2

บทที่ 2

บทที่ 2

 

ชารัฐมองหญิงสาวที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของร้านด้วยความรู้สึกหลากหลาย เธอมักจะนั่งอยู่ที่ตรงนั้นข้างหน้าต่าง สายตาเหม่อมองออกไปข้างนอก บางครั้งหญิงสาวจะหยิบหนังสือออกมาอ่านฆ่าเวลา ดวงหน้าของเธออ่อนหวาน นัยน์ตากระจ่างใสราวกับลูกกวางเกิดใหม่ เรือนผมสีดำขลับทิ้งตัวประบ่า เธอมักจะเกี่ยวปอยผมทัดหลังใบหู มุมปากของเธอประดับรอยยิ้มน้อยๆ อยู่เสมอ คิ้วโก่งขมวดเข้าหากันเวลาเจอเนื้อหาเข้าใจยาก หรือบางครั้งขอบตาของเธอจะแดงเรื่อเพราะเจอฉากสะเทือนใจในหนังสือ 

แสงแดดอ่อนๆ สาดผ่านกระจกเข้ามากระทบร่างบอบบางของเธอ ทำให้รอบตัวเธอราวกับมีออร่าเป็นประกาย หัวใจของเขาพลันเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อยยามเห็นภาพนี้ เพราะมันทับซ้อนภาพของคนในความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว แต่ขณะที่กำลังมองหญิงสาว ทัศนียภาพของเขาก็เปลี่ยนไป มือเรียวของใครบางคนโบกผ่านหน้าเขาไปมาคล้ายจงใจรบกวน

เมื่อเลื่อนสายตากลับมาที่เจ้าของมือข้างนี้ เขาก็พบกับหญิงสาวตรงหน้าที่ต่างจากผู้หญิงอีกคนลิบลับ เรือนผมยาวสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิง ดวงตาของเธอเป็นรูปอัลมอนด์ หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของหญิงสาวจึงเต็มไปด้วยเสน่ห์และความมั่นใจ จมูกเป็นสันชัด ปลายจมูกรูปหยดน้ำ ริมฝีปากอิ่มแต้มด้วยลิปสติกสีแดงก่ำไม่ต่างจากผลเชอร์รี 

พอมองเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่เขาก็ต้องขมวดคิ้ว หญิงสาวสวมชุดเดรสสายเดี่ยวสีขาว ตัดกับผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียด ความยาวของมันอยู่เหนือเข่าขึ้นมาเกือบคืบ เวลานั่งยิ่งร่นสูงขึ้นไปอีก 

นับดาว...เธอมักเปล่งประกายด้วยความรู้สึกเย้ายวน เข้าถึงได้ยาก ผิดกับท่าทางสบายๆ ที่มักแสดงออก บางครั้งเขาเดาใจคนตรงหน้าไม่ออก ไม่รู้ว่าคำพูดไหนของหญิงสาวเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนเท็จ เพราะเธอมักจะทำเป็นทีเล่นทีจริงตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้ 

“คุณจ้องเธอแบบนี้ ถ้ากินเข้าไปได้ฉันก็เชื่อนะคะ” 

เสียงหวานเล็กของเธอหยอกเย้าเขา ขณะเดียวกันเธอก็นั่งลงที่เก้าอี้สูงข้างเคาน์เตอร์ยาว เธอเท้ามือลงบนโต๊ะพลางเอ่ยปากสั่งออร์เดอร์

“อืม...วันนี้ฉันขอเป็นน้ำผึ้งมะนาวอุ่นดีกว่า ว่าจะขึ้นไปนอนต่ออีกสักรอบ” ว่าแล้วหญิงสาวก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ ประสานมือไว้ด้วยกัน บิดหงายฝ่ามือขึ้นด้านบน เอนศีรษะมาด้านหน้าไปทางขวาทีซ้ายทีเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้าจากการนั่งทำงานนานๆ การเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติของคนตรงหน้าทำให้ชารัฐเผลอสำรวจอย่างไม่รู้ตัว 

ร่างกายของเธอดูอ่อนพลิ้วตามการเคลื่อนไหว เรือนร่างที่เปี่ยมไปด้วยฟีโรโมนนี้ไม่ใช่ดึงดูดแค่สายตาของเขา แต่รวมถึงสายตาของลูกค้าหนุ่มๆ ในร้านเช่นกัน 

“โต้รุ่ง?” เขากลับมาตั้งสติ ทวนถามคนตรงหน้าเสียงเรียบ ส่วนคนตอบก็ส่งเสียงรับรู้ในลำคอ ก่อนจะหันไปเหลือบมองโต๊ะที่อยู่ริมหน้าต่างครู่สั้นๆ แล้วหันมาสนใจแท็บเล็ตในมือตัวเองต่อ 

“แต่ฉันต้องคุยงานกับคุณเดียร์ก่อนค่ะ วันนี้ตามกำหนดแล้ว” 

เขาพยักหน้าคล้ายรับรู้ ขณะที่สองมือง่วนอยู่กับการทำน้ำผึ้งมะนาวอุ่นให้หญิงสาวตามออร์เดอร์ 

“อยากจะดูสักหน่อยไหมคะ” เธอจงใจวางแท็บเล็ตลงตรงหน้าและตั้งใจขยายภาพให้เด่นเต็มจอ “คุณเดียร์ก็โชคร้ายเหมือนกันนะคะที่ดันมาเป็นบรรณาธิการประจำตัวฉันได้ ก็มันคนละแนวกันเลยนี่นา” 

นับดาวพูดพลางฮัมเพลงในลำคอ นัยน์ตาพราวระยับของเธอจดจ้องเขาราวกับกำลังมองเหยื่อชิ้นโต 

“ถ้าเสร็จแล้วเอาไปเสิร์ฟให้หน่อยนะคะ ฉันอยากรีบคุยรีบนอน” ว่าแล้วหญิงสาวก็เก็บของ ผุดลุกจากที่นั่ง ตรงไปยังโต๊ะที่บรรณาธิการสาวนั่งอยู่

