0

บทนำ


บทนำ

 

เจ็ดโมงเช้า เซิ่งเจาซีถือลังกระดาษยืนอยู่ที่ถนนพาร์กโรว แมนฮัตตัน ดวงอาทิตย์ฤดูร้อนทักทายขอบฟ้าแต่เช้าตรู่ แต่สำหรับอเมริกันชนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่เร่งร้อน โมงยามนี้คือเวลาที่นาฬิกาหัวเตียงเพิ่งร้องปลุก

เธอหันไปมองตึกกรมตำรวจเมืองนิวยอร์ก...สถานที่ที่เธอทำงานมานานถึงห้าปี...เป็นครั้งสุดท้าย คำขอลาออกของเธอได้รับการอนุมัติแล้ว วันนี้เป็นวันที่เธอต้องบอกลาสถานที่ที่เต็มเปี่ยมด้วยความทรงจำแห่งนี้อย่างเป็นทางการ

ตอนแรกเธอตั้งใจจะนัดสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนอำลา แต่กลัวว่าความอาลัยอาวรณ์จะเหนี่ยวรั้งเธอไว้ ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจมา ‘ม้วนเสื่อ’ ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเลี่ยงไม่เจอหน้าทุกคน

หลังจากนี้ไม่ว่าพวกเขาจะโมโหเธอแค่ไหน อย่างมากก็ทำได้แค่โทร. มาด่านิดๆ หน่อยๆ ยังไงก็ดีกว่าให้เธอน้ำตานองหน้า ตาแดงก่ำต่อหน้าทุกคน

การบอกลาที่แท้จริงนั้นไร้ซึ่งถ้อยคำ เหมือนครั้งนั้นที่เขาจากไป...

เซิ่งเจาซีใจลอย เท้าที่กำลังก้าวลงบันไดเหยียบพลาด เธอเสียหลักหกล้มจ้ำเบ้าลงไปอยู่กับพื้น ลังกระดาษในมือตะแคงคว่ำอยู่ข้างตัว ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยหล่นกระจาย เหรียญตราที่วางไว้ด้านบนสุดของกล่องกระดอนตามขั้นบันไดหินอ่อนลงสู่พื้นเบื้องล่าง เสียงกริ๊ก! กริ๊ก! กริ๊ก! สะท้อนก้องเป็นจังหวะ อึดใจที่เหรียญนั้นกำลังจะกลิ้งลงกลางถนน ฝ่ามือใหญ่แข็งแรงข้างหนึ่งพลันยื่นเข้ามาคว้าไว้ได้ทัน

เหรียญนั้นแกะสลักเป็นรูปดาวสีเงินประดับแพรแถบสีน้ำเงิน ด้านบนมีข้อความ ‘ภักดีจวบจนสิ้นลม1’ และชื่อของเธอ Zhaoxi Sheng สลักไว้ เป็นเหรียญเกียรติยศที่มอบแด่ตำรวจที่ต่อสู้ด้วยความองอาจกล้าหาญในยามวิกฤติ และตอนที่เซิ่งเจาซีได้รับเหรียญดาวเงินนี้ เธออายุ 24 ปีเท่านั้น

ครั้งนั้นเป็นเคสเจรจาต่อรองกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย เธอต้องเข้าไปในหอแสดงดนตรีที่ถูกวางระเบิด เพื่อเกลี้ยกล่อมกลุ่มโจรให้ยอมวางอาวุธ ช่วยชีวิตประชาชนกว่าร้อยคนในที่เกิดเหตุได้สำเร็จ ส่วนตัวเธอเองก็เกือบได้เหรียญเพอร์เพิลฮาร์ต...เหรียญเกียรติยศสำหรับตำรวจที่พลีชีพในหน้าที่

อันที่จริง เซิ่งเจาซีเคยผ่านประสบการณ์กระทบไหล่ยมทูตมาแล้วหลายครั้ง ไม่ใช่เพราะสายอาชีพของเธอความเสี่ยงสูงกว่าอาชีพอื่น แต่เพราะเธอคนนี้เป็นพวกไม่เคยกลัวอะไร พร้อมพุ่งชนทุกปัญหา

