3

ป้อนมันด้วยปากของเธอ

3

ป้อนมันด้วยปากของเธอ

 

“ป้าอุ่นขา มีอะไรให้ครีมช่วยไหม”

เสียงเจื้อยแจ้วของหญิงสาวที่ดังขึ้นก่อนตัวทำเอาแม่บ้านสูงวัยระบายยิ้ม ‘อุ่นใจ’ เป็นหัวหน้าแม่บ้านของอัศวสินธุ์ เปรียบเสมือนแม่นมของคณิณ เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ เธออยู่กับคเชนทร์และคาร่า อัศวสินธุ์ บิดามารดาของเขามาตั้งแต่วัยสาวกระทั่งตอนนี้อายุล่วงเลยมาเกินครึ่งชีวิต และคอยดูแลนายน้อยอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นนับตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนที่ผู้เป็นประมุขของบ้านย้ายไปลงหลักปักฐานทำธุรกิจในต่างประเทศ 

ด้วยความที่เห็นมาแต่เด็ก อุ่นใจจึงรู้ว่านายน้อยของเธอแบกรับความกดดันไว้ไม่น้อย การเลี้ยงดูที่ค่อนข้างเข้มงวดทำให้ความสดใสค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งขรึม คณิณพูดน้อย แถมยังไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เก็บงำทุกอย่างและแก้ปัญหาเพียงลำพัง ยังดีที่มีเพื่อนสนิทอย่างมนภาสคอยช่วยเหลือ ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่วางใจ กระทั่งความคิดของคนแก่อย่างเธอเปลี่ยนไปเมื่อช่วงไม่กี่ปีมานี้

เพราะหญิงสาวที่ชื่อคริมา

เป็นเวลาเกือบสามปีแล้วที่อุ่นใจเฝ้าสังเกตผู้เป็นนาย แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงของเขาเธอย่อมรับรู้มาตลอดเช่นกัน นอกจากช่วงพบปะของครอบครัวที่ประมุขของบ้านกลับมาจะเป็นเดือนที่เธอชอบแล้ว ความเปลี่ยนแปลงที่แม่บ้านสูงวัยชอบมากกว่าคือ บ้านที่เคยไร้สีสันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อคณิณรับคริมามาอยู่ด้วย 

คราแรกอุ่นใจยอมรับว่าไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะความคิดเก่าๆ ทำให้เธอคิดว่าผู้หญิงที่ย้ายเข้ามาอยู่กับผู้ชายก่อนไม่น่าจะเป็นคนดีสักเท่าไร แต่พอได้รู้จักเข้าจริงๆ ก็กลายเป็นหลงรักและเอ็นดู แถมยังนึกรังเกียจความคิดสมัยเก่าของตนเองจนต้องมาปรับปรุงเอาตอนแก่

                “กลับจากทำงานเหนื่อยๆ คุณครีมไปพักเถอะนะคะ เดี๋ยวตรงนี้ป้าจัดการเอง” 

คนเก่าคนแก่ระบายยิ้ม มองหญิงสาวที่หอบหิ้วกระเป๋าทำงานเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มสดใส ข้างกายไร้เงาของผู้เป็นนายเพราะเขามีธุระต่อ ที่อุ่นใจรู้ก็เพราะเธอเป็นจัดการให้คนขับรถออกไปหาที่บริษัทนั่นเอง

“ไม่เห็นจะเหนื่อยเลยค่ะ ครีมอยากช่วยด้วยนี่นา ว่าแต่วันนี้ทำอะไรทานคะ หอมเชียว”

หญิงสาวชะโงกหน้าเข้าไปมองในภาชนะก้นลึกที่กะทิยังเดือดปุดๆ ดวงตากลมโตวาววับขึ้นเมื่อเห็นของกินในหม้อซึ่งน่าจะเป็นของโปรดเธอ

“วันนี้มีแกงเขียวหวานไก่ใส่มะเขือ ไข่เจียวปู แล้วก็สังขยาฟักทอง ของโปรดคุณครีมทั้งนั้นเลยค่ะ”

“โห รักป้าอุ่นที่สุด”

“ไม่ต้องมาปากหวานเลยค่ะ คุณครีมรีบเอากระเป๋าไปเก็บก่อนเร็ว ถ้าอยากช่วยจริงๆ ก็ค่อยลงมาช่วยป้าหั่นมะเขือ”

“งั้นเดี๋ยวครีมรีบลงมานะ พี่ยิ้มห้ามแย่งครีมทำก่อน”

อุ่นใจหัวเราะน้อยๆ ตอนถูกกอดรัดจนตัวลอย ได้ยินหญิงสาวร้องเย้เบาๆ ก่อนหันไปหาเด็กในบ้านที่สนิทแล้วบอกด้วยยิ้มเต็มแก้ม จากนั้นจึงเดินขึ้นบันไดพลางฮัมเพลงในคออย่างอารมณ์ดี 

คนสูงวัยส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะกลับมาง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อค่ำต่อ ข้างกายแม่บ้านยังมียุวดีหรือพี่ยิ้มของคริมายืนยิ้มอยู่ ดูท่าจะโดนห้ามหยิบจับช่วยอะไรไม่ต่างจากเธอ

วันนี้อุ่นใจเตรียมอาหารเพียงไม่กี่อย่างเพราะทราบแล้วว่าเจ้านายของบ้านไม่อยู่รับประทานอาหารเย็นด้วย ส่วนผู้ช่วยคนสนิทก็เห็นว่าออกไปดินเนอร์กับแฟน เธอจึงเลือกทำเฉพาะที่เป็นของโปรดของหญิงสาวแทน 

ไม่นานคนที่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองก็เดินแกมวิ่งเข้ามาหา ท่าทางกระตือรือร้นนั้นทำเอาคนสูงวัยอมยิ้มพลางส่ายหน้า

“มาค่ะ ครีมพร้อมแล้ว หั่นมะเขือใช่ไหม งานง่ายๆ สบายชิล” ผู้ช่วยคนเก่งว่าพลางเตรียมน้ำใส่ชามไว้พอเหมาะ จับมีดเล่มเล็กขึ้นมาถืออย่างคล่องแคล่ว

“เอาเกลือผสมในน้ำนิดนึงด้วยนะคะ มะเขือจะได้ไม่คล้ำ”

คริมารับคำพร้อมปฏิบัติตามอย่างแข็งขัน กะทิขาวข้นที่เคี่ยวกับเครื่องแกงส่งกลิ่นหอมอบอวลเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ร้องประท้วง เสร็จแล้วก็หันมาหาผู้ช่วยอีกคนคอยหยิบจับ เพราะไม่ค่อยถนัดอาหารไทย เธอจึงอยากเรียนรู้ แต่ดูเหมือนเทคนิคร้อยแปดของการทำอาหารไทยจะเยอะจนจำไม่หวาดไม่ไหว

ถัดจากนั้นอีกราวหนึ่งชั่วโมงกับข้าวหน้าตาน่ารับประทานทั้งหมดก็พร้อมเสิร์ฟ ผู้ช่วยมือสมัครเล่นปรบมือเปาะแปะชื่นชมฝีมือตัวเองก่อนจะวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก แม้จะมีส่วนช่วยแค่หั่นมะเขือกับตีไข่ในชาม แต่เธอก็ยังแสนภูมิใจ

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มซึ่งเลยเวลาอาหารเย็นของที่บ้านมาแล้วเล็กน้อย แต่เพราะวันนี้ประมุขของบ้านไม่อยู่จึงไม่ต้องเคร่งครัดเรื่องเวลานัก ส่วนสาเหตุที่ช้าก็เพราะมัวสอนลูกศิษย์กิตติมศักดิ์อย่างเธออยู่นั่นเอง 

“ป้าอุ่นมาทานกับครีมสิคะ ทานคนเดียวครีมเหงาแย่ พี่ยิ้มด้วยนะ ทุกคนเลย มาทานเป็นเพื่อนครีมหน่อย” คริมาชวนทุกคนมานั่งด้วยกันเมื่อโต๊ะกินข้าวตัวยาวที่เคยมีสมาชิกสองถึงสามคนวันนี้เงียบเหงาเพราะมีเธอนั่งอยู่แค่คนเดียว 