ชารัฐได้แต่ส่ายศีรษะ คาดเดาในใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้คงคิดแผนการกลั่นแกล้งเขาไว้แน่ๆ

 

“รอนานไหมคะคุณเดียร์” นับดาวส่งยิ้มหวานขณะนั่งลงตรงข้ามไปรยาหรือเดียร์ บรรณาธิการประจำตัว 

เธอสำรวจคนตรงหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มเข้าใจบางอย่าง...ไปรยาจัดเป็นไทป์ผู้หญิงที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบ สไตล์สาวตัวเล็ก ร่างเพรียวบาง ผิวขาวจัด ปากนิดจมูกหน่อย น่ารักน่าเอ็นดู พวงแก้มเรื่อสีแดงจางๆ องค์ประกอบของหญิงสาวทำให้เธอเป็นตุ๊กตาแสนหวานที่น่าโอบกอดไว้อย่างทะนุถนอม

“ไม่นานค่ะคุณนับดาว ต้นฉบับรอบนี้มีติดขัดตรงไหนไหมคะ” เสียงของอีกฝ่ายก็หวานใส หากเธอจินตนาการเป็นเสียงครางยามร่วมรัก คงเป็นเสียงนุ่มๆ เล็กๆ อย่างแน่นอน

“รอบนี้ฉิวเฉียดไปนิดค่ะ” เธอยิ้มพลางหยิบแท็บเล็ตออกมา เปิดผลงานคร่าวๆ ล่าสุดให้อีกฝ่ายดู ทันทีที่เปิดไฟล์ ใบหน้าของบรรณาธิการสาวก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงปลั่ง ยิ่งเธอไล่เปิดไปเรื่อยๆ พร้อมอธิบายเนื้อเรื่องหลัก ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยิ่งแสดงความขัดเขิน แม้แต่ใบหูและลำคอก็แดงจัด 

“นิยายชุดนี้มีภาพประกอบมากกว่าชุดอื่น ต้นฉบับคุณเดียร์ตรวจได้ตามสบายเลยค่ะ เล่มต่อในซีรีส์ขอเวลาอีกสามเดือนนะคะ”

“ได้ค่ะคุณนับดาว ระหว่างนี้เดียร์จะขอนัดติดตามผลงานเรื่อยๆ ตามเดิมนะคะ” 

นับดาวพยักหน้า ก่อนจะยิ้มมุมปากเมื่อปรายตาเห็นร่างสูงโปร่งของเจ้าของร้านเดินเข้ามาใกล้ 

ชายหนุ่มวางถ้วยน้ำอุ่นสีเหลืองอ่อนตรงหน้าเธอ เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยเสียงนุ่มทุ้ม

“น้ำผึ้งมะนาวอุ่นครับ” 

เธอช้อนตามองเขาเล็กน้อย 

“คุณเดียร์อยากได้อะไรเพิ่มไหมคะ ไหนๆ ก็มาทั้งทีแล้ว นมอุ่นดีไหมคะ ร้านคุณเฌอเขาทำ ‘นมสดอุ่น’ ได้เข้มข้นมากเลยนะคะ” 

ระหว่างพูดเธอก็จงใจเน้นเสียงบางจุดก่อนจะส่งยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมสังเกตเห็นว่ามือของชายหนุ่มกำแน่น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเกร็งเล็กน้อย ส่วนบรรณาธิการประจำตัวของเธอส่งยิ้มพลางตอบโดยไม่รู้ถึงความนัยของประโยคก่อนหน้านี้เลย 

“เดียร์สั่งชามะนาวเย็นมาแล้วค่ะ เอาไว้คราวหน้านะคะ” 

“น่าเสียดายจังเลย คุณเฌอคะ ขอบคุณมากค่ะ” เธอหันไปกล่าวขอบคุณ ชั่ววินาทีนั้นเธอก็ประสานสายตาเข้ากับนัยน์ตาวาววับคาดโทษจากเขา แต่นับดาวทำเพียงไหวไหล่ไม่สนใจ 

“ครับ” 

“คุณเฌอเขาเป็นเจ้าของร้านด้วยใช่ไหมคะ” 

หลังจากที่ชายหนุ่มเดินไปแล้ว คนตรงหน้าเธอก็ถามเสียงเบา จ้องมองแผ่นหลังหนุ่มเจ้าของร้านตาไม่กะพริบ 

“ใช่ค่ะ” 

ลางสังหรณ์บางอย่างร้องเตือนขึ้นมา นับดาวรู้สึกว่าหากไม่ทำอะไรสักอย่าง แผนการที่เธอเตรียมไว้คงพังทลายไม่เป็นชิ้นดี 

“คุณเดียร์สนใจคุณเฌอเหรอคะ” 

นับดาวมั่นใจว่าไปรยาสนใจ แต่ถ้าวิเคราะห์จากนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว บรรณาธิการสาวร่างเล็กคนนี้คงบอกปัดปฏิเสธ ด้วยความคิดที่ว่า...ผู้หญิงไม่ควรออกตัวแรงว่าสนใจผู้ชายก่อน ถึงสนใจแค่ไหนก็ห้ามออกตัวแรง

“เปล่าค่ะ ตอนแรกเดียร์นึกว่าเขาเป็นบาริสตาประจำร้านเฉยๆ”

‘โกหก’

เธอนึกในใจ มีข้อสังเกตหลายข้อที่ชี้ชัดว่าเขาเป็นเจ้าของร้าน เป็นไปได้ยากมากๆ ที่ไปรยาจะไม่รู้ แต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นเหมือนไม่ทันสังเกต 

“ฉันส่งต้นฉบับเข้าเมลเดียร์พร้อมซีซีถึงพี่ปุ้ยแล้วนะคะ ส่วนวันนัดเช็กงานเป็นทุกพุธที่สองกับสิ้นเดือนแล้วกันค่ะ คุณเดียร์จะกลับเลยไหมคะ”

