บทที่ 3
ใต้หน้ากากคือความจริงใจ
ด้วยเกรงว่าฉันจะรู้จักเธอง่ายดายเกินไป เธอจึงหลอกล่ออำพรางฉัน
รพินทรนาถ ฐากูร
เซิ่งเจาซีมุ่งหน้าไปตามที่อยู่ที่ได้จากลี และมาถึงอะพาร์ตเมนต์หรูแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ข้างที่ว่าการรัฐบาลท้องถิ่นเมืองเหิงเฉิง ห้องหมายเลข 1203
เธอยืนอยู่หน้าประตูด้วยความลังเล หากว่าจิ้นซืออวี้เป็นคนออกมาเปิดประตูจริงๆ ประโยคแรกที่พูดกับเขา เธอควรพูดว่าอะไร
“สวัสดี ไม่เจอกันตั้งนานนะ” ไม่ดี...ฟังดูสบายๆ เกินไป
“ช่วงที่ผ่านมาคุณเป็นยังไงบ้าง” ไม่ดี...ฟังดูขมขื่นเกินไป
“แกมันเหี้*” ไม่ดี...แบบนี้ห่ามเกินไป
เธอยืนคิดอยู่แบบนั้นนานถึงยี่สิบนาที จนในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าทันทีที่ประตูเปิดออก เธอจะเปิดฉากด้วยการตบบ้องหูเขาแรงๆ สักฉาด ตบฉาดนี้คือสิ่งที่เธอรอคอยมานานถึงหกปี ระบายอารมณ์ให้สบายใจแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
พอตัดสินใจได้แล้วหญิงสาวถึงกดกริ่ง รออยู่นานทีเดียวกว่าประตูจะแง้มเปิด แต่พอมองไปข้างในกลับไม่เห็นใคร
“มาหาใครครับ” เสียงหวาดๆ ของเด็กน้อยคนหนึ่งแว่วมาจากเบื้องล่าง
พอก้มลงมองเซิ่งเจาซีก็เจอเด็กชายอายุราวสามหรือสี่ขวบเกาะอยู่ด้านหลังบานประตู มองเธอด้วยแววตาหวาดหวั่น
เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปี ถึงขั้นมีลูกมีเต้าแล้วหรือนี่...
เพลิงพิโรธลุกโชนขึ้นในใจ เธอโน้มตัวลงไปหยิกแก้มอวบอูมของเด็กชายเบาๆ แล้วพูดว่า “หนูจ๊ะ พ่อของหนูอยู่ไหนเอ่ย”
“เธอมาหาสามีของฉันทำไมไม่ทราบ” ผู้หญิงอายุราวสามสิบกว่าหิ้วตะกร้าจ่ายตลาดวิ่งขึ้นมาจากบันไดชั้นล่าง หล่อนใช้มือข้างหนึ่งผลักเซิ่งเจาซีให้พ้นทางแล้วพุ่งเข้าไปขวางกลางระหว่างเธอกับเด็กชาย “เธอเป็นใครกัน เทียนเทียน แม่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเวลาไม่มีใครอยู่ ห้ามเปิดประตูให้ใครเรื่อยเปื่อย”
“ขอโทษด้วยค่ะ ฉันมาหาจิ้นซืออวี้ เขาอยู่ที่นี่ไหมคะ”
“ที่นี่ไม่มีคนชื่อนี้” ผู้หญิงคนนั้นดึงลูกเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด แล้วตั้งท่าจะปิดประตู
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ที่อยู่ของเขาคือห้องหมายเลข 1203 จริงๆ นะคะ หรือว่าคุณเพิ่งย้ายเข้ามาที่นี่ได้ไม่นานคะ”
“ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งห้าปีแล้ว! ฉันไม่รู้จักคนที่เธอถามหา ไปหาที่อื่นไป๊” พูดจบก็กระแทกปิดประตูกันขโมยเสียงดังปัง
ตกเย็นพอชายเจ้าของบ้านกลับมาถึง ภรรยาก็เล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง ชายคนนั้นพอได้ฟังก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแค่รับคำไหว้วานของคนอื่นมา และช่วยจัดแจงทุกอย่างจนเรียบร้อยตามที่อีกฝ่ายขอเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ภรรยาของเขารับรู้ด้วย
นั่นคือเบาะแสเพียงหนึ่งเดียวในมือเซิ่งเจาซี เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอย่อมหมดทางไปต่อ
ฉินจิ้งเห็นเพื่อนรักกลับมาด้วยสีหน้าอมทุกข์ ก็บอกว่าเย็นนี้จะพาไปบาร์เหล้าที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเธอเป็นเจ้าของ เซิ่งเจาซีจะได้สนุกสุดเหวี่ยงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเริ่มงานอย่างเป็นทางการ
เซิ่งเจาซีบอกว่ายังไงก็ได้ เธอสอดมือในกระเป๋าเสื้อแบบมีฮูด ตั้งท่าจะเดินไปที่ประตูบ้าน “ไปกันเถอะ ที่ไหนล่ะ”
ฉินจิ้งอดไม่ได้ที่จะโมโหความไม่ยี่หระของเพื่อนสนิท มือข้างหนึ่งคว้าหมวกฮูดของเซิ่งเจาซีไว้และลากเธอไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“พวกเราจะไปเที่ยวบาร์ ไม่ได้ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะนะคะเจ๊”
ฉินจิ้งบ่นกระปอดกระแปดพลางรื้อตู้เสื้อผ้าของเธอ “เสื้อผ้าที่เอากลับมาจากอเมริกา ไม่มีเดรสที่พอไปวัดไปวากับเขาได้สักชุดเลยหรือไง”
รื้อหาอยู่นานสองนาน จนในที่สุดก็เจอชุดเดรสผ้าซาตินสีเงินแบบเปิดไหล่ที่ก้นกล่องเก็บของ
