5

5

บทที่ ๕

 

แม้จะกินอาหารและยาแก้ปวดไปแล้ว คริษฐ์ยังนอนตาค้างเกือบตลอดทั้งคืนด้วยความวิตกกังวล หลังจากพยาบาลที่ภายหลังแนะนำตัวว่าชื่อเบธกลับบ้านหลังเลิกงาน ก็เหลือเพียงเขาอยู่ในห้องนั้นตามลำพัง อากาศภายนอกวิปริตแปรปรวน จากอากาศที่อบอุ่นขึ้นเมื่อเดือนก่อนทำให้ระดับน้ำในลำธารขึ้นสูง แต่จู่ๆ หิมะก็ตกลงมาอีก จากที่โปรยปรายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็เพิ่มความรุนแรงและตกหนักขึ้นจนมองไม่เห็นทะเลสาบและภูเขาฝั่งตรงข้ามอีกต่อไป เขาขยับตัวลงจากเตียง บาดแผลตามลำตัวไม่หนักหนา มีเพียงรอยช้ำจากแรงกระแทกกับก้อนหิน ที่หนักสุดก็คือบาดแผลที่ศีรษะซึ่งปวดตุบๆ และวิงเวียนทุกครั้งที่ขยับตัว แต่เขาก็อยากรู้อยากเห็นว่าตนกำลังอยู่ในอดีตจริง หรือเป็นเพียงการจัดฉากแค่ในห้องนี้เท่านั้น...ซึ่งเขาก็แอบหวังเหลือเกินว่าคงแค่อยู่ในรายการโทรทัศน์ ไม่ใช่เรื่องจริง

คริษฐ์เดินกระย่องกระแย่งไปที่หน้าต่าง มองไปด้านนอกก็รู้ว่าเป็นชั้นหนึ่งของโรงแรม รถม้าจอดอยู่หลายคันและทยอยวิ่งผ่านไปหลังจากพนักงานยกลังสินค้าลงตรงด้านข้างของโรงแรมเสร็จก็วนไปจอดในโรงรถ พนักงานเดินไปปลดม้าออกจากรถลาก และจูงม้าเดินห่างออกไป เขาเดาว่าคงจะพาพวกมันไปไว้ในคอก ให้พวกมันพักผ่อนหลังเสร็จงาน 

ทุกอย่างภายนอกแตกต่างจากวันที่เขามาถึงที่โรงแรมแห่งนี้ราวฟ้ากับเหว ผู้คนสวมชุดที่ไม่มีใครสวมใส่ในยุคมิลเลนเนียมนอกจากในโรงถ่ายภาพยนตร์ 

เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ นอกหน้าต่างอีกนอกจากหิมะโปรยปราย เขาก็หันกลับมามองข้างโต๊ะทำงานของเบธ มีปฏิทินติดอยู่ซึ่งก็เป็นของปีที่หล่อนบอก และบนโต๊ะไม่มีเครื่องใช้ไม้สอยชิ้นใดที่บ่งบอกถึงความเป็นยุคใหม่ แม้แต่ขวดยาที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบในตู้ด้านหลังโต๊ะทำงาน ฉลากกระดาษบนขวดแก้วสีน้ำตาลเขียนชื่อยาด้วยมือ ไม่มีขวดพลาสติกที่มีฉลากตัวอักษรเล็กๆ ยาวเป็นพืดพิมพ์จากคอมพิวเตอร์กำกับ กล่องใส่เครื่องวัดความดันก็ทำจากเหล็ก หน้าตาประหลาด แต่เดาได้จากแถบผ้าที่ใช้รัดต้นแขนและลูกยางทรงกลม รวมไปถึงแถบตัวเลขที่อยู่ติดกัน 

ความหวาดกลัวถาโถม จนเขาต้องควานหาเก้าอี้นั่งเมื่อขาทั้งสองพยุงร่างกายต่อไปไม่ไหว หลักฐานที่เห็นเปรียบเหมือนน้ำเย็นที่ราดลงไปบนกองไฟที่ริบหรี่ของเขาให้มอดสนิท

คริษฐ์ยกมือขึ้นปิดหน้า...ไหล่สั่นสะท้านเพราะสะกดกลั้นความหวาดกลัวไว้ไม่ได้ มืดแปดด้าน ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน และไม่รู้จะเริ่มต้นแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างไร

แต่แล้วหลังปล่อยให้ความทุกข์สาดซัดจนสมองปะติดปะต่อเหตุผลไม่ได้ไปพักใหญ่ ในที่สุดความจริงบางอย่างก็กระแทกกลางใจ

ค.ศ. ๑๙๒๕ คือปีที่อะมานดาเสียชีวิต และเมื่อคืน...เขาก็จำความฝันได้เลือนราง

คริส...คุณเท่านั้นที่จะช่วยฉันได้... 

