บทที่ 2
รักครั้งแรกที่จบลงอย่างไร้สาเหตุ
ความรักนั้นแสนสั้น การลืมเลือนต่างหากที่ยาวนาน
เนรูดา
“สีของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกแบ่งได้ 2 จำพวกใหญ่ๆ คือ สีเชิงชีวภาพและสีเชิงโครงสร้าง แบบแรกเป็นสีที่เกิดจากเม็ดสีภายในร่างกาย ส่วนแบบที่สองเกิดจากการกระจายหรือเบี่ยงเบนของลำแสงที่ความยาวคลื่นระดับใดระดับหนึ่ง”
เสียงบรรยายที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ดึงดูดของนักพากย์ชายจากช่องเนชันแนลจีโอกราฟิกทำให้รายการวิทยาศาสตร์รอบตัวกลายเป็นเรื่องเล่าแสนรัญจวนใจไปโดยปริยาย
ฉินจิ้งถือแก้วเดินออกมาจากห้องครัว ใช้หลังเท้าเตะสะกิดเซิ่งเจาซีซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิดูทีวีอย่างใจจดใจจ่ออยู่กลางโซฟา “เธอชอบดูสารคดีสัตว์โลกด้วยเหรอ”
“เปล่า แค่รู้สึกว่าเสียงคนบรรยายน่าฟังดี เสียงทุ้มต่ำแต่มีแรงดึงดูดแบบผู้ชาย” เซิ่งเจาซีขยับตัวไปด้านข้าง เปิดที่ว่างให้ฉินจิ้งนั่ง สิ่งที่เธอไม่ได้บอกเพื่อนก็คือ เสียงนี้เหมือนแฟนเก่าของเธอมาก
หลังจากเหตุจี้เครื่องบินครั้งนั้น พ่อกับแม่ก็รับเซิ่งเจาซีกลับมาอยู่ที่บ้านในเมืองเหิงเฉิง ฟื้นฟูร่างกายระยะหนึ่งจนแข็งแรงดี จึงย้ายออกมาเช่าห้องอยู่กับฉินจิ้งซึ่งเป็นเพื่อนสนิท และเตรียมตัวเพื่อเริ่มงานใหม่
“อีกสองวันจะเริ่มงานใหม่ เธอเตรียมตัวถึงไหนแล้ว”
“ยังไม่รู้เลย ไม่รู้ด้วยว่าจะเจอนักเรียนแบบไหน” เซิ่งเจาซีจิบกาแฟนิดหนึ่ง พอนึกถึงคอร์สฝึกอบรมที่กำลังจะเริ่มขึ้น ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาหน่อยๆ
“ลำตัวที่มีสีสันสดใสของกิ้งก่าคาเมเลียนก็เป็นผลิตผลจากสีเชิงโครงสร้าง สัตว์จำพวกกิ้งก่าส่วนมากจะเปลี่ยนสีไปตามสภาพแวดล้อม หรือที่เราเรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘การเปลี่ยนสีเพื่อป้องกันตัว’ กิ้งก่าบางสายพันธุ์ใช้สีของลำตัวในการแสดงอารมณ์ แต่เป็นเพียงส่วนน้อย กิ้งก่าจำพวกนี้เมื่อถูกคุกคามหรือเกี้ยวคู่ครองสำเร็จ ลำตัวจะเปลี่ยนเป็นสีสันสะดุดตา”
เสียงบรรยายในโทรทัศน์ทำให้เซิ่งเจาซีหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เธอเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ในคลาสเรียนหนึ่ง ศาสตราจารย์อาวุโสท่านหนึ่งขอให้พวกเขาทำแบบทดสอบวิเคราะห์ระดับความเด็ดเดี่ยวของแต่ละคน
ในการทดสอบนี้ ยิ่งผู้ร่วมทดสอบได้แต้มสูงมากเท่าไหร่ ยิ่งแปลว่าเขาหรือเธอถูกกระทบจากสภาพแวดล้อมทางสังคมได้ยากมากขึ้นเท่านั้น ศาสตราจารย์อธิบายว่า ตอนที่พวกเราลืมตาดูโลก แต้มตั้งต้นจะอยู่ที่ระดับเกือบเท่าศูนย์ สภาพแวดล้อมรอบด้านเป็นอย่างไร ก็จะหล่อหลอมให้พวกเรากลายเป็นแบบนั้น แต่แต้มนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้น จนถึงจุดที่ค่อนข้างคงตัวแล้ว ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอีก และในช่วงเวลานี้สภาพจิตของแต่ละคนก็จะก่อตัวเป็นรูปร่างที่ชัดเจน หากไม่ถูกกระทบหรือกระตุ้นอย่างรุนแรง ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงอีก แต่ถึงแม้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังมีเพียงส่วนน้อยที่จะได้มากกว่า 90 แต้ม เพราะมนุษย์ล้วนมีสัญชาตญาณในการไขว่คว้าหาประโยชน์เข้าตัวและหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นภัย ด้วยเหตุนี้สัญชาตญาณจึงกระตุ้นให้เกิดการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมรอบตัว
อาจารย์พูดไม่ทันจบประโยค ลี นักศึกษาเชื้อสายจีนที่นั่งอยู่ข้างเซิ่งเจาซีก็อุทานเสียงเบาด้วยความตกใจว่า ‘OMG. Joyce, you got 98!’