ชาวเมืองนิวยอร์กยกย่องให้เธอเป็นวีรสตรีที่กล้าหาญที่สุด ลีคือคนเดียวที่รู้ว่าภายใต้ความร่าเริงที่ฉาบไว้เปลือกนอก มีความโดดเดี่ยวและหวาดระแวงที่เธอซ่อนไว้ภายใน มองเผินๆ เธอเหมือนเปลวเพลิงที่โชติช่วง แต่แกนกลางกลับเหลือเพียงเถ้าถ่านที่ถูกไหม้เป็นธุลี ยิ่งเจิดจรัสสว่างไสวเพียงใด ยิ่งสิ้นหวังว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น

ความสิ้นหวังทั้งหมดทั้งมวลนี้มีต้นตอมาจากคู่หมั้นของเธอ ผู้ชายที่จู่ๆ หายตัวไปเมื่อหกปีก่อน

ลีในฐานะ ‘พ่อสื่อ’ ย่อมรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่เมื่อเมฆหมอกจากอดีตที่เขาคิดว่าเลือนสลายหายไปแล้ว วันหนึ่งหวนกลับมาเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของใครคนหนึ่งในปัจจุบัน เขาถึงตระหนักว่าชีวิตนั้นยากจะคาดเดาแค่ไหน

“จะไปจริงๆ เหรอ” ลีถือเหรียญในมือพลางพลิกดูอย่างชื่นชม เขาก้าวขึ้นบันไดมาอยู่ข้างเซิ่งเจาซี แล้ววางเหรียญลงไปในลังกระดาษอย่างทะนุถนอม

“มาได้ยังไง” เซิ่งเจาซียิ้มกะล่อนพลางยันตัวลุกขึ้นมาจากบันได มือตบๆ ฝุ่นที่ก้นกางเกง ตีหน้าซื่อเลี่ยงคำถามของอีกฝ่าย

“คิดว่าแอบยื่นจดหมายลาออกเงียบๆ แล้วฉันจะไม่รู้เหรอ อย่าลืมสิว่าป้ามอสน่ะทำงานอยู่ห้องเอกสาร ไม่อยากเชื่อว่าคนไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินอย่างเซิ่งเจาซี สุดท้ายกลับกลัวที่จะบอกลาพวกเรา”

“นายก็รู้ว่าฉันไม่เก่งเรื่องทำนองนี้” เซิ่งเจาซีขยุ้มผมอย่างกลัดกลุ้ม

เขารู้ว่าที่เธอพูดมาเป็นความจริง เธออ่อนไหวเรื่องความรู้สึกมากเกินไป ทั้งยังเป็นคนยึดติดสายสัมพันธ์ในอดีต ขนาดเวลาผ่านมาหลายปีอย่างนี้เธอก็ยังไม่อาจเดินออกจากเงาของเขาคนนั้น “ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ คงไม่แนะนำให้เธอสองคนรู้จักกันแต่แรก ซี เธอลองคิดดูให้ดีอีกครั้งเถอะนะ การทอดทิ้งสิ่งที่เธอทุ่มเทสร้างตลอดหลายปีเพื่ออดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วแบบนี้ มันคุ้มแล้วเหรอ”

“ฉันอยากถามเขาให้รู้ดำรู้แดงกันต่อหน้า เขายังติดค้างคำอธิบายฉันอยู่ นายไม่เข้าใจเหรอ” เซิ่งเจาซีมองหน้าเขา ประกายสุกสว่างสะท้อนในแววตา ความจริงจังที่น้อยครั้งจะได้เห็นฉายชัดบนใบหน้า แต่เพียงเสี้ยวพริบตาก็วับหายไป และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเกียจคร้าน “อีกอย่างที่นี่ไม่มีอะไรสลักสำคัญต้องทำเสียหน่อย”