“คุณครีมทานเถอะนะคะ เดี๋ยวพวกเราเข้าไปทานในครัว”

ในเมื่อทุกคนไม่ยอมมานั่งด้วยกัน เธอจึงแก้ปัญหาโดยย้ายสำรับทั้งหมดเข้าไปในครัวแทน

“ทีนี้ก็ทานด้วยกันได้แล้วเนอะ” หญิงสาวยิ้มกว้าง ลงมือจัดแจงทุกอย่างด้วยตัวเองเสร็จสรรพ 

“คุณครีมนี่น้า” 

กลายเป็นว่ามื้อนั้นทุกคนก็ได้นั่งกินข้าวด้วยกันตามคำคะคั้นคะยอของหญิงสาว จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่คริมาทำแบบนี้ เธอทำมันมาตลอด เรียกว่านอกจากความสวยสะพรั่งที่นับวันยิ่งเพิ่มขึ้นแล้ว ไม่มีเรื่องไหนที่ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปจากวันแรกเลย

มื้ออาหารในวันนั้นจบลงด้วยความสนุกสนาน คริมาขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับมาต่อด้วยปาร์ตีละครหลังข่าวที่นัดกับยุวดีเอาไว้ ความจริงเธอไม่ค่อยได้ดูละครนักหรอก แต่เพราะมีบางอย่างให้ทำจึงเลือกที่จะลงมานั่งคุยกับทุกคนรอไปพลางๆ 

ใช่...เธอรอเจ้าของบ้านกลับมานั่นแหละ

ถึงอีกคนจะบอกว่าไม่ต้องรอ แต่สุดท้ายเธอก็ยังนั่งรอเขาอยู่ในห้องนั่งเล่น เวลาสองทุ่มครึ่งเมื่อหลายชั่วโมงก่อนล่วงเลยมาจนเกือบห้าทุ่มแล้ว แต่เธอก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือพี่ๆ คนอื่นขอตัวแยกย้ายไปนอนตั้งแต่ละครหลังข่าวจบเพราะต้องตื่นมาทำงานแต่เช้า 

ส่วนคริมาที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดหาข้ออ้างว่าจะดูซีรีส์ต่อ บัดนี้ในห้องนั่งเล่นกว้างจึงมีเพียงเธอคนเดียวที่ขยับตัวขยุกขยิกอยู่บนโซฟา เปิดโทรทัศน์จอใหญ่ไว้เป็นเพื่อน แต่ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย นั่นเพราะเธอมัวแต่รอฟังเสียงรถยนต์ว่าเมื่อไรจะขับเข้ามา แต่นั่งเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปมาจนเมื่อยเสียงที่รอคอยนั้นก็ยังไม่มีวี่แวว 

เพราะทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เปลือกตาสีอ่อนของคนรอจึงค่อยๆ ปิดลง คริมาฝืนความง่วงงุนไม่ไหว สุดท้ายก็พ่ายแพ้และนอนหลับอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ทั้งอย่างนั้น

… 

คณิณกลับมาถึงบ้านในเวลาเกือบเที่ยงคืน ฝ่ามือใหญ่คลึงหัวตาเพราะความเครียดที่สะสม แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องที่เขาเพิ่งออกไปทำวันนี้ด้วย ซึ่งมันทำให้เขาหัวเสียอยู่ไม่น้อย

ชายหนุ่มเดินเข้ามาในตัวบ้าน แปลกใจเล็กน้อยที่วันนี้ไฟหลายดวงยังเปิดอยู่จนสว่างจ้าผิดสังเกต พอกวาดตามองโดยรอบก็เจอกับต้นเหตุ คณิณเดินเข้าไปใกล้ต้นตอของความผิดปกตินั้น ร่างสูงใหญ่ของเจ้าของบ้านก้มมองคนตัวเล็กที่นอนคุดคู้อยู่บนโซฟา 

อาจเพราะความเย็นของอากาศที่ทำให้ร่างนั้นขดจนคล้ายจะเป็นก้อนกลม ไม่มีผ้าห่ม มีเพียงหมอนอิงใบเล็กที่เจ้าตัวกอดไว้

เขามองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกับภาพที่เห็น ความดื้อรั้นของคริมานี่ไม่เคยมีที่สิ้นสุด เขาเห็นมันมาตลอดและตอนนี้ก็ยังเห็นอยู่ เจ้าของร่างสูงเดินไปปิดโทรทัศน์ อีกทั้งดวงไฟหลายดวงจนเหลือเพียงที่จำเป็น จากนั้นก็วกกลับมาหาคนที่ยังนอนนิ่งไม่ขยับ ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวสักนิดว่ามีใครมองอยู่

“เรื่องดื้อนี่ไม่มีใครเกิน”

เสียงบ่นระอาคล้ายไม่พอใจ ทว่าการกระทำกลับสวนทาง เพราะเมื่อพูดจบคนที่เอาแต่ส่ายหน้าก็ขยับเข้าหาคนหลับ ใกล้จนมองเห็นใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางนั้นชัดเจน คณิณค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งข้างโซฟา เอื้อมไปแตะบนผิวแก้มของคนที่กำลังหลับสบายแล้วค่อยๆ ปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากออกให้ 

เปลือกตาทั้งสองข้างของเธอยังปิดสนิท ลมหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลับสนิทแค่ไหน คณิณไม่ได้อยากกวนคนหลับ แต่เขาค่อนข้างไม่พอใจที่เห็นเจ้าตัวมานอนอยู่ตรงนี้แทนที่จะหลับสบายอยู่ในห้องของตัวเอง 

คงจะรอเขาจนเผลอหลับไปอย่างที่เห็น

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา ที่เขาบอกไม่ต้องรอเพราะรู้ว่าวันนี้ต้องกลับดึก แต่สุดท้ายคริมาก็ขัดคำสั่งเขาจนได้ 

“ครั้งนี้จะยอมให้นะครีม”

ปลายนิ้วของคนพูดเกลี่ยแก้มใสเบาๆ ต้องยอมรับว่าใบหน้าหลับพริ้มนี้ทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นอย่างประหลาด อีกทั้งพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเธอ เขาจึงจะยกประโยชน์ให้ ไม่คิดคาดโทษคนขัดคำสั่งสักครั้ง แต่ถ้ามีอีกรับรองว่าเขาไม่ใจดีอย่างคราวนี้แน่นอน

คนใจดีไม่คาดโทษส่ายหน้าช้าๆ กับความคิดไม่เข้าท่าของตัวเอง ก่อนจะช้อนอุ้มคนตัวบางขึ้นในอ้อมแขนแล้วพาเดินขึ้นบันได 

ชายหนุ่มหน้ายุ่งเล็กน้อยเมื่อคนในอ้อมแขนซุกซบใบหน้าเข้าหาแผ่นอกเขาทั้งยังหลับ พึมพำแผ่วเบาอยู่ในลำคอพร้อมกับวาดท่อนแขนเล็กโอบรอบคอเขาไว้แน่น แนบชิดเสียจนคนอุ้มได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวกายเนียนละเอียด 

‘ให้มันได้อย่างนี้สิ’ คณิณที่ค่อนข้างหัวเสียจากธุระสำคัญที่ไปทำในวจนจิตใจร้อนรุ่ม พอมาตอนนี้กลับค่อยๆ คลายลงเมื่อได้เจอใครบางคน 

ไม่น่าเชื่อว่าแค่เพียงกลิ่นหอมจางๆ นี้จะทำให้ใจของเขาสงบลงได้

ระยะทางจากห้องนั่งเล่นไปถึงชั้นสองไม่ไกลกันนัก ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่มีคนตัวเล็กในอ้อมแขนก้าวเดินอย่างมั่นคงก่อนจะหยุดลงที่หน้าห้องหนึ่ง เป็นห้องนอนใหญ่อีกห้องซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนเขา

เสียงประตูเปิดและปิดลงดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน คนที่อุ้มร่างหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนถือวิสาสะพาเธอเข้าไปในห้องนอนแล้ววางร่างนุ่มนิ่มลงบนเตียง แสงไฟถนนด้านนอกที่ลอดเข้ามาน้อยนิดทำให้คนตัวสูงต้องถือวิสาสะเปิดโคมไฟดวงเล็กบนหัวเตียง เห็นสภาพห้องนอนที่ตกแต่งแตกต่างจากห้องของเขาโดยสิ้นเชิง ถึงอย่างนั้นก็ยังสบายตาสบายใจ ซึ่งเขาเองก็ไม่มั่นใจนักว่าเป็นเพราะการตกแต่งห้อง หรือเจ้าของห้องกันแน่ 

แต่คณิณไม่คิดจะหาคำตอบตอนนี้ เพราะความสนใจทั้งหมดของเขาถูกดึงไปยังคนขี้เซาที่ยังนอนหลับตาพริ้มอยู่

‘คนทำดีควรได้รางวัลตอบแทน’ 

นั่นเป็นความคิดสุดท้ายก่อนริมฝีปากของเขาจะกดลงบนแก้มของคนหลับโดยทึกทักไปเองว่าเจ้าตัวอนุญาต 

 

คริมาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นพร้อมเริ่มวันใหม่ ร่างเล็กเกลือกกลิ้งไปมาบนที่นอนนุ่ม ยืดแข้งยืดขาที่ปวดเมื่อยเล็กน้อยอย่างผ่อนคลาย นานเป็นนาทีกว่าที่เปลือกตาจะค่อยๆ เปิดขึ้น แสงสว่างที่ส่องลอดเข้ามาทำเอาดวงตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อย ทว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคในการมองเห็นนัก เพราะแสงแดดอุ่นในยามเช้าไม่ได้จัดจนแสบตา

คนบนเตียงยิ้มอย่างมีความสุขกับวันหยุดที่ตื่นสายได้พลางเหลือบมองนาฬิกาทรงกลมบนโต๊ะไม้ข้างเตียงนอนอันคุ้นเคย 

แต่เดี๋ยวนะ! 

เมื่อคืนเธอจำได้ว่านอนรอเจ้านายอยู่บนโซฟานี่นา แล้วทำไม!?

จบความคิดนั้นคนตัวเล็กก็กระเด้งตัวลุกพรวดจากที่นอนด้วยความเร็วแสง ในใจท่องคำว่าซวยแล้วเป็นร้อยๆ ครั้ง ความทรงจำบางช่วงที่ขาดหายถูกเติมเต็มด้วยการคาดเดา และใช่...ที่เธอขึ้นมานอนอยู่บนเตียงนี้ได้ก็มีไม่กี่เหตุผล

“ตายแน่!”

ฝ่ามือเล็กของคนเพิ่งตื่นลูบไปตามใบหน้าของตัวเองพลางหายใจลึกอย่างสงบจิตสงบใจ นานเป็นนาทีกว่าจะปลุกปลบตัวเองสำเร็จ แล้วพอตั้งสติได้ก็รีบคว้าผ้าเช็ดตัวแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว

ปกติก็ไม่ใช่คนอาบน้ำนานอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนวันนี้จะทำสถิติได้ดีกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า คริมาเหลือบมองนาฬิกาเรือนเดิมอีกครั้ง พอเห็นว่าอีกสิบนาทีจะแปดโมงถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นั่นเพราะเวลานี้ผู้เป็นประมุขของบ้านคงรับประทานอาหารเช้าไปแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีธุระที่อื่น ไม่อย่างนั้นก็อาจจะอยู่ในห้องทำงาน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีสำหรับเธอในการหลบเลี่ยงไม่ต้องเผชิญหน้า

เพราะวันนี้เป็นวันหยุด ผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการรับประทานอาหารพร้อมกันนัก และอาหารในวันหยุดส่วนใหญ่จะเป็นอาหารง่ายๆ ที่หารับประทานเองได้ไม่ยุ่งยาก ทั้งที่มั่นใจอย่างนั้น แต่พอเดินลงมาถึงห้องอาหาร ขาทั้งสองข้างของเธอก็พลันชะงักลงเสียดื้อๆ 

“มานั่งสิ” เสียงดุเข้มนั้นไม่ได้ฟังดูเชื้อเชิญ แต่เป็นการออกคำสั่งมากกว่า ราบเรียบจนคนมีความผิดติดตัวอย่างเธออดร้อนๆ หนาว ๆ ไม่ได้

แต้มบุญของเธอวันนี้อาจมีไม่สูงนักจึงลงมาเจอเข้ากับประมุขของบ้านพอดี

“คริมา”

พอถูกดวงตาคมดุจ้องมาพร้อมกับเรียกด้วยชื่อจริงแบบนั้น คนที่ยืนเก้กังอยู่ก่อนหน้าจึงต้องเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ยิ้มตักข้าว”

“ค่ะคุณคณิณ”

ข้าวต้มปลาหอมฉุยในชามวางลงตรงหน้าคริมา ปกติเธอคงอยากกินจนตาวาว แต่วันนี้กลับไม่เจริญอาหารแม้แต่น้อย ดีที่พอชิมไปแล้วรสชาติถูกปาก คนไม่เจริญอาหารถึงค่อยๆ ตักกินทีละน้อย 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความเงียบเชียบเหมือนกับทุกวัน แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง 

“ทานเสร็จแล้วเข้าไปหาฉันที่ห้องทำงาน”

และลางสังหรณ์นั้นก็ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย เพราะยังไม่ทันกินข้าวหมดชาม ประโยคที่เขาเอ่ยก็ทำเอาคนฟังเผลอนั่งตัวตรงอัตโนมัติ คริมากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ข้าวต้มแสนอร่อยตรงหน้าพลันเค็มขึ้นทันตาในความรู้สึกเธอ ไม่ใช่เค็มเพราะรสเกลือนะ แต่เป็นน้ำตาของเธอที่ไหลรินอยู่ในอกต่างหาก 

ไม่หรอก...เธอก็เว่อร์ไปอย่างนั้นเอง 

คนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงปกตินั่นแหละ แต่เป็นคนมีความผิดอย่างเธอต่างหากที่ดันร้อนตัว

หลังออกคำสั่งกับเธอจบ ผู้เป็นประมุขของบ้านก็ลุกแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนนั่งอยู่กลืนข้าวต้มลงคอเพียงลำพัง และเป็นอีกครั้งที่เธอทำเวลาในการกินข้าวได้อย่างรวดเร็ว 

บรรยากาศในครัวที่ค่อนข้างคึกคักกว่าปกติทำให้คริมารู้ว่าเย็นนี้ประมุขของบ้านนัดเพื่อนมาสังสรรค์ อุ่นใจถึงกับไปเลือกซื้อของและจ่ายตลาดเองตั้งแต่เช้า แต่จะเรียกว่าสังสรรค์ก็คงไม่ถูกนัก เรียกว่าเป็นการคุยเรื่องธุรกิจโดยมีอาหารและเครื่องดื่มพร้อมสรรพน่าจะเหมาะกว่า 

“ของว่างได้แล้วค่ะ คุณครีม”

“ขอบคุณค่ะ”

คริมาเอ่ยขอบคุณเบาๆ หลังรับถาดของว่างมาถือไว้เพื่อจะยกเข้าไปให้เจ้านายหนุ่มในห้องทำงาน ความจริงเรื่องนี้เธอแอบทำนอกเหนือคำสั่ง เพราะถ้าจะเดินเข้าไปหาตรงๆ แล้วถามว่ามีอะไรจะคุยกับเธอหรือเปล่ามันก็คงแปลกๆ อยู่ ดังนั้นเธอจึงมาขอกาแฟและของว่างจากในครัวเพื่อเป็นข้ออ้าง 