เพื่อนนักศึกษาพากันหันมามองเธอ แม้กระทั่งศาสตราจารย์ยังเดินมาและเหลือบมองผลการทดสอบของเธอแวบหนึ่ง ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้มสนใจระคนทึ่ง ‘interesting...’
เวลาฝรั่งพูดคำนี้ ความหมายไม่ได้เป็นเชิงบวกเสมอไป เซิ่งเจาซีหันไปทำตาขวางใส่ลีแวบหนึ่ง ลีแลบลิ้นใส่แทนคำตอบ ผลการทดสอบให้คำจำกัดความบุคลิกของเธอว่า ‘ตรงไปตรงมา กล้าหาญ ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง หัวรั้น’ ผลลัพธ์ระบุว่านิสัยของเธอค่อนไปทางดันทุรัง พอตัดสินใจทำอะไรแล้วไม่มีทางยอมเปลี่ยนใจโดยง่าย เป็นคนที่ไม่ถูกกระทบโดยสภาวะแวดล้อมรอบด้านโดยง่าย
ลีสะกิดแขนของเซิ่งเจาซีเบาๆ แล้วกระซิบข้างหูเธอว่า ‘จอยซ์ เธอเป็นดอกบัวขาว4แหละ!’
ลีย้ายถิ่นฐานมาอยู่อเมริกานานแล้วและเติบโตที่นี่ ดังนั้นภาษาจีนของเขาแย่มาก ตอนแรกเขาอยากอวดศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเรียนมา ด้วยการเปรียบเทียบเซิ่งเจาซีกับดอกบัวที่โผล่พ้นโคลนตมทั้งยังพิสุทธิ์ผุดผ่องไม่แปดเปื้อน ไม่นึกว่าคำชมจะกลายเป็นคำด่าโดยไม่รู้ตัว
เซิ่งเจาซีด่าสวนอย่างกราดเกรี้ยวว่า ‘นายนั่นแหละดอกบัวขาว! ทั้งนายทั้งครอบครัวนาย ดอกบัวขาวทั้งนั้นเลย!’
ลีได้ยินดังนั้นก็ยังไม่ฉุกคิด แถมยังขอบคุณเธออย่างหน้าชื่นตาบาน
“อ๊ะ! เสี่ยวซี ฉันรู้จักคนนี้ด้วยแหละ”
จู่ๆ ฉินจิ้งก็คว้าแขนของเซิ่งเจาซี แล้วชี้ไปที่รายชื่อคณะผู้จัดทำในเครดิตท้ายรายการที่กำลังฉายบนจอทีวีด้วยความตื่นเต้น
“ใคร” เซิ่งเจาซีถูกดึงจนรู้สึกหัวหมุน สติยังไม่หลุดจากภวังค์ความทรงจำเมื่อครู่
“ฮวายจิ่นไง” ฉินจิ้งเห็นเซิ่งเจาซียังเหม่อไม่ได้สติก็ได้แต่แบมือสองข้างอย่างจนปัญญา “คนที่เธอบอกว่ามีเสน่ห์แบบผู้ชายคนนั้นน่ะ”
“ฉันหมายถึงเสียง แค่เสียง!” ใครจะไปรู้ว่าเจ้าของเสียงจริงๆ รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง
แม้ว่าเซิ่งเจาซีดูไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ แต่ฉินจิ้งก็ยังพยายามฮาร์ดเซลอย่างไม่ย่นย่อ “ฮวายจิ่นน่ะเป็นนักพากย์ชั้นครู หายากมากๆ ในวงการของพวกเรา ผลงานเขาจำนวนไม่มาก แต่เป็นผลงานชั้นยอดทั้งนั้น ในอินเทอร์เน็ตมีแฟนคลับเขาเพียบเลยนะ! ได้ยินว่าเขาเคยไปเรียนเมืองนอก เพิ่งกลับมาไม่นาน ตอนนี้สถานีของพวกเรากำลังหาทางดึงตัวเขามาทำรายการใหม่ด้วยกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นรายการอะไร ฉันก็ต้องหาทางดันตัวเองเข้าไปร่วมทีมกับเขาให้ได้”
ฉินจิ้งทำงานอยู่สถานีวิทยุ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ต้องทำงานกับเสียงอยู่ทุกวัน สองสามปีที่ผ่านมาเกิดกระแสงานพากย์บนอินเทอร์เน็ต ฉินจิ้งเองก็ร่วมในกระแสนี้ด้วย แต่คนในวงการส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษาที่อายุยังน้อย ผู้หญิงวัยกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่อายุย่างเลขสามอย่างฉินจิ้งใครๆ ก็พากันเรียกว่าพี่จิ้ง
เซิ่งเจาซีหัวเราะความเจ้าชู้ของเพื่อน “ฉันว่าเธออย่าตั้งความหวังสูงเกินไปเลย ในอินเทอร์เน็ตเขาพูดกันให้แซ่ดเลยไม่ใช่เหรอ ว่าผู้ชายในวงการของเธอน่ะมีแต่โอตาคุอ้วนทั้งนั้น”
ฉินจิ้งไม่สนใจแม้เพื่อนสาดน้ำเย็นเข้าใส่5 เธอแย่งคอมพิวเตอร์จากมือเซิ่งเจาซี แล้วค้นหาข้อมูลละครวิทยุที่เป็นผลงานสร้างชื่อเสียงของฮวายจิ่นในยุคแรกเริ่มมาเปิดให้ฟัง...เสียงนุ่มทุ้มของฮวายจิ่นเคลียคลออยู่ข้างหู “I want to give you all of me.”