“ไม่เอาชุดนั้น!” ทันทีที่เห็นเงาสะท้อนของเดรสชุดนั้นในกระจก เซิ่งเจาซีก็หันไปแย่งชุดจากมือฉินจิ้งทันที ท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนมาก
ปฏิกิริยาอ่อนไหวจนผิดสังเกตของเซิ่งเจาซี ทำให้ฉินจิ้งรู้ทันทีว่าเธอต้องคิดถึงจิ้นซืออวี้อีกแล้วแน่ๆ
เมื่อครู่ออกแรงมากเกินไป ทำให้เดรสเกิดรอยยับเป็นริ้วใหญ่ เซิ่งเจาซีใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งไล้ผ่านเนื้อผ้าซาตินด้วยสีหน้าอึดอัด เธอหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ทำคอตกพลางพูดว่า “ช่างเถอะ ชุดนี้ก็ได้”
เธอเขวี้ยงชุดเดรสไปไว้บนเตียง แล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ฉินจิ้งยืนอยู่ด้านหลัง มือทั้งสองประกบอยู่เหนือไหล่ของหญิงสาว “เสี่ยวซี เธอควรเดินออกมาจากอดีตเสียที...”
จุดหมายสำหรับความบันเทิงของคู่ซี้ในค่ำคืนนี้คือบาร์เหล้าโลตัสซึ่งเป็นบาร์ชื่อดังที่สุดของเมืองเหิงเฉิง สาวสวยสองสไตล์ที่บุคลิกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเดินเข้ามาในร้าน ดึงดูดสายตาของเหล่านักล่าได้ในฉับพลัน
เซิ่งเจาซีตัวเล็กกว่าฉินจิ้ง เครื่องหน้าของเธออ่อนหวานละมุนละไม เวลาไม่แต่งหน้าจะดูอ่อนเยาว์เหมือนนักเรียนมัธยมต้น แต่พอแต่งแต้มเครื่องสำอางบ้างนิดหน่อย จะเผยให้เห็นความงามเปี่ยมเสน่ห์ชวนให้ใจสั่นไหว เป็นความสวยที่ไม่จัดจ้านจนดาษดื่น จริตธรรมชาติไม่แต้มแต่งจนดูเสแสร้ง
ส่วนฉินจิ้งเป็นสาวสวยสายช่ำปอด9 เครื่องสำอางราคาแพงระยับที่ให้ลุคเบาบางเป็นธรรมชาติมากมายเต็มโต๊ะเครื่องแป้ง แต่งแต้มเพื่อขับเน้นให้เห็นเสน่ห์แบบเยือกเย็นและเฉลียวฉลาดของเธอ
หากให้ผู้หญิงเป็นกรรมการตัดสิน พวกเธอจะชอบรูปร่างหน้าตาแบบฉินจิ้ง แต่ผู้ชายทุกคนบนโลกมักต้องตาต้องใจสิ่งที่งดงามแต่อันตรายอยู่เสมอ
หรงอี้ เถ้าแก่เจ้าของบาร์เป็นเพื่อนกับฉินจิ้ง เขาชงเหล้ามาเสิร์ฟที่โต๊ะของหญิงสาวทั้งสองด้วยตัวเอง และบอกว่ามีลูกค้าจ่ายบิลให้เพื่อนคนนั้นของเธอเรียบร้อยแล้ว
แต่ไหนมา บาร์เหล้าก็ไม่เคยขาดคนที่พร้อมเปย์ให้สาวสวยอยู่แล้ว
“เสี่ยวซี เธอมีใบหน้าของปีศาจจิ้งจอกแท้ๆ ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ เสียดายของ! ถ้าฉันหน้าแบบเธอนะ ป่านนี้สลับรางผู้ชายเจ็ดแปดคนพร้อมกันไปแล้ว จะมัวไปผูกคอตัวเองตายอยู่ใต้ต้นไม้แห้งโกร๋นนั่นเพื่ออะไร”
เซิ่งเจาซีดื่มจนเริ่มเมากรึ่มๆ แล้ว...ตอนเธออยู่เมืองนอกมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดื่มหนักมากจนมีอาการติดเหล้า ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ตอนนั้นลีต้องบังคับส่งตัวเธอไปบำบัดกับกลุ่มเอเอ10จนค่อยๆ เลิกเหล้าได้สำเร็จ แต่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังติดนิสัยต้องดื่มไวน์แดงแก้วหนึ่งก่อนนอน
พอเมาแล้ว เธอก็พูดเรื่องจิ้นซืออวี้ได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่าไหร่ เธอหัวเราะพลางเทเตกิลาให้ตัวเองอีกแก้วแล้วพูดว่า “แม่โฉมตรู พูดอะไรอย่างนั้นล่ะจ๊ะ ในใจฉันมีเธอแค่คนเดียวนะ! ยังจำได้ไหม ตอนที่พวกเราเรียนอยู่ ม. ปลาย กรรมการสภานักเรียนเขียนจดหมายรักถึงเธอว่ายังไง ‘ยามชม้ายชายตางามแฉล้ม ยามสรวลแย้มประไพผ่องดังนวลหยก งามอรชรเอวอ่อนวิลาวัณย์ จนข้านั้นหลงลืมสิ้นกระยาหาร’ ฮ่าๆๆ โรแมนติกที่สุด”
อันที่จริงสมัยที่พวกเธอเรียนที่เดียวกัน ก่อนฉินจิ้งจะย้ายโรงเรียนช่วง ม. ปลาย เป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุขมาก หากไม่ใช่เพราะภายหลังเกิดเหตุการณ์นั้น เธอคงไม่ต้องย้ายไปเรียนต่างประเทศ และคงไม่ได้เจอกับจิ้นซืออวี้ เธอคงทำกรรมอะไรไว้กับเขาตั้งแต่ชาติปางก่อน
“เงียบไปเลยนะ เธอนี่จริงๆ เลยเชียว เอาจริงๆ นะ เธอโสดมานานขนาดนี้ ไม่มีใครที่เข้าตาเลยเหรอ”
เซิ่งเจาซีเตะรองเท้าส้นสูงให้หลุดจากเท้า แล้วซุกตัวลึกเข้าไปในโซฟา เหมือนตัวหดลงจนเล็กจิ๋ว
“เธอเคยเจอจิ้นซืออวี้ไหม”
“หา?”
