บทที่ 4
เทพบุตรนักพากย์
อรุณรุ่งผ่านพ้นไปแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้เธอ
รพินทรนาถ ฐากูร
ดื่มจนเมาหนัก ปวดหัวราวกะโหลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แม้กระทั่งในความฝันก็ยังไม่ได้พบความสงบสุข
เพราะก่อนหน้านี้ถูกฉินจิ้งบังคับให้นั่งฟังผลงานของฮวายจิ่น วันนี้พอเธอหลับก็เลยเก็บไปฝัน ได้ยินเสียงฮวายจิ่นพูดอยู่ในความฝันว่า
“ผมพูดว่ารักคุณร้อยครั้ง คุณอาจไม่เชื่อ แต่แค่พูดว่าไม่รักประโยคเดียว ก็เท่ากับผลักไสคุณออกไปจากชีวิต คนที่คุณไม่เชื่อใจคือผม หรือคือตัวคุณเองกันแน่”
น้ำเสียงเขาเริ่มต้นด้วยความกราดเกรี้ยว ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง จนสุดท้ายกลายเป็นทุกข์ระทมแสนสาหัส ฮวายจิ่นที่กำลังพูดกับเธอในความฝันเดินออกมาจากความมืด แต่ใบหน้าของเขากลับกลายเป็นจิ้นซืออวี้
เซิ่งเจาซีสะดุ้งตื่น เหงื่อน้อยๆ ผุดพราวทั่วใบหน้า
แสงยามเช้าสีขาวเจือเทาเหมือนท้องปลาค่อยๆ ปรากฏที่นอกหน้าต่าง ตามด้วยเสียงนกร้องรับอรุณ เธอใช้นิ้วกดขมับไว้แล้วส่ายศีรษะเบาๆ...เซิ่งเจาซีหนอเซิ่งเจาซี เมื่อไหร่เธอจะเลิกนิสัยชอบคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้ได้เสียที
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์สุดท้ายก่อนเธอจะเริ่มงานอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า ทุกเสี้ยววินาทีจึงล้ำค่าอย่างที่สุด หญิงสาวล้มตัวลงไปงีบต่ออีกครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ถูกเสียงมือถือปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงฉินจิ้งตะโกนลั่นจากปลายสาย “เสี่ยวซี! ช่วยฉันเอาซองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะมาส่งให้ที่สถานีทีได้ไหม ไม่มีเวลาแล้ว รายการกำลังจะออนแอร์”
“ฉินจิ้ง เธออย่ามาหลอกฉันเสียให้ยาก” เซิ่งเจาซีพลิกตัวแล้วหลับตานอนต่อ ขนาดใช้นิ้วเท้าคิดยังรู้เลยว่านี่เป็นแผนที่แสนจะไม่เนียนในการจับคู่ดูตัวให้เธอกับฮวายจิ่น
“ฉันพูดจริงๆ ถ้าฉันไม่ได้สคริปต์นั่นก่อนบ่ายโมง ฉันต้องถูกไล่ออกแน่!” ฉินจิ้งพูดจบก็ตัดสายโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอปฏิเสธด้วยซ้ำ
เซิ่งเจาซีวางมือถือไว้ข้างหมอนแล้วหลับตาลงอีกครั้ง แต่สุดท้ายนอนได้ไม่ถึงสองนาทีก็ดีดตัวกระโดดขึ้นจากเตียง “บ้าที่สุด”
เธอเดินเข้าไปในห้องนอนของฉินจิ้ง บนโต๊ะมีสคริปต์วางอยู่ชุดหนึ่งจริงๆ อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะบ่ายโมงแล้ว หญิงสาวคว้าเสื้อโคตขึ้นมาสวมทับอย่างลวกๆ แล้วเรียกแท็กซี่มุ่งหน้าไปสถานีวิทยุ
ฉินจิ้งยืนรอรับเธออยู่ที่ประตู คนที่เดินเข้าออกสถานีวิทยุในย่านใจกลางเมืองล้วนแต่งตัวอย่างสดใสสวยงาม พอเห็นเซิ่งเจาซีเดินลงมาจากแท็กซี่ในสภาพหัวยุ่งเหยิงหน้าไม่ได้ล้าง ฉินจิ้งนึกอยากแกล้งทำไม่รู้จักเพื่อนซี้ของตัวเองขึ้นมาทันที
“ป้าเซิ่งคะ คือหนูก็รู้นะว่าป้าไม่อยากดูตัว แต่ป้าต้องเล่นแรงเบอร์นี้เลยเหรอคะ”
“อ้ะ เอาไป ฉันจะกลับไปนอนต่อแล้ว”
“เฮ้อๆๆ” ฉินจิ้งคว้าตัวเธอไว้ “ไหนๆ ก็มาแล้ว มาดูรายการที่ฉันจัดหน่อยน่า!”