มันเป็นเสียงร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง อ้อนวอนให้เขาช่วย และเขาก็ฝันซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้นจนเช้า

หรือเป็นเพราะวิญญาณของอะมานดาต้องการให้เขากลับมาแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต? หรือเธอต้องการจะบอกว่าหากเขาไม่ฆ่าเธอ วิญญาณของเธอก็คงจะไม่ทุกข์ทรมานอยู่ในห้องนั้น แล้วเขาก็จะได้กลับบ้าน? เพราะรอยบอกว่าฆาตกรหายสาบสูญไปหลังจากคืนที่ก่อเหตุ ซึ่งนั่นอาจจะหมายความว่าเขาจะได้กลับไปในปีที่จากมา

ความหวังเริ่มเรืองรอง เขากลับไปนอนที่เตียงอีกครั้งและรวบรวมสติ คิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ฟังจากรอย นำมาวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน

รอยบอกว่าเศรษฐีและชนชั้นสูงของอเมริกาเดินทางมาพักที่นี่เป็นจำนวนมากในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเขาต้องรออีกสามเดือน และเบธบอกว่าบริษัทก่อสร้างถนนกำลังรับสมัครพนักงานจำนวนมาก...พ่อของรอยจึงรู้จักเขาในฐานะคนงานก่อสร้างถนน 

คริษฐ์หลับตาลง หัวตาร้อนผ่าวขณะคิดถึงมารดาที่เพิ่งพูดคุยกันไม่นาน ป่านนี้ทุกคนที่โรงแรมคงคิดว่าเขาตกน้ำเสียชีวิตไปแล้วเพราะข้าวของทุกอย่างยังตกอยู่ที่นั่น สมบัติที่ติดตัวมาก็มีแค่เสื้อผ้า รองเท้า และความรู้เท่านั้นที่จะทำให้เขาเอาตัวรอดในอดีตได้

ไม่มีประโยชน์ที่จะคร่ำครวญต่อโชคชะตานอกจากหาวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปจนกว่าจะถึงเวลาที่อะมานดาเดินทางมาถึงที่นี่ เขาจะได้รู้ความจริงที่ค้างคาอยู่ในใจและแก้ไขให้ถูกต้อง เผื่อว่ามันจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาเดินทางกลับไปในปัจจุบันได้

คริษฐ์พยายามนอนให้หลับในอีกหลายชั่วโมงสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์จะเคลื่อนสูงขึ้นเหนือขอบฟ้า แปดโมงตรงประตูห้องพยาบาลก็เปิดออก พยาบาลใจดีส่งยิ้มให้แก่คนไข้คนเดียวในห้อง

“เป็นยังไงบ้างพ่อหนุ่ม รู้สึกดีขึ้นไหม”

คริษฐ์ดันตัวลุกขึ้น และยิ้มตอบ “ดีขึ้นแล้วครับ”

“ดีมาก ถ้างั้นล้างหน้าแปรงฟันแล้วลงไปกินข้าวที่แคนทีนของพนักงานกับฉัน ฉันจะแนะนำให้รู้จักโรเบิร์ต เขาจะช่วยพาคุณกลับบ้าน เมื่อวานฉันคุยกับเขาไว้แล้ว”

“โรเบิร์ต?”

“เขาเป็นพนักงานของโรงแรม ที่ฉันพอจะไหว้วานได้”

“โรเบิร์ต พ่อของรอยหรือเปล่าครับ”

“อ้าว คุณรู้จักรอยด้วยเหรอ พ่อหนูนั่นน่ารักน่าชัง คุณว่าไหม”

คริษฐ์ยิ้ม...รู้จักแต่รอย ชายชราผู้ใจดี แต่ก็เดาว่าตอนเด็กๆ รอยคงจะเป็นเด็กดี น่ารักน่าชังอย่างที่พยาบาลบอก

“ครับ”

“ดีเลย ถ้ารู้จักกันมาก่อนก็ดี ต่อไปต้องการความช่วยเหลืออะไรก็คุยกับเขาได้”

“ครับ ถ้างั้นผมขอตัวไปเข้าล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะครับ”

พยาบาลร่างเล็กพยักหน้า แล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน คริษฐ์ก้มมองชุดของตนแล้วต้องถอนใจเฮือก ตัดสินใจเอ่ยถามเบธอีกหน