แม้วันนี้จะเป็นวันหยุด แต่ท่านประธานหนุ่มไม่ได้หยุดด้วย เขายังเอางานบางส่วนมาทำที่บ้าน นั่นจึงเหตุผลที่ว่าท่านประธานมักหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน

คริมาอยากถ่วงเวลาให้นานกว่านี้ แต่สุดท้ายเธอก็มาหยุดยืนอยู่ห้องทำงานของอีกฝ่ายอยู่ดี เธอตัดสินใจเคาะมือลงบนบานประตู ไม่นานก็ได้ยินเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้อง 

“เข้ามา”

พอเปิดเข้ามาสิ่งแรกที่เธอเห็นคือเรือนร่างสมบูรณ์แบบของชายหนุ่มบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ คนที่ต่อให้พูดอีกกี่ครั้งเธอก็ยังยืนยันคำเดิมว่า เขาช่างเป็นผู้ชายที่มีรูปลักษณ์น่าหลงใหล รูปร่างสมส่วนอย่างคนสุขภาพดี มัดกล้ามเป็นลอนสวยซ่อนอยู่ในเสื้อโปโลตัวนั้น แถมใบหน้าที่จดจ้องอยู่กับเอกสารก็ยังหล่อเหลาราวกับรูปสลัก 

“ครีมเอาของว่างมาให้ค่ะ”

แม้ความจริงจะมาเพราะคำสั่ง แต่คนมาใหม่ก็ไม่ลืมใช้ข้ออ้างที่เตรียมมาอย่างดีช่วยเปิดทาง ทว่าดูจะไม่ค่อยได้ผลนักเมื่อเจ้าของห้องทำเพียงปรายตามองเธอเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าต่อ

“งั้นครีมวางไว้ตรงนี้นะคะ”

คนถูกเมินทำตัวไม่ถูกชั่วขณะ แต่หันรีหันขวางอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจวางถาดของว่างลงบนโต๊ะกระจกกลมสำหรับรับแขก แต่ถึงแม้จะวางทุกอย่างลงจนหมด เธอก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากคนที่เอ่ยปากบอกให้มาหาอยู่ดี

คริมาขุ่นเคืองใจไม่น้อยกับท่าทีของคนตรงหน้า แต่เพราะยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไป เธอจึงตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างโต๊ะที่ใช้วางของว่างนั้นแทน 

หญิงสาวทิ้งสายตายังหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดไว้ ชมวิวสวนแนวทรอปิคอลแทนเจ้าของห้อง สวนที่จัดไว้อย่างร่มรื่นช่วยให้ความขุ่นมัวในใจของเธอคลายลงได้บ้าง แต่ยิ่งเวลาผ่านไป คนเป็นฝ่ายรอก็ยิ่งอึดอัด สุดท้ายเธอจึงต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ

“บอส เอ่อ คุณคณิณมีอะไรจะคุยกับครีมเหรอคะ”

ทำใจกล้าถามไปแล้วก็ได้แต่นั่งก้มหน้า และเพราะก้มหน้าอยู่อย่างนั้นเธอจึงไม่เห็นว่าเจ้านายหนุ่มแสดงสีหน้าแบบไหน กระทั่งได้ยินคำสั่งเสียงเรียบแทนการตอบคำถามนั่นแหละ เธอจึงเงยหน้าขึ้นมอง

“เอาขนมมาสิ”

เธอไม่เข้าในการกระทำนี้นัก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจยกถาดของว่างแล้วเดินไปหาเขาที่โต๊ะอยู่ดี

“วางลงตรงนี้แหละ”

ตรงนี้ที่ว่าก็คือโต๊ะทำงานตรงหน้าซึ่งเอกสารต่างๆ ถูกย้ายไปวางที่มุมหนึ่ง คริมาทำตามอย่างว่าง่าย ทว่าประโยคที่ได้ยินถัดมาทำเอาคิ้วเรียวของคนฟังขมวดมุ่นเพราะความไม่เข้าใจ 

“มือฉันไม่ว่าง”

“คะ?”

“มือฉันไม่ว่าง”

ที่เธอเห็นก็ไม่ว่างจริงๆ นั่นแหละ เพราะมือข้างหนึ่งถือไอแพด ส่วนอีกข้างจับอยู่กับแอปเปิล เพนซิล แต่ที่เธอสงสัยคือทำไมเจ้านายไม่วางมันลงก่อน 

“ครีม”

“งะ...งั้น เดี๋ยวครีมป้อนนะคะ”

“อืม”

เพียงเท่านั้นเธอก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร มือบางเตรียมจะยื่นขนมชิ้นเล็กในจานตรงหน้าให้ ทว่ายังไม่ทันได้หยิบ เสียงทรงอำนาจของเขาก็ขัดขึ้นเสียก่อน แถมยังเป็นคำพูดที่ทำเอาคนฟังแข็งค้างไปชั่วขณะ

“ป้อนมันด้วยปากของเธอ”

คริมายืนนิ่งกระทั่งได้ยินเสียงย้ำเตือนอีกครั้งถึงได้รับรู้สถานการณ์ที่เกิดแล้วพาร่างกายตัวเองขยับเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานมากขึ้น 

หญิงสาวหยิบคุกกี้ครีมกลิ่นวานิลลาหยิบขึ้นจากจานกระเบื้องลายสวยราคาแพงและหายาก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอควรสนใจในตอนนี้ เธอตัดสินใจยื่นมันให้เขาด้วยมือแทนที่จะทำตามคำสั่ง แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ เพราะทันทีที่ยื่นมันออกไป เธอก็ถูกจับรวบให้นั่งลงบนตักเขาทันที 

“อ๊ะ!”

“ฉันว่าคำสั่งฉันค่อนข้างชัดนะ” 

“...”

คนถูกกอดนั่งนิ่งไม่กล้าขยับเมื่อไอแพดและปากกาถูกเจ้าของโยนส่งๆ ลงบนโต๊ะทำงาน จากนั้นดวงตาคมกริบของเขาก็เปลี่ยนมาจดจ้องคนมีความผิดอย่างเธอแทน คริมารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ คล้ายว่าตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ความผิดของเธอจะเพิ่มมาหลายกระทงทีเดียว 

“หรือว่าเธอไม่ได้ยิน”

เพียงเท่านั้นมือที่ยื่นคุกกี้ไปตรงหน้าก็ถูกดึงกลับแล้วเปลี่ยนมาแตะลงบนริมฝีปากของตัวเองแทน เธอกัดส่วนปลายของอีกด้านไว้แล้วหลับตาลง จากนั้นค่อยๆ ขยับใบหน้าไปหาคนตัวสูง ไม่กล้าลืมตามองภาพตรงหน้า เพราะแค่นี้หากใครมาฟังใกล้ๆ คงได้ยินเสียงหัวใจของเธอที่เต้นราวกับบ้าคลั่ง

เมื่อมองภาพตรงหน้าไม่เห็นเธอจึงไม่รู้ว่าระยะห่างค่อยๆ ลดลงทีละน้อย กระทั่งคุกกี้ชิ้นเล็กนั้นแตะลงบนริมฝีปากของคนที่รออยู่ก่อน 

คณิณอ้าปากงับกินขนมชิ้นนั้นทันที และแน่นอนว่ารวมถึงกลีบปากฉ่ำวาวของคนป้อนด้วย ใบหน้าเรียวเล็กถูกจับให้เงยขึ้นรับริมฝีปากของเจ้านายหนุ่ม กลีบปากร้อนจัดบดขยี้ลงมาจนขนมแตกกระจาย คณิณขบเม้มลงบนกลีบเนื้ออ่อนที่เต็มไปด้วยรสหวานหอมของคุกกี้กลิ่นวานิลลา ดูดดึงมันหนักๆ ก่อนจะกดแทรกปลายลิ้นเข้าไปด้านใน

สัมผัสเปียกชุ่มของน้ำลายคละเคล้าไปกับความหยาบกระด้างทว่าหอมหวานของเศษขนมออกมาเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยพบพาน มันหวานจนนึกติดใจ แน่นอนว่าเขาชอบจนต้องกดริมฝีปากลงไปกวาดชิมซ้ำๆ