เธอรีบตัดบทพลางถามความเห็นของบรรณาธิการสาวตรงหน้า เพราะอีกฝ่ายมีแท็บเล็ตเครื่องเล็ก รวมถึงหนังสือนิยายพกติดมาด้วย ดูแล้วเหมือนไม่ใช่แค่การเตรียมพร้อมออกมาพบนักเขียนอย่างเดียว 

“เดียร์จะนั่งทำงานสักครู่น่ะค่ะ ไหนๆ ก็ออกมาทั้งที จะได้ไม่เสียเวลา” 

นับดาวพยักหน้าพลางมองแดดที่ส่องเข้ามาในร้าน เธอทำหน้านิ่วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยความเห็นของตัวเองออกมาตรงๆ

“ตอนนี้ก็สายมากแล้ว แดดมันแรง เปลี่ยนไปนั่งหลบมุมดีกว่าค่ะ ไม่อย่างนั้นเสียสายตาแย่” เธอยิ้มมุมปากเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย 

เขียนนิยายมาตั้งเยอะ วาดรูปมาตั้งเท่าไหร่ ทำไมจะมองไม่ออกว่ามุมตกกระทบแสงแบบนี้มักดึงดูดสายตาได้ดี เหมือนกับการถ่ายแบบนั่นแหละ นับประสาอะไรกับมุมที่แสงสร้างบรรยากาศออร่าของนางเอกนิยาย แถมโต๊ะนั่งตรงนี้ก็เป็นจุดนำสายตาจากเคาน์เตอร์หลักของร้านได้ดี 

ฉลาดเลือกนั่งดีนี่...

นับดาวต้องเอ่ยชมในใจ จะว่าไปเธอดูถูกมารยาของผู้หญิงไม่ได้เลย แต่พอนึกถึงประชากรชายที่คุณภาพคับแก้วอย่างชารัฐแล้ว เธอก็เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงส่วนใหญ่อยากเป็นเจ้าของเขาใจจะขาด

แต่นับดาวไม่อยากเสียเวลาเข้าไปสู่ความสัมพันธ์ที่ต้องแย่งชิงแบบนั้น แค่ต้องการบางอย่างจากเขาเท่านั้นเธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชารัฐไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรัก และมันคงยากที่จะพัฒนาความสัมพันธ์เป็นคู่รักต่อไป แต่อย่างน้อยในความคิดของเธอ คนที่อยู่ข้างเขาในวันข้างหน้าต้องไม่ใช่คนแบบไปรยา จะเรียกว่าผีเห็นผีหรือเปล่านับดาวก็ไม่แน่ใจ ทว่าทันทีที่รู้ว่าชารัฐมีความรู้สึกพิเศษให้คนตรงหน้าถึงขนาดเอาไปเพ้อจนต้องปลดปล่อยตัวเอง นับดาวก็รู้สึกว่ามองคนตรงหน้าเปลี่ยนไป 

อคติหรืออิจฉา...คำตอบข้อนี้เหมือนจะตอบง่าย แต่มันก็ยังยากอยู่ดี 

เธออาจจะมีอคติขึ้นมาจริงๆ ดังนั้นเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายถึงได้รู้สึกต่อต้าน แต่อีกความรู้สึกก็แย้งขึ้นมาว่าเธออาจจะคิดลบไปเอง บรรณาธิการสาวของเธอคนนี้อาจจะใสซื่อจริงๆ 

‘จริงเหรอ...’

นั่นไง...ความคิดของเธอกำลังตีกันอีกแล้ว มันไม่ใช่ทั้งนางฟ้าดีและนางฟ้าเลว แต่เป็นเธอกับความอิจฉามากกว่า 

ชั่วแวบหนึ่งนับดาวก็ตั้งคำถามกับตัวเอง อะไรกันนะที่ทำให้เธออิจฉาผู้หญิงคนนี้ 

ความสวย? คงไม่ใช่ เพราะตอนนี้นับดาวมั่นใจว่ารูปร่างหน้าตาของเธอมีเสน่ห์มากพอจะดึงดูดสายตาผู้ชาย

ความสามารถ? นี่ก็คงไม่ใช่ เพราะเธอมีความสามารถเฉพาะตัวที่พึ่งพาตัวเองได้ อย่างน้อยเธอก็ไม่อดตาย 

หรือเป็นเพราะชารัฐ? 

ข้อนี้นับดาวก็ยิ่งค้านว่าไม่ใช่ เธอไม่ได้พิศวาสเขา ไม่ได้อยากจับจ้องเป็นเจ้าของชายหนุ่มจนตัวสั่น ที่เธอสนใจก็แค่ร่างกายของเขา รอให้เธอได้เขาสมใจ วันหนึ่งจะปล่อยเขาทิ้งไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย 

ดังนั้นความรู้สึกอิจฉาหรือไม่ชอบใจนี้จะเป็นเพราะชารัฐไม่ได้อยู่แล้ว

นับดาวย้ำบอกตัวเองในใจสักพัก ก่อนเอ่ยปากบอกลาหญิงสาวตรงหน้า ซึ่งท่าทีของไปรยาก็ดูอ่อนหวาน ไม่ต่างจากเดิมตรงไหน แต่เธอกลับไม่ชอบใจอยู่ดี

ความหงุดหงิดที่ก่อขึ้นในใจทำให้นับดาวอยากหาสาเหตุ หรือว่าญาติสาวของเธอกำลังจะมา แต่มันก็ไม่ใช่อีก...สุดท้ายหญิงสาวจึงสลัดความรู้สึกขุ่นมัวนี้ออกจากสมอง พยายามไม่กลับไปสนใจมันอีก

เธอเดินไปที่เคาน์เตอร์ ใช้หลังมือเคาะเป็นสัญญาณให้ชายหนุ่ม ก่อนจะหยิบเงินค่าเครื่องดื่มออกมาให้เขา 