“ถ้าคุณจะกรุณาผมอีกสักนิด ผมอยากขอเสื้อผ้าผู้ชายสักชุดได้ไหมครับ ถ้าผมมีเงินแล้วผมจะซื้อมาคืน”

เบธเงยหน้ามองและบอก “ฉันเตรียมไว้ให้คุณแล้ว เสื้อผ้าของคุณมันขาดจนใส่ไม่ได้ มีแต่กางเกงขาสั้นที่ยังใช้ได้กับรองเท้า ฉันเก็บไว้ตรงนั้น”

“ขอบคุณครับ”

เขามองตามนิ้วเรียว พอหันกลับมา หล่อนก็เงยหน้าจากเอกสารตรงหน้า และมองเขานิ่ง ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คุณไม่รู้หรือว่าหิมะจะตก ถึงได้ใส่กางเกงขาสั้นไปเดินป่า”

“ไม่รู้ครับ” เขาอ้อมแอ้ม หล่อนทำหน้าไม่ชอบใจ

“ฉันพอจะเข้าใจว่าคุณไม่ใช่คนแถวนี้ ถึงไม่รู้ว่าหิมะจะตก แต่ฉันไม่เคยเห็นใครใส่รองเท้าแบบคุณสักคน รองเท้าบูตของคุณมันแปลกประหลาดมาก คุณซื้อมาจากที่ไหนรึ”

“เอ้อ...” คริษฐ์ไม่ทันคิดมาก่อน เขาสบตาสงสัยของพยาบาลและทำตาปริบๆ

“หรือว่าคุณสั่งตัดเป็นพิเศษ?”

“เอ่อใช่ ใช่ครับ พอดีพ่อของเพื่อนผมทำร้านรองเท้า เขาออกแบบแต่ไม่มีคนซื้อเพราะคิดว่ามันประหลาดนั่นแหละครับ เขาเลยให้ผมมา”

“แต่ฉันว่ามันสวยดีออก บอกฉันหน่อยสิว่าร้านไหน เผื่อว่าฉันจะไปซื้อให้สามีของฉันบ้าง”

“ร้านอยู่ที่ซีแอตเทิลโน่นครับ” เขาเลี่ยง

“ไกลจัง คุณคงมาจากที่นั่นสินะ เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาส ฉันคงจะได้ไปเที่ยวสักครั้ง และจะแวะไปที่ร้านของเพื่อนคุณ”

“ครับ”

คริษฐ์โล่งใจที่เอาตัวรอดไปได้ รีบหยิบเสื้อผ้าที่วางไว้ตรงเข้าห้องน้ำ และรีบทำธุระส่วนตัวอย่างเร่งด่วน เพราะไม่อยากให้เบธต้องรอนาน...พอกลับมาที่ห้องพยาบาล เบธก็พร้อมแล้ว จึงเดินนำเขาไปที่ห้องอาหารของพนักงาน เวลานี้มีเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่คงจะเข้างานกันหมด 

ชายคนหนึ่งกำลังนั่งกินข้าวตามลำพัง พอเห็นเบธก็ลุกขึ้นทักทาย

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะร็อบ นี่คริส คนไข้ที่ฉันเล่าให้ฟังเมื่อวาน”

“อ้อ ครับ สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” คริษฐ์ตอบ และจับมือใหญ่ที่ยื่นออกมา พร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร 

“เบธเล่าให้ฟังแล้ว คุณจะให้ผมไปส่งคุณที่ไหนก็บอกได้เลย หรือจะไปสถานีรถไฟก็ได้ เพราะผมต้องเข้าไปซื้อของในเมืองให้โรงแรมอาทิตย์ละหนอยู่แล้ว”

“ฉันนึกว่าคุณเพิ่งซื้อของกลับมาเมื่อวาน?” เบธแทรกขึ้น

“ครับ อาทิตย์นี้ผมไปเร็วหน่อยและรีบกลับมา ทันพายุหิมะพอดี”

“ถ้างั้นจะไปอีกครั้งก็อาทิตย์หน้าละสิ”

“ครับ”

“แล้วคุณจะไปส่งคริสได้หรือ” เบธห่วง

“ผมยังไม่รู้เลยว่าเขาจะไปที่ไหน” โรเบิร์ตบอกกลั้วเสียงหัวเราะ “เราฟังเขาก่อนดีไหมครับ”

เบธหัวเราะตาม “จริงด้วย งั้นบอกร็อบเถอะว่าคุณจะเข้าเมืองหรือเปล่า”

