8

ตอนที่ 8 จูบแรก


ตอนที่ 8 จูบแรก

หากถามฟรอสว่ามีเรื่องไหนที่ทำให้เขาตะลึงงันได้ เขาก็คงตอบเต็มเสียงว่าเรื่องของ...เพ้นท์ เพราพนา

เรื่องแรกคือการที่เขานอนหลับเพียงเพราะมีเด็กคนนี้อยู่ไม่ห่างตัว

และเรื่องที่สองคือ...เด็กคนนี้เพิ่งจะมีจูบแรก

จูบแรกเนี่ยนะ?!

โอเค ชายหนุ่มก็รู้จากปากของเด็กเองว่ามีคนที่แอบชอบอยู่ และได้ข้อมูลเบื้องต้นมาจากหลานรักบ้างไม่มากไม่น้อย แต่เขาไม่คิดจริงๆ ว่าเด็กคนนี้ไม่เคยสัมผัสหรือแตะต้องใครในแง่นั้นมาก่อน

ฟรอสยอมรับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วว่าเพื่อนของหลานชายคนนี้หน้าตาดี

ไม่ว่าจะเป็นรูปหน้าแบบสมัยนิยม ดวงตาโตแต่คม คิ้วสวยได้รูป จมูกน่ารัก ริมฝีปากสีสวย ยิ่งทำผมสีนี้ก็ยิ่งขับให้ใบหน้าโดดเด่นจนยากจะละสายตาได้ง่ายๆ รูปร่างก็ผอมสูง เรียกได้ว่าแค่จับแต่งตัวแต่งหน้าแล้วถ่ายภาพ คนเขายังเชื่อเลยว่านี่เป็นนายแบบอนาคตไกล ซึ่งการมีหน้าตาแบบนี้ไม่แปลก ยิ่งได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของเพราเพลิงก็ยิ่งไม่แปลก

ไม่ใช่ว่าครอบครัวของเขาตัดสินคนที่หน้าตา แต่ต้องยอมรับว่าครอบครัวของฟรอสมีหน้าตาโดดเด่นกันไปคนละแบบ และมักจะดึงดูดคนแบบเดียวกันมาอยู่รอบตัว เพลิงเองก็เหมือนกัน ตั้งแต่เด็กจนโต อาหนุ่มได้เห็นเพื่อนของหลานหลายคนและแทบทุกคนก็มักจะมีเสน่ห์เฉพาะตัว เขาจึงไม่แปลกใจที่เพื่อนสนิทเพลิงจะเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีขนาดนี้ แต่มันแปลกตรงที่คนหน้าตาดีเช่นนี้ไม่มีประสบการณ์แม้แต่จูบแรกเนี่ยนะ

แล้วนี่อายุเท่าเพลิงใช่มั้ย 20 แล้วสินะ ไม่เคยมีได้ยังไง หลานเขาเสียซิงตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว

ตอนนี้ชายหนุ่มจึงย้อนถามตัวเองว่าอย่างเพ้นท์ผิดปกติ หรือหลานชายเขาเองที่โตไวเกินไป

“ฮึก...ฮือ จูบแรก เอาคืนมา...เอาของเพ้นท์คืนมา...ฮืออออ”

หากการร้องไห้ของเด็กคนนี้เปลี่ยนความรู้ที่ฟรอสมีต่อเด็กวัยรุ่นไปชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

เด็กใสซื่อยังมีอยู่บนโลกใบนี้ด้วย

เขากำลังตัดสินใจว่าไม่ใช่ว่าเด็กคนนี้ไร้เดียงสา แต่น่าจะหลานๆ เขากร้านโลกเองมากกว่า

เวลานี้ ผู้ชายที่จัดการได้แทบทุกเรื่องในชีวิตจึงกำลังยืนมองเด็กน้อยที่เงยหน้าร้องไห้โฮ ปาดมือซ้ายขวาไปบนแก้มเปียกน้ำตา ดูน่าสงสารเสียจนคิดหนักว่าควรจะทำเช่นไรดี

“เฮ้อ อาขอโทษ ไม่เอา ไม่ต้องร้องแล้ว”

“ฮึก ฮือออออ”

ฟรอสก้าวเข้าไปหาจนชิดตัว เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงน่าฟัง แต่สิ่งที่เพ้นท์ตอบกลับมาคือเสียงร้องไห้เหมือนคิดว่าโลกกำลังจะแตก

เขาลังเลนิด แต่ก็นิดเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะยื่นมือไปแตะไหล่ที่สั่นระริก แล้วก็ดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาในอ้อมกอดอย่างนุ่มนวล

“ไม่เอา ไม่ร้องนะคะเด็กดี ไม่ต้องร้องแล้ว อาขอโทษ”

“ฮึก ฮือออ ฮื่อออออ”