“อ้อ จริงด้วย เธอไม่เคยเจอเขานี่นา” เซิ่งเจาซีกรอกเหล้าใส่ปากอีกอึกใหญ่ ในสถานที่ที่ทุกคนมาเพื่อแสวงหาความบันเทิง เสียงอึกทึกและความครื้นเครงที่ห้อมล้อมอยู่รอบกาย ทำให้ความปวดร้าวเปล่าเปลี่ยวคล้ายถูกดูดกลืนจนมลายไปหมดสิ้น เธอถึงพูดเรื่องเขาได้ด้วยท่าทางสบายๆ แบบนี้
“จิ้นซืออวี้เนี่ย หน้าตาหล่อโคตรๆ เสียงก็ชวนหลงสุดๆ เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนโลกทั้งใบของเขามีเราคนเดียวเท่านั้นเวลาเขารักเรา เขาจะทะนุถนอมเราแบบไม่สนโลกไม่สนใครทั้งนั้น แต่...สุดท้ายก็ไม่เห็นมีความหมายอะไร”
ฉินจิ้งวางแก้วเหล้าในมือ แล้วโอบไหล่ดึงตัวเซิ่งเจาซีเข้ามากอดด้วยความสงสาร “เสี่ยวซี เธอเมาแล้วนะ”
เซิ่งเจาซีเอนศีรษะพิงไหล่ของเพื่อนซี้ พึมพำซ้ำอีกว่า “สุดท้ายก็ไม่เห็นมีความหมายอะไร...”
บทจะไปก็ไปโดยไม่หันกลับมาอีก ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้เหนี่ยวรั้งเขาไว้แม้สักครั้ง ช่วงเวลาหกปีที่ผันผ่านเหมือนเธอควักหัวใจไปทิ้งเป็นอาหารหมา แต่สุดท้ายทำอย่างไรก็เกลียดเขาไม่ลง ไม่ว่าเขาจะทำผิดอะไรแค่ไหน เธอก็ยังช่วยหาข้ออ้างมาเถียงแทนเขาได้ทุกครั้ง ปิดหูปิดตาตัวเองให้เชื่อว่าเขาอาจมีเรื่องลำบากใจบางอย่างที่บอกให้เธอรู้ไม่ได้
ภายในห้องวีไอพี V1 ของบาร์โลตัส คนกลุ่มใหญ่นั่งดื่มกินสังสรรค์ ตั้งแต่นาทีแรกที่เจ๊ฮวาพาเสี่ยวซี11เข้ามาในห้อง สายตาของเธอก็สะดุดที่ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวซึ่งนั่งอยู่กึ่งกลางโซฟาทรงเกือกม้า
ข้างกายผู้ชายทุกคนในห้องล้วนมี ‘สาวพีอาร์12ห้องVIP’ นั่งขนาบอยู่คนหรือสองคน มีเพียงเขาที่นั่งอยู่คนเดียว
ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นดื่มจนเมาแล้วหรือไม่ ศีรษะเขาเอียงไปด้านข้างน้อยๆ เส้นผมไล้ลงปรกดวงตาทั้งสอง ส่วนปกคอของเสื้อเชิ้ตผ้าป่านสีขาวเผยอเปิดนิดหน่อย ชายแขนเสื้อม้วนหลวมๆ ไว้ที่ข้อศอก เผยให้เห็นเส้นมัดกล้ามเนื้อที่เพรียวบางแต่แข็งแกร่ง ขาทั้งสองที่ยกขึ้นซ้อนกันเหนือโต๊ะกระจกแลดูเพรียวยาวกว่าคนทั่วไป...คนบางคนแค่นั่งเฉยๆ ก็กลายเป็นภูมิทัศน์อันงดงามสำหรับคนรอบข้างได้แล้ว
เสี่ยวซีเพิ่งเข้าสู่วงการนี้ได้ไม่นาน เธอทะเลาะกับครอบครัว หนีออกจากบ้าน และถูกตัดขาดด้านทุนทรัพย์ เพื่อนของเธอก็เลยแนะนำให้มาทำงานเป็นพนักงานดูแลแขกที่นี่
ห้องวีไอพีของบาร์โลตัสนับว่าเป็นสถานที่สังสรรค์ที่มีระดับและหรูหราพอตัว คนที่เข้ามาใช้บริการที่นี่ล้วนผ่านการคัดกรองมาแล้วระดับหนึ่ง แถมยังได้ทิปเยอะมาก เธอยังอยู่ในช่วงทดลองงาน และนี่เป็นวันแรกที่เธอมาทำงานที่นี่
เจ๊ฮวาเคยสอนวิธีดูลูกค้าให้เธอ ถ้าเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างมีอายุ มีพุงเบียร์ และมีแอ่งเมดิเตอร์เรเนียนที่กลางกระหม่อม จะให้ทิปไม่น้อยเลย เสี่ยวซีจ้องชายที่นั่งอยู่กลางโซฟาคนนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ หากประเมินด้วยความรู้ที่เจ๊ฮวาสอนมา ผู้ชายคนนี้ต้องขี้เหนียวมากแน่
แม้ว่าแสงไฟในห้องจะมืดสลัวจนเห็นใบหน้าของชายหนุ่มไม่ชัด แต่เธอกลับถูกชะตาเขาตั้งแต่แรกพบโดยไม่มีสาเหตุ