“ผม...” เขาเหลือบมองทั้งสองที่รอคอยคำตอบ “คือ...ผมอยากรู้ว่าเขารับสมัครคนงานก่อสร้างถนนที่ไหนครับ ผมจะไปที่นั่น”

“อ้อ จะมาสมัครงานนี่เอง เขารับสมัครในเมืองนั่นแหละ ถ้าคุณจะไปก็ต้องรออาทิตย์หน้าแล้วละ ติดรถผมไป” โรเบิร์ตบอก

“แล้ว...ระหว่างนี้ ผมจะหาที่พักได้ที่ไหนครับ” เขากังวล เงินก็ไม่มีติดตัวแม้แต่เหรียญเดียว

“อยู่กับผมก่อนก็ได้” โรเบิร์ตเสนอ

“แต่ผมไม่มีเงิน...”

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ถ้าไหวก็ช่วยงานผมก็ได้ นี่ยังต้องตักหิมะอีกเยอะ ดอกไม้ที่เตรียมจะปลูกก็รีบเก็บแทบไม่ทัน ไม่คิดเลยว่าหิมะจะตกอีก”

“ผมยินดีทำงานทุกอย่างครับ ขอบคุณคุณโรเบิร์ตมาก” เขาไม่กล้าเรียกชื่อเล่นเพราะเพิ่งรู้จัก ฝรั่งบางคนก็ไม่ชอบใจ

“เรียกผมว่าร็อบเถอะ ที่นี่เรียกผมแบบนี้ทั้งนั้น เอาละ รีบกินข้าว แล้วผมจะพากลับบ้าน”

“ครับ” คริษฐ์ตอบรับด้วยความดีใจ

“ฉันว่าวันนี้ให้เขาพักอีกสักวันเถอะ ไม่อยากให้รีบทำงาน เดี๋ยวแผลที่ฉันเย็บที่หัวมันจะปริเอา”

“จริงด้วย” โรเบิร์ตพยักหน้ารับ แล้วเบธก็พูดต่อ

“แล้วก่อนเข้าเมืองค่อยมาตัดไหม ระหว่างนี้ถ้าไม่ไหวก็หยุด หรือถ้ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ก็ให้ร็อบรีบพาไปส่งโรงพยาบาล เพราะมันเป็นสัญญาณอันตราย”

“ครับ ขอบคุณมากครับ หากไม่ได้คุณช่วย ผมคงไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง” คริษฐ์ตื้นตันในน้ำใจของเบธที่เอื้อเฟื้อต่อคนแปลกหน้า ตั้งใจว่าวันหน้าเขาจะต้องหาทางตอบแทนความมีน้ำใจของหล่อนให้ได้

เบธโบกมือ เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ก่อนบอก

“ไปกินข้าวกัน คุณต้องฝากท้องที่นี่อีกหลายวัน เดี๋ยวฉันจะพาไปแนะนำให้รู้จักพ่อครัวของที่นี่” หล่อนลุกแล้วออกเดินนำหน้าเข้าไปในครัว เพื่อแนะนำคริษฐ์ให้รู้จักกับพ่อครัวใหญ่ ก่อนจะหยิบถาดและจานยื่นให้เขา พร้อมกำชับ “ตักแต่พอดี เดี๋ยวจะมีพนักงานที่เพิ่งออกงานกะดึกมากินอีกชุด”

“ครับ” เขาตอบรับและตักอาหารเพียงพอที่ตนต้องการ “แล้วผมจะจ่ายคืนให้ภายหลังนะครับ”

“ไม่ต้องหรอก แค่นิดหน่อยเท่านั้น โรงแรมต้องทำอาหารให้พนักงานอยู่แล้ว ทำเผื่อคุณอีกนิดจะเป็นไรไป” เบธบอก 

ถึงอย่างนั้นคริษฐ์ก็ไม่สบายใจอยู่ดี 

“ถ้าอย่างนั้น หากมีอะไรที่ผมพอจะทำงานทดแทนได้บ้าง ผมก็ยินดีทำอย่างเต็มที่ครับ”

“ถ้าคุณอยากทำงานที่นี่แทนไปสร้างถนน ก็สมัครกับผู้จัดการได้ บอกตรงๆ ว่าฉันไม่ชอบคนโกหก”

คริษฐ์งงไปนิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาบอกหล่อนกับผู้จัดการโรงแรมไปว่าพักห้อง ๔๐๔ มันคือความจริง แต่ทุกคนคิดว่าเขาโกหก

“ผม...ขอโทษครับ” เขาตอบเสียงอ่อย “ผมไม่ได้คิดจะโกหก ตอนนั้นผมยังคงเบลอๆ อยู่ พออาการมึนลดลงแล้ว ผมก็จำได้ว่าผมไม่ได้พักที่นี่หรอกครับ โรงแรมระดับนี้ผมจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย”