หลังจากจ่ายค่าเครื่องดื่มเสร็จเรียบร้อย แทนที่เธอจะเดินออกจากร้านเพื่อขึ้นไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นบนของอาคารเดียวกัน นับดาวกลับเปลี่ยนใจมองไปรอบๆ ก่อนสังเกตว่าตอนนี้ภายในร้านเริ่มมีลูกค้าทยอยกันเข้ามาหนาตาแล้ว แต่ที่ร้ายกลับมีแค่ชายหนุ่มให้บริการอยู่คนเดียว

“น้องพาร์ตไทม์คุณจะมากี่โมงนะคะ” 

ชารัฐเลิกคิ้วมองเธออย่างนึกสงสัย เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วพูดขึ้น 

“เที่ยงครับ”

“อืม...งั้นฉันขอสั่งออร์เดอร์ใหม่ เอากาแฟกับแพนเค้กน้ำผึ้งละกันค่ะ” นับดาวล้มเลิกแผนการเดิม ก่อนจะวางข้าวของลงหน้าเคาน์เตอร์อีกครั้ง 

“ไม่ใช่ว่าคุณจะไปนอนเหรอ”

“ฉันเปลี่ยนใจแล้วค่ะ ถึงขึ้นไปตอนนี้ฉันก็ไม่หลับอยู่ดี” 

เธอไหวไหล่เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ชารัฐกลับหยุดงานของตน เขาเท้ามือกับเคาน์เตอร์อยู่อีกฝั่งพลางโน้มตัวมาใกล้ ถึงจะไม่ได้ดูสนิทชิดเชื้อจนเกินไป แต่ก็มากพอที่เธอจะได้กลิ่นหอมสะอาดและกลิ่นกาแฟอันอบอุ่นจากตัวเขา 

“คุณควรปรับนาฬิกาชีวิตของตัวเองหน่อยนะครับ แบบนี้ร่างกายคุณจะไม่ไหวสักวัน” 

น้ำเสียงของเขายังคงเรียบสงบเหมือนพูดถึงลม ฟ้า อากาศ นับดาวไม่สามารถจับอารมณ์ในน้ำเสียงเขาได้แม้แต่น้อย เธอเลยไม่รู้จริงๆ ว่าประโยคนี้เขาพูดด้วยอารมณ์ไหน 

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ” 

เธอไม่อยากปฏิเสธให้เสียน้ำใจ เพราะเขาไม่ได้ก้าวก่ายจนเธอรู้สึกอึดอัด กลับกันการมีคนไถ่ถามเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาเหมือนกัน 

“เดาว่าสมัยเรียนคุณต้องเป็นพวกเด็กเรียน เป็นหัวหน้าห้องหรือประธานนักเรียนอะไรเทือกนี้หรือเปล่าคะ” 

นับดาวรู้สึกอยากรู้เรื่องราวของเขาขึ้นมา อยากได้ยินจากปากเขาว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาเป็นอย่างไร 

“อะไรที่ทำให้คุณคิดแบบนั้นครับ”

ชารัฐหันมองเธอเล็กน้อยขณะที่สองมือเลื่อนไปยุ่งกับเครื่องทำกาแฟ 

“ก็...” นับดาวยิ้มพลางกวาดตาขึ้นลงทั่วร่างชายหนุ่ม 

“คุณเป็นคนมีระเบียบ ดูเป็นผู้นำ ใจเย็น อีกอย่างคุณดูรับมือกับสถานการณ์ได้ดี ฉันเลยคิดว่านิสัยแบบนี้ถ้าไม่ใช่เด็กเรียนก็ต้องเป็นหัวหน้าห้อง” 

พอเธอพูดจบ ใบหน้าของชารัฐค่อยๆ เผยรอยยิ้มอบอุ่น นัยน์ตาของเขาเป็นประกายพราวระยับจับตา แววตาที่เขามองเธอเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย 

“เป็นเพราะงานของคุณหรือเปล่าครับ คุณถึงสังเกตคนเก่ง” เขาวางถ้วยกาแฟลงบนเคาน์เตอร์แล้วเลื่อนให้เธอ 

“อาจจะค่ะ ฉันชอบสังเกตคน บุคลิกของพวกเขาเป็นเอกลักษณ์ดี ฉันชอบจินตนาการดูว่าพวกเขาจะทำอะไร คิดอะไรอยู่”

“พวกเขาเป็นหนึ่งในตัวละครในงานของคุณหรือเปล่าครับ” 

“ก็ส่วนหนึ่งค่ะ อย่างเช่นผู้ชายในที่นั่งอยู่โต๊ะเดี่ยวด้านซ้ายของร้าน เห็นไหมคะ” เธอเหลือบมองไปทางเป้าหมาย ขณะเดียวกันชารัฐก็เผลอมองตามโดยไม่รู้ตัว

“ครับ แล้วยังไงต่อ”

“ตั้งแต่เข้าร้านมา ที่โต๊ะเขามีกาแฟถ้วยเดียว แต่มันไม่พร่องลงเลย ตาเขามักมองที่ประตูร้าน แสดงว่าเขาอาจจะรอคอยใครอยู่ บางทีเขาอาจจะกำลังโดนหลอกให้มานัดเดต แต่อีกฝ่ายเทเขาไปแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะรออีกสักนิด อืม...สำหรับฉันเขาจะเป็นตัวละครชายเรียบๆ เนิร์ดๆ แต่ซุกซ่อนทีเด็ดเอาไว้”

“คุณก็แต่งเรื่องเก่งนะ”

“นั่นมันงานของฉันนี่คะ จริงๆ แล้วโลกนี้มันก็คือละคร ทุกคนก็เป็นตัวละครของฉันได้นั่นแหละค่ะ”

“แล้วคุณนับรวมผมด้วยไหม”

