2

ตอนที่ 2 ยักษ์ใหญ่หมายนภนท์


ตอนที่ 2 ยักษ์ใหญ่หมายนภนท์

“ถึงแล้วครับน้องสกาย”

“เฮ้อออ”

“ถอนหายใจบ่อยๆ ระวังแก่เร็วนะ”

“จะเร็วจะช้าก็ไม่ใช่เรื่องของพี่นี่ครับ”

“ได้ไง พี่บอกแล้วไงว่าจะจีบ พี่ไม่อยากมีแฟนแก่นี่นา”

นายนภนท์กลั้นอาการอยากถอนหายใจอีกครั้งเอาไว้สุดความสามารถ สูดหายใจลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้คงที่ จากนั้นก็หันมามองหน้าสารถีที่อาสาพาเขามาส่งที่หอพัก ซึ่งแม้จะอยากบอกปัดยังไง แต่พอมองตาคู่คมที่ฉายแววดื้อดึงและมองจากพฤติกรรมที่ผ่านมาหลายสัปดาห์ สกายคิดว่าเขาควรจะยอมง่ายๆ ดีกว่าให้อีกฝ่ายเล่นใหญ่กว่านี้ แล้วเขาก็เดาใจผู้ชายคนนี้ไม่ถูกจริงๆ ว่าจะทำอะไรอีก

อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องการให้มาดักรอหน้าคณะจนเป็นขี้ปากชาวบ้าน

“ผมว่าพี่ไปหาคนอื่นมาเล่นด้วยดีกว่านะ” สกายแนะตรงๆ แต่คนฟังกลับยิ้มกว้าง

“ถ้าพี่อยากเล่นกับคนอื่น พี่ไม่วิ่งวุ่นตามหาเราหรอกแบบนี้หรอก”

ก็จริง

คนฟังเงียบลง เพราะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาควรจะทำให้ผู้ชายคนนี้ลืมหน้าเขาไปแล้วด้วยซ้ำ แต่...

“ผมไม่อยากเล่นกับพี่”

คนพูดว่าพลางเปิดประตูลงจากรถอย่างไม่ลังเล ไม่สนใจว่ากำลังถูกผู้ชายที่หล่อไม่แพ้พี่พายุจีบ เพราะนี่ไม่ได้อยากจีบเขาหรอก อยากเอาสิไม่ว่า

“อย่าหักหาญน้ำใจกันแบบนี้สิ ไม่ลองไม่รู้นะ” คนขับเองก็ก้าวตามลงมา บอกด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่อาจจะทำให้สาวๆ หลายคนระทวย แต่ไม่ใช่สำหรับสกายที่ยักไหล่อย่างไม่แยแส ขณะก้าวไปยังประตูที่ต้องใช้บัตรผ่านขึ้นไป

“ลองแล้วเลยรู้ไงว่าไม่เอา”

ติ๊ด!

ปึง!

แม้ว่าประตูจะส่งเสียงบอกว่าปลดล็อกทันทีที่สกายยกกระเป๋าขึ้นแตะ แต่ร่างโปร่งยังไม่ทันจะได้ผลักประตูเข้าไปด้วยซ้ำ มือใหญ่ข้างหนึ่งก็คว้าตัวจับประตูเอาไว้ แล้วดึงเต็มแรง จนได้ยินเสียงประตูที่ลงล็อกอัตโนมัติอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่ามันเรียกความสนใจของคนที่เหมือนตกอยู่ในอ้อมกอดได้เป็นอย่างดี

สกายหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า แล้วก็ได้เห็น...แววตาออดอ้อน

เขายอมรับว่าแปลกใจไม่น้อย เพราะตอนแรกนึกว่าจะได้เห็นความโกรธที่ถูกปฏิเสธ ทว่าพี่พายอะไรนี่กลับมองมาด้วยแววตาน่าสงสาร ถามด้วยน้ำเสียงหงอยๆ

“ลองแล้วไม่ติดใจบ้างเลยเหรอ”

“ไม่ครับ”

“สักนิด”

“ไม่”

“นิดนึงน่า”

“จะนิดหน่อยเล็กน้อยแค่ไหน คำตอบคือไม่ครับ”

ตั้งแต่ขึ้นรถมาจากมหาวิทยาลัย สกายคิดมาตลอดทางว่าถ้าถูกตื๊อเหมือนในโทรศัพท์ เขาคงหงุดหงิดแทบตายแล้วแสดงออกทางสีหน้า แต่ใครจะคิดเล่าว่าเขาต้องมากลั้นอาการปากกระตุกอยู่แบบนี้ ไม่ใช่กระตุกอยากด่าหรอกนะ กระตุกอยากขำน่ะสิไม่ว่า