“แล้วคุณพักที่ไหนล่ะ ฉันไม่คิดว่าแถวนี้จะมีโรงแรมไหนสูงถึงสี่ชั้นหรอกนะ”

“ผมจำผิดน่ะครับ คิดว่ายังอยู่ที่ซีแอตเทิล”

“ที่จริงฉันก็ไม่ได้ถือสาหรอกนะ เห็นคุณเพิ่งประสบอุบัติเหตุก็คิดว่าสมองคงกระทบกระเทือน แต่เอาเถอะ ถ้าอยากทำงานที่โรงแรมก็สมัครกับผู้จัดการก็แล้วกัน เขาต้องการพนักงานในช่วงซัมเมอร์จำนวนมากเหมือนกัน แต่คุณอาจต้องรออีกหลายเดือน”

“ครับ” เขาตอบรับ และเดินกลับไปนั่งกินข้าวกับโรเบิร์ต ทั้งสามไม่ชักช้าเพราะเบธต้องกลับไปทำงานต่อ คริษฐ์เก็บข้าวของจากห้องพยาบาลที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นตามโรเบิร์ตไปที่กระท่อมหลังใหม่เอี่ยม...ภายนอกเปลี่ยนไปจากที่เห็นในอีกเจ็ดสิบห้าปีข้างหน้าที่ซ่อมบำรุง ทาสี และต่อเติมอีกหลายครั้งให้อยู่ในสภาพดี แต่สุดท้ายกระท่อมหลังนี้ก็จะต้องถูกรื้อถอนไปอย่างถาวรหลังสิ้นรอย

คนที่เขากำลังคิดถึงอยู่ในภาพที่ติดบนฝาผนัง เขายืนมองหลังเดินเข้าไปในบ้านหลังเล็กที่ตกแต่งอย่างน่ารักไม่ต่างไปจากสมัยของรอย เครื่องเรือนหลายชิ้นยังคงถูกใช้งานไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน รวมถึงตู้โชว์ที่รอยเก็บอัลบัมภาพไว้ในตู้ที่มีประตูไม้ด้านล่าง

“ลูกชายผมเอง ชื่อรอย กับเมียของผม เจน ตอนนี้เขาไปโรงเรียนและเมียของผมก็ทำงานเป็นหัวหน้าแม่บ้านที่โรงแรม”

“อ้อ ครับ”

“คุณคงต้องนอนกับรอยไปก่อน หรือถ้าไม่สะดวกที่จะนอนกับเด็ก จะออกมานอนที่ห้องรับแขกก็ได้”

“ผมนอนกับรอยได้ครับคุณร็อบ ไม่ต้องห่วง”

“เรียกผมร็อบเฉยๆ ก็พอ ผมไม่ใช่ผู้จัดการที่นี่ ไม่ต้องยกย่องขนาดนั้น” โรเบิร์ตเตือนอีกครั้งพร้อมหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี จนคริษฐ์รู้สึกอุ่นใจกับความเป็นกันเองของเขา “ว่าแต่ข้าวของคุณมีแค่นี้เองหรือ หรือว่ายังอยู่ที่โรงแรมอื่น”

“มีแค่นี้ครับ” เขาบอกเสียงเศร้า 

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมจะพาไปซื้อของที่ร้านในหมู่บ้าน ตอนไปรับรอยจากโรงเรียน”

“คือ...คือ...”

คริษฐ์อึดอัด จะบอกอย่างไรว่าเขาไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อเสื้อผ้าให้ตนเอง โรเบิร์ตคงจะเดาจากท่าทางของเขาออกและบอก

“ผมลืมไป เบธฝากเงินไว้ยี่สิบเหรียญ เผื่อว่าคุณต้องการซื้อเสื้อผ้า ก็ยืมเธอก่อน ถ้าคุณไม่ต้องการ ผมก็จะเอาไปคืนเธอ”

“เบธหรือครับ”

“ใช่ เธอฝากมา เงินยี่สิบเหรียญ คงพอจะซื้อเสื้อผ้าได้สักสองชุดกับรองเท้า และกางเกงชั้นใน”

“ยี่สิบเหรียญ ซื้อได้ทั้งหมดเลยหรือครับ”

“ก็ถ้าเอาแบบทั่วไป ไม่ต้องตัดเย็บหรูหราอะไร ก็น่าจะซื้อได้ทั้งหมด” โรเบิร์ตทำหน้าจริงจังยิ่ง 