“เดาดูสิคะ” เธอไม่ตอบตรงๆ แต่ทิ้งให้เขาคิดเอาเอง 

“หวังว่าเรื่องของพวกเราคงไม่ได้ไปอยู่ในงานของคุณหรอกนะครับ” 

“คุณอยากเป็นพระเอกของฉันหรือเปล่าคะ” 

นับดาวใช้ช้อนคนกาแฟ มือข้างหนึ่งเท้าเคาน์เตอร์ เผยรอยยิ้มหวาน 

“ขอเป็นแค่แรงบันดาลใจพอดีกว่าครับ” 

“ถ้าอยากเป็นเมื่อไหร่ก็บอกนะคะ”

ชารัฐยิ้มมุมปาก จากนั้นเขาก็กลับไปยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง รออีกประมาณสิบถึงสิบห้านาที แพนเค้กร้อนหอมกรุ่นที่เสิร์ฟคู่กับเมเปิลไซรัปก็วางลงตรงหน้า นับดาวเอ่ยปากขอบคุณพลางหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ในร้าน 

“ใกล้จะเที่ยงแล้วนะคะ น้องพาร์ตไทม์ของคุณยังไม่มาเหรอคะ” 

“น่าจะใกล้แล้วละครับ ปกติน้องเขาก็มาตรงเวลา”

นับดาวไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้ารับแล้วลงมือจัดการแพนเค้ก แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกมอง จึงหันหน้ากลับไปมองมุมหนึ่งของร้าน ชั่วขณะนั้นถึงได้ประสานสายตาเข้ากับไปรยา อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มเขินๆ มาให้ แล้วจึงก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อ 

เธอไม่รีบร้อน ค่อยๆ นั่งกินแพนเค้กช้าๆ จิบกาแฟทีละนิด จนเวลาเลยมาถึงเที่ยงครึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นพนักงานพาร์ตไทม์ของชารัฐมาเสียที

“คนเริ่มเยอะแล้วนะคะ อยากให้ฉันช่วยหรือเปล่า แต่ฉันชงกาแฟให้ไม่ได้นะคะ อย่างอื่นสบายมาก” 

ชารัฐมองลูกค้าที่เริ่มทยอยเข้ามาในร้าน แล้วหันมามองเธออย่างชั่งใจ 

“รบกวนคุณแล้วครับ” 

นับดาวยิ้ม รวบถ้วยกาแฟกับจานแพนเค้กซ้อนกัน ก่อนจะลุกขึ้นหยิบของของเธอ เดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์

“ฉันฝากของไว้ที่นี่ได้ใช่ไหมคะ ส่วนจานกับถ้วยกาแฟฉันจะไว้ที่ซิงค์นะคะ” 

“ได้ครับ”

ชารัฐส่งผ้ากันเปื้อนของร้านมาให้เธอสวม แล้วหันมาแจงงานที่เธอต้องทำง่ายๆ 

“ถ้ามีเมนูกาแฟหรือเครื่องดื่มที่ต้องชงใหม่คุณบอกผมแล้วกันนะครับ ถ้าเป็นขนมในตู้คุณหยิบจัดใส่จานเสิร์ฟลูกค้าได้เลยครับ”

“ได้ค่ะ ฉันพอเข้าใจ” 

เธอรับชุดกันเบื้องที่เขาส่งมาสวมพลางก้มสำรวจความเรียบร้อยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงรู้ตัวว่าสายตาของชารัฐยังคงจับจ้องที่ตัวเธอ นับดาวยิ้มเล็กน้อยก่อนจะแกล้งหมุนตัวหนึ่งรอบพลางเอ่ยกระเซ้าเขาไปอีกหนึ่งที 

“ถ้าอยากรีเควสต์ให้ฉันสวมแต่ผ้ากันเปื้อนอย่างเดียวก็บอกได้นะคะ” 

เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่พอเหมือนจะรู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร เขาจึงตอบด้วยท่าทีเฉยเมยแต่แฝงความท้าทายไว้ในน้ำเสียง 

“คุณกล้า?”

“ถึงตอนนั้นคุณอย่าถอยเองก็แล้วกันนะคะ” 

“ลูกค้ามาแล้ว ตั้งใจทำงานครับ” 

เห็นเขาเปลี่ยนมาจริงจังตั้งใจทำงานแล้ว เธอก็เป่าลมออกจากปากเซ็งๆ ผู้ชายคนนี้ชอบเปลี่ยนบทจริงจังเข้มขรึมแบบนี้ตลอดเวลาเลย แต่ว่ามันก็เป็นเสน่ห์แบบหนึ่งจากตัวเขาเช่นกัน 

นับดาวอยากเห็นอารมณ์ที่หลากหลายของเขา อยากจะรู้ว่าภายใต้ท่าทางนิ่งเฉยของเขามีอะไรซุกซ่อนอยู่

ชารัฐเป็นดินแดนลึกลับที่เธออยากเข้าไปสำรวจ แม้จะไม่ใช่คนแรกที่เข้าไปบุกเบิกดินแดนนี้ แต่เธอก็ยังอยากเข้าไปอยู่ดี กินดื่มบนโอเอซิสที่แสนล้ำค่าของเขาจนพอใจแล้วค่อยเปลี่ยนไปหาดินแดนใหม่ที่เป็นของเธอต่อ 

แต่ตอนนี้โอเอซิสที่เธอตามหาต้องเป็นเขาเท่านั้น...

“อย่าลืมให้รางวัลคนตั้งใจทำงานด้วยนะคะ” 

เธอขยับเข้าใกล้เขาพลางส่งเสียงกระซิบออดอ้อน 

“ค่าแรงตามปกติที่ผมให้พาร์ตไทม์พอไหม”

พอเธอทำหน้าเบื่อโลกไม่ชอบใจ วินาทีเดียวกันนั้นเธอก็เห็นแววตาขบขันจากนัยน์ตาคู่งามของเขา ราวกับผิวน้ำที่กระเพื่อมสั่นไหวเป็นวงกว้างออกไปเรื่อยๆ 

“ค่าแรงไม่เอาหรอกค่ะ..”