มันก็จริงอย่างที่คนตรงหน้าพูด...ก็หล่อจริงๆ นั่นแหละ

ผู้ชายที่เขานอนด้วยเป็นคนที่รูปร่างสูงใหญ่ แถมยังหนาไปด้วยกล้ามเนื้อที่เห็นมาแล้วทั้งตัว พอบวกกับสีผิวเข้มๆ ก็ยิ่งดูตัวใหญ่กว่าเขาโขทั้งที่สูงกว่าไม่มาก ไหนจะรูปหน้าคมคาย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน จมูกโด่งเป็นสันตรงรับกับริมฝีปากได้รูป เข้ากับเรือนผมตัดสั้นที่ไถเกรียนตรงท้ายทอย ซึ่งคนตรงหน้าควรจะดูน่ากลัวและดุดัน แต่สกายกลับพบว่ามีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ

อาจจะเพราะดวงตาสีสวยที่ดูหวานล้ำยามที่ทำตาปรอยๆ ทั้งยังพราวระยับอย่างคนอารมณ์ดี ริมฝีปากที่มักจะยกมุมปากขึ้นตลอดเวลา ไหนจะบรรยากาศสบายๆ ที่น่าเข้าถึง มันทำให้สกายเดาได้ว่าพอคนคนนี้คิดจะหวานก็คงทำให้ใครหลายคนใจอ่อนยวบยาบได้ตามใจนึก

ทั้งหมดทั้งมวลที่บอกได้ว่าพี่พายเป็นคนมีเสน่ห์ แล้วลองนึกภาพคนหล่อที่กำลังแบะปากอย่างงอนๆ ทำตาหงอยๆ ถามด้วยสีหน้ามีความหวังว่าเขาจะติดใจ แต่ก็ไหล่ตกอย่างผิดหวังดูสิ มันทำให้สกายต้องกัดปากตัวเองแน่นเลยเชียวล่ะ

“ไม่แฟร์เลย มีพี่คนเดียวที่ติดใจเราเหรอเนี่ย”

“จะไม่แฟร์ได้ไง ก็ผมไม่ได้ขอให้พี่มาติดใจผมนี่”

แต่สกายก็ยังพูดอย่างใจเย็น มองคนที่เอาร่างกายใหญ่โตมาบดบังทางหนีของเขาอย่างอยากจะดันอกกว้างให้ขยับออกไปนิด

ตอนนี้ข้างหลังก็ติดประตูที่อีกคนดึงเอาไว้แน่น ด้านหน้าก็ติดร่างสูงใหญ่นี่อีก แถมพวกเขายังยืนอยู่หน้าทางขึ้นหอ ซึ่งคงโชคดีไม่มีใครมาเห็นได้ไม่นานนักหรอก ดังนั้นในระหว่างที่สายลมสุดหล่อแสนเฮงซวยนี่กำลังใช้ความคิด เด็กหนุ่มจึงบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“พี่ช่วยถอยไปหน่อยได้มั้ย”

คนพูดไม่คิดหรอกว่าจะยอมง่ายๆ แต่ดวงตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นก็หันมาสบตา เพียงครู่เดียวก็...

ฟึ่บ!

“อย่ามองพี่เหมือนหมูหมานักสิครับ”

พี่พายยกสองมือขึ้นเสมอไหล่ บอกด้วยน้ำเสียงหงอยๆ จนคนฟังเกือบจะยกมือลูบหน้า

สกายไม่รู้ตัวหรอกว่ามองอีกฝ่ายด้วยสายตายังไง จนเกือบจะเอ่ยปากขอโทษแล้ว แต่...

“เดี๋ยวพี่ก็ทนไม่ไหวจับปล้ำซะเลยนี่”

ไอ้โรคจิตเอ๊ย!

คราวนี้เด็กหนุ่มมั่นใจว่าสายตาเขาแทนคำพูดได้ดี เพราะร่างโปร่งหมุนตัวหมายจะผ่านประตูอีกครั้ง จนคนข้างหลังรีบคว้าแขนเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิ โอ๋ๆ พี่ไม่ล้อเล่นแล้วก็ได้”

กูเชื่อว่ามึงพูดจริง

ทว่าสกายก็หันกลับมาอีกครั้ง มองหน้าเพื่อบอกว่าพูดธุระออกมาได้แล้ว

ท่าทางนี้เรียกรอยยิ้มกว้างจากอีกคน

“เวลาน้องสกายทำหน้าแบบนี้แล้วน่ารักนะ”

ขวับ!

“โอเคๆ เข้าเรื่องแล้วๆ”

สกายถอนหายใจ แต่ก็ยอมหันมามองหน้าอีกครั้ง ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แม้ว่าพี่พายจะเป็นฝ่ายรั้งเขาเอาไว้ทุกครั้งก็ตาม เด็กหนุ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาเองต่างหากที่กำลังถูกหยอกเล่น ซึ่งคราวนี้ดีหน่อยที่คนตัวโตยอมเข้าเรื่องเสียที

“พี่รู้ว่าเราเริ่มต้นกันไม่ค่อยดีนัก งั้นเอาใหม่นะครับ พี่ขอแนะนำตัวก่อน พี่ชื่อพระพาย เห็นมั้ย บอกแล้วว่าสายลมรูปหล่อ”

คนอะไรวะมั่นหน้าได้ขนาดนี้

คนฟังมองคนแนะนำตัวที่ฉีกยิ้มหล่อใส่ ดูมั่นอกมั่นใจเสียจนน่าหมั่นไส้ จนหลุดปากออกไปจนได้

“พระพายเหรอครับ ผมนึกว่าพี่ชื่อวิรุฬจำบัง”

“...”