“เอ่อ...ว่าแต่ตอนนี้ค่าแรงที่นี่เขาจ้างกันเท่าไหร่หรือครับ” เขาสงสัย 

“อืม...ที่โรงแรมนี้ก็จ่ายประมาณอาทิตย์ละสามสิบเหรียญ มากน้อยขึ้นอยู่กับประสบการณ์การทำงาน ส่วนถ้าไปทำงานก่อสร้างถนน ผมเห็นเขาแปะป้ายประกาศว่าค่าจ้างชั่วโมงละห้าสิบเจ็ดเซ็นต์ แต่มีเบี้ยเลี้ยงมากพอดู เพราะต้องขึ้นไปทำงานบนเขาโน่น”

“ชั่วโมงละห้าสิบเจ็ดเซ็นต์...” เขาคราง คำนวณคร่าวๆ วันหนึ่งได้แค่สี่เหรียญ “แล้วที่นี่ค่าโรงแรมคืนหนึ่งเท่าไหร่ครับ” เขาอยากรู้

“ที่นี่เป็นโรงแรมหรู ห้องธรรมดาคืนละสามเหรียญกระมัง ถ้าห้องพิเศษก็อาจจะแพงถึงคืนละสามเหรียญห้าสิบเซ็นต์”

ก็คงจะจริง เพราะคนใช้แรงงานต้องทำงานเกือบทั้งอาทิตย์เพื่อจ่ายค่าห้องเพียงคืนเดียว หากไม่มีเงินจริงคงมาพักที่นี่ไม่ได้ 

โรเบิร์ตล้วงไปในกระเป๋าเสื้อและยื่นธนบัตรสีเขียวให้ตรงหน้า เขาพึมพำขอบคุณขณะรับมา หน้าตาประธานาธิบดีบนธนบัตรเปลี่ยนไปจากที่เคยเห็น ข้างใต้ชื่อเขียนว่า ‘เคลฟแลนด์’ ที่เขาไม่เคยรู้จัก

“เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยออกไปด้วยกัน ตอนนี้คุณไปพักผ่อนก่อนดีกว่า เบธบอกว่าคุณควรจะพักเยอะๆ”

“ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณทั้งสองยังไงดี” ลำคอของคริษฐ์ตีบตัน ซาบซึ้งในน้ำใจของพยาบาลสาวใหญ่และโรเบิร์ตยิ่งนัก

“อย่าคิดมากเลย เบธเป็นคนใจดีแบบนี้อยู่แล้ว สมกับที่เป็นพยาบาล คนที่นี่รักเธอทุกคน”

“ผมสัญญาว่าผมจะหาเงินมาคืนเธอให้เร็วที่สุด ผมจะไม่ทำให้เธอผิดหวังที่ช่วยเหลือผม”

“เธอคงจะมองเห็นความจริงใจของคุณ อีกอย่าง...เธอคิดว่าคุณอาจจะมีปัญหาบางอย่าง อาจจะกับครอบครัวถึงได้มาถึงที่นี่ แต่อย่าคิดสั้นอีกเลยนะ ถ้ามีอะไรที่พวกเราพอจะช่วยได้พวกเราก็ยินดีช่วย”

คริษฐ์ยิ้มบาง...เบธคงคิดว่าเขาต้องการฆ่าตัวตายถึงได้กระโดดหน้าผา แต่ปล่อยให้ทุกคนคิดแบบนั้นก็ดี จะได้ไม่มีใครสงสัยที่มาที่ไปของเขาอีก

“ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ ผมรู้แล้วว่าการมีชีวิตอยู่นั้นมันมีค่าแค่ไหน ผมจะทำงานและรีบหาเงินมาคืนคุณเบธ และช่วยงานของคุณให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้”

“อย่าคิดมาก มา ผมจะพาไปห้องของลูกชาย จะได้พักผ่อน”

โรเบิร์ตพาเดินไปที่ห้องนอนด้านใน ภายในห้องนอนเล็กมีเตียงแบบสองชั้นทำด้วยไม้ดูแข็งแรงทนทาน เจ้าของบ้านบอก

“บางทีเพื่อนของผมก็มานอนค้าง ผมจะให้รอยนอนเตียงบน คุณนอนเตียงล่างนั่นได้เลย”

“ครับ”

“ห้องน้ำอยู่ตรงข้ามห้องนอน ใช้ด้วยกัน”

“ครับ ขอบคุณมาก”

“ไม่ต้องกังวล เอาละ ผมจะไปทำงานก่อน ตอนเย็นจะมารับไปซื้อเสื้อผ้า”