ชารัฐเลิกคิ้วสงสัย สีหน้าของเขามีคำว่า ‘คุณต้องการอะไร’ แปะอยู่บนหน้า 

“แต่คืนนี้ของคุณ ฉันขอแล้วกันนะคะ” 

 

ชารัฐมองดูร่างเพรียวบางสมส่วนของนับดาวขณะเคลื่อนไหวไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงแม้จะเป็นแค่การรู้จักกันอย่างผิวเผิน แต่หญิงสาวตรงหน้าเขามีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นดีกว่าที่คิด ลูกค้าส่วนใหญ่ดูจะชอบใจบริการของเธอ ไม่รู้ว่าเพราะรอยยิ้มสดใสหรือท่าทางที่เป็นกันเอง เข้าถึงง่าย ลูกค้าในร้านจึงรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย โดยเฉพาะลูกค้าหนุ่มๆ ในร้านที่มองตามเธอเป็นตาเดียว 

ชารัฐต้องยอมรับตามความเป็นจริงว่า พอชุดกันเปื้อนของร้านเขาอยู่บนร่างเธอแล้ว มันดูเข้ากับนับดาวอย่างบอกไม่ถูก ไม่ได้หมายความว่าเธอเหมาะกับการเป็นพนักงานเสิร์ฟ แต่ผ้ากันเปื้อนทำให้เธอดูเย้ายวนขึ้น เวลาปลายสายรัดที่ผูกอยู่ด้านหลังขยับพลิ้วไหวปัดไปปัดมาเวลาเธอเดินก็ยิ่งดึงดูดสายตามากเข้าไปอีก 

ทันใดนั้นเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นลูกค้าชายคนหนึ่งแอบยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพของนับดาว ชารัฐมองผู้ชายคนนั้นกดโทรศัพท์ตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง จึงลองหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาค้นหาแท็กอะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับร้านของตัวเองบ้าง

และมันก็มีจริงๆ ด้วย 

ในแอปพลิเคชันยอดฮิตที่ทุกคนมักจะชอบไปอัปเดตข้อความ โพสต์รูปภาพ หรือเสพข่าวสารต่างๆ เขาเห็นภาพของนับดาวที่เพิ่งโพสต์ลงบนเพจพร้อมกับแคปชันประกอบเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว จากที่ชารัฐไล่ดู เพจนี้เปิดไว้เพื่ออัปเดตเรื่องทั่วไป แต่ส่วนใหญ่จะเน้นคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับผู้หญิงหน้าตาดี หุ่นดีเป็นส่วนมาก

กาแฟที่ว่าอร่อย ยังไม่เด็ดเท่าพนักงานเสิร์ฟ เจอแบบนี้พี่ให้เต็มสิบไปเลย มันน่าจัดสักดอก!/

แจ้งพิกัด สาวเสิร์ฟน่าจัดต้องบอกต่อ @MINDCoffee/

ภาพถ่ายทั้งด้านข้างและด้านหลังของนับดาวพร้อมแคปชันนี้ทำให้ชารัฐขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ เพจนี้เองก็มีผู้ติดตามอยู่เยอะพอสมควร หลังจากที่มีการโพสต์ภาพนับดาวลงไปแล้ว ไม่กี่วินาทีถัดมาก็มีคนมาแสดงความเห็นกันอย่างสนุกปาก

XXXA: โอ้ย เด็ดดวงมาลูกเพ่! ขายกาแฟเหรอคร้าบ อยากไปอุดหนุนจังเลย/

XXXB: การเงินมีปัญหา สวมชุดนักศึกษามาหาพี่ได้นะน้อง/

XXXC: ภาพแสงสวยนะครับ เห็นแล้วขออนุญาตเซฟเก็บเป็นเคสศึกษาด้วยตัวเองนะครับ/

XXXD: แต่งตัวแบบนี้ได้ยังไง นี่ขายกาแฟหรือขายอย่างอื่น น่าเกลียด!/

และอีกหลายคอมเมนต์ที่มีนัยทั้งพูดระรานและคอมเมนต์ตำหนิหญิงสาว 

ชารัฐเลื่อนสายตาออกจากจอโทรศัพท์ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ แล้วหยุดข้างโต๊ะลูกค้าคนนั้น 

“ขอโทษนะครับลูกค้า ช่วยลบโพสต์ในเพจนี้ออกได้ไหมครับ” เขายื่นหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดโพสต์นั้นไว้ สีหน้าของลูกค้าชายตรงหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย 

“รบกวนลบภาพด้วยนะครับ ดูเหมือนโพสต์นี้จะทำให้คนของผมไม่ปลอดภัย”

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ” 

นับดาวเดินมาหยุดข้างตัวเขา เธอมองเขาและลูกค้าสลับกันครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบมองโทรศัพท์ในมือเขา จากนั้นก็โน้มหน้าเข้ามาดูรายละเอียดในโพสต์นั้นใกล้ๆ 

“คุณแอบถ่ายภาพฉันเหรอคะ” 

ร้านของเขาไม่ใช่ร้านใหญ่อะไรมากขนาดนั้น ดังนั้นเสียงของนับดาวที่ถามด้วยความตกใจจึงดังพอให้ลูกค้าโต๊ะใกล้เคียงได้ยิน ไม่รู้ว่าเพราะสายตาของคนในร้านที่มองมายังพวกเขาสามคนหรือเปล่า ใบหน้าของลูกค้าชายคู่กรณีจึงได้แดงขึ้นมา จากสีหน้าเจื่อนๆ พลันเปลี่ยนเป็นโมโหขึ้นมา

“คุณบ้าหรือเปล่า มาใส่ความแบบนี้ได้ไง ผมโพสต์หรือเปล่าคุณก็ไม่รู้ อย่ามากล่าวหามั่วๆ”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆ เขาจึงอธิบายต่อด้วยท่าทีสุภาพเหมือนเดิม...ไม่จำเป็นต้องไปเสียแรงและอารมณ์กับคนตรงหน้า