อย่างน้อยเพ้นท์ก็ไม่สะบัดออกไปจากอ้อมกอดของเขา จนกระชับตัวเด็กแน่นกว่าเดิม มือหนึ่งโอบเอวมิด อีกมือลูบไหล่ลูบหลังอย่างปลอบประโลม คิดเสียว่ากำลังปลอบเจ้าพรรณตอนห้าขวบอยู่ ปากก็เอ่ยน้ำเสียงน่าฟังไปด้วย

“อาผิดไปแล้วคนดี อย่าร้องเลย ตาแดงแบบนี้ไม่สวยนะคะ”

“ฮึก...ผม ไม่สวย...อยู่แล้ว...ฮือออ”

แม้จะร้องไห้จนน่าสงสาร แต่ก็ยังมีแรงเถียงเขาได้ จนฟรอสอมยิ้ม ดันหัวให้ซบบ่าดีๆ

“ใครว่าไม่สวยล่ะ ตาก็สวย จมูกก็สวย ปากก็สวย สวยไปหมดเลย ดังนั้นหยุดร้องนะคนดี ตาสวยๆ ช้ำหมด จมูกสวยๆ แดงไปหมดแล้ว ปากก็เหมือนกันเลิกกัดปากนะ ช้ำหมดแล้ว” ฟรอสปลอบไปก็โยกตัวเด็กไปด้วย ไม่สนใจว่าน้ำมูกน้ำตาจะเลอะเสื้อยืดที่สวมอยู่

ถ้าเขากลัวน้ำมูกน้ำตาเด็กคงเลี้ยงหลานมาไม่ได้สามคนหรอก

หากเด็กที่ว่าก็ยังงอแง

“ผมไม่สวย...ไม่ ฮือ เขาไม่เคยบอกว่าผม...ฮึก อึ้กๆ สวย”

“เขาก็ส่วนเขาไงคะเด็กน้อย อามองว่าสวยก็แล้วกัน”

ฟรอสว่าเจ้าพรรณไม่เคยงอแงเรื่องหน้าตาตัวเองนะ แต่ไม่เป็นไร ยังไงก็ไม่ได้โกหก เด็กคนนี้ก็มีครบทุกอย่างจริงๆ

หมับ!

พอเขาเอ่ยปากชม กระซิบปลอบอยู่ข้างหู เด็กน้อยที่ว่าก็กอดแขนเขาแน่น พยายามเบียดตัวเข้ามาในอ้อมกอดเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ไร้ที่พึ่งพิง จนอดไม่ได้ที่จะกระชับแนบตัว สัมผัสอุณหภูมิที่สูงกว่าคนทั่วไป แล้วฟรอสก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง...ชอบใจ

คนอื่นอาจจะคิดว่าการปลอบเด็กมันน่ารำคาญ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา ยิ่งเป็นเด็กน่าเอ็นดูที่ยังใจเย็นเป็นน้ำตอนที่โดนด่า แต่กลับร้อนเป็นไฟตอนที่มีคนว่าเพื่อน แถมนิ่งได้ตั้งนาน โดนไปจุ๊บเดียว ปากแตะปากก็ร้องไห้โยเยให้ปลอบโยนอยู่แบบนี้

นี่ฟรอสกำลังสงสัยจริงๆ ว่าเพราะเขาชอบปลอบเด็ก แต่หลานเขามันแก่แดดจนหาโมเม้นต์แบบนี้ไม่ได้ตั้งแต่พวกมันอายุเกินสิบขวบ หรือจริงๆ เขาชอบปลอบเด็กโตที่มางอแงใส่กันแน่ หรืออาจจะแค่อยากปลอบ..เจ้าเด็กนี่

“ผม...ฮึก..เพ้นท์อยากให้เขา...เอาจูบ...ฮึก ฮือ แรกไป แต่เขา...ไม่เคยสน ไม่เคยมอง...เพ้นท์เลย”

“โอ๋ๆ แต่อามองเพ้นท์นะคะ นี่ไง”

คนพูดว่าแล้วก็เลื่อนสองมือไปดันหน้าเปียกน้ำตาให้เงยขึ้น มองใบหน้าที่มอมแมมเสียจนหมดหล่อหมดสวย แต่ฟรอสก็ยังยิ้ม มองไปยังดวงตาแดงเรื่อที่เหมือนเด็กกำลังฟ้องว่าโดนแกล้ง จนนึกอยากรู้จริงๆ ว่าคนที่เพ้นท์ชอบมีอะไรดีนักหนา ถึงทำให้เด็กน้อยปักใจขนาดนี้ แล้ว...

อยากให้จูบแรกกับคนที่ชอบ เด็กน้อยชะมัด แต่ก็...

“น่าเอ็นดูชะมัด”

“เพ้นท์ไม่...ไม่ได้...”