เขาพึมพำรับอีกครั้ง แล้วโรเบิร์ตก็เดินจากไป 

คริษฐ์วางถุงผ้าข้างเตียง ทิ้งตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ มองธนบัตรในมืออีกครั้งก็มั่นใจเกินร้อยว่าเขาอยู่ในอดีตจริงๆ เงินยี่สิบเหรียญเท่ากับเขาต้องทำงานทั้งเดือนถ้าตัดสินใจไปทำงานสร้างถนน แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาถนัดยิ่งกว่าทำงานในโรงแรม เขาอาจจะมีอนาคตที่ดีกว่าถ้าได้แสดงฝีมือให้เจ้านายเห็น 

คริษฐ์ทิ้งตัวลงนอนหลังกินยาแก้ปวดที่เบธให้มา ข่มตาให้หลับและปลง เตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างมีสติ และตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะช่วยอะมานดา ไม่ให้วิญญาณของเธอต้องทรมานอยู่ในห้องนั้นตลอดไป แต่ก่อนอื่น...เขาจะต้องเริ่มต้นมองหาที่ทางของตนให้มั่นคง เพื่อจะได้หาทางเข้าถึงตัวเธอที่กำลังจะเดินทางมาถึงที่นี่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า...

 

เสื้อผ้าชุดใหม่ถูกซักและรีดเรียบร้อยอยู่ในกระเป๋าใบเล็ก ที่โรเบิร์ตให้ยืมในวันที่เขาติดรถของโรงแรมเข้าเมืองเพื่อไปสมัครงานที่ออฟฟิศของบริษัทหลุยส์ คอนสตรักชันที่กำลังเปิดรับคนงานจำนวนมากสำหรับการสร้างถนนในอีกหลายเดือนข้างหน้าจนกว่าหิมะจะตก

เขากรอกใบสมัคร มองช่องตำแหน่งที่ต้องกรอก...หากสมัครตำแหน่งวิศวกรคุมงาน เขาก็ไม่มีหลักฐานยืนยันวุฒิของตน จึงเลือกตำแหน่งหัวหน้างาน เพราะจากประสบการณ์ที่ทำงานควบคุมการก่อสร้างถนนมานับสิบปีคงจะช่วยได้ และหากเขาได้ทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น ก็จะทำให้เขามีโอกาสพบกับอะมานดาได้ง่ายกว่า ขืนเป็นเพียงแรงงาน ชาตินี้คงไม่มีหวังที่จะได้เจอเธอ

หลังกรอกเอกสารและเขียนเล่าประสบการณ์งานที่เคยทำในอดีตเสร็จแล้ว เขาก็นั่งรอสัมภาษณ์ ส่วนโรเบิร์ตกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรมอีกคนก็แยกไปซื้ออาหารและของใช้สำหรับโรงแรมกับร้านประจำ แล้วจึงกลับโรงแรมในตอนบ่าย โรเบิร์ตต้องการให้เขามาแจ้งข่าวถ้าได้งาน และถ้าไม่ได้ก็ให้กลับไปทำงานที่โรงแรมกับเขา และนัดเวลากันเรียบร้อย

คริษฐ์มองเวลาขณะนั่งรอสัมภาษณ์อยู่ในกลุ่มคนงานนับสิบราวครึ่งชั่วโมง เสมียนสาวที่เป็นผู้รับใบสมัครก็เรียกเขาเข้าไปในห้องด้านใน บนกระจกเขาเห็นชื่อแกะสลักและทาสีทองว่า ฟิลลิป มอร์แกน แล้วเขาก็จำได้ทันทีว่าคือชายที่เป็นหัวหน้าโครงการก่อสร้างในความฝันของเขานั่นเอง

ฟิลลิปเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างผอมและสูงใกล้เคียงกับเขา ลุกขึ้นจับมือเขาเขย่าก่อนจะผายมือให้นั่ง ผิวของฟิลลิปคล้ำกว่าคนขาวที่เขาเห็นทั่วไป เหมือนคนที่ทำงานกลางแดดอยู่เป็นประจำ ใบหน้าแกร่งมีโหนกแก้มสูง ดวงตามุ่งมั่น และขริบหนวดหนาเหนือริมฝีปากเป็นทรงที่ผู้ชายที่มีวัยวุฒิสูงขึ้นนิยมและเห็นได้ทั่วไปบนท้องถนน เมื่อมันอยู่บนใบหน้าของฟิลลิปก็เพิ่มความน่าเกรงขามให้แก่เจ้าของอีกอักโข