“ถ้าอย่างนั้นเปิดอัลบัมรูปภาพในมือถือคุณมาพิสูจน์ไหมครับ ว่าไม่ได้ถ่ายภาพคนของผม”

อีกฝ่ายแสดงท่าทางลุกลี้ลุกลนออกมาแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรที่เขาต้องไล่ต้อนอีกแล้ว 

“คุณคงไม่รู้ว่าแค่อารมณ์นึกสนุกนิดเดียวจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผมไม่รู้ว่าคุณจะคิดยังไง แต่คุณทำให้คนของผมถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยคำพูดลบๆ คุณอาจจะคิดว่ามันแค่เรื่องขำๆ แต่ไม่มีใครชอบให้ตัวเองตกเป็นเครื่องมือหรือวัตถุสนองอารมณ์ของคนอื่นหรอกนะครับ”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าผมนะ! เออ แค่ลบภาพใช่ไหม อะไรกันนักหนาวะ! พนักงานคุณแต่งตัวยั่วเอง ถึงผมไม่คิดคนอื่นก็คิด”

คำพูดของคนตรงหน้าทำให้ชารัฐรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับกำแพงมนุษย์ที่ไม่ยอมเปิดรับอะไรทั้งสิ้น เขาเหลือบมองนับดาว เห็นใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือด สีหน้าไม่สู้ดีของอีกฝ่ายทำให้เขาเป็นห่วงขึ้นมา ชารัฐดันให้หญิงสาวหลบอยู่ด้านหลังตนก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง 

“จะแต่งตัวยังไงมันเป็นสิทธิ์ของเจ้าตัว คุณไม่มีสิทธิ์ถ่ายภาพเธอไปพูดในทางเสื่อมๆ แบบนี้ เสื้อผ้าไม่ได้บอกว่าใครดีใครเลว แต่การกระทำต่างหากที่บอกว่าเราเป็นคนแบบไหน คุณคิดเองแล้วกันนะครับ แล้วก็ลบภาพของเธอให้หมดด้วยครับ”

ชายหนุ่มตรงหน้าเขาหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะความอายหรือโกรธ ยิ่งคนในร้านมองพวกเขามากเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งดูร้อนรนเหมือนทนไม่ได้ 

“เออ แค่ลบใช่ไหม ดูซะ!” 

ว่าแล้วคู่กรณีก็หยิบโทรศัพท์ออกมาลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับนับดาวออกจากเครื่องต่อหน้าเขา พอทุกอย่างเรียบร้อยเจ้าตัวก็วางเงินลงบนโต๊ะแล้วกระแทกเท้าปึงปังออกจากร้าน แต่ก่อนจะพ้นจากร้านก็ไม่ลืมหันมาอวยพร

“ขอให้ร้านมึงเจ๊ง!”

ชารัฐส่ายหน้ากับพฤติกรรมขี้แพ้ชวนตีแบบนี้ พอนึกขึ้นมาได้เขาก็หันไปหาพนักงานจำเป็นของตนอีกครั้ง

“คุณโอเคหรือเปล่า” 

ตอนแรกเขายังคิดเลยว่าถ้าเธอรู้ว่าคู่กรณีทำอะไรบ้าง หญิงสาวต้องอาละวาดขึ้นมาแน่นอน แต่ใครจะคิดว่านับดาวกลับยืนนิ่งอึ้งหน้าซีดแทน 

“อะ...ค่ะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เธอชะงักก่อนจะมองเขากลับ นัยน์ตาของเธอเป็นประกาย ไม่ใช่ความชื่นชมหรือขอบคุณ แต่มันเป็นสายตาที่คล้ายกับการหวนย้อนไปยังความทรงจำบางอย่าง เป็นสายตาของความคิดถึงที่เขาไม่รู้ที่มาที่ไปว่าทำไมนับดาวถึงกำลังรู้สึกแบบนี้ 

หรือว่าเธอเคยมีเรื่องแบบนี้ฝังใจ

เหตุผลหลายข้อผุดเข้ามาในหัวเขา ชารัฐวางมือบนไหล่เธอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยนที่ตนไม่ได้ทำมานานแล้ว 

“งั้นคุณเอาจานโต๊ะนี้ไปเก็บ จากนั้นไปพักหลังเคาน์เตอร์ก่อนนะครับ”

“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ คุณคิดมากไปแล้ว” 

เธอหันมาส่งรอยยิ้มอย่างที่มักทำเป็นประจำ ตอนนี้เองที่เขาไม่เห็นร่องรอยใดๆ ในดวงตาของเธออีกแล้วราวกับว่าทุกอย่างกลับไปที่เดิม เป็นตัวตนของผู้หญิงตรงหน้าที่ดูสดใส เต็มไปด้วยพลังชีวิตล้นปรี่ 

“แล้วแต่คุณ ถ้าไม่ไหวก็พัก ผมไม่ได้ใช้แรงงานโหดขนาดนั้น” 

“รับทราบค่ะ” นับดาวตอบเสียงใส แล้วหมุนตัวหันไปยุ่งวุ่นวายกับการเก็บจานและแก้วน้ำต่อ

เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็ยอมถอยให้เธอก้าวหนึ่ง เนื่องด้วยไม่ต้องการบีบบังคับอีกฝ่าย บางทีการที่เขาเผลอแสดงความห่วงใยหรือแสดงท่าทีสงสารออกไปอาจจะเป็นการสร้างรอยแผลให้หญิงสาวโดยไม่รู้ตัว 

            

            ประมาณบ่ายสองกว่าๆ น้องพาร์ตไทม์ที่หายไปก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในร้านด้วยท่าทางเหนื่อยจัด ใบหน้าเด็กหนุ่มแดงก่ำเพราะออกแรงวิ่งสุดตัว แผ่นหลังจึงเปียกชุ่มเหงื่อเป็นวงกว้าง