เสียงอู้อี้ของคนบนตักดังขึ้นได้แค่ในลำคอ เพราะคณิณไม่เปิดโอกาสให้มีช่องว่าง เขายังดูดกลืนเอาความหวานจากปากเธอไม่หยุด ตวัดลิ้นไปตามไรฟันแล้ววกกลับมาขบเม้มเบาๆ บนกลีบปากบางจนคนในอ้อมแขนสะดุ้งไหว 

“อื้อ! แฮก”

กว่าจะได้รับโอกาสให้หายใจเอาอากาศเข้าปอด ใบหน้าของคนถูกจูบอย่างดูดดื่มก่อนหน้าก็เห่อร้อน ริมฝีปากบวมเจ่อเพราะแรงขบเม้มย้ำๆ ที่อีกฝ่ายชิมไม่หยุดหย่อน 

คริมานั่งหอบอยู่บนตักกว้าง พยายามดิ้นรนลงจากตรงนั้นเมื่อคิดว่าทุกอย่างคงจบแล้ว ทว่าเธอคิดผิดเมื่อเชิ้ตที่สวมอยู่ถูกปลดกระดุมเม็ดบนออก เผยให้เห็นเนินอกขาวที่โผล่พ้นเนื้อผ้า 

“คุณอ๊ะ!”

เสียงต่อว่าแปรเปลี่ยนเป็นเสียงอื่นเมื่อคนตัวสูงย้ายริมฝีปากไปขบกัดเนื้ออวบขาวไม่เบานัก ทันทีที่ฟันคมแตะต้องปลายถันที่อ่อนไหว เจ้าของร่างเล็กก็สะดุ้งสุดตัวเพราะสัมผัสเจ็บจี้ดตรงเนินขาว 

คณิณไม่เพียงขบกัด เขายังดูดดึงจนเจ้าของร่างเล็กผวาตามริมฝีปาก แอ่นอกอวบขึ้นสูง ก่อนริมฝีปากจะอ้าค้างเพราะคนตัวสูงรวบก้อนกลมขาวนั้นไว้แล้วดูดกลืนเม็ดทับทิมสีหวานเต็มปากเต็มคำ 

“อึก! อื้อ”

ปลายยอดถันของเธอถูกอีกคนปาดเลียลงน้ำหนักลิ้นอย่างหนักหน่วง ความเสียวปราดเข้าจู่โจมคนบนตักจนต้องหวีดร้องเสียงหลง คริมาดิ้น แน่นอนว่าไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการ จึงได้แต่ส่งเสียงครวญครางสลับกับหอบกระชั้น เพราะความตื่นตระหนกและสัมผัสหวามไหวที่คนตรงหน้าจงใจป้อนให้ 

สติของเธอแทบจะปลิวหาย ฝ่ามือขาวที่กำอยู่ทำได้เพียงผลักศีรษะได้รูปที่วนเวียนอยู่ให้ออกห่าง ทว่าคนรังแกกันไม่ใส่ใจนัก คณิณยังดื่มด่ำอยู่กับรสหวานของคุกกี้จางๆ ที่ตอนนี้ติดไปตามผิวกายของอีกฝ่ายเพราะลิ้นเขา และนั่นยิ่งทำให้คนเอาแต่ใจชิมมันอย่างไม่รู้เบื่อ

บทลงโทษที่ไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้าถูกนำมาใช้จนเจ้าของร่างเล็กตัวเหลว เขาหลอกล่อเธอด้วยสัมผัสร้อนที่เจือด้วยความดุดัน ลวงคนเด็กกว่าให้ตอบสนองสัมผัสอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ จากที่ดิ้นหนีก็กลายเป็นว่าแอ่นตัวเข้าหา จากผลักไสก็กลายเป็นให้ความร่วมมืออย่างว่าง่าย

เนิ่นนานที่คนเอาแต่ใจฉกชิมความหวานของผิวกายสาว ไม่ว่าจะกี่ครั้งเขาก็ยังหลงใหลกับร่างนุ่มนิ่มนี้ไม่เคยเปลี่ยน แรงปรารถนาส่งสัญญาณเตือนมายังกลางกายให้ปวดหนึบและร้อนผ่าว ความต้องการจู่โจมคนอายุมากกว่าจนต้องส่งเสียงครางในลำคอ

‘ยังไม่ใช่ตอนนี้’ คณิณบอกตัวเองในใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังอ้อยอิ่งกับเนื้อตัวนุ่มนิ่มของคนในอ้อมแขนอยู่นาน

“รู้ความผิดของตัวเองใช่ไหม”

กว่าจะยอมปล่อยให้เธอได้รับอิสระ ยอดอกที่ชูชันน่ารักก็เปียกชุ่มด้วยคราบน้ำลายของเขา คณิณติดกระดุมให้คนที่นั่งตัวอ่อนอยู่บนตักจนเสร็จ ใบหน้าน่ารักที่แดงซ่านนั้นน่ามองจนเขาอดไม่ได้ที่จะฉกริมฝีปากกับผิวแก้มอีกครั้ง 

“ฉันอยากกิน Shrimp cocktails ฝีมือเธอ” 

คน ‘อยาก’ ก้มกระซิบข้างหู แม้มั่นใจว่าตอนนี้ไม่มีเมนูไหนน่ากินเท่าคนตัวเล็กบนตักแล้วก็ตาม

โชคดีที่การกลั่นแกล้งแสนวาบหวามหยุดลงหลังจากอีกคนออกปากบอกชื่ออาหาร ไม่อย่างนั้นคริมาคงไม่มีแรงลุกไปเข้าครัว เป็นลูกมือของป้าอุ่นทำอาหารให้เขาแน่ 

 

บรรยากาศในห้องครัวคึกคักตั้งแต่ช่วงบ่ายมาจนถึงค่ำ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็งโดยมีป้าอุ่นใจเป็นแม่งานใหญ่ แต่มือสมัครเล่นอย่างคริมาก็ไม่น้อยหน้า เพราะตอนนี้เธอง่วนอยู่กับเมนูพิเศษที่มีคนเอ่ยปากอยากรับประทาน

Shrimp cocktails หรือค็อกเทลกุ้ง เป็นอาหารฟิวชันที่มีหลายสูตรให้เลือกทำตามความพอใจ บางคนใช้แบบกุ้งทั้งตัว บางคนก็หั่นให้เป็นชิ้น แต่วันนี้เธอเลือกใช้เนื้อกุ้งสุก หั่นพอดีคำ คลุกกับน้ำซอสรสเด็ดเพื่อให้รับประทานสะดวก 

คริมารู้ตัวว่าไม่ถนัดอาหารไทย แต่คิดว่าตัวเองทำของกินเล่นแนวฟิวชันได้ดีในระดับหนึ่ง งานนี้จึงถือโอกาสโชว์ฝีมือไปหลายเมนู แถมยังได้รับคำชื่นชมจากแม่ครัวอันดับหนึ่งของบ้านจนยิ้มแก้มแทบปริ 

หลังจากเตรียมอาหารกันอย่างขะมักเขม้น ในที่สุดอาหารก็เสร็จเรียบร้อยและพร้อมเสิร์ฟ อาหารไทยหลายอย่างทั้งคาวหวานจัดใส่ภาชนะอย่างประณีตสวยงาม รอนำไปเสิร์ฟในอีกไม่ช้า คริมาคิดว่าตอนนี้เพื่อนของเจ้านายหนุ่มคงมาถึงกันแล้ว 

งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ว่านี้ไม่ใช่ปาร์ตีที่เปิดเพลงดังหรือมีแสงไฟวูบวาบ แต่เป็นเพียงแค่การรับประทานอาหารและพูดคุยกันตามประสากลุ่มเพื่อนที่หาเวลาเจอกันยากเท่านั้น เนื่องจากเจ้าของบ้านอย่างคณิณไม่ชอบออกไปข้างนอก เจ้าตัวจึงเนรมิตทุกอย่างที่อยากได้มาไว้ในบ้านหลังนี้แทน 

“Hi sweety! I miss you, Cream” เสียงทักทายจากชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่ดังขึ้นเป็นคนแรกพร้อมรอยยิ้ม 

“สวัสดีค่ะคุณไมค์ ครีมก็คิดถึงคุณเหมือนกันค่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลย”

คนถูกบอกคิดถึงยิ้มกว้างด้วยความยินดี และยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีกเมื่อมองเห็นจานอาหารที่หญิงสาวถืออยู่ในมือ

“ว้าว! ของพวกนี่ยูทามเอง?”

