโขมงอยู่ทั่วห้องโดยสาร พนักงานบนเครื่องบินเปิดประตูทางออกฉุกเฉิน ให้ผู้โดยสารหนีออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
หลังจากผู้โดยสารทั้งหมดหนีออกมาแล้ว หน่วยปฏิบัติการพิเศษจึงได้ทราบข้อมูลว่ายังมีตัวประกันอีกสองรายและคนร้ายอีกสองรายอยู่ภายในห้องนักบิน จึงเตรียมบุกขึ้นเครื่องเพื่อปฏิบัติการจู่โจม
ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงปืนลั่นสองนัดก็ดังมาจากห้องนักบิน
หน่วยปฏิบัติการพิเศษทำลายประตูบุกเข้าไปในห้อง จึงเห็นกัปตันใช้ปืนในมือยิงตำรวจอากาศที่พยายามขัดขืนถึงแก่ชีวิต ด้านข้างคือผู้ร่วมขบวนการอีกหนึ่งคนที่ถูกยิงเสียชีวิต และหญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บส่วนศีรษะจนหมดสติ
“รายงานครับ! กลุ่มคนร้ายถูกยิงเสียชีวิตทั้งหมดแล้ว!”
กัปตันยกมือขึ้นวันทยหัตถ์...ส่วนข้อมือที่โผล่พ้นจากถุงมือสีขาวมีรอยสักรูปงู
พอเซิ่งเจาซีได้สติ ก็พบว่าเธอกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล โทรทัศน์ภายในห้องคนไข้กำลังถ่ายทอดสดรายงานข่าวพิเศษ
“รายงานข่าวจากสนามบินเฟิ่งเทียนเช้าวันนี้ เครื่องบินของสายการบินแพนอเมริกาที่เดินทางจากกรุงบอสตันประสบเหตุจี้เครื่องบิน กลุ่มผู้โดยสารผนึกกำลังเพื่อเอาชีวิตรอด กัปตันฮีโรยิงคนร้ายสองรายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ด้วยความช่วยเหลือของตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษเมืองเยว่เฉิง ผู้โดยสารทั้งหมด 96 รายในเครื่องบินลำดังกล่าวได้รับการช่วยเหลือ ผู้ช่วยนักบินเสียชีวิต 1 ราย พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินบาดเจ็บ 1 ราย คนร้ายทั้ง 4 รายถูกยิงเสียชีวิตทั้งหมด ข้อมูลระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากตำรวจอากาศร่วมมือกับกลุ่มคนร้าย โดยสายการบินแพนอเมริกาจะทำการตรวจสอบเรื่องนี้...”
เซิ่งเจาซีจำได้ว่าตอนนั้นพวกเขาทั้งสี่คนอยู่ในห้องนักบิน เหล่าจิ่วได้ยินเสียงชุลมุนจากด้านนอกจึงไล่เจสันออกไปดู กัปตันฉวยโอกาสนี้พยายามแย่งปืนจากเขา เซิ่งเจาซีเข้าไปช่วย ระหว่างการต่อสู้ถูกกระแทกจนหมดสติ เรื่องหลังจากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้แล้ว ครั้งนี้รอดชีวิตมาได้นับว่าเธอดวงแข็งมาก
เสียงเคาะประตูแว่วมาจากด้านนอก ตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาเพื่อขอสอบปากคำเธอ เซิ่งเจาซีอธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด
“ทุกคนปลอดภัยดีไหมคะ” หลังจากบันทึกปากคำเสร็จแล้ว เซิ่งเจาซีจึงถามต่อ
“ครับ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เดินทางกลับบ้านหมดแล้ว ส่วนผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแต่ยังกลับบ้านไม่ได้ก็เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วครับ”
แบบนี้แสดงว่าเธอคงไม่มีโอกาสได้ขอบคุณผู้โดยสาร 1A ด้วยตัวเองสินะ
“อีกเรื่องหนึ่งคือ ผู้โดยสารชั้นเฟิสต์คลาสท่านอื่นเล่าเรื่องความกล้าหาญของคุณตอนเกิดเหตุ ด้านนอกมีนักข่าวกลุ่มใหญ่กำลังรอสัมภาษณ์คุณอยู่นะครับ”
“ฉันขอไม่พบพวกเขาได้ไหมคะ ถ้าเป็นไปได้ ฉันไม่ต้องการให้มีข้อมูลของฉันในรายงานที่เปิดเผยสู่สาธารณชนค่ะ”
“ได้สิครับ ถ้าคุณไม่อยากเปิดเผยตัวตน เราจะใช้นามแฝงแทนชื่อจริงของคุณ อ้อใช่...” ตำรวจนายนั้นหยิบปากกาหมึกซึมสีรอยัลบลูออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ปากกาด้ามนี้ร่วงลงมาตอนพวกเราเข้าไปช่วยคุณ ผมเลยเก็บเอาไว้ให้ นี่คือปากกาหมึกซึมที่คุณให้การว่าใช้โจมตีคนร้ายใช่ไหมครับ”
“ใช่แล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ” เซิ่งเจาซีรับปากกาด้ามนั้นมาพลิกดูในมือ และพินิจดูตัวด้ามปากกาอย่างละเอียด ส่วนปลอกปากกาฝังประดับด้วยอัญมณีขนาดเล็ก และสลักเป็นอักษรตัวเขียนภาษาอังกฤษ ‘R’
ระหว่างที่เกิดเหตุชุลมุน ตำรวจอากาศเจสันชักมีดออกมาหมายจะสังหารเธอ หญิงสาวรอดมาได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด เพราะใช้ปากกาหมึกซึมด้ามนี้ทิ่มลำคอของอีกฝ่าย ขัดขวางการจู่โจมของเขา แต่สุดท้ายก็ถูกเขาซัดจนหมดสติ
จะพูดว่าปากกาด้ามนี้ช่วยชีวิตเธอไว้ก็คงไม่ผิดนัก ทว่าเจ้าของปากกาด้ามนี้ไม่ใช่เธอ แต่เป็นชายเจ้าของที่นั่งหมายเลข 1A ต่างหาก
ตอนนั้นสถานการณ์คับขันมาก เธอไม่มีเวลาหยุดคิดให้ถี่ถ้วน ตอนนี้พอหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นถึงรู้สึกว่าประโยค “Take care” ของเขาช่างคุ้นหูเหลือเกิน เสียงของเขาเหมือนใครคนหนึ่งที่เธอรู้จัก
เซิ่งเจาซีหัวเราะเยาะความไร้สาระของตัวเองพลางส่ายหน้า เธอคงคิดถึงคนคนนั้นมากจนเป็นบ้าไปแล้ว
ความคิดเห็น |
---|