แล้วฉินจิ้งก็ลากเธอขึ้นไปที่ห้องจัดรายการบนชั้นสามโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอโต้แย้ง จากนั้นโยนเธอให้ผู้กำกับรายการช่วยดูแล “เจ๊หลัวคะ นี่เพื่อนของฉันเองค่ะ เขามาฟังพวกเราออกอากาศสด ฝากพี่ดูแลเขาหน่อยนะคะ”
เธอจับเซิ่งเจาซีนั่งลงที่โซฟา ส่วนตัวเองรีบบึ่งไฟลุกเข้าไปอยู่ในห้องจัดรายการ แล้วหันกลับมาทำมือเป็นรูปหัวใจส่งให้เซิ่งเจาซีผ่านกระจกใสที่กั้นสองห้อง
เจ๊หลัวเทน้ำแก้วหนึ่งให้เซิ่งเจาซี “อีกเดี๋ยวพอแขกรับเชิญมาถึงก็จะเริ่มออกอากาศสดแล้ว ตามสบายแล้วกันนะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่หลัว” เซิ่งเจาซีรับแก้วพลาสติกใสไว้ในมือแล้วนั่งเหม่ออยู่ที่โซฟา เมื่อเช้าฝันร้ายจนสะดุ้งตื่น จนตอนนี้สติของเธอก็ยังฟื้นสภาพไม่เต็มร้อย คิดอยู่อย่างเดียวว่าอยากรีบกลับบ้านไปนอนต่อ
ช่วงเวลาการซ้อมบทและเทสต์เสียงอันยาวนาน เซิ่งเจาซีฟังเสียงคลื่นไฟฟ้าแซ่ดๆ ที่แว่วมาเข้าหูเป็นระยะ ก่อนจะผล็อยหลับไปบนโซฟาโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่ฮวายจิ่นเดินเข้ามาในห้องจัดรายการ สิ่งแรกที่สะดุดตาเขาก็คือสิ่งมีชีวิตปริศนาก้อนกลมๆ ที่นอนขดอยู่บนโซฟาห้องข้างๆ เส้นผมร่วงลงปรกใบหน้าของเธอไว้เกือบหมด เหลือเพียงส่วนคางเล็กจิ้มลิ้มที่โผล่ออกมาให้เห็น หัวเอียงกระเท่เร่เป็นมุมประหลาดที่ดูไม่น่าหลับลงได้ คล้ายว่าพร้อมจะเอียงจนล้มลงไปได้ทุกเมื่อ น้ำครึ่งแก้วที่ถือไว้ในมือเอียงตามองศาของลำตัว แต่น้ำกลับปริ่มนิ่งในมุมที่สมดุลอย่างประหลาด ทำให้ไม่ไหลหกจากแก้ว
เป็นภาพที่ระคายสายตาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มคนทำงานที่กำลังเดินไปมาอย่างกระตือรือร้นและเอาจริงเอาจัง เธอเหมือนสิ่งมีชีวิตล่องหนที่หลุดมาจากอีกมิติ แปลกแยกจากสภาพแวดล้อมรอบด้าน แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็น
จนกระทั่งเริ่มนับถอยหลังก่อนเข้าสู่รายการ ฉินจิ้งถึงสังเกตเห็นว่าสายตาของฮวายจิ่นคอยจะเหลือบมองไปทางเซิ่งเจาซีอยู่ตลอด เหมือนตั้งใจแต่ก็เหมือนบังเอิญ พอเห็นแบบนี้แล้วก็คิดอยู่ในใจว่า งานนี้สนุกแน่
“3...2...1...เริ่ม” เสียงเพลงเปิดรายการอันคุ้นเคยดังขึ้น รายการเริ่มออนแอร์
“วันนี้รายการ ‘เปิดใจกับจิ้ง’ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมพูดคุยกับแขกรับเชิญซึ่งเป็นนักพากย์ระดับแนวหน้าของวงการ คุณฮวายจิ่น...สวัสดีค่ะคุณฮวายจิ่น”
“สวัสดีครับ สวัสดีผู้ฟังทุกท่านด้วยนะครับ”
พอทีมผู้จัดได้ฟังเสียงฮวายจิ่นผ่านทางหูฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันพลางทอดถอนใจด้วยความชื่นชม เสียงแบบนี้คือของขวัญสวรรค์ประทานสำหรับคนที่ทำอาชีพในวงการนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“มีผู้ฟังถามเข้ามาหลายคนเลยค่ะว่าชื่อฮวายจิ่น เป็นชื่อในวงการของคุณหรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่ครับ เป็นชื่อจริง ผมแซ่โจว ชื่อโจวฮวายจิ่นครับ”
“เป็นชื่อที่ไพเราะและฟังดูสง่าทรงภูมิมากเลยค่ะ...”
รายการดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นจนจบการออกอากาศ
หลังจบรายการฉินจิ้งถอดหูฟังแล้วยื่นมือให้อีกฝ่าย “ขอบคุณคุณฮวายจิ่นมากๆ นะคะ ที่เข้าร่วมสัมภาษณ์กับพวกเราในวันนี้”
ระหว่างที่พูดหญิงสาวก็ผลักเปิดประตูออกไปยังห้องด้านนอก เท้าข้างหนึ่งถีบเซิ่งเจาซีที่ยังหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องอยู่บนโซฟา
ในที่สุดน้ำที่รักษาระดับปริ่มขอบแก้วอย่างพอดิบพอดีมาตลอดก็เสียสมดุล และหกกระจายเต็มเสื้อของเซิ่งเจาซี
ฉินจิ้งโน้มตัวลงมาแล้วใช้แขนกดลำคอของเพื่อนซี้ ก่อนจะลดเสียงลงเหลือเพียงเสียงกระซิบพูดข้างหูเธอว่า “คุณผู้หญิงมาถึงนี่เพื่อย้ายห้องนอนเหรอคะ รีบเช็ดน้ำลายให้สะอาดแล้วลุกขึ้นมาทักทายเขาดีๆ เดี๋ยวนี้”
ทันทีที่ยืดตัวลุกขึ้น สีหน้าของฉินจิ้งก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เธอหันไปยิ้มหวานพลางแนะนำกับโจวฮวายจิ่นว่า “นี่คือรูมเมตและเพื่อนสนิทของฉันค่ะ ชื่อเซิ่งเจาซี นี่คือคุณฮวายจิ่น ไอดอลของฉัน คนที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังไงล่ะ”
ฉินจิ้งสูงร้อยเจ็ดสิบ ส่วนเซิ่งเจาซีซึ่งเตี้ยกว่าเธอเกือบหนึ่งศีรษะถูกลากให้ลุกขึ้นยืนราวกับเป็นลูกนกตัวน้อย เธอขยุ้มผมลวกๆ สองที แถมยังใช้แขนเสื้อเช็ดมุมปาก ก่อนจะยื่นมือออกมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย “สวัสดีค่ะ”
โจวฮวายจิ่นรับมือเธอไปจับไว้อย่างเป็นสุภาพบุรุษ “สวัสดีครับคุณเซิ่ง ไม่เจอกันเสียนานนะครับ”
เมื่อครู่ตอนนอนเธอไม่ได้ห่มผ้า แม้จะอยู่ในห้องที่มีฮีตเตอร์ แต่มือและเท้าของเซิ่งเจาซีก็ยังเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง สัมผัสอุ่นๆ ที่แล่นมาจากกลางฝ่ามือ ทำให้รู้สึกอบอุ่นแนบแน่นอย่างประหลาด
ในที่สุดเธอก็ได้มองคนตรงหน้าให้ชัดๆ ด้วยสติที่ตื่นเต็มที่
“คุณเองเหรอเนี่ย!” แววแห่งความประหลาดใจระคนยินดีปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว
“ผมเองครับ” โจวฮวายจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า ดูไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย
วันนี้เขาสวมสูทสากลทรงพอดีตัว เป็นลุคที่คลาสสิกสง่างามอย่างผู้ทรงภูมิสมกับชื่อของเจ้าตัวเป็นที่สุด เวลามองแล้วรู้สึกสบายใจ ไม่มีรังสีคุกคามปนอยู่แม้เพียงเสี้ยว คล้ายกับจิ้นซืออวี้ในสมัยนั้นอยู่บางส่วน แม้กระทั่งเสียงก็คล้ายเขามาก
ฉินจิ้งไม่รู้ว่าสองคนกำลังส่งรหัสลับอะไรกันอยู่
