2

มดตัวนั้น


 

ตอนที่ 2

มดตัวนั้น

- ผ้าใบ -

            ผมนั่งตั้งสายกีตาร์อยู่ด้านหลังร้านบลูมูน หูเทียบเสียง แต่สมองคิดไปถึงรถสปอร์ตสีแดงคันนั้น ผมคิดผิดที่เชื่อว่าจะหาเจ้าของเจอได้ง่ายๆ หลังจากขี่มอเตอร์ไซค์วนดูที่เดิมอยู่สองสามวัน ผมไม่เห็นแม้แต่เงา ลานจอดที่เคยเจอเป็นลานจอดรวม ไม่ใช่ของคณะใดคณะหนึ่ง ทำให้เดาได้ยากว่าเจ้าของเรียนคณะไหน ผมลองถามลุงภารโรงที่ดูแลอยู่แถวนั้น ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม นอกจากบอกว่าคุ้นๆ แต่นึกหน้าเจ้าของไม่ออก

            “ผ้าใบ”

            “ว่าไงพี่” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนเรียก

            “วันก่อนมีลูกค้าถามถึงเราด้วย”

“ใครเหรอ”

            “ชื่อคีรีมั้ง พี่ได้ยินคนที่มาด้วยเรียก”

            “คีรี? ผมไม่รู้จักคนชื่อนี้ เขาถามถึงผมทำไมเหรอ”

“เขาถามว่าใครเป็นเจ้าของรถเวสป้าสีฟ้าที่จอดอยู่หลังร้าน ตอนแรกพี่ไม่ได้บอก แต่เขาว่าอาจเป็นคนรู้จักกัน พี่เลยบอกไปว่าเป็นของเรา พอกลับมาคิดอีกที พี่ก็ว่ามันแปลกๆ เขาไม่ได้มาหาเรื่องอะไรผ้าใบใช่ไหม”

            “ไม่พี่”

            “ค่อยสบายใจหน่อย พี่ก็ดันปากพล่อยบอกไปง่ายๆ เห็นว่าเป็นลูกค้า ท่าทางดูดีเชียว”

            “ไม่มีอะไรพี่ สบายใจได้เลย”

            “โอเค งั้นพี่ไปทำงานต่อ แค่อยากถามเราให้สบายใจ”

            “ขอบคุณมากครับ”

            “คีรี?” ผมพึมพำออกมาเบาๆ ทำไมถึงรู้สึกคุ้นชื่อนี้นักวะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน คีรี...คีรี...

           

            “มาเร็วนี่หว่า” พี่ม่อนเดินส่ายพุงเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังจากคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ในสมองผมเกิดแสงสว่างวาบ

            “พี่ม่อน ผมถามหน่อยสิ วันนั้นคนที่นั่งหน้าเวที ที่พี่บอกว่าอยู่คณะเดียวกัน ชื่อคีรีใช่ไหม”

            “ใช่” พี่ม่อนวางอุปกรณ์ลงบนโต๊ะ

            “คนที่ชื่อคีรีขับรถอะไร พี่ม่อนรู้หรือเปล่า”

            “ทำไมจะไม่รู้ เด่นขนาดนั้น”

            “รถอะไรพี่”

            “บีเอ็มสปอร์ตสีแดง”

            “ไอ้เหี้ย! กูว่าแล้ว”

            “อ้าว! ไอ้ผ้าใบ ดูมันพูดกับพี่กับเชื้อ” ผมโดนพี่ม่อนเขกหัวดันโป๊ก

            “โทษทีพี่” ผมรีบยกมือไหว้ “ว่าแต่พี่ติดเชื้ออะไรมาวะ ผมต้องระวังตัวหรือเปล่า”

            “เอดส์มั้ง ไอ้เหี้ย!” คราวนี้พี่ม่อนยกเท้าใส่ผม เลยต้องรีบหลบให้พ้นรัศมี

            “ว่าแต่มึงถามทำไมวะ”

            “อยากให้ถูกตัว ผมไม่อยากตีหัวผิดคน”

            “มึงมีเรื่องกับคีรีเหรอ แต่กูขอเตือนว่าอย่าดีกว่า”

            “ทำไม มันเลวมากเหรอ”

            “เฮ้ย! ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่มันไม่ยอมคนเหมือนกัน เพื่อนเยอะ เงินก็เยอะ ไม่เห็นทางที่มึงจะสู้ชนะ”

            “ผมพูดไปงั้นเองพี่ ไม่ใช่พวกหาเรื่องต่อยตีกับใครเขาเสียหน่อย แค่ผิดใจกันเรื่องรถน่ะ ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว”

            “อืม กูก็เตือนไว้ จะทำอะไรก็คิดดีๆ เรื่องร้อนหัวบางเรื่อง ปล่อยวางได้ก็ปล่อยไปเถอะวะ ระหว่างแค่ร้อนหัวกับต้องเจ็บตัว มันแลกกันไม่คุ้ม”

            “เข้าใจแล้ว กลัวหาคนมาเล่นกีตาร์แทนไม่ทันก็บอกเถอะ”