“ชู่ววว ก็อาบอกอยู่นี่ไงคะว่าเพ้นท์น่าเอ็นดู ไม่ต้องสนใจคนอื่นพูด สนใจที่อาพูดก็พอเนอะ”

หงึกๆ

เด็กแบบนี้มาเป็นเพื่อนเจ้าเพลิงได้ยังไงวะ

นายพัทธ์ธีระชักรู้สึกผิดต่อหลานที่เอามาเทียบกับคนในอ้อมกอดมากขึ้นทุกที เพราะยิ่งเทียบมากเท่าไหร่ เขาก็ยังรู้สึกว่าเลี้ยงหลานให้แก่แดดเกินไปเท่านั้น ทำไมไม่มีหลานสักคนโตมาน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเจ้าเด็กในอ้อมกอดบ้างก็ไม่รู้ ยิ่งตอนที่เพ้นท์พยักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วเอามือปาดเช็ดน้ำตาป้อยๆ ด้วยแล้ว

“อย่าขยี้เด็กน้อย มา อาเช็ดให้”

ฟรอสดึงมือที่กำลังขยี้ตาอย่างอ่อนโยน แล้วก็เช็ดคราบน้ำตาด้วยปลายนิ้วให้อย่างใจเย็นและนุ่มนวล มองคนที่ยังปล่อยน้ำตาเป็นสายแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม

“อาขอโทษนะ อาไม่รู้ว่าเป็นจูบแรกของเพ้นท์ อาขอโทษนะคะที่ชิงมันมา”

“ฮึก...ไม่...ไม่ครับ เพ้นท์...ผมบ้าเอง...ก็แค่จูบ...ก็แค่...”

คนฟังส่ายหน้าแรงๆ จนต้องประคองแก้มเอาไว้ เพราะร้องไห้หนักขนาดนี้ ส่ายหัวแรงๆ เดี๋ยวก็มึนไปหมด ตาคมก็มองคนที่พยายามบอกว่าไม่เป็นไรอย่างปลอบตัวเองว่าก็แค่...จูบแรก

“ผมบ้าเอง...มันไม่มี...ความหมาย...หรอก”

“เราไม่บ้าหรอก และอาเชื่อว่ามันมีความหมายต่อเพ้นท์ อาถึงขอโทษไง อาผิดไปแล้ว ยกโทษให้อานะคะ”

เขาอาจจะลืมความรู้สึกของจูบแรกไปนานจนเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนไปแล้ว แต่ฟรอสจะไม่เอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง ถ้าเรื่องนี้สำคัญต่อเด็กคนนี้ก็คือเรื่องสำคัญ ไม่ว่าใครจะมองว่ายังไง ถ้าหัวใจของเด็กคนนี้บอกว่าสำคัญ เขาในฐานะคนที่ช่วงชิงมันมาก็ต้องขอโทษให้ถูกต้อง

เรื่องบางเรื่องตลกสำหรับบางคน แต่ก็จริงจังต่อบางคนเช่นกัน

ฟรอสจึงจะไม่ตัดสินว่าสิ่งที่เด็กคนนี้คิดเป็นเรื่องไร้สาระ

พอเขาพูดแบบนั้น คนที่เหมือนจะหยุดร้องแล้วก็น้ำตาปริ่มอีกครั้ง จนร่างสูงโน้มหน้าเข้าไปจนหน้าผากแนบชิดกัน มองเข้าไปในดวงตาชุ่มน้ำ

“อาขอโทษนะ ยกโทษให้อาได้มั้ย หืม?”

เด็กน้อยก็มองตากลับ แล้วก็กดหน้าช้าๆ

“ครับ ผมยกโทษให้”

แต่คนที่ยกโทษให้ก็ยังสะอื้นเบาๆ จนต้องลูบไหล่ปลอบต่อด้วย...รอยยิ้มกว้าง

น่าแปลก ทุกครั้งที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเมียเก่าจะทำให้ฟรอสหงุดหงิดเป็นวันๆ แต่ครั้งนี้ นอกจากจะไม่เสียอารมณ์แล้ว เขากลับอารมณ์ดีเป็นบ้าเลยว่ะ

 

น่าขายหน้าที่สุด!

น่าอับอายที่สุด!

อยากเป็นขอมดำดินหนีโว้ย!

หากความเป็นจริง คนที่คิดประโยคเหล่านี้ไม่ได้กำลังดำดินโผล่ไปไหน แต่กำลังยืนอยู่หน้ากระทะพร้อมกับโยนเครื่องปรุงลงกระทะอย่างเมามัน จนเสียงผัดซู่ซ่าดังไปทั่วทั้งห้องครัว ไฟลุกพรึ่บเสียนึกว่าจะเผาห้องครัวเขา เท่านั้นไม่พอ กลิ่นหอมฉุนก็คลุ้งไปทั่วจนน่าจะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายหลบลี้หนีภัย แต่ก็ไม่ใช่เจ้าของบ้านอีกนั่นแหละ

เจ้าของบ้านคนเดียวกับที่ไอ้เพ้นท์ซุกหน้ากับอกให้เขาปลอบอยู่นานสองนาน!