เซิ่งเจาซีรีบอธิบายด้วยสีหน้าตื่นเต้น “เขาก็คือ ‘1A’ บนเครื่องบิน ที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังไงล่ะ”
พอพูดถึงประสบการณ์ระทึกขวัญจากเหตุจี้เครื่องบินครั้งนั้น ฉินจิ้งอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าสองคนนี้มีบุพเพสันนิวาสต่อกันจริงๆ
“จริงด้วย ปากกาของคุณยังอยู่กับฉันนะคะ วันนี้ไม่ได้เอามาด้วย ไว้วันหลังฉันเอาไปคืนได้ไหมคะ”
“ไม่ต้องรีบหรอกครับ คุณเซิ่ง คุณฉิน ไม่ทราบว่าวันนี้จะขอเชิญคุณสองคนกินข้าวเย็นด้วยกันกับผมได้ไหมครับ”
“ได้สิคะ”
ทั้งสามคุยพลางหัวเราะระหว่างเดินลงไปลานจอดรถชั้นใต้ดิน อันที่จริงเซิ่งเจาซีมีรถเป็นของตัวเอง แต่วันก่อนเกิดอุบัติเหตุเลยมีรอยถลอกนิดหน่อย ต้องส่งไปซ่อมที่อู่รถ เธอกลับมาเกือบครึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ชินกับการจราจรอันวุ่นวายไร้ระเบียบของที่นี่ วันนี้จึงไม่มีทางเลือกนอกจากขอติดรถฮวายจิ่นไปพร้อมกับฉินจิ้ง
โจวฮวายจิ่นขับรถลินคอล์นรุ่น MKT สีดำ น่าจะราคาราวสามแสนกว่าหยวน เซิ่งเจาซีรู้สึกว่าเป็นรถที่เหมาะกับบุคลิกของเขามาก โลว์โพรไฟล์ สงวนท่าที
พอแล่นมาถึงทางยกระดับวงแหวน รถก็ติดจนแม้กระทั่งน้ำยังไหลผ่านไปไม่ได้
ตอนแรกเซิ่งเจาซีกำลังนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ที่เบาะหลังด้วยความสงบนิ่งดุจพระเข้าฌาน แต่พอรถแล่นไปได้ครึ่งทางก็ได้รับโทรศัพท์จากกรมฯ หลังจากนั้นท่าทีของเธอก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที ตาเอาแต่จ้องแถวรถยนต์ที่จอดนิ่งไม่กระดิกอยู่นอกหน้าต่าง ท่าทางร้อนรนจนเริ่มนั่งไม่ติด
ฉินจิ้งมองออกว่าเธอกำลังร้อนใจ จึงกระซิบถามว่า “งานเข้าเหรอ”
“อือ” เซิ่งเจาซีตอบ พลางทำหน้าถมึงทึงจ้องการจราจรที่ติดขัดระดับที่น้ำไหลผ่านไม่ได้ที่ด้านนอก
“เธอยังไม่ทันเริ่มงานเลยไม่ใช่เหรอ”
“นักเรียนใหม่มาถึงก่อนเวลาที่กำหนดน่ะ พวกเขาจะมาถึงพรุ่งนี้แล้ว ทางกรมฯ ต้องการประชุมคุยรายละเอียดเรื่องการฝึกอบรม ขอโทษด้วยนะ ฉันขอตัวก่อน วันนี้คงกินข้าวเย็นกับพวกเธอไม่ได้แล้ว ไว้ค่อยนัดกันวันหลังนะ” แล้วจู่ๆ เธอก็เปิดประตูวิ่งย้อนศรไปทางด้านหลังของทางยกระดับ ทำเอาฉินจิ้งตกใจจนตาค้าง
โจวฮวายจิ่นหันไปมองและเห็นว่าเธอกำลังวิ่งไปหามอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง จากนั้นก็ชี้มือชี้ไม้สื่อสารอะไรกับคนขับอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตวัดขาขึ้นคร่อมเบาะหลังของมอเตอร์ไซค์ ท่าทางโลดโผนยิ่งกว่าผู้ชายทั้งแท่ง มอเตอร์ไซค์เบียดซ้ายแทรกขวาจนค่อยๆ แซงไปอยู่ด้านหน้ารถของเขา เซิ่งเจาซียังไม่วายหันมาโบกมือให้พวกเขาด้วย ความมุ่งมั่นและกระตือรือร้นฉายชัดบนใบหน้า แตกต่างจากท่าทางห่อเหี่ยวซังกะตายเมื่อครู่ราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือ
“คุณเซิ่งเขาทำงานอะไรเหรอครับ” เขาเคยได้ยินเธอพูดบนเครื่องบินแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่แน่ใจนัก ก็เธอเล่นสลับหลายบทบาทในชั่วพริบตาเสียขนาดนั้น
“เขาเป็นโคชสอนการเจรจาต่อรองและประนีประนอมค่ะ กรมตำรวจเพิ่งเชิญเขามาเป็นครูสอนเมื่อไม่นานนี้เอง”
“อ้อ เหรอครับ แสดงว่าตอนนั้นเขาพูดจริง น่าสนใจดีนะครับ”
มุมปากของโจวฮวายจิ่นโค้งขึ้นเล็กน้อย คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จากมุมมองของฉินจิ้ง น้ำเสียงที่ทุ้มนุ่มแบบนี้ เมื่อรวมเข้ากับสันกรามที่คมคายสง่างามของเขาแล้ว กลายเป็นส่วนผสมที่เซ็กซี่อย่างประหลาด หัวใจเธอถึงกับเต้นผิดจังหวะไปชั่วครู่
หลังจบประชุม ทุกคนทยอยกันเดินออกจากกรมตำรวจ เซิ่งเจาซียกมือขึ้นดูนาฬิกา สี่ทุ่มกว่าแล้ว
เมื่อกลางวันเธอไปที่สถานีวิทยุเลยไม่ได้กินข้าวเที่ยง เมื่อครู่ทำงานตลอดเลยไม่ทันรู้สึก แต่พอสมองว่างก็รู้สึกทันทีว่าหิวจนหน้าอกจะแห้งติดกับแผ่นหลังอยู่แล้ว ท้องร้องจ๊อกๆ ไม่ยอมหยุด
เธอเดินออกจากสถานีตำรวจ รู้สึกถึงสายลมเย็นเยือกวูบหนึ่งที่พัดผ่าน ย่างเข้าสู่ปลายฤดูร้อนแล้ว เมืองเหิงเฉิงไม่หลงเหลือไออุ่นจากหน้าร้อนที่ใกล้ผ่านพ้นเท่าใดนัก เซิ่งเจาซีกระชับเสื้อโคตให้ห่อตัวแน่นขึ้น สองมือไขว้กันสอดใต้รักแร้ให้รู้สึกอุ่นขึ้นบ้าง ในใจคิดอยู่ว่าซอยเล็กๆ ตรงนี้น่าจะเรียกรถยาก แล้วตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงแตรรถปี๊นๆ ที่ด้านหลัง
เธอเงยหน้ามองและเห็นรถลินคอล์นสีดำจอดอยู่หน้าประตูทางเข้ากรมตำรวจ เมื่อครู่ไม่ได้เปิดไฟหน้ารถ เธอจึงไม่ทันสังเกต
“เสี่ยวซี!” ฉินจิ้งยื่นหน้าออกมาจากกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับ พลางกวักมือเรียกเธออยู่ไวๆ
เซิ่งเจาซีนิ่งไปสองวินาทีก่อนจะคิดได้ว่านี่คือรถของโจวฮวายจิ่น เธอวิ่งเหยาะๆ ไปสองก้าวก่อนจะเปิดประตูด้านหลังแล้วมุดเข้าไปในรถ แวบแรกที่ฮีตเตอร์เป่าลมอุ่นๆ ออกมาทำให้เธอรู้สึกหนาวยิ่งกว่าตอนแรก เซิ่งเจาซีถูขาทั้งสองไปมาแล้วหันไปถามฉินจิ้งว่า “มาได้ยังไงเนี่ย”
ฉินจิ้งชูถุงกล่องข้าวที่ห่ออย่างเรียบร้อยยื่นมาตรงหน้า “ก็กลัวว่าเธอจะมัวแต่ทำงานจนหิวตายน่ะสิ”