“ใช่ค่ะ ครีมทำไว้สองแบบ มีทั้งเผ็ดและไม่เผ็ด คุณไมค์น่าจะทานได้”

สำเนียงฝรั่งแปร่งหูที่พยายามจะสื่อสารเป็นภาษาไทยทำเอาคริมายิ้มกว้าง เธอวางถาดค็อกเทลกุ้งที่จัดอย่างสวยงามลงบนโต๊ะ ตามด้วยอาหารอีกหลายอย่างที่ค่อยๆ นำเข้ามาวาง

“โอ้ ไอชอบม่ายเผ็ด I like it, Cream!”

“หวัดดีครีม ไม่เจอกันตั้งนาน ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ”

“เฮ้พีท! ยูทามตัวม่ายน่าลัก” เสียงโวยวายของเพื่อนต่างชาติดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะของเจ้าของชื่อผู้มาใหม่ ‘พิรัชต์’ ส่ายหน้าช้าๆ 

ไอ้ฝรั่งนี่ด่าเขาซะน่ารัก จนคิดคำด่าคืนไม่ลงจริงๆ 

“ขอบคุณค่ะ คุณพีชก็ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะคะ” 

เจ้าของชื่อยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปรบกับเพื่อนฝรั่งตัวใหญ่ที่ยังด่าเป็นภาษาไทยที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง

พีชหรือพิรัชต์เป็นเพื่อนคนไทยอีกคนของคณิณที่เธอมีโอกาสได้เจอบ่อยรองจากคุณผู้ช่วยคนสนิท คริมาคิดยังไม่ทันจบผู้ช่วยคนสนิทที่ว่าก็เดินตามเข้ามาสมทบ

“น้อยๆ หน่อยไอ้พีท มีคนมองตาขวางอยู่ไม่เห็นหรือไง อยากชะตาขาดเหรอวะ” มนภาสเดินเข้ามากอดคอเพื่อนพลางกระซิบถาม แต่ถ้าจะกระซิบกันเสียงดังขนาดนี้ เธอก็อยากแนะนำว่าให้เรียกเจ้าตัวมาคุยด้วยน่าจะดีกว่า

“ถ้าว่างก็ไปนั่งดื่มเงียบๆ กันตรงนั้น พูดมากน่ารำคาญ”

‘นั่นไงล่ะ...’

เสียงดุเข้มของเจ้าของบ้านตามมาสบทบก่อนตัวเสียอีก แถมใบหน้าหล่อเหลายังเข้มขึ้นจนถ้าเป็นคนอื่นคงจะหลบตา แต่คนถูกด่ากลับทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ไม่มีท่าทีสลดกับคำด่าก่อนหน้าเลยสักนิด ราวกับว่าพวกเขารู้ แต่ไม่ปฏิบัติตามเท่านั้นเอง

ส่วนคนสังเกตการณ์อย่างคริมาได้แต่ยิ้มขำ ส่ายหน้าน้อยๆ กับนิสัยที่เข้าขากันระหว่างมนภาสกับพิรัตช์ ทว่าพอเหลือบมาเห็นคนตัวสูงที่ยืนทำหน้าถมึงทึงใส่กันอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าสวยหวานก็ค่อยๆ หุบลง 

ทำไมต้องมองเธอตาดุขนาดนั้นด้วยเล่า!

คนถูกจ้องบ่นอุบอิบอยู่ในใจ และแน่นอนว่าประโยคที่พูดออกมาก็ไม่ใช่สิ่งที่คิดอยู่ก่อนหน้า

“ครีมขอตัวไปเอาอาหารมาเพิ่มก่อนนะคะ”

ว่าจบก็ก้าวยาวๆ เลี่ยงออกไปทันที เจ้าของบ้านนั้นได้แต่มองตามคนตัวเล็กที่วิ่งหายจากระยะสายตาแล้วถอนหายใจ 

ทำไมกับเขาถึงได้ทำท่าตื่นกลัวนัก ทั้งที่กับเพื่อนของเขาเมื่อกี้ยังยิ้มยังหัวเราะกันอยู่เลย 

ความหงุดหงิดแบบไม่รู้ที่มาที่ไปทำเอาคณิณชักกรุ่น 

ทีกับเขากลัวนัก แต่กับคนอื่นนี่ยิ้มหวานเชียว 

คณิณบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร รู้แค่ว่าในหัวมันกรุ่นตั้งแต่คำว่า ‘sweety’ แล้ว นี่ยังมาเจอประโยคชื่นชมซึ่งหน้าอีก แถม ‘คนของเขา’ ที่ช่างขยันส่งยิ้มหวานให้ทุกคนเหลือเกิน น่าจับมาฟัดให้หมดแรงอีกสักที จะได้ไม่ไปยิ้มให้ใครเขาไปทั่ว 

เจ้าของบ้านฉุนอยู่ในใจ แต่เพราะรู้ว่าเจ้าบ้านั่นตั้งใจปั่นประสาทเขาเล่นไปอย่างนั้น คนหงุดหงิดแบบไม่ทราบสาเหตุถึงไม่จริงจังให้เสียบรรยากาศ 

เสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ทำให้ปาร์ตีครื้นเครงอีกครั้ง กระทั่งคนตัวเล็กที่หายไปเมื่อครู่กลับเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารหน้าตาน่ารับประทานอีกอย่าง

“อันนี้เป็นมีตบอลค่ะ”

“เธอทำเอง?”

“ค่ะ ลองชิมหน่อยไหมคะ”

“อืม” คณิณตอบ อ้าปากกว้างรอโดยไม่ต้องให้บอกซ้ำ ส่วนคนถามได้แต่มองซ้ายมองขวาทีด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก คริมาไม่คิดว่าจู่ๆ คนตัวสูงจะเล่นไม้นี้กับเธอต่อหน้าเพื่อน

“เร็วสิ เมื่อยปากนะ”

เพราะถูกเอ่ยทวง เธอจึงต้องหยิบของกินเล่นชิ้นกลมหย่อนเข้าปากคนตัวสูงแล้วชะงักแวบหนึ่งเมื่อปลายนิ้วถูกเจ้าของริมฝีปากแตะชิมเบาๆ เธอไม่รู้ว่านั่นเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ แต่ดูจากดวงตาวาววับคู่นั้นของเขาแล้ว คิดว่าน่าเป็นอย่างหลัง

“มานั่งนี่สิ” คณิณกดยิ้มมุมปากพลางตบมือเบาๆ ลงบนที่นั่งข้างตัว โยนคำแซวของเพื่อนที่ว่า ‘ห่างกันไม่ได้เลยนะ’ ทิ้งออกจากหัว 

เขาไม่ห่าง ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรให้ต้องห่าง แต่แน่นอนว่าคำตอบนั้นดังอยู่ในใจ มีเพียงใบหน้าเคร่งขรึมที่แสดงออกมา แต่มิวายถูกแซวต่อว่านั่นปากหรือหิน

‘เหอะ! แล้วอยากโดนหินตีปากไหมล่ะ คนยิ่งหัวร้อนอยู่!’