“เอ๊า...มัวยืนเหม่ออะไรอยู่เล่าเจ๊ฮวา บอกให้แม่หนูนี่ไปรินเหล้าให้คุณเหยียนเร็วเข้าสิ”
“ค่ะๆ” เจ๊ฮวาผลักเธอทีหนึ่ง “เสี่ยวซี รีบไปเร็วเข้าสิ”
สัญชาตญาณอันเฉียบคมของเสี่ยวซีบอกให้เธอรู้ว่าชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง อึดใจนั้นประกายยินดีระคนประหลาดใจฉายวาบในดวงตาของเขา ก่อนจะดับวูบไปในเสี้ยววินาทีที่กวาดตาปราดผ่าน จากนั้นเขาก็หลุบตาลงอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง
“ดูแลคุณเหยียนให้ดีนะจ๊ะ” เจ๊ฮวาสำทับอีกครั้งพอเป็นพิธี แม้ว่าในห้องไม่มีใครสนใจสิ่งที่เธอพูด ทั้งยังโบกมือไล่เธอด้วยสีหน้ารำคาญ เจ๊ฮวารับทิปไว้ในมือแล้วถอยออกไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง
เสี่ยวซีถือเหล้าแก้วหนึ่งแล้วเดินไปนั่งข้างชายคนนั้นอย่างว่าง่าย ตัวอ่อนเอนลงอิงแนบตัวเขาราวกับลำตัวไม่มีกระดูก ชายคนนั้นกระเถิบไปด้านข้าง เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาหลบ เว้นระยะห่างไม่ให้เธอแตะโดนตัว
“คุณเหยียน” หญิงสาวเรียกเขาเสียงเบาอย่างหวั่นๆ แล้วทำท่าจะเข้าไปช่วยรินเหล้าให้ แต่พอเขยิบไปใกล้ก็ได้กลิ่นเหล้าโชยคลุ้งจากตัวเขา ชั่วขณะนั้นเธอเริ่มไม่แน่ใจว่าควรรินเหล้าแก้วนี้ให้เขาอีกหรือไม่
ดูเหมือนเขาดื่มไปเยอะพอสมควรแล้ว แม้กระทั่งหางตายังเริ่มปรากฏสีชมพูเรื่ออยู่รางๆ ขับเน้นเสน่ห์ดึงดูดในดวงตาดอกท้อ13 ที่ฉ่ำรื้นเป็นประกายคู่นั้น
เมื่อขยับเข้ามาใกล้จึงเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน เป็นผู้ชายที่สวยอะไรอย่างนี้ จ้าวเสี่ยวซีเองก็ประหลาดใจอยู่บ้างที่คุณศัพท์คำแรกที่ผุดขึ้นในสมองเมื่อเห็นหน้าเขาคือคำว่าสวย ไม่ใช่ความสวยแบบมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ทั้งเมื่อมองลึกลงไป ยิ่งรู้สึกว่ามีความบิดเบี้ยวขัดแย้งบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น
จู่ๆ เธอก็นึกถึงคำที่แม่เคยพูดกับเธอสมัยเด็ก กายเฉกบุรุษโฉมดุจสตรี คือเภทภัยมากกว่ามงคล
“เธอชื่อเสี่ยวซีเหรอ ‘ซี’ เขียนด้วยตัวอักษรตัวไหน” เหยียนเจิ้งแกว่งแก้วเหล้าในมือ ไม่มองหน้าเธอตรงๆ แม้กำลังพูดกับเธออยู่
“เอ่อ...เส้นลากซ้าย เส้นขวางลากซ้าย แล้วก็จุด14ค่ะ” เสี่ยวซีตอบพลางคว้ามือข้างที่ว่างอยู่ของชายหนุ่ม แล้วใช้นิ้วลากเขียนลำดับขีดตัวอักษรเป็นชื่อของเธอ
เหยียนเจิ้งรีบชักมือหลบราวโดนไฟชอร์ต เสี่ยวซีรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“แหวนสวยจังเลยค่ะ” เสี่ยวซีเพิ่งสังเกตเห็นว่านิ้วกลางของชายหนุ่มสวมแหวนที่มีลักษณะพิเศษมากวงหนึ่ง เป็นแหวนทองคำขาวผิวเกลี้ยง ด้านบนสลักเป็นลายจุดขนาดจิ๋วเรียงกันเป็นรูปทรงแปลกประหลาด มองไม่ออกเลยว่าเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายอะไร
พอเห็นเธอพินิจดูลวดลายบนแหวนของเขา เหยียนเจิ้งก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เธอดูรู้เรื่องด้วยเหรอ”
“รู้เรื่องค่ะ คุณแม่ของฉันตาบอด ลวดลายอันนี้น่าจะเป็นอักษรเบรลล์ ถ้าเปลี่ยนรอยบุ๋มบนแหวนของคุณเป็นลายนูนเหมือนอักษรเบรลล์ ความหมายก็คือ...”