เซิ่งเจาซีรับกล่องข้าวที่ยังอุ่นๆ มาไว้ในมือ ในใจคิดอยากกวาดลงท้องไปเสียให้หมด แต่จำต้องควบคุมตัวเองไว้และวางกล่องข้าวไว้ข้างเท้าก่อน รอกลับถึงบ้านแล้วค่อยกิน
“ทำไมไม่กินล่ะ” ฉินจิ้งประหลาดใจ
“กลัวรถจะมีกลิ่นน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พรุ่งนี้ผมจะเอารถไปล้างอยู่แล้ว คุณรีบกินเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยขับกลับ” โจวฮวายจิ่นพูดอย่างใส่ใจ เปิดช่องให้เธอกินข้าวได้อย่างไม่ต้องกังวล
พอได้ยินดังนั้นเซิ่งเจาซีก็หยิบกล่องข้าวขึ้นมาใหม่ ทันทีที่เปิดฝาก็ได้กลิ่นหอมแสนเย้ายวนใจ เธอรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวเหมือนอยากร้องไห้ และหันไปส่งจูบให้ฉินจิ้งด้วยความปลื้มปีติ
ฉินจิ้งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ในความปัญญาอ่อนของเพื่อนสนิท “ถ้าจะขอบคุณก็ขอบคุณคุณฮวายจิ่นเถอะ เขาเป็นคนเสนอว่าจะมารับเธอที่นี่ ไม่งั้นมีเหรอฉันจะกล้ากวนเขาให้อ้อมเกือบครึ่งเมืองเพื่อมารับเธอตอนเลิกงาน”
เซิ่งเจาซีอมข้าวไว้ในกระพุ้งแก้มข้างหนึ่ง พลางหันไปพูดเสียงอู้อี้ว่า “ออบอุง (ขอบคุณ)”
โจวฮวายจิ่นเหมือนอยากหัวเราะ แต่พื้นฐานการเลี้ยงดูที่ดีทำให้เขาทนกลั้นไว้ สีหน้าที่ปรากฏจึงดูเหยเกอยู่เล็กน้อย “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ คุณตำรวจเซิ่ง”
เซิ่งเจาซีอาศัยจังหวะที่หยุดคีบเงยหน้าขึ้นจากกล่องข้าว มุมปากยังงับผักอยู่ก้านหนึ่ง “อยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะค่ะ ไม่ต้องกลั้นไว้ เดี๋ยวจะเก็บกดจนเป็นโรคเอา”
โจวฮวายจิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยหัวเราะอย่างเต็มเสียง ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้าช่างไม่เหมือนใคร
“โอ๊ยโหย เซิ่งเจาซี เธอทำฉันขายหน้าจนชีวิตนี้ไม่มีหน้าเหลือให้ขายแล้ว”
รถจอดเพื่อให้เซิ่งเจาซีมีเวลากินข้าว พอเห็นเธอกินใกล้เสร็จ ฉินจิ้งก็ยื่นกระดาษเช็ดปากแผ่นหนึ่งมาให้
เธอรับกระดาษนั้นมาเช็ดปากแล้วพูดว่า “ขอบใจนะ รอฉันลงไปทิ้งขยะแป๊บเดียว เดี๋ยวพวกเราจะได้กลับบ้าน”
“เดี๋ยวผมเอาไปทิ้งให้” โจวฮวายจิ่นรับกล่องข้าวมันแผล็บจากมือเธอไปหน้าตาเฉย แม้กระทั่งกระดาษทิชชูที่เธอเพิ่งใช้เช็ดปากแล้วขยุ้มเป็นก้อนไว้ในมือเขาก็หยิบไปด้วย ชายหนุ่มก้าวลงจากรถ แล้วเดินไปที่ถังขยะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น
ฉินจิ้งทำท่ายักคิ้วหลิ่วตา แล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เห็นไหม ฉันบอกแล้ว! นี่แหละที่เขาเรียกว่าผู้ชายแสนดี! ยอดชายแห่งศตวรรษที่แท้!”