‘ช่างเป็นเสียงที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ดึงดูดจริงๆ...’ เซิ่งเจาซีคิดอยู่ในใจ ‘แต่ฉันเคยได้ยินเสียงที่น่าฟังกว่านี้มาแล้ว’
ทุกคนบอกว่าเธอเป็นคนหัวแข็งมาก ใครพูดอะไรก็โน้มน้าวใจเธอยาก แต่เคยมีคนคนหนึ่งที่ไม่ว่าพูดอะไรก็ทำใจเธออ่อนยวบยาบไปหมด
ในช่วงเวลาที่งดงามที่สุด สิ่งไหนที่ให้ได้ เธอมอบให้เขาไปทั้งหมด บทสรุปตอนสุดท้าย กลับกลายเป็นการทุ่มเทให้คนที่พึ่งพาไม่ได้
‘เสี่ยวไท่หยาง6 พอผมกลับไปแล้ว จะบอกเรื่องของพวกเราให้ครอบครัวรับรู้ และกลับมาสู่ขอคุณ พวกเขาต้องชอบคุณมากแน่ๆ เหมือนที่ผมชอบคุณนั่นแหละ’
เพราะชื่อ7และนิสัยร่าเริงเข้มแข็งไม่เกรงกลัวสิ่งใดของเธอ คนคนนั้นถึงชอบเรียกเธอว่าเสี่ยวไท่หยาง ซึ่งหมายถึงดวงตะวันดวงน้อย
‘ต่อให้พวกเขาไม่ชอบ ผมก็จะขอคุณแต่งงานอยู่ดี’ เขาหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะเสริมอีกประโยค
ทั้งคู่เลิกกันได้หกปีแล้ว เป็นระยะเวลาที่ไม่ยาวและไม่สั้น แต่ก็นานพอให้ใบหน้าของเขาคนนั้นรางเลือนจากความทรงจำไปบางส่วน แต่คำพูดของเขาดุจดั่งหินอัญมณีที่ผ่านการเจียระไนจนสุกใสส่องประกาย จวบจนวันนี้ยังประทับแน่นในความทรงจำจนยากจะลืมเลือน
“เสี่ยวซี อีกไม่นานสถานีของเราจะมีรายการสัมภาษณ์นักพากย์ ฮวายจิ่นจะมาเป็นแขกรับเชิญด้วย เหมือนเป็นการลองเชิงทดลองทำงานกับเขาไปด้วยน่ะ เธออยากมาดูเล่นๆ ไหมล่ะ” ฉินจิ้งยักคิ้วหลิ่วตา แถมยังทำท่าผูกด้ายแดง8ประกอบ
ต้องบังคับให้เซิ่งเจาซีไปดูตัวอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง...นี่เป็นสิ่งที่คุณแม่เซิ่งกำชับเธออย่างหนักแน่นตอนที่เซิ่งเจาซีจะย้ายออกจากบ้าน
เซิ่งเจาซีรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเพื่อนซี้ของเธอยอมขายเพื่อน และแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายศัตรูเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นทุกครั้งที่ฉินจิ้งพยายามจับคู่ดูตัวให้เธอแก่เหล่าเพื่อนวัยหนุ่มคุณสมบัติเพียบพร้อมทั้งหลาย เธอจะพยายามเลี่ยงเท่าที่เลี่ยงได้
“เว้นฉันไว้สักคนเถอะ ผู้ชายเสียงน่าฟังส่วนใหญ่พึ่งพาไม่ได้สักคน หรือเผลอๆ อาจจะหน้าตาน่าเกลียดมากด้วย”
“นี่เธอคิดถึงแฟนเก่าเฮงซวยคนนั้นของเธออีกแล้วใช่ไหม” ฉินจิ้งไม่เคยเจอแฟนเก่าของเซิ่งเจาซีและไม่รู้จักเขา รู้แค่ตอนไปเรียนต่อต่างประเทศ เสี่ยวซีได้รู้จักผู้ชายระดับมหาเทพคนหนึ่งชื่อจิ้นซืออวี้ เป็นคนเหิงเฉิงเหมือนกัน ตอนแรกทั้งสองคุยกันถึงขั้นวางแผนแต่งงานแล้ว แต่อยู่มาวันหนึ่งจู่ๆ ฝ่ายชายก็โทร. มาขอเลิก แล้วก็หายตัวไปราวกับระเหยกลายเป็นอากาศ