ตอนนี้เพ้นท์ยังรู้เลยว่าที่ตาแสบบวมขนาดนี้ไม่ใช่เพราะพริกที่เทลงไปในผัดหน่อไม้ แต่เพราะร้องไห้โยเยให้อาปลอบต่างหาก!

ก่อนหน้ามันช็อกจนพูดไม่ออก สติก็เลยไม่อยู่กับร่องกับรอย พออาการดีขึ้น น้ำตาเหือด น้ำมูกแห้ง สติก็กลับมาเพื่อบอกกับเจ้าของร่างว่าทำเรื่องน่าอับอายไปมากมายแค่ไหน!

เรื่องของเมียเก่าอาเหมือนเป็นอดีตที่อยู่ห่างไกล เขาลืมความรู้สึกโกรธจัดที่ถูกด่าไปหมดแล้วด้วยซ้ำ ผิดกับตอนที่ปากอุ่นๆ นุ่มๆ แตะลงบนกลีบปากของเขาแล้วเพิ่มความหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นความรู้สึกที่ชัดมากเสียจนสมองยังจำจดช่วงเวลานั้นได้อย่างแม่นยำ

ดวงตาของอาอยู่ห่างนิดเดียว เห็นแม้แต่ขนตายาวๆ ของอา เห็นจมูกที่โด่งจนน่าอิจฉา ทุกรายละเอียดบนเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วแวบเดียว แต่ติดตรึงยากจะลบมันทิ้งไป

เพ้นท์เองก็เคยเฝ้าฝันว่าการจูบกับใครสักคนให้ความรู้สึกยังไง แต่ก็เขินอายเกินกว่าที่จะจินตนาการตอนที่จูบกับพี่กัส ได้แต่อาศัยฟังประสบการณ์จากเพื่อนที่บอกว่ารู้สึกดี ซึ่งไอ้เพลิงก็ลงลึกไปอีกว่ายิ่งดูดปากแลกลิ้นก็ยิ่งละลาย แต่เขาไม่คิดไปถึงขั้นนั้น แค่ได้จูบกับคนที่ชอบก็พอ แต่แล้ว ความคิดนั้นก็พังทลายอย่างไม่เหลือชิ้นดีตอนที่ปากสัมผัสปาก

เขาไม่รู้หรอกว่าจูบกับคนที่ชอบจะรู้สึกดีแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือตอนอาฟรอสจูบ...ทั้งอุ่นทั้งนุ่มจนน่าใจหาย

ส่วนหลังจากนั้น เพ้นท์ก็คิดไม่ออกเหมือนกัน น้ำตามันมาจากไหนก็ไม่รู้เยอะแยะ ทะลักทลายเสียนึกว่าหมาที่บ้านตาย แต่จริงๆ แค่ถูกอาจูบ ตอนนี้เพ้นท์เองยังคิดเลยว่ามันดูไร้สาระน่าดูที่ร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ ถ้าอาฟรอสจะหัวเราะเยาะก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่อาไม่ทำ

ไม่ใช่แค่อาฟรอสไม่หัวเราะเยาะ อายังให้ความสำคัญสิ่งที่คนอื่นอาจจะมองว่าเพ้อเจ้อ

เพ้นท์ไม่แน่ใจว่าเขาพูดอะไรกับอาบ้าง แต่แน่ใจสิ่งที่อาพูดกับเขา

น้ำเสียงนุ่มๆ ที่กระซิบข้างหู น้ำคำน่ารักที่พูดคะขาใส่ คำขอร้องขอให้ยกโทษให้ และอาก็บอกว่า...สิ่งที่เขาคิดนั้นสำคัญ

ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมไอ้เพลิงยกให้อาฟรอสเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก

ใช่ อาฟรอสน่ะดี แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่อาย!

พอร้องไห้จนหนำใจ เพ้นท์ก็เกิดปัญหาที่ว่าไม่รู้จะผละจากอ้อมอกอาตอนไหน อายเกินกว่าที่จะเงยหน้าบอกว่าอาว่าโอเคแล้วครับ ได้แต่ยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ซึมซับความรู้สึกที่ว่าอาตัวใหญ่ อกกว้าง แขนขายาวจนก้อนเนื้อในอกมันสั่นหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ได้อาฟรอสนั่นแหละที่เป็นฝ่ายคลายอ้อมกอด แล้วว่าขำๆ

‘ไปล้างหน้าล้างตาไป’