“ชู่...” เหยียนเจิ้งขัดจังหวะไม่ให้เธอพูดต่อ แล้วยื่นแก้วเหล้ามาตรงหน้าหญิงสาว “นี่เป็นความลับนะ”
เขากุมฝ่ามือของตัวเองด้วยท่าที่ไม่เป็นธรรมชาตินัก ใช้นิ้วโป้งบังแหวนวงนั้นไว้ แล้วเงยหน้ายกเหล้ากระดกรวดเดียวหมดแก้ว
จ้าวเสี่ยวซีรู้สึกถึงความหวานที่ซาบซ่านอยู่ในใจ เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงยี่สิบนาที พวกเขาสองคนก็มีความลับระหว่างกันแล้ว
ชายที่เรียกจ้าวเสี่ยวซีเข้ามาในห้องเมื่อครู่เห็นว่าตอนแรกเหยียนเจิ้งดูเบื่อมาก แต่พอเจอแม่สาวน้อยนั่นก็หยอกเย้าพูดคุยอย่างสนุกสนาน จึงนึกว่าแผนประจบสอพลอของตนสัมฤทธิผลแล้ว รีบถือแก้วเหล้าพร้อมยิ้มกระหยิ่มบนใบหน้าเดินเข้าไปคุยกับเขา
“คุณเหยียนครับ วันนี้ท่านผู้อำนวยการหลัวมาด้วยตัวเองเลยนะครับ หวังว่าคงทำให้คุณเหยียนได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและจริงจังของโรงพยาบาลเรา ราคาที่คุณเหยียนเสนอมาน่ะครับ ไม่ทราบว่าพอที่จะ...” ชายคนนั้นหัวเราะอยู่ในคอพลางทำท่าใช้ฝ่ามือกดลง
เหยียนเจิ้งคลำหากระเป๋าเงินจากด้านหลังตัว แล้วหยิบธนบัตรสีแดงใหม่เอี่ยมหลายใบออกมาวางใส่ฝ่ามือของเสี่ยวซี ก่อนจะหันไปคุยกับชายคนนั้น
จ้าวเสี่ยวซีสัมผัสได้ว่า พอเขาเข้าสู่โหมดการทำงานแล้ว ก็เปลี่ยนไปราวเป็นคนละคน ทั้งเยือกเย็นและเฉียบขาด
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะยกเหตุผลที่หนักแน่นน่าเชื่อถือเพียงใดมาถกเถียง เขาก็ตอกกลับด้วยวิทยายุทธ์มวยไทเก๊ก15จนอีกฝ่ายต้องม้วนหลังกลับไปทุกครั้ง จ้าวเสี่ยวซีเห็นชายสูงวัยทางฝั่งซ้ายของโซฟาหันไปส่งสายตาให้ลูกน้องของตน
ชายคนนั้นขยับเข้าไปจนชิดข้างหูเหยียนเจิ้ง พลางชูสามนิ้วแล้วพูดว่า “สามเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นของขวัญต้อนรับคุณเหยียนจากพวกเราป๋ออ้ายก็แล้วกันนะครับ”
ชายคนนั้นพูดพลางเหลือบหางตามองจ้าวเสี่ยวซีที่นั่งอยู่ด้านหลังเหยียนเจิ้งอย่างกึ่งจงใจกึ่งบังเอิญ ราวกับกำลังระแวดระวังไม่อยากให้เธอแอบฟัง
เสี่ยวซีทำเป็นใจลอย ราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
ประสบการณ์ทางโลกของเธอไม่โชกโชน แต่ย่อมต้องรู้ว่าโรงพยาบาลสั่งยาครั้งหนึ่งต้องคำนวณเป็นหลักล้านหรือพันล้าน สำหรับเธอแล้ว แค่สามเปอร์เซ็นต์ก็นับเป็นเงินมหาศาลเกินกว่าจะจินตนาการได้
แย่ที่สุด พอคิดถึงแม่ที่ป่วยหนักจนเสียชีวิตเพราะไม่มีเงินซื้อยา จมูกของเธอก็แสบร้อนขึ้นมาหน่อยๆ
“ทางโรงพยาบาลอาจจะเข้าใจผิดไปนะครับ นี่คือราคาต่ำที่สุดของพวกเราแล้วครับ”
รูปลักษณ์ภายนอกอ่อนละมุนสง่างาม ใบหน้างดงามบอบบางดุจหยก แต่น้ำเสียงเวลาคุยธุรกิจกลับแข็งกระด้างไม่น่าคบหาเลยสักนิด
รุ่นพี่ของจ้าวเสี่ยวซีที่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงตัวเธอขึ้นแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ไหนๆ ตอนนี้เธอก็ว่างอยู่ ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
จ้าวเสี่ยวซีถูกลากออกไปนอกห้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย...ไม่ใช่นักเรียนมัธยมสักหน่อย ถึงต้องหาเพื่อนไปเข้าห้องน้ำเป็นกลุ่ม