สกายไม่แปลกใจที่อีกคนดูอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด คงไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่ายังไง ซึ่งก็ดีแล้วแหละ จนอ้าปากหมายจะเปลี่ยนคำ แต่...

“อื้อหือ! พี่ดูเป็นอย่างนั้นเหรอ แต่ก็ใช่ละเนอะ”

ครั้งนี้เป็นคนด่าต่างหากที่คาดไม่ถึง แต่อีกใจก็คิดว่าผู้ชายเจ้าชู้นี่คงไหลไปเรื่อย ไม่ใช่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดจริงๆ หรอก แต่เมื่อร่างสูงกดสายตาลงมองเป้ากางเกงตัวเอง เขาก็ชักไม่แน่ใจ

“พี่ก็ใหญ่โตเหมือนยักษ์ แถมสีคล้ำจริงๆ นั่นแหละ”

ชัดเลย เข้าใจที่กูด่านี่หว่า!

ในเมื่อวิรุฬจำบังคือยักษ์ที่ปรากฏในเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งจุดเด่นที่เขาจำได้ขึ้นใจไม่ใช่ความสามารถล่องหนหายตัวได้เหมือนชื่อ แต่เป็นผิว...สีดำ

เออ เขากำลังด่าไอ้พี่ตรงหน้าว่าตัวโตเหมือนยักษ์แถมยังด๊ำดำต่างหากล่ะ แต่ใครจะเชื่อล่ะว่ามันเอาไปโยงกับเจ้าลูกชายในกางเกงเสียอย่างนั้น จนคนด่าชักไม่แน่ใจแล้วว่านี่คือคำด่าหรือคำชมกันแน่ แล้วดูสายตาที่พออกพอใจว่าตัวเองมีขนาดใหญ่โตเทียมยักษ์นั่นดูสิ

กูด่าที วรรณคดีเสียหมด!

“ลูกพ่อได้รับคำชมว่าเหมือนยักษ์เชียวนะไอ้พายน้อย”

กวนตีนสุดหูรูดจริงๆ

“รู้งี้ด่าราหูดีกว่า”

“พระราหูก็มีกายเป็นยักษ์ไม่ใช่เหรอน้องสกาย” แม้จะพึมพำกับตัวเอง แต่ใกล้แค่นี้มีหรือที่จะไม่ได้ยิน แถมพี่พายยังโต้กลับมาเสียคนครีเอทคำด่าเม้มปากเข้าหากัน ไม่นานก็ถอนหายใจอย่างยอมแพ้

“หมดเรื่องแล้วใช่มั้ยครับ”

“ยัง เพราะน้องสกายยังไม่ได้บอกพี่เลยว่าชื่ออะไร”

นี่กวนตีนกันใช่มั้ย!

สกายถามตัวเอง ซึ่งพอมองตาก็รู้คำตอบว่า...ใช่

ในเมื่อรู้ชื่อแล้วจะยังถามหามะเขือเปราะอะไรอีกล่ะ

“โธ่! ก็พี่ยังไม่รู้ชื่อจริง นามสกุล อายุ วันเกิด กรุ๊ปเลือด ชอบกินอะไร ชอบดูหนังมั้ย และ...” พระพายเว้นช่องไฟ จากนั้นก็โน้มมาเสมอดวงตา

“มีแฟนหรือยัง”

สกายยังนิ่งตอนที่อีกฝ่ายยิงคำถามรัวเร็ว แต่มาชะงักเอาคำถามข้อสุดท้าย ได้แต่มองตาแล้วพบว่าไอ้พี่พายไม่ได้ดูล้อเล่นเลยสักนิด ซึ่งมันเรียกรอยยิ้มเย็นให้ปรากฏบนใบหน้า

“พี่อยากรู้เหรอครับ”

“ถ้าพี่ไม่อยากรู้ พี่จะถามเหรอ”

คนฟังไม่สนใจคำถามกวนโอ๊ย เพราะเขาเป็นฝ่ายก้าวเข้าหาจนทั้งสองแทบจะไร้ช่องว่างระหว่างกัน จากนั้นก็จ้องเข้าไปในดวงตาสีสวย ยกมือขึ้นวางลงบนแผ่นอก รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายสูดหายใจลึกและยาว ราวกับรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

ไม่สิ คาดหวังอะไรบางอย่างจากเขาต่างหาก

“ผมจะมีแฟนหรือไม่ พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับ เพราะคำตอบของผม...” สกายจงใจอ้อยอิ่งให้ปลายจมูกเกือบจะปัดผ่านกัน รู้สึกได้ว่าอีกคนกำลังกลั้นหายใจอย่างรอคอย แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ จนเขาปัดปลายจมูกผ่านแก้ม ลากไปยังใบหู ใกล้จนแทบได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ ไหนจะกลิ่นความร้อนรุ่มที่แผ่ออกมานั่นอีก

พี่พายวางมือลงบนบั้นเอวของเขาแล้ว ตอนที่สกายบอกว่า...