            “ฮ่าๆๆ” พี่ม่อนเลิกสนใจผม หันไปเตรียมตัวขึ้นแสดงบ้าง ผมไม่เห็นนายคีรีมาร้านหลายวันแล้ว เห็นทีต้องแวะไปหาเสียหน่อย ความพยาบาทเป็นของหวาน ผมคนหนึ่งละที่ชอบกิน

 

            ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่คณะบริหารธุรกิจ ที่จอดรถมีมากมายหลายจุด แต่ไม่มากไปกว่าความพยายามของผม ในที่สุดผมก็เจอเป้าหมาย โชคดีที่เวลานี้ปลอดคน

            ผมจอดเลยออกไปไกลหน่อย ก่อนจะเดินย้อนกลับมา เอียงคอมองรถซ้ายทีขวาที เดินวนอีกหนึ่งรอบ เพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสม คิดถึงกันบ้างหรือเปล่าไอ้คุณชาย รับรองว่าเห็นนี่แล้วจะคิดถึงผมมากกว่าเดิม     

 

- คีรี -

                “ฮ่าๆ” ผมหัวเราะลั่น เมื่อเห็นสภาพรถของตัวเอง แปลกที่ไม่รู้สึกโมโหแม้แต่น้อย หนักไปทางขำมากกว่า นับถือหัวคิดสร้างสรรค์ของมันจริงๆ

            “กวนตีนฉิบหาย!” ผมมองตัวหนังสือที่อยู่บนกระโปรงหน้ารถ มันถูกทำขึ้นโดยการวางเหรียญยี่สิบห้าสตางค์และห้าสิบสตางค์เรียงกันเป็นตัวอักษรสองแถว อ่านได้ว่า ขอบใจ คืนเงินทอน  เหรียญถูกเรียงกันอย่างบรรจง จนเต็มพื้นที่  ผมลองยกออกเหรียญหนึ่ง ดีที่มันไม่ติดกาวสองหน้าเหมือนทุกครั้ง

            “ยังหัวเราะออกอีกเหรอ” ผมหันไปมองจอมทัพที่เดินตามมา

                “หรือมึงไม่ขำ”

            “ขำ แต่กูปวดหัวแทนมึงมากกว่า ขืนพวกมึงยังแลกกันคนละหมัดอยู่แบบนี้ กูว่าไม่จบง่ายๆ เสียเวลาเปล่าๆ”

            ผมไม่คิดว่ามันเสียเวลาตรงไหน เรื่องเหรียญพวกนี้ก็เหมือนกัน พนักงานที่โรงแรมเป็นคนจัดการหามาให้ ผมแค่บอกว่าจะเอาเท่าไหร่ แล้วนั่งหาอะไรกินรอ ไม่ได้ต้องวิ่งหาเอง

            ผมเริ่มหยิบเหรียญออกจากรถ จะกวาดทีเดียว บางเหรียญก็เหมือนผ่านสงครามโลกมา เป็นรอยบิ่นใหญ่ๆ ดูคม ผมกลัวว่ามันจะขูดรถเป็นรอย

            “ป่านนี้มันขำมึงตายแล้วมั้ง หรือแอบดูอยู่วะ” เพื่อนผมหันไปมองรอบๆ แต่ไม่เห็นใครที่ดูผิดปกติ   

“กูว่าไม่อยู่ ใครจะไปทนยืนรอวะ ไม่รู้ว่ากูจะมาเมื่อไหร่”

            “ก็จริง” จอมทัพเลิกมองหา หันกลับมาช่วยผมเก็บเหรียญออกจากรถแทน

            “คืนนี้มึงยังไม่มีนัดใช่ไหม กูอยากไปร้านบลูมูน”

            “กูรู้ตั้งแต่เห็นเหรียญบนรถมึงแล้วว่ามึงต้องไป ระวังเถอะ เดี๋ยวจะกลายเป็นติดใจเข้า”

            “หึๆ”

            “หัวเราะ แล้วกูจะคอยดู”

 

            “รู้ว่าเป็นมึงแล้วชัวร์ กูมั่นใจ จ้องมาทีเหมือนอยากปาระเบิดใส่” จอมทัพเอนตัวมาคุยกับผม

            “ก็น่าจะรู้ ไม่อย่างนั้นจะตามหารถกูเจอเหรอ” ผมสบตากับดวงตาวาววับที่มองมา ไม่มีใครยอมหลบก่อน จนนักร้องตัวเล็กสะกิดเพื่อนให้ดูกระดาษอะไรสักอย่าง ซึ่งผมเดาว่าเป็นกระดาษขอเพลงถึงละสายตาไป

            “มึงว่าจะกล้าลงมาหามึงไหม”

            “ใครจะรู้ แต่ยังไงเดี๋ยวก็ได้เจอกัน” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์

            “กูแม่งเชื่อมึงเลย” จอมทัพส่ายหัวด้วยความระอา ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ไม่ซักถามอะไรผมอีก

 