พอเดินออกมาถึงระเบียงทางเดิน รุ่นพี่ก็เริ่มอบรมเธอทันที
“เธอโง่หรืออะไรเนี่ย? พวกเขากำลังคุยเรื่องพวกนั้น เธอกลับเข้าไปนั่งฟังซะใกล้ ชีวิตน้อยๆ ของเธอเนี่ย ไม่อยากเก็บไว้แล้วหรือยังไง”
“ไม่น่ากลัวอะไรขนาดนั้นหรอกมั้งคะ ก็แค่รับเงินนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้ฆ่าคนวางเพลิงสักหน่อย อีกอย่างเขาก็ไม่ได้รับเงินด้วย”
“ก็มีเธอตัวเป็นๆ นั่งอยู่ตรงนั้นทั้งคน เขาจะกล้ารับได้ยังไง ฉันกล้าพนันกับเธอตรงนี้เลยว่าตอนนี้พวกเขากำลังต่อรองราคากันแล้ว”
“จริงเหรอคะ”
“เสี่ยวซี พี่ขอบอกเธอไว้ตรงนี้ แล้วอย่ามาโทษว่าพี่ไม่เคยสอน คนที่ทำอาชีพอย่างพวกเราน่ะ ต้องหูหนวกตาบอด เธอเข้าใจไหม ปากของพวกเรามีไว้กินข้าวอย่างเดียวก็พอแล้ว”
จ้าวเสี่ยวซีอ้อยอิ่งอยู่ด้านนอกครู่หนึ่งค่อยกลับเข้าไปในห้อง เหยียนเจิ้งกลับไปนั่งคนเดียวอีกแล้ว หญิงสาวแอบลอบสังเกตสีหน้าของเขา แต่ไม่อาจบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งเธอกลับไปนั่งข้างเขา จึงเห็นว่าบนพื้นโต๊ะข้างแก้วเหล้าตรงที่พวกเขานั่งคุยกันเมื่อครู่ มีตัวอักษรที่เขียนด้วยน้ำเอาไว้ เป็นเลข 8 ที่กำลังแห้งและเลือนหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ชั่วขณะนั้นสีหน้าของหญิงสาวหม่นไปชั่วครู่...เป็นจริงอย่างที่พวกพี่ๆ บอกไว้ไม่มีผิด
“คุณเหยียนครับ มาๆ เรามาดื่มกันอีกแก้ว!” ชายสูงวัยที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของโซฟาคือหลัวจินเซิ่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลป๋ออ้าย โรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเหิงเฉิง อายุปาเข้าไปจะหกสิบแล้ว แต่เวลาคุยธุรกิจก็ยังเลือกมาเริงร่ำสุรานารีในสถานที่คาวโลกีย์อย่างที่นี่
คนมากมายที่นั่งอยู่รอบด้านพากันเข้ามารินเหล้าและขอชนแก้วกับจิ้งจอกเฒ่า จากนั้นพวกเขาก็เริ่มชวนกันคุยสัพเพเหระไปเรื่องอื่น
ก่อนจะมาที่บาร์แห่งนี้ เหยียนเจิ้งมีนัดกินข้าวคุยธุรกิจ และระหว่างกินข้าวก็ดื่มไปไม่น้อยแล้ว แต่บอสใหญ่ของเขา ทังเหอสิง เคยบอกว่าห้ามปฏิเสธเหล้าในวงดื่มคุยธุรกิจ ดังนั้นเขาจึงกระดกลงคอไปอีกหนึ่งชอต กระเพาะเริ่มรู้สึกปวดแปลบ
เขาค่อยๆ เลื่อนมือไปที่ท้องน้อย มีเพียงเสี่ยวซีที่สังเกตเห็น ทุกครั้งที่มีคนมาขอชนแก้ว เธอจึงแกล้งรินเหล้าให้เขาจนปริ่มแทนการแก้แค้นกลายๆ จนกระทั่งเขาหน้าเผือดเป็นสีเถ้าและต้องเดินไปเข้าห้องน้ำ
เขายืนอยู่เพียงคนเดียวในห้องน้ำชาย เสียงน้ำไหลซู่ซ่าเป็นระยะ ความเจ็บแปลบในกระเพาะยิ่งรุนแรงชัดเจนกว่าตอนแรก เหงื่อเม็ดบางๆ ผุดพราวจนเสื้อเปียกชุ่ม เหยียนเจิ้งก้มตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของอ่างล้างหน้า ใช้มือทั้งสองวักน้ำสะอาดขึ้นสาดหน้าของตัวเอง
ดื่มเหล้ามากไปหน่อย เงาสะท้อนของคนในกระจกเริ่มปรากฏความบิดเบี้ยว รอยยิ้มตามแบบฉบับของคนทำการค้าค่อยๆ เจื่อนจางลง เผยกลิ่นอายความขบถขวางโลกที่ซ่อนอยู่ในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนัยน์ตาสีดำที่เย็นเยือกและแหลมคมคู่นั้นที่กำลังจดจ้องทุกสิ่งรอบกายด้วยความชิงชัง รวมทั้งตัวเขาเองด้วย