“ไม่มีวันซะละ!!!”

เด็กหนุ่มตะโกนใส่หูเต็มเสียง จนแม้แต่คนที่มั่นใจตัวเองสุดขีดก็สะดุ้งโหยง ผละออกไปแทบไม่ทัน ซึ่งเป็นจังหวะให้สกายคว้ากระเป๋าขึ้นมาแตะบัตรอีกครั้ง ผลักประตูผ่านเข้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมที่จะหันกลับมาดันประตูปิดอย่างว่องไว จนได้ยินเสียงคลิกเบาๆ ขณะที่อีกคนยังยกมือกุมหูอย่างตั้งตัวไม่ทัน

“ชัดพอมั้ยครับพี่ราหู”

สกายส่งยิ้มหวานจับใจให้อีกที แล้วหมุนตัวเดินขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงทุ้มที่ตะโกนตามหลัง

“ไม่มีวันที่น้องสกายจะเมินพี่ได้ตลอดใช่มั้ยล่ะ”

เชิญหลงตัวเองไปเถอะ จ้างให้ไอ้กายก็ไม่เอาหรอกโว้ย!

ความคิดของคนที่เดินขึ้นห้องอย่างสบายใจกว่าเดิมโข

ในเมื่ออยากจีบ อยากตื๊อ อยากเอาเขาขึ้นเตียงก็ตามใจเลย ตราบใดที่ไม่ให้ซะอย่าง

“แต่พรุ่งนี้...ไอ้เรนตาย!”

คนอารมณ์เย็นคำราม ชนิดที่วาเรนเองก็ต้องมีสะดุ้งโหยงกันบ้างล่ะ

 

ขณะเดียวกัน พระพายยังคงเอามือแยงหูที่อื้อไปเพราะเสียงตะโกน สั่นหน้าแรงๆ เรียกสติ ทั้งที่ริมฝีปากยังหุบยิ้มไม่ได้ ดวงตาคู่คมก็ฉายแววพออกพอใจ ทั้งที่วันนี้ชวดอย่างเห็นได้ชัด

“น่ารักว่ะ”

เขาอาจจะโรคจิตอย่างที่น้องสกายด่าด้วยสายตาจริงๆ ก็ได้ แต่พอเห็นแววตาเย็นๆ ที่มองตรงมาแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่าช่างน่ารักน่าเอ็นดู หรืออาจจะเพราะเขารู้อยู่แล้วก็ได้ว่าภายใต้ท่าทางเรียบนิ่งของเด็กคนนั้นซุกซ่อนความร้อนแรงเอาไว้ ดังนั้นแค่เขาทำให้คนที่ปั้นหน้านิ่งใส่ตลอดเวลาที่นั่งรถมาด้วยกันหลุดยิ้มออกมาครู่หนึ่งก็ควรจะนับได้ว่าประสบความสำเร็จ

ใช่ คืนนี้เขาอาจจะชวด แต่อย่างที่บอกแหละว่าเขาชอบเรื่องสนุก ซึ่งแม้คืนนี้จะไม่ได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไม่สนุกนี่

พระพายยอมรับว่าตั้งแต่เจอน้องสกายเมื่อหลายเดือนก่อน เขาก็ติดอกติดใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพอได้เบอร์แล้วโทร.หา ได้ยินเสียงหงุดหงิดที่พยายามพูดให้สุภาพ ก็นึกหน้าออกเลยว่าต้องอยากฆ่าเขาทิ้งมากแค่ไหน และยิ่งวันนี้ที่ได้เจอกัน คนขี้เบื่อก็พบว่าเขา...สนุกเหี้ยๆ เลยละ

ไม่สิ ถ้าเป็นน้องสกายต้องบอกว่าสนุกแบบสัตว์เลือดเย็นสินะ

“ดีนะที่กูฉลาด” พระพายว่าขำๆ เตือนตัวเองในใจว่าต้องไปขอบคุณน้องสาวคนเล็กเสียหน่อย