ทว่าคนหัวร้อนก็พลันอารมณ์เย็นลงเมื่อเจ้าของร่างนุ่มนิ่มทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน คณิณไม่ได้แตะต้องคนข้างกาย แม้ว่ากลิ่นหอมจางๆ จะทำให้เสียสมาธิอยู่หน่อยๆ ก็ตามที เขาทำเพียงมองเธอหยิบนั่นจับนี่ พร้อมทั้งแนะนำอาหารทั้งไทยทั้งฟิวชันให้ทุกคนฟังอย่างคล่องแคล่ว 

“เธอก็กินบ้างสิ มัวแต่ตักให้คนอื่นแล้วตัวเองจะอิ่มไหม”

“ครีมชิมจนอิ่มมาตั้งแต่ในครัวแล้วค่ะ มีแต่ของอร่อยๆ ทั้งนั้น”

เธอว่า รอยยิ้มสดใสนั้นสว่างจ้าจนคนมองหายใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ คณิณรับรู้ถึงบางอย่างที่รัวอยู่ในอก เขากระแอมเล็กน้อยเพื่อกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง ยอมรับอย่างไม่อายว่าเสียอาการกับรอยยิ้มที่ไม่ทันตั้งตัวนี้จริงๆ 

“ตามใจเธอแล้วกัน”

คริมาอมยิ้มกับใบหน้าบูดบึ้งของคนตัวสูง คิดว่าเขาคงไม่พอใจที่เธอขัดคำสั่ง ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่านั่นเป็นอาการของคนกลบเกลื่อนความรู้สึก ไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนเสียอาการเพราะรอยยิ้มของตัวเองอยู่ 

แต่ทั้งโต๊ะนี้ก็คงมีแค่เจ้าตัวคนเดียวที่ไม่รู้ เพราะเพื่อนทั้งสามสะกิดกันยิกๆ กับท่าทางของพ่อคนปากแข็งที่จนถึงขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมรับว่าหลงเด็กมัน 

‘ให้ตายเถอะ! แก่แล้วมันทำให้ปากไม่ตรงกับใจหรือไงหรือไงวะ’ มนภาสบ่นในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาลอบมองสถานการณ์อย่างเงียบๆ แทน

ดูเหมือนว่ายิ่งดึกบรรยากาศบนโต๊ะก็ยิ่งครึกครื้น คริมามองตามคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างสนุกสนาน เสียงพูดคุยและหัวเราะของพวกเขายังดังต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องงานหรือธุรกิจที่กำลังทำอยู่ แต่พอเธอถูกเรียกให้มานั่งข้างๆ บทสนทนาจึงถูกแทรกด้วยเรื่องอื่นด้วยเพื่อให้เธอได้มีส่วนร่วม 

เรื่องไหนยากและดูเหมือนจะไม่เข้าใจก็มีคนข้างกายอธิบายให้ฟังช้าๆ เพราะแบบนั้นเธอจึงไม่รู้สึกแปลกแยกกับบรรยากาศที่เป็นอยู่ แถมยังช่วยออกความเห็นบ้างในบางเรื่อง 

เธอชอบฟังแนวคิดของนักธุรกิจ ฟังมุมมองของคนประสบความสำเร็จซึ่งมักจะมีจุดเล็กๆ ที่ต่างจากคนทั่วไปอยู่บ้าง และข้อสำคัญที่เธอเห็นมาตลอดคือ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักมีคอนเนกชันและพาร์ตเนอร์ที่ดีเสมอ

“เบื่อหรือเปล่า” เสียงกระซิบข้างหูทำเอาคนกำลังสนุกสะดุ้งเล็กน้อย คริมาส่ายหน้า ส่งยิ้มบางให้คณิณก่อนจะเอ่ยตอบ 

“ไม่เบื่อค่ะ พวกคุณคุยสนุก ครีมชอบฟัง” 

“อืม ดีแล้ว”

คณิณมองคนตาแป๋วตรงหน้าด้วยสายตาที่คนถูกมองอ่านไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าถ้าเธอรู้ เจ้าตัวคงไม่นั่งนิ่งให้เขามองสำรวจอย่างแน่นอน ทว่าแรงสั่นครืดของโทรศัพท์ก็ขัดจังหวะขึ้น ทำเอาคนตัวสูงต้องพ่นลมหายใจออกมา และพอได้เห็นชื่อที่ปรากฏก็เหมือนจะหัวเสียกว่าเดิมเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหันไปพูดกับเพื่อนเพราะคิดว่าที่ ‘อีกฝ่าย’ โทร. มาตอนนี้คงมีเรื่องร้อนใจไม่น้อย

“ฉันจะออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก”

เจ้าของร่างสูงหันไปบอกกับเพื่อนพลางลุกจากโซฟา ทุกคนก็พยักหน้ารับรู้ แต่ไม่ได้เอ่ยถาม ราวกับเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี 

“อยู่ตรงนี้ได้ใช่ไหม”

คริมาพยักหน้าเมื่อถูกถาม แต่ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเมื่อครู่ทำความคิดในหัวของเธอตีกันจนหยุ่งเหยิงไปหมด วุ่นวนกับบางสิ่งบางอย่างที่เพิ่งได้เห็น ศีรษะหนักอึ้งราวกับมีอะไรบางอย่างกดทับจนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ 

‘ทราย’

ไม่ว่าจะพยายามคิดในแง่บวกแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถมองชื่อนี้ว่าเป็นชื่อผู้ชายได้เลย และที่คณิณยอมออกไปรับโทรศัพท์ทั้งที่นั่งคุยอยู่กับเพื่อนสนิทก็แปลได้ว่า เจ้าของสายเรียกเข้านั้น ‘มีความสำคัญ’

ความรู้สึกราวกับจะหายใจไม่ออกนี้โจมตีจนหญิงสาวหนึ่งเดียวพลันนิ่งงัน คริมาบอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรแน่ชัด แต่มันว่างเปล่า วูบโหวง กระทั่งได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ของผู้ช่วยถึงได้กลับมาอยู่ในปัจจุบัน 

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาคงสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ของเธอถึงได้เอ่ยถาม 

คริมาส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะส่งยิ้มคืน เธอข่มความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ไว้ในใจแล้วพยายามกลับมาทำตัวปกติและพูดคุยกับทุกคนอย่างสนุกสนานอีกครั้ง เธอไม่ได้อยากทำให้เสียบรรยากาศ ทว่าพอสายตาปะทะเข้ากับแก้วคริสตัลซึ่งมีเครื่องดื่มสีอำพัน ความคิดบางอย่างก็พลันเกิดขึ้นในหัว

“ครีมขอลองอันนั้นได้ไหมคะ”

ตอนแรกมนภาสไม่เข้าใจ แต่พอมองตามสายตาของหญิงสาวแล้วเห็นว่ามันหยุดลงตรงแก้วที่เขาถืออยู่ ความเข้าใจก็กระจ่างแจ้งขึ้นมา

“ไม่ดีมั้งครีม ขืนหมอนั่นกลับมาเจอ มีหวังพวกเราโดนเละแน่”

และเขาเองก็ปฏิเสธแทบจะทันที

“นะคะ ให้ครีมลองเถอะ ครีมอยากลองจริงๆ”

ทว่าพอได้ยินคำขอ อีกทั้งเห็นสีหน้าอ้อนวอนนั้นแล้วคนปฏิเสธก็ใจอ่อนยวบ มนภาสกับพิรัชต์มองหน้ากันเลิ่กลั่กแม้แต่คนต่างชาติอีกหนึ่งเดียวในกลุ่มที่ฟังไม่ออกก็ยังใจอ่อนเพราะสายตาของหญิงสาว 

สุดท้ายผู้ชายทั้งไทยทั้งเทศก็ทนไม่ไหว แก้วเครื่องดื่มใบใหม่จึงถูกหยิบมาวางไว้ตรงหน้าหญิงสาว

มนภาสรับหน้าที่นั้น เขาวางน้ำแข็งทรงกลมขนาดพอดีลงกับแก้ว ตามด้วยเครื่องดื่มสีอำพันที่ไม่มีอย่างอื่นผสม เพราะพวกเขาชอบดื่มค่อนข้างแรงและจะให้ไปหาของมาผสมตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เพราะคนขอนั่งมองมาอย่างกดดัน 

“เสร็จแล้วครับ”

