7

ยกที่หนึ่ง



 

ตอนที่ 6

ยกที่หนึ่ง

            “ปล่อยผมนะ ปล่อย บอกให้ปล่อยไงวะ!”

            ตอนที่ถูกยัดใส่รถ เรนกำลังช็อกจนไม่มีเวลาอาละวาด แถมยังตกใจไม่หายกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเคยวิ่งหนีการล้อมจับ ดังนั้น ตลอดทางตั้งแต่งานแข่งท้ากฎหมายนั่น จนมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสนิท เด็กหนุ่มจึงทำได้แค่เบิกตาถลน สองมือกุมอกที่เต้นยังกับรัวกลอง

            แม้รถจะจอดนิ่งลง แต่เรนก็ยังไม่รู้สึกตัว กระทั่งประตูข้างคนขับเปิดออก แล้วเจ้าของรถเข้ามาดึงสองแขนไปพาดบ่ากว้าง ออกแรงยกด้วยการอุ้มพาดบ่าอีกครั้ง นั่นแหละที่ทำให้ร่างเล็กโวยวาย

            สงสัยเพราะเลือดลงหัวเลยค่อยมีสติ

            “ปล่อย! ผมบอกให้ปล่อย”

            เพียะ!

            “โอ๊ย!!!”

            เรนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เมื่อคนอุ้มไม่ตอบด้วยคำพูด แต่ฟาดเพียะลงมาที่ก้นกลมจนเจ็บจี้ดลงหัว ร่างเล็กๆ ที่พยายามดิ้นให้หล่นจากบ่ากว้างก็ตัวแข็งทื่อ

            ตั้งแต่เกิดมา พ่อกับแม่ยังไม่เคยตีตูดกูเลย!

            “ปล่อยนะ พี่กล้าดียังไงมาตี...โอ๊ย!”

            พอเขาโวยวาย มือใหญ่ก็ฟาดลงมาที่ก้นกลมอีกข้าง จนเจ้าตัวร้องเสียงดัง น้ำตาปริ่มด้วยความเจ็บ

            “พี่พายุ!” ยัง! เด็กฤทธิ์มากยังไม่สิ้นท่า ตวาดเรียกด้วยความโกรธ แต่ผลที่ได้...

            เพียะ!

            เรนโดนไปเต็มตูด

            “ร้องอีกสิ”

            “ฮึก!”

            คนเจ็บส่งเสียงสะอื้นมาแทนคำตอบ ไม่กล้าร้อง ไม่กล้าเรียก ไม่กล้าแม้จะกระดิกตัว เพราะก้นชาไปหมดแล้ว ได้แต่ยึดเสื้อข้างหลังของคนอุ้มเอาไว้มั่น นึกโทษว่าที่ร้องไห้น่ะ ก็เพราะเลือดลงหัวจนกลั่นเป็นน้ำตาหรอกนะ ไม่ใช่เพราะใจเสียที่ถูกลงโทษแบบนี้

            ใช่ พี่พายุกำลังโกรธจัด

            คราวนี้ต่อให้โง่แค่ไหนก็รับรู้ได้ว่าผู้ชายตัวโตโกรธจนน่ากลัว

            พอร่างเล็กยอมหยุดดิ้น พายุเองก็ล้วงเอากุญแจมาปลดล็อก ก้าวยาวๆ เข้าบ้าน ใช้เท้าเตะปิดประตูอย่างไม่ให้เสียเวลา ขณะที่รับรู้ได้ว่าคนในอ้อมกอดกำลังตัวสั่นด้วยความกลัว แต่เขาไม่มีแม้แต่ความสงสาร งานนี้ถ้าไม่สั่งสอนให้หลาบจำ ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาเรื่องใส่ตัวที่ไหนอีก

            ร่างสูงก้าวดุ่มๆ ขึ้นไปยังชั้นสองโดยไม่เสียเวลาเปิดไฟ ตรงดิ่งไปเปิดประตูห้องนอนห้องหนึ่ง แล้ว...โยน

            “โอ๊ย!!!”

            เรนร้องลั่น แม้ว่าเขาจะถูกโยนลงบนเตียงนอนนุ่ม แต่แรงที่ตกจากที่สูงก็มากพอให้เขาพลิกตัวร้องโอดโอย มือกุมก้นที่แสบไม่พอ ยังกระแทกลงมาเต็มแรง

            พรึ่บ!