น้ำหน้าอย่างเขาเนี่ยนะที่จะอ่านวรรณคดีไทย บอกได้เลยว่าจำได้เพราะพาญาติไปวัดพระแก้ว แล้วน้องสาวไล่ชื่อยักษ์ทุกตนที่อยู่ในนั้น แถมมันยังมีหน้าหันมาบอกเขาอีกว่าถ้าเขาเป็นยักษ์ต้องวิรุฬจำบัง เพราะดำสุดในวัดพระแก้วแล้ว มันเลยจำขึ้นใจ ไม่งั้นรับรองเลยว่าฉลาดแค่ไหนก็ไม่เก๊ตคำด่าของเด็กคนนั้นหรอก

“ท่าทางต้องหาความรู้รอบตัวซะแล้ว หนหน้าเดี๋ยวตามไม่ทัน”

พระพายว่าขำๆ ขณะที่จดจำทางมาหอพักอีกฝ่ายจนขึ้นใจ แล้วก็หมุนตัวกลับขึ้นรถ ในจังหวะที่โทรศัพท์ในกางเกงส่งเสียงร้อง จนต้องคว้ามารับสาย

“ว่าไงครับเพื่อน”

[มึงถ่อไปถึงมหา’ลัยเพื่อส่งกระดาษแผ่นนี้มาให้กูเนี่ยนะ]

เจ้าของเครื่องหัวเราะเสียงดัง นึกไปถึงกระดาษที่เขาฝากเรนไปให้เพื่อนสนิทคอเดียวกัน

ไอ้พายุชอบแต่งรถ ส่วนเขาชอบแข่งรถเลยคบกันได้

“เออ เรื่องสำคัญสุดๆ เลยนะ”

[มึงโทร.มาบอกกูก็ได้]

“เดี๋ยวไม่ตื่นเต้นไงไอ้พายุ” พระพายว่าขำๆ นึกไปถึงกระดาษยับยู่ที่เขารื้อเอาจากในรถก่อนจะลงไปหาวาเรน ส่วนข้อความในนั้นสั้น กระชับ รวบรัดได้ใจความว่า...ขอบใจสำหรับข้ออ้าง

สำคัญสุดๆ ชนิดที่หากไม่ฝากให้เพื่อน ไอ้พายคงขาดใจตายเลยเชียวละ

[ในเมื่อมึงหาข้ออ้างได้แล้ว ช่วงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องโผล่หน้ามาบ้านกูบ่อยๆ แล้วสิ]

“ช่วงนี้ไม่ได้ งั้นช่วงไหนดี”

ปลายสายเงียบไปอึดใจ

[เผื่อมึงลืมไปว่าคนแต่งเครื่องรถให้มึงคือกู]

“กูว่ากูวางแล้วดีกว่า สบายใจได้ ช่วงนี้กูไม่ว่างไปบ้านมึงเหมือนกัน งั้นเท่านี้นะ” คนทางนี้บอกอย่างอารมณ์ดี ตัดสายเพื่อนทิ้ง รู้ดีว่ากำลังตกเป็นเป้าให้ไอ้ช่างคนเก่งอยากจะตัดสายเบรกรถเขาทิ้ง ในเมื่อช่วงหลายสัปดาห์มานี้โผล่หน้าไปบ้านมันอาทิตย์ละหลายวัน คู่ข้าวใหม่ปลามันอย่างไอ้พายุกับเรนก็เลยถูกเขาคนนี้ขัดจังหวะบ่อยๆ

ทำไงได้ จะตกเหยื่อก็ต้องหาข้อมูลของเหยื่อให้ดี

“ถึงจะไม่ค่อยได้อะไรมาก็เถอะ”

เห็นวาเรนหน้าใสๆ ดูไม่ทันคนแบบนั้น แต่เรื่องของเพื่อนนี่หุบปากสนิทเชียว จะมีหลุดมาบ้างก็ตอนที่ไอ้พายุคิดจะไล่เขาออกจากบ้าน ทว่าเขาก็ดื้อด้าน นั่งแหมะอยู่กับที่ ไม่ยอมไปไหน จนกว่าจะได้คำตอบ ตอนนั้นแหละที่ข้อมูลดีๆ จะไหลออกมาจากปาก

ตอนนี้พระพายจึงได้รู้ว่านอกจากน้องสกายจะเป็นเพื่อนของเรนแล้ว ยังเป็นเพื่อนร่วมคณะ ร่วมชั้นปี ร่วมเอกเดียวกัน ดังนั้นถ้าเรนเปิดเทอม สกายก็เปิดเทอม ถ้าเรนเรียนที่ไหน สกายก็เรียนที่นั่น ซึ่งตอนนี้นอกจากคณะ อายุ และชั้นปีแล้ว เขาก็ได้ที่อยู่มาไว้ในกำมือ

ในเมื่อจีบทางโทรศัพท์ไม่เวิร์ก งั้นก็โผล่หน้ามาให้เห็นบ่อยๆ ก็ได้งั้นสิ

ให้ตายสิ! ทำไมกูรู้สึกสนุกได้ขนาดนี้วะ!