เขาเกาะขอบอ่างล้างหน้าแล้วยิ้มหยันให้เงาสะท้อนของตัวเองในกระจก เขาสวมหน้ากากมานานเกินไปแล้ว จนลืมแม้กระทั่งตัวเองเป็นใคร
ตอนที่เหยียนเจิ้งเดินกลับมาที่ห้องวีไอพี นิ้วเพิ่งแตะมือจับประตู ก็ได้ยินเสียงหัวเราะลั่นอย่างสะใจแว่วมาจากด้านใน
“โคตรจะหยิ่งเลย ขนาดอยู่ต่อหน้าทังเหอสิงยังไม่รู้จักนอบน้อมเข้าหาผู้ใหญ่”
“ไม่รู้ว่าทังเหอสิงคิดอะไรของเขาอยู่ ก็แค่เด็กที่เลี้ยงไว้ เล่นเอาสนุกที่บ้านก็น่าจะพอแล้ว ไม่เห็นต้องพามาทำงานที่บริษัท อย่างกับเขาเป็นยอดสมบัติดีเด่มาจากไหน ช่างไม่รู้จักคุณค่าของกิจการที่พ่อเขาทิ้งไว้ให้บ้างเลย”
“จริงด้วยเหอะ ถึงกับกล้าเรียก 8% โลภจริงๆ”
“พูดตามจริงนะ ผมเองก็ไม่ชินกับการทำงานกับ ‘คนประเภทนี้’ เหมือนกัน” ประโยคสุดท้ายเป็นเสียงของหลัวจินเซิ่ง ความหมายของคำว่า ‘คนประเภทนี้’ ของเขาก็คือพวกรักร่วมเพศ
คำพูดของผู้อำนวยการโรงพยาบาลเรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่จากคนรอบข้าง ขนาดอยู่อีกฝั่งของประตูยังรู้เลยว่าคนพวกนั้นกำลังตีหน้าประจบสอพลอยังไง
เหยียนเจิ้งผลักประตูก้าวเข้าไปทันที เสียงภายในห้องเงียบกริบไปในฉับพลัน สีหน้าของทุกคนฉายแววกระอักกระอ่วน บางคนหุบยิ้มไม่ทันด้วยซ้ำ
สุดท้ายก็พวกปาท่องโก๋หนังเหนียว16ทั้งนั้น หลัวจินเซิ่งรีบยิ้มกว้างพลางกวักมือเรียกเขาเข้าไปดื่มด้วยกัน ทำท่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหยียนเจิ้งหยิบซองบุหรี่ฟูหลงหวังกล่องน้ำเงินจากบนโต๊ะ แล้วหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นคีบที่ริมฝีปาก “พวกคุณดื่มกันไปก่อนนะครับ ผมขอตัวออกไปสูบบุหรี่”
เหยียนเจิ้งเอนตัวพิงผนังด้านข้างป้ายร้านโลตัส แสงไฟนีออนสีน้ำเงินสะท้อนบนใบหน้า เดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวมืด
มือข้างหนึ่งยกขึ้นจุดไฟแช็ก มืออีกข้างยกขึ้นป้องลม ก่อนจะอัดควันเข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วเงยหน้าพ่นควันออกไปอย่างช้าๆ สันกรามที่เชิดขึ้นเผยให้เห็นเส้นโครงหน้าที่เฉียบคมและหมดจด สร้อยรูปไม้กางเขนสีเงินที่คล้องอยู่รอบลำคอไหลลงมาห้อยอยู่ที่กลางอก ขับเน้นให้เห็นถึงความเย้ายวนระดับเพชฌฆาต ผู้หญิงที่เดินผ่านไปมาถึงกับต้องเหลียวหลัง
“หลบหน่อยค่ะ หลบหน่อย” ฉินจิ้งพยุงเซิ่งเจาซีที่เมาเละเทะเดินออกมาจากประตูด้านหลังของเขา
ประตูของบาร์โลตัสไม่มีพื้นที่มากนัก เจ้าของร้านเป็นฮิปสเตอร์ติสต์แตก จึงวางรูปปั้นม้าสไตล์วินเทจสองตัวไว้ตรงปากทางเข้าร้าน กินพื้นที่สัญจรไปไม่น้อย ทำให้เข้าออกไม่สะดวก
เหยียนเจิ้งรูปร่างสูง แค่ยืนที่ปากทางเข้าก็ปิดทางเดินไปกว่าครึ่ง
“ขอโทษนะคะ ช่วยหลบหน่อย เพื่อนของฉันเมาค่ะ” ฉินจิ้งแตะไหล่ของเขาเบาๆ
ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย ขยับไปด้านข้างโดยที่ยังหันหลังให้หญิงสาวทั้งสอง
“จิ้นซืออวี้!”