พออาหาทางออกให้ก็รีบตะครุบเอาไว้ พยักหน้าแรงๆ แล้วโกยอ้าวหายเข้าห้องน้ำไปปรับอารมณ์ พอออกมาก็กระดากเกินกว่าจะเดินไปเผชิญหน้ากับอาตรงๆ เพราพนาเลยทำในสิ่งที่ถนัดที่สุด นั่นคือการทำกับข้าว

ตอนนี้เลยผัดๆ ทอดๆ มือเป็นระวิง แต่แผ่นหลังที่ถูกมองนี่ร้อนผ่าวเสียยิ่งกว่าด้านหน้าที่เจอไฟ

“เพ้นท์อายุ 20 ใช่มั้ย”

“ครับ เท่าไอ้เพลิง”

พอได้ยินเสียงอามาจากอีกด้านของเคาน์เตอร์ครัว เพ้นท์ก็พยักหน้าหงึกๆ ตอบคำอย่างว่าง่าย

“ไม่นะ ถ้าเทียบกันอาคิดว่าเพ้นท์น่าจะสักสองขวบ”

คนฟังชะงักมือที่ตักผัดหน่อไม้ลงจาน แต่อย่างว่า หายช็อกแล้วสติมา เขาก็เลยว่าหน้ามุ่ยอย่างรู้ทัน

“ก็ถ้าเอาประสบการณ์มาเทียบ ผมสู้มันไม่ได้ก็จริง แต่ผมน่ะ 20 ส่วนไอ้เพลิงน่ะ 200”

อาฟรอสรู้แล้วไงว่าเขาไม่ร้องแล้ว อาก็เลยแหย่

“หลานอาก็ไม่ได้แก่ประสบการณ์ขนาดนั้น”

“ขนาดนั้นเลยเหอะอา”

“งั้นอย่างอาล่ะ”

เออ ถ้าไอ้เพลิง 200 ปี งั้นอย่างอาฟรอส...

“สองพัน!”

เพ้นท์ตอบอย่างมั่นใจ เพราะถึงเขาจะไม่มีประสบการณ์ตรง แต่ผู้ชายที่สามารถกอดปลอบ พูดคะขานี่ต้องร้ายกาจขนาดไหนวะ ผ่านประสบการณ์มาเยอะแค่ไหนวะถึงทำเรื่องน่าอายแบบเป็นธรรมชาติได้ ซึ่งคำตอบนี้ทำให้อาฟรอสหัวเราะเสียงดัง

“นี่ไม่ได้ว่าอาแก่อายุใช่มั้ย”

“เปล่าครับ”

“งั้นขอบคุณสำหรับคำชม”

“ผมเปล่าชมนะครับอา” เพ้นท์แย้งอย่างไม่จริงจังนัก เริ่มสบายใจขึ้นทีละน้อยที่อาฟรอสกลับมาพูดจาปกติ ไม่ได้จี้จุดอะไรเขา มือก็ปิดไฟ เอากระทะไปวางที่ซิงค์ล้างจาน แล้ววกกลับมาดูแกงจืดว่าได้ที่หรือยัง

“ก็เมื่อกี้เพิ่งชมอาว่ามากประสบการณ์ สองพันเลยเหรอ”

“สองหมื่นก็ได้ ผมให้เลย” เพ้นท์ประชด

“งั้นอาจะบอกอะไรบางอย่างในฐานะที่มีประสบการณ์สองหมื่นให้เอามั้ย”

คนฟังหันกลับไปมองหน้าอาฟรอสจนได้ อยากรู้ว่าอาจะพูดอะไร เพราะหลายครั้งแล้วที่คำพูดของอาช่วยเขาเอาไว้ จนมองเข้าไปในดวงตาคู่คมคู่นั้น เห็นแววตาจริงจัง แล้วอาก็ยิ้มจริงจังอีก ตอนที่บอกเสียงจริงจังว่า...

“อาจูบเก่งนะ”

“ฮะ?!”

ไม่ใช่แค่รอยยิ้มของอาที่จริงจัง จะน้ำเสียงจะแววตาก็...

ไม่ๆๆๆ! นี่แหย่กูเห็นๆ

พอเพ้นท์มองตาอาฟรอสดีๆ ก็พบว่าผู้ใหญ่บางคนกำลังสนุกจนได้แต่หันหน้าไปมองอื่นทั้งหน้ามุ่ยๆ

คนบ้าอะไรวะมั่นหน้าขนาดนี้ เขาไม่แปลกใจเลยที่ไอ้เพลิงมั่นใจนักหนาว่าขย่มเก่ง ดูคนที่สอนมันมาสิ นี่ดีแค่ไหนแล้วที่อาฟรอสไม่บอกว่าทำเก่ง

“อ้อ แล้วอาก็แทงเก่ง...”

“อาฟรอส!!!”