พายไม่เข้าใจเหตุผลเหมือนกัน รู้เพียงว่าได้แล้วก็จะเอาอีก!

ไม่เคยมีใครบอกสกายสินะว่าบ้านเขาไม่เคยปล่อยให้เหยื่อที่เล็งไว้หลุดมือ ดังนั้นพี่ใหญ่จากสามพี่น้องอย่างไอ้พระพายต้องไม่ทำให้เสียชื่อ!

งานนี้ถึงไหนถึงกัน

ความคิดของคนที่หันไปมองหอพักแล้วเลียปากอย่างหมายมาด

 

“มีอะไรจะอธิบายให้กูฟังมั้ย”

“งื้อ”

“ไม่ต้องมาทำเสียงน่ารักเลยไอ้เรน มึงเอากูไปขายเท่าไหร่”

พอเช้ามา สกายก็ไม่ลังเลที่จะไปนั่งดักรอเพื่อนสนิทที่มาเรียนสายกว่า และถึงไอ้เรนจะจงใจมาเรียนทันชนิดฉิวเฉียดก่อนอาจารย์เข้า แต่คิดหรือว่าหลังปล่อยคลาสจะหนีเขาพ้น ดังนั้นพออาจารย์บอกเลิก ไม่ต้องรอให้มันวิ่งฉิวไปไหนหรอก คนสูงกว่าก็จัดการคว้าคอเสื้อเอาไว้ จนเพื่อนตัวเล็กหันมายิ้มแห้งๆ ก้มหน้าหลบสายตาสุดชีวิต

“กูเปล่าเอามึงไปขายนะ ก็พี่พายบอกกูว่ามึงกับเขารู้จักกัน”

“คนรู้จักกันที่ไหนต้องถามเบอร์กูจากมึง”

“ก็พี่พายบอกว่าคืนนั้นที่แข่งรถ เขาเป็นคนพามึงออกมา แล้วมึงลืมของเอาไว้กับพี่เขานี่หว่า” พอโดนเค้นมากๆ คนที่อยู่เฉยได้ไม่นานก็เริ่มเถียงกลับบ้างแล้ว ยืนยันความบริสุทธิ์ว่าไม่ผิด จนสกายเองก็หรี่ตาลง นึกไม่ออกว่าลืมอะไรเอาไว้กับทางนั้น

อะไรถอดออกก็ใส่กลับหมด มันจะลืมได้ยังไง

“มึงโดนหลอกแล้ว” สกายสรุป แต่วาเรนเองก็สวนกลับทันควัน

“แล้วทำไมพี่พายต้องหลอกถามกูเรื่องมึงด้วย”

แม้แต่สกายเองก็มีชะงัก มองดวงตากลมโตที่จ้องเขากลับตาเขม็ง

“กูจะไปรู้มั้ยล่ะ”

“อ้าว! ถ้ามึงไม่รู้แล้วกูก็ยิ่งไม่รู้สิวะ ตกลงมึงลืมอะไรเอาไว้กับพี่พาย ทำไมเขาฝากกูมาคืนมึงไม่ได้ ต้องเอาให้มึงเอง ทุกวันนี้พี่พายโผล่หน้ามาบ้านพี่พายุโคตรบ่อย นี่นอกจากกูต้องระวังน้องชายฝาแฝดของพี่พายุที่ผลุบๆ โผล่ๆ แล้ว กูยังต้องระแวงว่าเมื่อไหร่จะมีคนกดออดหน้าบ้านอีก...”

“ระแวงอะไร มึงได้กับพี่พายุตลอดเวลาหรือไง”

“ไอ้กาย ชู่ววว!”

ทันใดนั้น คนตัวเล็กก็แก้มแดงเรื่อ ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องอย่างที่สกายยักไหล่

ท่าทางถามมันไปก็ไม่ได้เรื่อง

“มึงไม่ต้องห่วง เปิดเทอมแล้วมึงได้ทำแต่งานงกๆ ไม่มีเวลาโงหัวไปได้กับพี่พายุหรอก”

“มึงจะพูดเสียงดังทำไมวะ!”

“ห่วงอะไร เขารู้กันทั้งคณะแล้วว่ามึงสอยอดีตเทพพายุมาเป็นแฟน”

เมื่อตอนปิดเทอมที่ผ่านมา พี่พายุ อดีตรุ่นพี่คนดังแห่งคณะพวกเขามาแสดงแสนยานุภาพ ประกาศก้องความเป็นเจ้าของไอ้เรนต่อหน้ารุ่นน้องทุกชั้นปี จนเปิดเทอมมา ทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าไอ้เพื่อนตัวเล็กคนนี้มีเจ้าของแล้ว ถึงสกายจะพูดดังแค่ไหนก็คงไม่มีใครแปลกใจแล้วละ

ถ้าจะมีก็พวกที่เล็งพี่พายุที่อกหักกันเป็นแถว

“อะไรพายุๆ วะ เรื่องน้องสายฝนคว้าอดีตเทพมาเป็นผัวเหรอวะ”