            “พี่เฌอ ขอโทษครับ ผมเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย โทรศัพท์ดันมาตายตอนนี้ด้วย เลยติดต่อพี่ไม่ได้” 

            นับดาวเห็นชารัฐยืนตบบ่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องเบาๆ ก่อนจะส่งน้ำเปล่าให้ขวดหนึ่ง 

            “ไม่เป็นไร วิ่งมาไกลละสิ พักก่อน พี่ได้นับดาวมาช่วยแล้ว ไม่ต้องคิดมาก” พอชารัฐอธิบายแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้สังเกตเห็นเธอเต็มตา เขาอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขอโทษ

            “ขอโทษที่ทำให้ลำบากครับ” 

            “ไม่เป็นไรค่ะน้อง พี่ว่าง อีกอย่างคนกันเองทั้งนั้น เรือล่มในหนอง ทองมันจะไปไหน จริงไหม”

            พอเธอพูดเข้าอย่างนั้น ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เบิกกว้าง มองเธอสลับกับชารัฐสลับกันไปมา ท่าทางตื่นเต้นและตกใจของอีกฝ่ายทำให้เธอยิ้มกว้าง อารมณ์ขุ่นมัวพลันสดใสขึ้นทันตา

            อืม...นิยายของเธอไม่ค่อยเจอตัวเอกแบนนี้เลยแฮะ 

            หนุ่มกินพืชที่กินเนื้อหรือเป็นหนุ่มใสซื่อที่ถูกหลอกกินดีนะ

ดวงตาของเธอเป็นประกายเจิดจ้า เริ่มคิดแล้วว่าจะลองเอาแครักเตอร์ของเด็กพาร์ตไทม์คนนี้ไปพัฒนาต่ออย่างไรดี 

“พะ...พวกพี่?”

“ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกอชิ ไปเตรียมตัวหลังร้านก่อน” 

บาริสตาหนุ่มที่พ่วงด้วยตำแหน่งเจ้าของร้านรีบตัดบทไม่ให้รุ่นน้องคิดอะไรไปไกลกว่าความจริง เขามองดวงตาพราวระยับของคนขี้แกล้งแล้วก็อ่อนใจ 

“อย่าพูดอะไรแปลกๆ หลอกเด็กสิครับ” 

นับดาวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยืนกอดอกมองชายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อย พอแกล้งให้อีกฝ่ายเผยสีหน้าจนใจออกมาได้แบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าเธอได้กำไรมาไม่น้อยเหมือนกัน 

“คุณเรียกน้องพาร์ตไทม์กลับมาสิคะ เดี๋ยวฉันจะอธิบายความสัมพันธ์ของพวกเราใหม่ ดีไหม”

จบประโยคของเธอชารัฐก็ส่งสายตาไม่เห็นด้วยสุดๆ เธอคิดว่าเขาต้องจับทางได้แน่ๆ ว่า ไอ้ ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างเธอกับเขาที่พูดถึงนั้นคืออะไร 

“น้องเขาชื่ออชิ เป็นน้องนักศึกษาที่ผมรู้จัก เขาจะทำงานที่นี่วันจันทร์กับวันพุธช่วงเที่ยงเป็นต้นไป และวันเสาร์-อาทิตย์เต็มวัน ถ้าคุณลงมาเจอจะได้เรียกถูก”

“โอเคค่ะ ฉันจะจำเอาไว้ ว่าแต่คุณจะไม่ให้ฉันอธิบายกับน้องอชิใหม่เหรอ เดี๋ยวเขาจะเข้าใจผิดๆ ไปนะคะ” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่นับดาวไม่ได้คิดอย่างที่พูดสักนิด 

“น้องเขามาแล้ว คุณอยากจะกลับไปพักก็ได้นะครับ” ชารัฐตอบไม่ตรงคำถาม เขาเอ่ยปากคล้ายจะไล่เธออ้อมๆ แต่นับดาวไม่สนใจ เธอยักไหล่พลางต่อล้อต่อเถียงกวนประสาทคนตรงหน้าต่อพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“เอ๋ แล้วแบบนี้ฉันจะได้ค่าแรงตามที่ตกลงกันไหมคะ”

ชารัฐรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังแกล้ง เพราะสายตาของนับดาวไม่ได้เป็นกังวลอย่างที่ปากพูดเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบคำถามเธอ เพียงแต่หมุนตัวไปจัดการของต่อเงียบๆ 

ส่วนนับดาวก็ไม่ใส่ใจที่เขาทำเป็นเมิน เธอกวาดตาไปรอบๆ ก่อนจะชะงักเมื่อสบตาเข้ากับบรรณาธิการสาวที่ยังคงนั่งอยู่ในร้าน อีกฝ่ายมักลอบมองเธอและชารัฐอยู่หลายครั้งด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น 

เธอถอดผ้ากันเปื้อนออกจากตัวแล้วถือไว้ รอจนชารัฐหันมาสนใจตัวเองอีกครั้งถึงได้ยื่นมันให้เขา 

“ตกลงคุณจะยังจ่ายค่าแรงของฉันอยู่ไหมคะ”

ชายหนุ่มรับผ้ากันเปื้อนไปถือ สายตาของเขาจับจ้องมาที่เธอโดยตรง มุมปากของเขาหยักเป็นรอยยิ้มที่ดูไร้พิษสง แต่นับดาวรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ต่างจากรอยยิ้มอบอุ่นที่เขาชอบทำ...ต้องเป็นเพราะแววตาของเขาแน่ๆ 

“คืนนี้ที่คุณว่ามันคืออะไรล่ะ” 

และแล้วเขาก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาราวกับกำลังรอต้อนให้เธอจนมุม แต่มีหรือที่เธอจะกลัว

“ฉันจะชวนคุณดูเน็ตฟลิกซ์จนเช้าเลยค่ะ”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น