เท่านั้นแหละ เด็กน้อยก็หน้าร้อนซู่ ร้องเสียงดัง หันขวับกลับไปมองหน้าอาหนุ่มแทบไม่ทัน แล้วพบว่ารอยยิ้มจริงจังเปลี่ยนเป็นสนุกสนาน รู้หรอกว่าโดนแหย่ แต่สำหรับคนที่มีประสบการณ์อ่อนด้อยกว่าเด็กสองขวบนี่หน้าแทบไหม้

“ดูทำหน้าเข้า อาหมายถึงแทงสนุ๊ก คิดลึก”

อาฟรอสว่าเข้าให้ แต่คนที่พาลคิดไปไกลก็ยิ่งหน้างอ แบะปากอย่างเห็นได้ชัด

“ก็ถ้าอาเป็นเพื่อนกับไอ้เพลิงมาสามปี อาก็จะคิดตื้นๆ ไม่เป็นเหมือนกันแหละ”

“งั้นแปลว่าตอนนี้เพ้นท์กำลังคิดว่าอาตอนแทงเป็นยังไงสินะ”

“...”

คนทางนี้หน้าร้อนจนควันลอยกรุ่นแล้ว ยิ่งอาขยี้ ในหัวก็ยิ่งเห็นภาพที่ไม่ควรเห็น...ผู้ชายคนนี้ตัวโต แขนขายาว เวลาอยู่บนเตียงแล้วกอดใคร อีกฝ่ายคงแทบจมไปกับอก...

ภาพมันคงมามากกว่านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะอาฟรอสต่อคำ

“อ้อ อาหมายถึงลีลาตอนอาแทงสนุ๊ก”

เพ้นท์ไม่เคยคิดว่าเขาจะทำหน้างอใส่ใครได้ แต่เจออาฟรอสไม่ทันไร เขาไม่กล้านับจริงๆ ว่ามุ่ยหน้าใส่อาเพื่อนไปกี่ครั้งแล้ว

“อาแกล้งผมสนุกมากมั้ย”

“ก็ไม่สนุกเท่าไหร่หรอก”

งั้นแกล้งทำบ้าอะไรวะ!

เพ้นท์พึมพำในใจ ตอนที่คว้าทัพพีมาตักแกงจืดใส่ชาม แต่เป็นฝ่ายชะงักเสียเอง

“แต่ถ้าทำแล้วเด็กบางคนอารมณ์ดีขึ้น อาจะยอมโดนตราหน้าว่าเป็นคนขี้แกล้งก็ได้นะ”

“อา...”

เขาหันไปสบตาอาฟรอสอีกครั้ง แต่เจอเพียงรอยยิ้มอุ่นๆ ที่บอกด้วยเสียงนุ่มๆ

“ตักข้าวสิ อาหิวมากแล้ว”

ที่อาแกล้งเขาทั้งหมดนี่เพื่อทำให้...สบายใจ

คนฟังจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากเดินไปตักข้าวให้ ยกกับข้าวไปเรียงบนโต๊ะ แต่ในจังหวะที่เดินผ่านอา คนขี้แยก็พึมพำเสียงเบาแสนเบา

“ขอบคุณนะครับอา”

ไม่รู้หรอกว่าขอบคุณเรื่องอะไร แต่ก็รู้สึกดีตอนที่อาตอบกลับมา

“ไม่เป็นไรเด็กน้อย”

เพ้นท์พบว่าเขาชอบเป็นเด็กน้อยของอาฟรอสจริงๆ นะ

 

“เด็กอะไรใจร้ายใจดำ”

“ขอโทษครับอา ผมก็บอกว่าขอโทษแล้วไง”

“มันสายไปแล้วละ”

เพราพนาไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไงดี เขาขอโทษอาฟรอสมาหลายครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนอาจะไม่ยกโทษให้ ซึ่งไม่ว่าจะคิดยังไง อาก็ควรจะใจอ่อนยกโทษให้เขาได้แล้ว

เรื่องอะไรน่ะเหรอ

“เพราะอากินไปหมดจานแล้ว”

เพ้นท์ลืมใส่เนื้อสัตว์ลงไปในผัดเผ็ดหน่อไม้!

ส่วนที่ไม่รู้จะทำหน้ายังไงก็น่าจะเป็น...ไม่รู้จะเหนื่อยใจหรือระอาใจดี

ไอ้ตอนทำก็ไม่ทันคิดเพราะว่าอายอยู่ พอมายืนหน้าเตา อะไรที่เตรียมไว้ก็เทลงกระทะ อะไรที่ยังอยู่ในตู้เย็นก็ไม่หยิบออกมา เหม่อๆ ผัดๆ คิดเรื่องที่เกิดขึ้น พอทำเสร็จยกมาให้อากิน แล้วตอนที่กินอยู่อาฟรอสก็ไม่ทักสักคำว่าผัดหน่อไม้ที่อยากกินนักหนาเนี่ยมีแต่หน่อไม้เพียวๆ รู้ตัวอีกทีอาก็กวาดข้าวไปจานโตๆ เหลือแค่เศษหน่อไม้ไม่กี่ชิ้น