            “เหี้ยเอ๊ย!” เสียงสบถดังลั่น ผมยืนกอดอกฟังอยู่เงียบๆ อยากรู้ว่าเจ้าของเสียงจะทำอย่างไร

            “เราบอกผ้าใบแล้วว่าอย่าทำ” คนตัวเล็กกว่าพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ

            “นึกว่ากูไม่กล้าทำอะไรรถหรือไงวะ”

            “ผ้าใบจะทำอะไร!  ไม่ได้นะ” เสียงเพื่อนมันร้องห้ามเสียงหลง

            “รู้แล้วๆ เชี่ยแม่ง!” เสียงบางอย่างหล่นกระทบพื้นดังตุ๊บ ผมเดาว่ามันคงเตะอะไรสักอย่างแถวนั้น

            “ผ้าใบไปรอเราที่รถไหม เดี๋ยวเราจะไปขอให้เขามาย้ายรถให้ จะได้ไม่ต้องเจอหน้ากัน”

            “ซอลไม่ต้อง กูไปเอง”

            “ผ้าใบ” น้ำเสียงกลัวและกังวล ทำให้เสียงถอนใจหนักๆ ดังขึ้น

            “งั้นก็ขึ้นรถเมล์กลับ  เดี๋ยวกูไปส่งซอลที่ห้องก่อน ไม่ต้องไปขอร้องมันให้เสียเวลา”

            “ดีๆ พรุ่งนี้ค่อยมาเอารถนะ”

            “อืม”

            “แล้วก็พอแล้วได้ไหม ให้เขาได้เอาคืนจะได้ไม่มีเรื่องกันอีก” ผมไม่ได้ยินเสียงอีกคนตอบ ความเงียบเกิดขึ้นพักหนึ่ง

            “นะ เราขอเถอะ”

            “เออๆ”

            “อยากให้ช่วยอะไรไหม” ผมเดินออกจากจุดที่ยืนอยู่ หลังป้ายหาเสียงอันใหญ่ที่ถูกติดตั้งไว้ข้างทาง

            “ไอ้...” ผมเห็นเพื่อนของมันดึงแขนเอาไว้

            “คือรถของพวกผมจอดอยู่ข้างในครับ เอาออกไม่ได้ จะรบกวนให้ช่วยย้ายรถให้หน่อยได้ไหมครับ”

            “รู้เหรอว่าผมเป็นเจ้าของรถคันนี้ อาจไม่ใช่ก็ได้” ผมสบตากับดวงตาวาวโรจน์ที่มองมาอย่างท้าทาย

            “ซอล ไม่ใช่รถของหมอนี่ เชื่อกู ของหมาที่ไหนไม่รู้”

            “ผ้าใบ อย่ามีเรื่องเลยนะ เดี๋ยวถึงหูพี่เบญ” เสียงกระซิบเบาๆ แต่ผมจับความได้ ผมไม่รู้ว่าพี่เบญเป็นใคร แต่เหมือนว่ามันจะได้ผลดี

            “ย้ายรถด้วย” เสียงห้วนสั้นดังแบบขอไปที ผมขยับตัวพิงรถ ยกมือขึ้นกอดอกหลวมๆ ด้วยท่าทางสบายๆ

            “สั่งเหรอ”

            “...”

            “ผ้าใบ” สายตาของคนตัวเล็กขอร้องเพื่อน

            “ช่วยย้ายรถด้วย” เสียงที่พูดดีขึ้นมาบ้าง แต่ยังห้วนเหมือนเดิม

            “พูดกับใคร”

            “ไอ้...” ผมเห็นมันกำมือแน่น “ซอลกลับเถอะ” มันลากแขนเพื่อนเดินลิ่วจนคนตัวเล็กกว่าต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเพื่อให้ทัน ไม่ก้มหัวให้ใครสินะ

            ผมกดรีโมตเปิดประตูรถ ก้าวขึ้นไปนั่งฉายไฟหน้าตรงไปยังคนที่เดินอยู่ กะพริบไฟซ้ำๆ เป็นสัญญาณก่อนลดไฟลง ผมเห็นมันชะงัก ยอมหยุดเดินและหันกลับมามอง

            ผมสตาร์ทรถขับออกไปช้าๆ ชะลอเมื่อถึงร่างสูง ลดกระจกไฟฟ้าลง ส่งยิ้มอ่อนโยนให้แก่คนที่ยืนอยู่ “กลับดีๆ นะครับซอล”

            ผมได้ยินเสียงสบถดังลั่นตามหลัง ไม่ต้องมองก็รู้ว่าปฏิกิริยาของคู่อริผมเป็นอย่างไร หึๆ อย่าโมโหตายไปก่อนล่ะ

ผมกำลังวนรถไปจอดในลานจอดรถ มาคิดดูอีกที การถูกมดกัดก็ไม่ได้น่ารำคาญเสมอไป ถึงจะเจ็บๆ คันๆ บ้าง แต่ก็ทำให้ชีวิตมีรสชาติดี ผมชักอย่างรู้แล้วสิว่า...มดอย่างไอ้หมอนี่จะแสบได้แค่ไหน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น