คริมายื่นมือออกไปรับแก้วเครื่องดื่มสีสวยมาถือไว้โดยไม่ลืมเอ่ยขอบคุณ ประสบการณ์ครั้งแรกกับเครื่องดื่มที่ไม่คุ้นชินก็เริ่มต้นขึ้น เครื่องดื่มดีกรีสูงสุดที่เธอเคยดื่มก็แค่พวกไวน์ แต่วันนี้กลับใจกล้าและอาจหาญข้ามขั้นไปยังเครื่องดื่มที่เธอก็รู้ดีว่าดีกรีนั้นต่างกันมาก

“เบาๆ ครีม”

ความร้อนผ่าวที่ราวกับลวกอยู่ในลำคอทำเอาหญิงสาวนิ่วหน้า มือเล็กรีบไขว่คว้าหาน้ำดื่มและเป็นมนภาสที่ยื่นมาให้ทันที

“โอ้ สวีตตี ยูโอเคช่ายม้าย”

หลังได้น้ำดื่มคนที่ได้รับสายตาห่วงใยก็ส่งยิ้มคืนให้ทุกคนเพื่อบอกกลายๆ ว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก แม้จะแสบจนน้ำตาซึม แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดง่ายๆ เมื่อกี้เธอแค่รีบร้อนไปหน่อย พอคราวนี้จึงเปลี่ยนเป็นค่อยๆ จิบถึงได้รู้สึกว่ามันก็ไม่แย่ 

ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเมาถึงดูท่าทางมีความสุขนัก คงเป็นเพราะไม่ได้นึกถึงเรื่องเศร้าในหัวชั่วคราวนี่เอง ไม่รู้ว่านานเท่าไรที่คริมานั่งจิบเครื่องดื่มในแก้วใบเล็กนี้ รู้ตัวอีกทีก็พบว่าร่างกายเริ่มจะซวนเซจนควบคุมไม่อยู่ โดยเฉพาะศีรษะอันหนักอึ้งที่เหมือนจะทิ่มลงตลอดเวลา

อา...นี่เธอเมาแล้วใช่ไหมนะ

“หัวครีมหมุนติ้วๆ เลยค่ะ มีคุณพีทสองคน คุณมาร์คสองคน แล้วก็คุณไมค์อีกสองคน”

คนตัวเล็กบอกกลั้วหัวเราะ นั่งมองใบหน้าทุกคนสลับไปมาพลางบ่นพึมพำบางอย่างที่พวกเขาคงฟังไม่ออก เธอไม่รู้ว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกไปบ้าง แค่คิดว่าคนฟังคงไม่ถือสาคนเมาอย่างเธอ

‘ก็ไม่มีใครถือสาจริงๆ นั่นแหละ’

พิรัชต์นั่งมองแก้มสีขาวอมชมพูของหญิงสาวที่ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดอย่างกลัดกลุ้ม และแทบทั้งใบหน้าของเธอนั้นขึ้นเป็นสีเดียวกันจนคนมองกุมขมับที่เริ่มปวดหนึบ โดยเฉพาะมือชงอย่างมนภาสที่กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอเมื่อเห็นสีหน้าและอาการของหญิงสาว

“ตายๆ ไอ้คณิณเอาตายแน่”

พิรัชต์ตบมือลงบนหน้าผากของตัวเองจนได้ยินเสียงดังเผียะ ไม่ต่างจากมนภาสที่แทบจะเอาหัวโขกโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด จะมีก็แต่ฝรั่งหนึ่งเดียวที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ปรบมือเชียร์ให้คนตัวเล็กดื่มเข้าไปพร้อมทั้งชมว่าเก่งไม่ขาดปาก นั่นทำเอามนภาสแทบกุมขมับอีกรอบ 

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะไอ้ฝรั่งมันยังไม่เคยเห็นคณิณตอนอยู่ในโหมด ‘เฮอริเคน’ น่ะสิ แต่อีกไม่นานนักหรอก อีกไม่นานพวกเขาทุกคนคงได้เห็นพร้อมกันแน่นอน

“นี่มันอะไรกัน!”

‘นั่นไงล่ะ! ยังไม่ทันจบความคิดเฮอริเคนลูกใหญ่ก็ซัดเข้ามาถึงกลางโต๊ะเสียแล้ว’

บรรยากาศมาคุนี้ทำเอาเพลงที่เปิดอยู่แทบไร้ความหมาย คณิณไม่คิดว่าการหายไปคุยโทรศัพท์ไม่ถึงยี่สิบนาทีของเขาจะทำให้กลับมาเจอเข้ากับภาพนี้ 

ภาพของ ‘เด็กในปกครอง’ ที่ดื่มเหล้าจนแก้มแดงจัด แววตาฉ่ำเยิ้มเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ เธอมองมายังเขาแล้วคลี่ยิ้มหวาน 

“คุณคณิณขา เจ้านายกลับมาแล้ววว!” เสียงอ้อแอ้ที่ใช้เรียกชื่อกันพร้อมด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำทำเอาคนฟังขบกรามแน่น 

“กี่แก้ว”

ชายหนุ่มตวัดสายตาไปถามเพื่อนสนิทเสียงเข้ม ไม่ถามคนตัวเล็กตรงหน้า เพราะรู้ว่าเธอคงไม่มีสติตอบคำถามอะไรในตอนนี้

“ยังไม่ถึงแก้ว เฮ้ๆ เจ้านายใจเย็นๆ ก่อน”

มนภาสหายใจเกือบไม่ทั่วท้อง แต่เขาไม่ได้โกหก ที่บอกว่าเธอกินไปแค่แก้วน่ะเป็นความจริง นี่จริงยังไม่ถึงครึ่งแก้วด้วยซ้ำผิวแก้มของเจ้าตัวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ส่งยิ้มหวานฉ่ำจนคนชงอย่างเขารับรู้ชะตากรรมในทันทีว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

“อย่าว่าคุณๆ นะ ครีมอยากดื่ม ครีมขอดื่มเองงง!” 

คณิณตวัดสายตามายังคนที่แม้จะเสียงอ้อแอ้ แต่ก็ยังอุตส่าห์แก้ตัวให้คนอื่นเป็นตุเป็นตะ เขาสูดลมหายใจลึก ฝ่ามือกำแน่นจนเส้นเลือดบนแขนขึ้นเด่นชัด เพราะคำแก้ตัวนั้นไม่ได้ทำให้ความกรุ่นโกรธของเขาลดลงเลยสักนิด

“เนอะคุณมาร์ค”

“แหะๆ ครับ”

เสียงหัวเราะคิกคักเวลาพูดคุยกับคนอื่นยิ่งทำให้คณิณกรุ่นร้อนในหัว เขานับเลขในใจจนเกือบถึงร้อยเพื่อไม่ให้เทเพื่อนแล้วอุ้มคนตัวเล็กขึ้นไปจัดการบนห้อง สุดท้ายคนหัวเสียก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม กระแทกลมหายใจหนักๆ เพื่อระบายความหงุดหงิดที่ตีรวนอยู่ในอก

“เอาน่า เมากับพวกเราก็ดีกว่าไปเมากับคนอื่นหรือเปล่าวะ” พิรัชต์พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แม้จะรู้ว่าน้ำเย็นแค่นี้ดับไฟของภูเขาไฟที่กำลังเดือดปะทุไม่ได้ก็ตามที 

เสียงถอนหายใจของเจ้าของบ้านดังขึ้นอีกครั้ง คณิณพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ

“ครีมไม่เมานะ เอ แต่ทำไมคุณเจ้านายมีสองคน นี่ๆ” 

ไม่เพียงแค่พูด ฝ่ามือเล็กยังประกบลงบนใบหน้าคนกำลังโกรธจัดแล้วขยับไปมา พลางใช้ดวงตาฉ่ำวาวมองสำรวจ แล้วในเสี้ยววินาหนึ่งที่ดวงตาคู่สวยนั้นไหวระริก น้ำตาก็เอ่อคลอก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว

“คนเดียวก็ดุ มีสองคนก็ยังดุ”

“...”

“ครีมไม่ชอบ ฮึก...ไม่อยากชอบคุณแล้ว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น