“จนได้”

ทันใดนั้น หนุ่มหล่อประจำรุ่นอย่างไอ้ซิกก็เสนอหน้าเข้ามา ถามด้วยน้ำเสียงขบขัน อย่างที่วาเรนยกมือกุมขมับไปเรียบร้อยแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะยังสนุกไม่พอ เสียงที่คุยด้วยจึงเพิ่มวอลลุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“มึงรู้มั้ยว่านอกจากเปิ้ลจะอกหักหมอไม่รับเย็บแล้ว พี่ส้มงี้หงอยเป็นหมาถูกทิ้งเลยนะเว้ย เอาเรื่องนี่หว่าไอ้พิเรนทร์ เห็นจีบสาวไม่ติดอยู่แหม็บๆ โผล่มาอีกทีมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว แหม ขนาดกูประกาศตัวว่าเป็นเกย์ๆ ยังหาได้ไม่เท่ามึงเลยนะเว้ย มีเคล็ดลับอะไรจะบอกกูมั้ย”

เปิ้ลคือสาวสวยเพื่อนร่วมรุ่นของพวกเขาที่คว้าข้าวของเดินหนีออกจากห้องทันทีที่ได้ยินชื่อพี่พายุ แถมเป็นคนที่เรนเคยตามจีบ ส่วนพี่ส้มก็พี่ชายสาวเจ้าและเป็นรุ่นพี่ในคณะที่นับถือพี่พายุยิ่งกว่าบูชาเทพ พอสองพี่น้องรู้ว่าไอ้เรนเป็นคนคว้าพี่พายุไปได้...สายตาเขม่นแรงมาก

ตอนนี้ไอ้เรน น้องสายฝน หรือไอ้พิเรนทร์ ซึ่งเป็นสารพัดชื่อที่ซิกใช้เรียกจึงมองเพื่อนสนิทราวกับขอความช่วยเหลือ แต่งานนี้...

“อย่าหวัง มึงเอากูไปขาย”

สกายว่าพลางเก็บข้าวของ แล้วโยนกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า

“ไปกินข้าวกับพวกกูมั้ยไอ้ซิก เผื่อมึงอยากซักไอ้เรนต่อ”

“ไป กูกำลังสนุก!”

“ไอ้กายอ่า”

นายนภนท์ไม่สนใจหรอกว่าเพื่อนสนิทจะประท้วงเสียงหงอยหรือส่งสายตาขอความเห็นใจมากแค่ไหน งานนี้บอกได้เลยว่าเคืองกว่าที่มันปิดบังว่าคบกับพี่พายุก็ตอนมันเอาเขาไปขายให้เพื่อนแฟนมันเนี่ยแหละ

 

“กาย มาพอดีเลย มีคนฝากของเอาไว้ให้”

สกายกำลังจะเดินกลับขึ้นห้อง ตอนที่พี่จอย ลูกสาวเจ้าของหอพักรีบโผล่หน้าออกมาจากห้องกระจกอีกฝั่งของตึก แล้วเรียกเอาไว้ จนต้องเปลี่ยนทิศทางจากประตูทางเข้าหอมายังหน้าออฟฟิศ ยืนรอคนที่ผลุบหายเข้าไปข้างใน ไม่นานนักก็กลับมาพร้อม...

“มีผู้ชายหล่อๆ ฝากนี่ให้กายน่ะ”

“ฮะ!?”

สกายกดสายตามองช่อดอก...ทานตะวัน

ไม่ใช่แค่ดอกเดียวด้วยนะ แต่เป็นช่อดอกไม้ใหญ่เบิ้มที่มีดอกทานตะวันสีเหลืองสดใสจำนวนไม่น้อยในห่อกระดาษสีน้ำตาล ผูกด้วยโบสีขาว ดูอลังการเสียจนคนได้รับแทบจะไม่กล้ายื่นมือออกไป ทั้งยังถามให้แน่ใจ

“พี่แน่ใจเหรอครับว่าเป็นของผม”

“หอนี้ไม่มีใครชื่อกายนอกจากสกายแล้วนะ”

“เอ่อ อาจจะเพื่อนของเพื่อนที่อยู่หอนี้” สกายยังลังเลที่จะรับไว้ ทั้งที่ในใจลึกๆ นึกหน้าคนให้ออก

ท่าทางบอกปัดเต็มที่ทำให้หญิงสาวว่ายิ้มๆ

“สกายที่อยู่สถาปัตย์ปีสองก็มีเราคนเดียวไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่ามีคนชื่อเหมือนกัน”

“เอ่อ ก็มีชื่อกาย”

“คนฝากเขาบอกว่าชื่อสกายนะ พี่ฟังไม่ผิดหรอก”