ครั้งนี้จู่ๆ เธอก็สละสัญชาติอเมริกัน ลาออกจากงานเตรียมตัวกลับบ้านเกิด ทำให้ทุกคนประหลาดใจมาก แต่พอมาคิดดูให้ดี ลีก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ด้วยนิสัยยอมหักไม่ยอมงอของเซิ่งเจาซี การยอมทนให้มีเรื่องค้างคาใจนานถึงหกปีนับว่าสุดขีดความอดทนของเธอแล้ว เธอรอคอยมานานเหลือเกินกว่าจะเจอเบาะแสเกี่ยวกับเขา มีหรือจะไม่ไล่ตามเถาใบจนเจอลูกแตง2 สะสางเรื่องที่ค้างคาให้หายข้องใจ 

เรื่องนี้พูดไปก็ละอายใจ เพราะเขาเป็นหนึ่งในชนวนที่ทำให้เหตุการณ์บานปลายมาถึงขั้นนี้

“พูดแบบนี้ทุกคนเสียใจแย่” ลีแกล้งทำโมโห ไม่ยอมปล่อยให้ประโยคสุดท้ายของเธอหลุดรอดไปโดยง่าย เซิ่งเจาซีไม่รู้จะเถียงอย่างไร “นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”

“สายไปแล้ว เดวิดที่เข้ากะกลางคืนไปบอกทุกคนแล้วว่าเธอแอบมาเก็บของเตรียมโกยแน่บตั้งแต่เช้ามืด อีกเดี๋ยวทุกคนต้องกรูกันมาขวางเธอไว้แน่”

“ปล่อยฉันไปเถอะน่า ไฟลต์ฉันคืนพรุ่งนี้แล้วนะ”

“ถ้าไม่อยากถูกกักตัวไว้ที่หน้าประตูกรมตำรวจ คืนนี้สี่ทุ่มมาเจอกันที่บาร์ฝั่งตรงข้ามกรมฯ ไม่เจอหน้าไม่เลิกรา ทุกคนลงขันกันจัด ปาร์ตีเลี้ยงอำลาให้เธอเลยนะ อย่าทำให้ทุกคนผิดหวังล่ะ”

“โอเคๆ” เซิ่งเจาซีพูดรัวเร็วพลางตั้งท่าจะปลีกตัว

 

ตอนเย็นคนมาร่วมงานเยอะมาก นอกจากเพื่อนร่วมงานที่กรมตำรวจแล้ว ชาวเมืองที่เธอเคยช่วยไว้ก็มาร่วมเลี้ยงส่งเธอเช่นกัน เรียกได้ว่าแทบต้องเหมาปิดบาร์

แม้แต่ผู้อาวุโสวัยหกสิบอย่างป้ามอสก็มาร่วมงานด้วย ทั้งที่ปกติเธอแทบไม่มาร่วมงานประเภทนี้เลย “โอ...พระเจ้า ครั้งล่าสุดที่ฉันมาที่แบบนี้ น่าจะเมื่อสามสิบปีที่แล้ว”

คำพูดของป้ามอสทำทุกคนหัวเราะครืน

เซิ่งเจาซีสวมชุดหนังสีดำกับรองเท้าบูตสั้นก้าวเข้ามาในบาร์ ลียิงพลุกระดาษต้อนรับ สายรุ้งชิ้นเล็กๆ โปรยลงเต็มศีรษะและใบหน้าของเธอ

หญิงสาวยังไม่ทันตั้งสติ เดวิดผู้มีร่างบึกบึนกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายจากกรมฯ ก็พุ่งเข้ามาคว้าตัวเธอโยนขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะรับตัวเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างมั่นคง “ยินดีต้อนรับองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”

เหล่าเพื่อนชายของเธอลื่นยิ่งกว่าปลาไหล ปากเรียกเธอองค์หญิง แต่เวลากรอกเหล้าไม่มียั้งมือสักนิด