นั่นแหละ อาถึงบอกว่าทำไมเนื้อสัตว์ที่ตกลงว่าจะใส่ให้ถึงมีแต่วิญญาณ

เขาก็ขอโทษแล้วขอโทษอีก แต่อากลับไม่ยกโทษให้เสียอย่างนั้น

“งั้นทำยังไงอาถึงจะยกโทษให้ล่ะครับ”

สุดท้าย คนทางนี้ก็ยอมแพ้ ถามด้วยน้ำเสียงหงอยๆ

เท่านั้นแหละ อาก็ยิ้มกว้าง

“เอาไว้คิดออกแล้วจะบอก”

ทำไมรู้สึกเหมือนตกหลุมอาก็ไม่รู้สิ แต่เพ้นท์ก็ยอมรับล่ะนะว่าครั้งนี้ยอมเดินตกหลุมด้วยความเต็มใจ เพราะเขาก็ไม่ได้โง่ รู้ดีแล้วว่าอาไม่ชอบกินผัก แต่คนที่ไม่ชอบกินก็ยอมกินผัดหน่อไม้กับแกงจืดใส่หน่อไม้ของเขาเสียเกลี้ยง

ไม่รู้หรอกว่าอากำลังทำเพื่อปลอบใจหรือเปล่า แต่มันทำให้คนทำรู้สึกดี

ตอนนี้เพราพนามั่นใจแล้วว่าอาฟรอสชอบทำให้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกดี

“งั้นคิดไปก่อนแล้วกันครับอา ผมไปล้างจานดีกว่า”

คนพูดว่าแล้วก็เดินกลับไปถกแขนเสื้อหน้าซิงค์ล้างจาน เปิดน้ำ กดน้ำยาล้างจานลงสกอตไบค์ เลิกสนใจคนตัวโตที่ลุกจากเก้าอี้อย่างเกียจคร้านมายืนพิงสะโพกอยู่เคาน์เตอร์ด้านหลัง

“จูบแรกจริงเหรอ”

เงียบกันไปสักพัก มีแต่เสียงจานกระทบกัน อาฟรอสก็วกกลับมาเรื่องเดิม ซึ่งเพ้นท์ก็ยอมตอบอย่างว่าง่าย

“จริงครับ”

น่าแปลกที่เขากล้าพูดเรื่องนี้กับอาฟรอสตรงๆ ทั้งที่เมื่อกี้ร้องไห้งอแงใส่

“ให้อาสอนมั้ย”

“หืม?”

เพ้นท์เหลียวกลับไปมองคนข้างหลัง แล้วพบว่าอาฟรอสกำลังทำหน้าครุ่นคิด

“สอน...สอนอะไรครับ”

อาฟรอสเงยหน้าขึ้นมาสบตา แล้วถามเสียงจริงจัง

“ถามจริงเคยเห็นถุงยางอนามัยมั้ย”

“ฮะ!”

คนทางนี้ก็อุทานเสียงดังลั่น หยุดมือที่ล้างจานไปแล้ว มองเจ้าของบ้านที่สวมวิญญาณคุณครูสุขศึกษา

“เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติของวัยรุ่น แต่ก่อนที่จะทำอะไรต้องคิดมากๆ เข้าว่าพร้อมหรือเปล่ากับสิ่งที่จะตามมาในภายหลัง โตพอหรือยัง แต่ถ้ามันห้ามกันไม่ได้ อยากมากแล้ว รู้ใช่มั้ยว่าสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือถุงยางอนามัย เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย อายที่จะไปซื้อดีกว่ามาเสียใจกับสิ่งที่ตามมาทีหลัง” อาฟรอสพูดรวดเดียวจบ แต่สำหรับนักเรียนจำเป็นแล้วได้แต่อึ้ง

“ถามจริง เคยเห็นของจริงมั้ย เดี๋ยวอาขึ้นไปหยิบมาให้ดูเอามั้ย แล้วสอนวิธีใส่ให้ด้วย ไม่ยากหรอก ครั้งแรกก็อาจจะมีติดขัดไปบ้าง...”

“อาฟรอส! ผมไม่ใช่เด็กม.ต้น!!!”