คราวนี้คนฟังได้แต่จนมุม เพราะในคณะเขานอกจากจะมีสกายคนนี้ ก็มีอีกหนึ่งกายที่อยู่กันคนละเอก แต่ไอ้สกายที่แปลว่าท้องฟ้ามีเขาหนึ่งเดียวเนี่ยแหละ จนได้แต่รับช่อดอกไม้อย่างกล้าๆ กลัวๆ ราวกับว่ามันมีงูที่พร้อมจะพุ่งฉกได้ทุกเมื่อ

“คนให้หล่อดีนะ พี่ชายเหรอ”

“เอ่อ มั้งครับ”

สกายเองก็ไม่รอให้อยู่ซักมากกว่านั้น เพราะหมุนตัว ก้าวยาวๆ มายังทางขึ้นหอทันที จากนั้นก็ล้วงโทรศัพท์ที่ปิดเสียงเอาไว้ตลอดทั้งวันขึ้นมา และชัดเลย...

...หวังว่าจะชอบนะครับ...

ข้อความที่เด้งเตือนหน้าโทรศัพท์เป็นคำตอบอย่างดีว่าช่อดอกไม้นี้มาจากใคร

คราวนี้เขาได้แต่ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ๆ แล้วตัดใจ

เอาวะ

[พี่นึกว่าน้องสกายบล็อกเบอร์พี่ไปแล้วซะอีก ปลื้มเลยนะเนี่ย]

ทันทีที่ต่อสายหาเบอร์ ‘ไอ้โรคจิต’ สกายก็นึกอยากตัดทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น ยามฟังเสียงกลั้วหัวเราะของคนที่รับตั้งแต่ยังไม่สิ้นสุดเสียงสัญญาณครั้งแรก แต่เพราะช่อดอกไม้หนักอึ้งในมือทำให้เด็กหนุ่มถามกลับเสียงราบเรียบ

“พี่เป็นคนส่งดอกไม้ให้ผมใช่มั้ย”

[ครับผม พี่เอง ชอบมั้ย]

“ส่งมาทำไม”

[ต้องมีเหตุผลในการส่งดอกไม้ให้คนที่ชอบด้วยเหรอครับ]

เชื่อก็บ้าแล้ว!

คนฟังขมวดคิ้วมุ่น แต่ยังใจเย็นถามต่อ

“พี่มาเอาคืนไปได้มั้ย”

[ไม่ครับ พี่ไม่มีเวลา ช่วงนี้พี่งานยุ้งยุ่ง กว่าจะหาเวลาเอาดอกไม้ไปให้ก็ต้องปั่นงานแทบแย่]

แล้วเอามาให้ทำไมวะ ไม่เคยบอกสักคำว่าอยากได้

[ไม่ถามหน่อยเหรอว่าทำไมต้องเป็นดอกทานตะวัน]

พี่พายเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน แน่นอนว่าทางนี้...

“ไม่...”

[เพราะว่าท้องฟ้าคู่กับดวงตะวัน และถึงแม้พี่จะเป็นดวงอาทิตย์ให้ไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ที่น้องสกายเห็นดอกทานตะวัน ก็อยากให้รู้ว่าพระพายคนนี้อยากคู่กับน้องสกายมากเลยนะครับ]

“...”

เงียบกริบ

สกายสาบานได้ว่าเขาเพิ่งได้ยินคำพูดที่เน่าที่สุดในชีวิต จนได้แต่หุบปากฉับ พูดอะไรไม่ออก ได้ยินแต่เสียงหัวเราะนุ่มๆ ของคนที่พูดได้เต็มปากอย่างหน้าไม่อาย

[โอ๊ะ! เดี๋ยวพี่มีประชุมต่อ ขอวางก่อนนะ อ้อ ยังไงก็อย่าลืมเอาดอกทานตะวันไปตั้งข้างหัวเตียงนะ มองไปมองมาจะได้รู้สึกว่ามีพี่นอนด้วยเหมือนคืนนั้น]

พระพายบอกอย่างอารมณ์ดี แล้ววางสายลงอย่างนึกเสียดาย

ขณะที่คนทางนี้ก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ ตาจ้องเขม็งที่ช่อดอกทานตะวัน แล้วบ้าชะมัด...

“หึๆ ฮ่าๆๆ บ้าว่ะ คนบ้าชัดๆ เลย ฮ่าๆๆ”

เขาหัวเราะเต็มเสียง

ใครจะนึกล่ะว่าผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตาแบบนั้นจะทำอะไรแบบนี้ ให้เอาดอกไม้ไปตั้งไว้หัวเตียงแล้วนึกว่านอนด้วยกันเนี่ยนะ

“ไม่มีทางซะหรอก!”

ความคิดของคนที่หมุนตัวลงมาที่ชั้นล่างอีกครั้งด้วยรอยยิ้มขบขัน

พอดีว่าท้องฟ้าไม่อยากมีคู่น่ะครับ งั้นดอกทานตะวันก็ไปนอนเล่นในถังขยะก็แล้วกัน!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น