ฉับพลันนั้นมือคู่หนึ่งก็พุ่งเข้าคว้าลำคอเขาจากด้านหลัง เหยียนเจิ้งหน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน เขายืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ราวกับเท้าทั้งสองถูกตรึงจนไม่อาจกระดิกกระเดี้ย
ตลอดช่วงเวลาหกปีที่ผ่านมา เซิ่งเจาซีแทบไม่ได้บอกเรื่องจิ้นซืออวี้กับใคร จะดี จะเลวร้าย ทุกสิ่งถูกซ่อนไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ แต่วันนี้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เธอเที่ยวคว้าตัวคนแปลกหน้าและเรียกชื่อเขา ฉินจิ้งด่าเธอว่าทำตัวน่าขายหน้า
ตอนที่เซิ่งเจาซีเดินผ่านเหยียนเจิ้ง ก็ใช้มือโอบลำคอของเขาไว้ และจับหน้าเขาให้หันมามองเธอ
เพราะเธอเพิ่งร้องไห้ เครื่องสำอางรอบดวงตาจึงเปรอะเลอะเป็นปื้นสีดำ ลิปสติกก็ถูกปาดเลอะไปบนหน้า สภาพเหมือนตัวตลก มีเพียงดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับคู่นั้นที่กำลังจ้องใบหน้าของเหยียนเจิ้งอย่างไม่ละสายตา
“คนสารเลว” เซิ่งเจาซีง้างมือขึ้นสูง ตั้งท่าจะตบหน้าเขาฉาดใหญ่ ฉินจิ้งเข้ามารั้งไว้ไม่ทัน ได้แต่หลับตาปี๋ด้วยความสยดสยอง
แต่วินาทีที่มือวาดลงแตะเป้าหมาย กลับเหลือเพียงสัมผัสแผ่วเบาลากผ่านใบหน้า มือเพรียวเล็กไล้ลงคล้องรอบลำคอและกอดเขาเอาไว้
เหยียนเจิ้งรีบหงายมือออก ด้วยกลัวว่าปลายบุหรี่จะลวกโดนหญิงสาว เธอเมามากจริงๆ เมาจนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
“คุณรู้บ้างไหม...รู้บ้างไหม...ว่าฉันคิดถึงคุณขนาดไหน คุณอยู่ไหนกันแน่” หญิงสาวหลับตาลง ก่อนจะจุมพิตอย่างแผ่วเบาที่ข้างแก้มของชายหนุ่ม จุมพิตนั้นช่างบริสุทธิ์จนเขาไม่อาจจินตนาการล่วงล้ำไปถึงสิ่งอื่น
ฉินจิ้งรีบเข้ามาลากเซิ่งเจาซีที่เกาะชายหนุ่มแปลกหน้าแน่นราวกับโคอาลาเกาะต้นยูคาลิปตัส “ขอโทษด้วยนะคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ เพื่อนฉันเมาเลยจำคนผิดน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร...”
พอได้ยินเสียงชายหนุ่มฉินจิ้งก็ถึงกับชะงัก เป็นเสียงผู้ชายที่แหบห้าวและระคายหูอย่างที่สุด แตกต่างจากบุคลิกของเจ้าตัวอย่างสิ้นเชิง
ฉินจิ้งอ่อนไหวกับเรื่องเสียงยิ่งกว่ารูปลักษณ์ภายนอก แต่พอเธอได้เห็นหน้าของชายหนุ่มชัดๆ ก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าเพื่อนซี้อยู่ในใจ ‘เซิ่งเจาซี เธอคิดจะแย่งดอกท้อ17ไปให้หมดโลกเลยหรือยังไง!’
คนเมาตัวหนักไม่ต่างจากตะกั่ว ฉินจิ้งที่สูงร้อยเจ็ดสิบยังถูกเธอทับจนเหลือความสูงแค่ร้อยห้าสิบ ขยับทางไหนก็ลำบากไปหมด
“คุณคะ ช่วยฉันพยุงเพื่อนฉันเดี๋ยวหนึ่งได้ไหมคะ ฉันจะไปเรียกแท็กซี่เข้ามาค่ะ” ฉินจิ้งไม่มีทางเลือกนอกจากขอความช่วยเหลือจากมนุษย์เพียงคนเดียวในรัศมีห้าเมตรรอบตัวเธอ แม้ว่าเขาจะเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งถูกเซิ่งเจาซีลวนลามเมื่อครู่ก็ตาม
“อืม” อีกฝ่ายรับคำอย่างว่าง่าย แล้วโอบเซิ่งเจาซีที่เมาหมดสภาพไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
ฉินจิ้งเรียกแท็กซี่ได้อย่างรวดเร็ว แล้วคนแปลกหน้ารูปหล่อก็ยังช่วยอุ้มเซิ่งเจาซีขึ้นมานั่งที่เบาะหลังของรถ และช่วยปิดประตูอย่างใจดี
ฉินจิ้งหมุนเปิดกระจกจากที่นั่งด้านข้างคนขับแล้วพูดขอบคุณเขา อีกฝ่ายพยักหน้า แท็กซี่วิ่งฝุ่นตลบมุ่งหน้าสู่ปลายทาง หญิงสาวเหลือบมองกระจกมองหลัง และเห็นว่าชายคนนั้นยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ตามองตามรถที่กำลังเคลื่อนที่ห่างออกไป
บุหรี่ไหม้จนสุดมวน พอสะเก็ดไฟลวกโดยปลายนิ้ว เหยียนเจิ้งถึงได้สติ และรีบเหวี่ยงก้นบุหรี่ลงไปที่พื้น
เขาก้มหน้า มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ประกายเย็นเยือกในแววตาเลือนสลาย เหลือไว้เพียงความอบอุ่น
ความคิดเห็น |
---|