เซิ่งเจาซีซึ้งใจอย่างที่สุดที่ฉินจิ้งยอมทุ่มสุดตัวเพราะกลัวเพื่อนซี้จะขึ้นคาน แต่สุดท้ายเธอต้องขอปฏิเสธความหวังดีนี้
“กำลังคุยอะไรกันอยู่ครับ ท่าทางสนุกเชียว” โจวฮวายจิ่นเปิดประตูรถแล้วก้าวเข้ามานั่ง พาสายลมหนาวด้านนอกพัดเข้ามาพร้อมกันด้วย เซิ่งเจาซีขดตัวลึกเข้าไปในมุมเบาะ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่กำลังคุยกันว่าเดี๋ยวนี้ผู้ชายดีๆ สูญพันธุ์หมดแล้ว” ฉินจิ้งพูดพลางปรายตามองเซิ่งเจาซีเหมือนจะคาดโทษ โจวฮวายจิ่นพอเดาได้ว่าทั้งสองกำลังคุยเรื่องเขา แต่ก็ทำเฉยไม่พูดอะไร ชายหนุ่มสตาร์ตรถแล้วพาหญิงสาวทั้งสองกลับไปส่งบ้าน
พอสองสาวลงจากรถ ฉินจิ้งกับโจวฮวายจิ่นก็คุยกันอีกนิดหน่อยก่อนจะบอกลา เซิ่งเจาซีเหลียวซ้ายแลขวาไปเรื่อยเปื่อยด้วยความเบื่อหน่าย บังเอิญเหลือบไปเห็นแสงสะเก็ดไฟเล็กๆ สว่างวูบวาบอยู่ที่มุมหนึ่งของอาคาร คล้ายว่ามีใครกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ในมุมมืด
ตั้งแต่มีการบังคับใช้กฎห้ามสูบบุหรี่ พื้นที่สาธารณะทั้งหมดถือเป็นเขตห้ามสูบ โดยเฉพาะเขตชุมชนระดับไฮเอนด์ที่ประกาศอย่างชัดเจนว่าเป็นเขตปลอดบุหรี่อย่างที่นี่ ยิ่งคุมเข้มเป็นพิเศษ
พอโจวฮวายจิ่นสตาร์ตรถขับออกไป ฉินจิ้งก็หันมาทำท่าจะเรียกเซิ่งเจาซีขึ้นบ้าน แต่กลับเห็นเธอก้าวฉับๆ เดินออกไป ไม่รู้ว่าเดินไปไหน “เฮ้อ...เธอนี่จริงๆ เลยน้า”
ไม่รู้เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงมุมตึกได้ยินเสียงเธอหรือว่าอย่างไร แต่เพียงชั่วพริบตาบุหรี่ก็ถูกเหยียบดับ แสงไฟหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนที่เซิ่งเจาซีเดินไปถึง ก็เหลือแค่ก้นบุหรี่กระจายอยู่เต็มพื้น กับกลิ่นควันที่ยังลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
ฉินจิ้งซึ่งเดินตามมาด้านหลังเห็นก้นบุหรี่หล่นอยู่เต็มพื้นก็บ่นว่า “ใครกันเนี่ย ไร้จิตสำนึกจริงๆ”
เซิ่งเจาซีถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พยายามออกให้ห่างจากกลิ่นควันบุหรี่มือสองที่คลุ้งตลบอยู่ตรงนั้น “เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องโทร. ไปเรียกนิติบุคคลมาเช็กหน่อยแล้ว”
ความคิดเห็น |
---|