“คุณบอกว่าเคยทำงานก่อสร้างถนนในซีแอตเทิล” ฟิลลิปเริ่ม

“ครับ ผมเป็นหัวหน้าคุมงานที่นั่นครับ”

“แต่ผมไม่คุ้นชื่อบริษัทของคุณเลย” ฟิลลิปพลิกดูใบสมัครไปมา

“เป็นบริษัทเล็กๆ เท่านั้นครับ” เขาอ้อมแอ้ม เพราะในอนาคต บริษัทของเขาใหญ่โตติดอันดับหนึ่งในสิบของอเมริกาด้วยซ้ำ

“ดูจากลายมือและการตอบคำถามเกี่ยวกับการทำงาน เหมือนคุณจะได้เรียนมาไม่น้อย”

“ผมจบไฮสกูลครับ” เขาบอก คิดว่าน่าจะเหมาะสมสำหรับตำแหน่ง เพราะคนในสมัยนี้ร่ำเรียนกันไม่มากนัก

“ดี ผมต้องการคนเขียนรายงานให้ผม”

“ผมทำได้ครับ”

 ฟิลลิปเงยหน้าจากใบสมัครบนโต๊ะ จ้องหน้าเขานิ่งหลายวินาที ก่อนถาม

“คุณสู้งานหนักไหวไหม”

“ไหวครับ” เขาตอบทันที 

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณจะผ่านงานที่คุณเขียนในใบสมัครนี่หรือเปล่า แต่ผมต้องการผู้ช่วยที่ต้องพร้อมบุกป่าลุยงานไปพร้อมกับผมตลอดทั้งฤดูร้อนที่จะถึงนี้ ปีก่อนผมผิดหวังที่ต้องเปลี่ยนผู้ช่วยหลายครั้ง ทำให้งานล่าช้า ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นอีก”

“ผมพร้อมครับ” คริษฐ์ตอบทันที ฟิลลิปคงจะมองเห็นความแน่วแน่ในสายตาของเขา จึงฉีกยิ้มและลุกขึ้นพร้อมกับยื่นมือออกมา

“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้งานแล้ว แมรี่จะพาคุณไปที่หอพักของพนักงาน และเริ่มต้นทำงานตั้งแต่พรุ่งนี้”

คริษฐ์โล่งใจเป็นล้นพ้น...นับเป็นความสำเร็จในครั้งแรกของชีวิตใหม่ 

ฟิลลิปเดินออกมาส่งเขาถึงด้านนอกและแจ้งข่าวดีให้แก่แมรี่ เสมียนสาวจึงบอกให้นั่งรอ สักพักก็มีชายหนุ่มอายุไม่น่าเกินยี่สิบพาคนงานกลุ่มใหม่ไปยังห้องแถวที่เป็นเรือนพักชั่วคราวในเมือง คริษฐ์ได้ที่นอนในห้องที่เป็นเตียงสองชั้นสองเตียงและห้องอาบน้ำใช้ร่วมกันด้านล่าง พอวางสัมภาระเรียบร้อย เขาก็ออกไปตามหาโรเบิร์ตเพื่อแจ้งข่าวดี พร้อมกับสัญญาว่าจะแวะไปเยี่ยมและนำเงินไปคืนเบธทันทีที่ได้เงินเดือนก้อนแรก

โรเบิร์ตยินดีและอวยพรให้เขาโชคดี ก่อนเดินทางกลับโรงแรม คริษฐ์โบกมือร่ำลา และมองรถม้าบรรทุกสินค้าของโรงแรมแล่นจากไปบนถนนโรยกรวดจนลับสายตา พอหันหลังกลับ...ก็มองถนนที่ตัดผ่านเมืองเล็กๆ และอาคารที่สร้างจากไม้สองข้างทาง รถม้าหลายคันแล่นสวนทาง และมีชายขี่ม้าผ่านไปมาสองสามคน แต่ไม่เห็นรถยนต์สักคัน คิดว่าคงจะเป็นความฟุ่มเฟือยที่ไม่เหมาะสำหรับชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำที่อาศัยเมืองเล็กติดสถานีรถไฟแห่งนี้ ที่ยังมีวิถีชีวิตล้าสมัยกว่าเมืองใหญ่ๆ ไปหลายปี

คริษฐ์ถอนใจ ขยับหมวกปีกกว้างให้เข้าที่ก่อนออกเดิน...ก้าวแรกเริ่มต้นแล้ว และเขาจะก้าวต่อไปด้วยสติสัมปชัญญะทั้งหมดที่มี เพื่อหวังว่ามันจะเป็นวิธีพาเขากลับไปในอนาคต...ไปหาครอบครัวอย่างปลอดภัย 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น