ก่อนที่อาจะอธิบายวิธีการคุมกำเนิดมากกว่านั้น เพ้นท์ก็ตวาดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว หน้าแดงแจ๋ คอเห่อร้อนไปหมด

“ก็ไม่ใช่ว่าอามองว่าเป็นเด็กม.ต้น” อาฟรอสยังว่าอย่างใจเย็น แล้ว...ยิ้ม

“เป็นแค่เด็กสองขวบต่างหาก”

“อาฟรอส! ถึงผมจะไม่เคยจูบ แต่ผมรู้นะว่าถุงยางฯคืออะไร แล้วผมก็ไม่ใช่หลานอาด้วย”

เขาไม่รู้หรอกว่าอาฟรอสเป็นคนสอนเรื่องพวกนี้กับพวกพี่พาย ไอ้เพลิง หรือน้องพรรณหรือเปล่า แต่จากท่าทางของอาที่เหมือนผู้ใหญ่ที่ห่วงใยลูกหลานนี่มันกวนประสาทเสียจนต้องโต้กลับเสียงดังว่ารู้นะว่าเวลาคนเขาทำลูกทำยังไง ก็แค่ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงโว้ย!

“รู้แน่เหรอ”

“รู้!”

“เคยใช้?”

“...”

เพ้นท์หน้ามุ่ยไม่รู้จะมุ่ยยังไงแล้ว จนอาหัวเราะ

“โอ๋ๆ โอเค รู้ก็รู้ อาเชื่อแล้ว อาแค่ถามให้แน่ใจไงว่าเด็กรุ่นนี้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สำคัญนะเรื่องนี้”

“สาบานสิว่าอาไม่ได้แค่จะแกล้งผม”

อาตอบกลับทันทีว่า...

“ไม่!”

จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังลั่นยิ่งกว่า

“เรื่องอะไรอาจะต้องสาบานในสิ่งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าตั้งใจทำ”

คนอื่นงงมั้ยไม่รู้ แต่ไอ้เพ้นท์งี้กัดปากแน่น แล้วก็เผลอสะบัดค้อนใส่อาไวๆ หันกลับไปล้างจานต่อ อารมณ์มากมายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มันปลิวหายไปตั้งแต่ตอนที่อาฟรอสบอกว่าจูบเก่งแล้ว ยิ่งมาเจอไอ้มุกรู้จักถุงยางอนามัยมั้ย ให้ไปหยิบให้ดูมั้ย เขางี้ไม่มีอารมณ์ไปอับอายกับการร้องไห้โฮแล้ว แค่รับมืออาในอารมณ์ช่างแหย่ก็แทบแย่

“อาไม่แกล้งแล้วก็ได้”

เห็นมั้ย มีคนยอมรับมาแล้ว

“แต่อาพูดจริงอย่างหนึ่งนะ”

เขารู้สึกว่าอาฟรอสมายืนอยู่ข้างหลังเขาแล้ว จนพยายามไม่สนใจ จดจ่อแค่จานในมือก็พอ แต่อาฟรอสก็คืออาฟรอส รู้ดีว่าควรจะทำยังไงเพื่อเรียกร้องความสนใจใครสักคน

“อาจูบเก่งจริงนะ”

“ผมไม่เล่นกับอาแล้ว ผมจะล้างจะ...”

หมับ!

จุ๊บ!

ยังไม่ทันที่เพ้นท์จะพูดจบ เขาก็รู้สึกถึงฝ่ามืออบอุ่นที่จับปลายคางแล้วดันให้หันไปทิศทางที่อายืนอยู่ ยังไม่ทันตั้งตัว สัมผัสอุ่นและนุ่มนิ่มก็ประทับลงบนกลีบปากหนักๆ

เพ้นท์...ถูกจูบอีกครั้ง

แล้วคนจูบก็ผละออกไปส่งยิ้มให้

“อานึกออกแล้วว่าอาอยากได้อะไรแทนคำขอโทษ ยกโทษให้แล้วนะ”

จุ๊บ!

อาพูดจบก็เปลี่ยนจากปากมากดจูบที่หน้าผาก แล้วก็หมุนตัวออกจากห้องครัวอย่างสบายอารมณ์ แต่ก็ไม่วายที่จะพูดลอยๆ ให้เข้าหูคนทางนี้

“อ้อ ครั้งแรกไม่คุ้นเคยไม่เป็นไร แต่บ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”

ครั้งนี้เพ้นท์ไม่ร้องไห้ ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงโวยวาย ได้แต่ยกมือที่เลอะฟองน้ำยาล้างจานมาแตะปาก แล้วเลื่อนไปจับหน้าผาก เพื่อสัมผัสว่า...ร้อนกว่าไฟในเตาก็หน้ากูเนี่ยแหละ!

จู่ๆ คนฉลาดก็เกิดโง่ขึ้นมาว่าเมื่อกี้อาฟรอสหมายถึงอะไรกันแน่

อากำลังบอกหรือเปล่าว่าจะ...จูบผมบ่อยๆ

ฉ่า!

น่าแปลกที่ความคิดนี้ทำให้เด็กน้อยที่ไม่รู้สึกอะไรกับอาหนุ่มมากเสน่ห์...ร้อนผ่าวไปทั้งตัว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น