เซิ่งเจาซีดื่มเบียร์รวดเดียวเจ็ดแปดขวด แม้ว่าดีกรีไม่แรง แต่สองแก้มก็เริ่มปรากฏสีเลือดฝาด แถมยังมีคนเดินเข้ามาขอชนแก้วไม่หยุดหย่อน สุดท้ายป้ามอสต้องเข้ามาช่วยปราม 

“พอๆ ฉันมีเรื่องจะคุยกับซี เจ้าลิงค่างพวกนี้ออกไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาดื่มต่อ”

ป้ามอสอาวุโสที่สุดในกรมตำรวจ ทำให้ทุกคนไม่กล้าปฏิเสธ เซิ่งเจาซีจึงรอดพ้นเงื้อมมือมารมาได้

ป้ามอสจับเธอนั่งที่โซฟา มือที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นควานหาในกระเป๋าผ้าอยู่นานสองนาน ก่อนจะหยิบกล่องคุกกี้ที่ทำจากโลหะใบหนึ่งออกมา

พอเปิดฝาออกดู จึงเห็นว่าภายในคือคุกกี้ที่วางเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ แง้มฝาออกเพียงนิดเดียวก็ได้กลิ่นคุกกี้หอมฟุ้งลอยออกมา

“ฉันรู้ว่าคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่คุกกี้พวกนี้น่ะต้องให้ทุกคนแบ่งกันกิน จะช่วยคุ้มครองให้การงานในอนาคตของเธอราบรื่น ฉันรู้ว่าเธอไม่มีเวลาเตรียมของพวกนี้ ฉันเลยทำมาให้นิดหน่อย เพิ่งออกจากเตาร้อนๆ เลย”

ป้ามอสเป็นคนรุ่นเก่าที่ย้ายมาจากอังกฤษ จึงเห็นความสำคัญของธรรมเนียมโบราณต่างๆ มาก แถมฝีมือการอบคุกกี้ยังยอดเยี่ยมไม่เป็นรองใคร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือน้ำใจที่สะท้อนผ่านการกระทำของอีกฝ่าย คุณป้าลูบหลังมือเธอซ้ำๆ อย่างแผ่วเบา กำชับให้เธอดูแลตัวเองให้ดี ถึงแม้ที่นั่นจะเป็นบ้านเกิด แต่เธอห่างบ้านมานานหลายปี ย่อมมีหลายเรื่องที่ต้องปรับตัวกันใหม่ ได้ยินว่าสภาพแวดล้อมและผู้คนของที่นั่นซับซ้อนไม่ใช่น้อย ไม่ว่าทำอะไรก็ควรคิดให้รอบคอบ

ถ้อยคำกำชับประโยคแล้วประโยคเล่าทำให้เธอนึกถึงยายของเธอที่เสียชีวิตไปนานแล้ว สิบปีก่อนตอนที่เธอกำลังจะย้ายมาอยู่อเมริกา คุณยายบอกลาเธอด้วยน้ำตาคลอหน่วย และกำชับทุกรายละเอียดด้วยความห่วงใย หนึ่งปีหลังจากนั้น คุณยายเสียชีวิต พ่อปิดบังไม่ให้เธอรู้ ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้กลับไปร่วมงานศพด้วยซ้ำ เธอถึงได้เห็นว่าที่แท้คำว่าเลือดข้นกว่าน้ำก็เป็นแค่ลมปาก สายสัมพันธ์ขาดสะบั้นอย่างไร้ทางหวนคืนด้วยระยะทางแค่ตั๋วเครื่องบินใบเดียว 

ป้ามอสอยู่ร่วมงานถึงเที่ยงคืนกว่าก็ขอตัวกลับ ทันทีที่ผู้อาวุโสออกจากร้าน เหล่าวัยรุ่นก็สนุกกันสุดเหวี่ยง เซิ่งเจาซีถูกล็อกตัวไว้ให้ดื่มอีกหลายยก แล้วทุกคนก็กินคุกกี้ของป้ามอสจนหมดเกลี้ยง