เซิ่งเจาซีครองตัวเป็นโสดตลอดหลายปีหลังจากนั้น ครั้งนี้กลับมาแม้เธอไม่บอกเหตุผล แต่ฉินจิ้งก็เดาได้ว่าต้องเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นแน่
หลายปีที่ผ่านมาเธอคอยมาสืบหาข่าวคราวของเขาอยู่ตลอด แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไร้ผล
ตอนแรกเซิ่งเจาซียังละเมอเพ้อพกอยู่ว่าฝ่ายชายอาจมีเรื่องลำบากใจอะไรบางอย่าง ดังนั้นหลังจากเรียนจบ เธอก็ยังใช้ชีวิตและทำงานอย่างหนักอยู่ที่อเมริกา เพียงเพราะเขาเคยพูดว่าหากเธอหาตัวเขาไม่พบ ให้รอเขาอยู่ที่เดิม เขาจะเป็นฝ่ายกลับมาหาเธอเอง
ฉินจิ้งคิดว่าเป็นแค่คำพูดเหลวไหล มีแค่สาวน้อยไม่ประสีประสาเรื่องความรักอย่างเซิ่งเจาซีเท่านั้นที่หลงเชื่อ
เวลาผ่านไปหกปีจนลีมีลูกสาวคนที่สอง
ในคืนงานฉลองลูกของลีอายุครบหนึ่งเดือน ลีดื่มจนเมาและหลุดปากพูดกับเซิ่งเจาซีว่า ‘จอยซ์ เธอกลับไปเถอะ เขาไม่กลับมาแล้ว’
เซิ่งเจาซีซักไซ้ไล่เลียงจนลียอมพูดความจริง และสารภาพว่าเมื่อไม่นานนี้จิ้นซืออวี้ติดต่อเขาและส่งที่อยู่มาให้ ขอร้องให้เขาช่วยส่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทิ้งไว้ที่อเมริกากลับไป และกำชับว่าห้ามบอกเรื่องนี้แก่เสี่ยวซีเด็ดขาด
ในที่สุดหญิงสาวก็เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตร้ายแรงแค่ไหน คงไม่มีใครที่ไม่คิดจะติดต่อมาเลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดหกปี เขาแค่เลือกที่จะไม่ติดต่อเธอก็เท่านั้น
ที่แท้ความรักของเธอก็ไม่ใช่เรื่องราวของรักแท้อันแสนงดงามสะเทือนอารมณ์ แต่เป็นแค่การเลิกราแบบไร้สาเหตุที่สุดแสนธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร เมื่อเพลงจบ ทุกคนก็แยกย้าย
พอเซิ่งเจาซีได้ที่อยู่นั้นมาก็กระสับกระส่ายจนนอนไม่หลับ หลายปีที่ผ่านมาชีวิตของเธอเหมือนชุดราตรีแสนสวยที่มีแมลงกินผ้า ไม่ว่าภายนอกจะระยิบระยับสดสวยเพียงใด ภายในก็ฟอนเฟะจนไม่อาจเปิดเผยให้ใครเห็น ต้องตัดส่วนที่เปื่อยเน่าทิ้งไปเสีย เธอถึงจะมีชีวิตต่อไปได้
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น เธอตัดสินใจลาออกจากงานที่ NYPD ใช้เวลาราวครึ่งเดือนเพื่อหางานใหม่ และเดินทางกลับมาเหยียบแผ่นดินบ้านเกิดที่เธอห่างหายไปนานถึงสิบปีด้วยความตั้งใจแน่วแน่
สิบปีก่อน เธอถูกบีบบังคับให้ไปจากที่นี่ โดยไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
สิบปีต่อมา เธอกลับมาเหยียบแผ่นดินที่เธอเรียกว่าบ้านเกิดอีกครั้ง โดยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร และไม่รู้ว่าเธอต้องเจอกับอะไร
ความคิดเห็น |
---|