สุดท้ายทุกคนนอนกันระเนระนาด บ้างก็อยู่บนโซฟา บ้างก็อยู่บนพื้น มุมปากบางคนยังเลอะเศษคุกกี้อยู่ด้วยซ้ำ ขวดเหล้าล้มกลิ้งเต็มพื้น

พนักงานที่เข้ามาทำความสะอาดก็ไม่ได้ไล่พวกเขาออกจากร้าน เพราะเจ้าของร้านสั่งไว้แต่แรกแล้วว่าให้พวกเขานอนค้างที่นี่ได้

ตีสี่ เซิ่งเจาซีเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นจากมุมโซฟา ศีรษะของเธอปวดแปลบราวกับจะระเบิด หัวของเดวิดนอนทับอยู่บนหน้าตัก เธอยกหัวของเดวิดไปไว้ด้านข้างอย่างระมัดระวัง ปลายเท้าย่องอย่างเงียบเชียบข้าม ‘ปราการมนุษย์’ ที่นอนระเกะระกะอยู่บนพื้นตรงหน้า หญิงสาวเข้าไปในห้องน้ำแล้วล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจัด จึงค่อยสร่างเมาขึ้นบ้าง

คนอื่นที่เหลือหลับสนิท เหลือเพียงบาร์เทนเดอร์กะดึกที่กำลังยืนเช็ดแก้วอยู่ที่บาร์ เซิ่งเจาซีดึงกระเป๋าของเธอจากใต้ตัวลี แล้วเดินไปจ่ายเงินที่บาร์

“ไม่ต้องจ่ายครับ ตำรวจท่านอื่นบอกว่าให้รวมยอดทั้งหมดหลังดื่มเสร็จแล้วส่งบิลไปเก็บที่กรมตำรวจครับ”

“ไม่ต้องทำให้ยุ่งยากหรอก เดี๋ยวฉันรูดการ์ดจ่ายเอง”

“เอ่อ...” บาร์เทนเดอร์ทำท่าลำบากใจ

“มื้อสุดท้ายแล้ว ขอให้ฉันได้ขอบคุณพวกเขาเถอะนะ”

เซิ่งเจาซียัดบัตรเครดิตใส่มือเขาเป็นเชิงบังคับ บาร์เทนเดอร์จำใจยอมให้เธอจ่ายเงินอย่างไม่มีทางเลือก

เซิ่งเจาซีรับบัตรเครดิตพร้อมใบเสร็จ จากนั้นหันไปมองใบหน้าอันคุ้นเคยของเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เวลาต้องออกปฏิบัติงานข้ามคืน เธอเคยเห็นใบหน้ายามหลับของพวกเขาบ่อยครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าช่างน่ารักเหลือเกิน

หญิงสาวรู้สึกแสบร้อนที่จมูก น้ำตาพานจะไหลออกมาให้ได้...เจ้าบ้าลี บอกแล้วไงว่าเธอรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ไหว

เซิ่งเจาซีไม่กล้าอ้อยอิ่งนานไปกว่านั้น เธอรีบเดินออกจากบาร์ไปทันที

ลีลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ เห็นเพียงเงาคนสวมเสื้อหนังสีดำเดินลับหายไปใต้แสงไฟนีออนสีแดงที่หน้าประตู เวลานั้นสติของเขายังไม่ตื่นเต็มที่ แต่พอรู้รางๆ ว่าเซิ่งเจาซีจากไปแล้ว

ดวงตาสีดำสนิทลึกไร้ก้นบึ้งของชายในความทรงจำซ้อนทับกับแผ่นหลังของหญิงสาวที่กำลังเดินจากไป ทำให้ศีรษะเขาปวดแปลบราวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

เสี่ยวซี หวังว่าฉันจะไม่เสียใจที่มอบที่อยู่นั้นให้เธอ หวังว่าเธอจะหาเขาพบ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น