            “อื้อออ” จากนั้นแสงไฟก็สว่างวาบ จนคนที่ยังไม่ชินได้แต่ยกมือสู้แสง หรี่ตาด้วยความแสบ

            ทั้งเจ็บทั้งอาย กูโกรธแล้วด้วย

            เรนคิดในใจ กัดปากจนเจ็บ กระทั่งรู้สึกดีขึ้นก็เงยหน้าขึ้นหมายจะต่อว่าคนที่ทำร้ายร่างกายเขา

            “พี่ทำแบบนี้กับผมได้ไง...”

            แต่คำพูดทุกคำต้องกลืนกลับลงไปในลำคอ

            แม้ว่าพี่พายุมักจะส่งยิ้มชั่วร้ายหรือยิ้มขบขันมาให้เขา แต่อีกฝ่ายไม่เคยมองด้วยสายตาน่ากลัวแบบนี้มาก่อน มันเหมือนกับว่ามีไฟกองใหญ่สุมอยู่ในนั้น ร่างสูงก็ยืนกอดอก จนส่วนสูงกว่าร้อยแปดสิบข่มเขาให้ตัวเล็กกระจ้อย แม้แต่เงาที่ทอดมาทาบทับร่างยังดูคุกคามจนเด็กตัวน้อยสั่นเทา

            พายุยังไม่พูดสักคำ เด็กน้อยอีกคนก็กลัวจนขนหัวลุก

            “...”

            ร่างสูงยังคงเงียบ ส่วนคนเจ็บก้นก็พูดไม่ออก ราวกับว่าช่วงเวลานานนับนาทีนั้น พายุให้เด็กน้อยสำนึกผิดว่าทำอะไรลงไป

            เขาควรทำยังไงดี

            ความเจ็บใจก่อนหน้านี้กำลังเปลี่ยนเป็นสำนึกผิด เมื่อเรนรู้ตัวว่าสร้างความเดือดร้อนให้อีกฝ่าย

            ไม่ดิไอ้เรน พี่พายุแกล้งมึงก่อนนะ มึงไม่ผิดสักหน่อย

            “พี่...”

            “รู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป” หากสีหน้าว่าน่ากลัวแล้ว น้ำเสียงกดต่ำราวกับข่มกลั้นความโกรธก็สยองยิ่งกว่า

            “ผะ...ผม”

            “ถ้าพี่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น รู้มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

            “ผมขอโทษ”

            “ถามว่ารู้มั้ย ไม่ได้ต้องการคำขอโทษ!!!”

            เฮือก!

            เด็กน้อยสะดุ้งสุดตัว เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างตกใจสุดขีด เพราะพายุตวาดลั่นห้องนอนกว้าง จนเขาตัวสั่น รู้ว่านี่ไม่ใช่ระดับแค่ซวย แต่น่าจะบรรลัยแล้วมากกว่า นั่นทำให้คนตัวเล็กกระเถิบตัวหนีไปถึงหัวเตียง

            “ผะ...ผม...”

            “อยากเสียอนาคตหรือไง”

            “เอ๋!” คนตกใจร้องอย่างฉงน แต่เมื่อสบกับดวงตาราวกับพายุคลั่ง เขาก็รีบหลบสายตา

            “ไม่รู้หรอกนะว่า ไปได้ข่าวมาจากไหนว่าวันนี้มีแข่ง แต่ใช้สมองคิดสิว่างานที่จัดอยู่กลางถนน โดยมีคนปิดถนนให้ ต้องใช้อำนาจมากแค่ไหน ชนิดที่แม้แต่ตำรวจก็ไม่กล้าเอาผิด ลองคิดง่ายๆ ดูว่า ถ้าคนที่มีอำนาจระดับนั้นไม่พอใจที่มีเด็กเข้าไปป่วนงาน เด็กคนนั้นจะเจอกับอะไร” พายุบอกด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง แต่คนฟังกลับตัวเย็นเฉียบมากขึ้นเรื่อยๆ

            ตำรวจ...ไม่กล้าเอาผิด!

            “กะอีแค่เด็กโง่คนหนึ่งหายไปจากมหา’ลัยน่ะ ไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ”

            “ผม...”

            เรนก้มหน้าลงมองเพียงฝ่ามือตัวเอง น่าแปลกที่น้ำเสียงเย็นชาของอีกฝ่ายทำให้เขาร้อนไปหมดทั้งกระบอกตา

            ไม่รู้แล้วว่าเจ็บใจ เสียใจ หรืออะไรกันแน่

            “ไหนว่าโตแล้วไง หรือคิดว่าแค่ร้องไห้งอแงขอให้พ่อแม่ช่วยแล้วเรื่องจะจบ นี่คิดสินะว่าแค่คำขอโทษจะทำให้เรื่องทุกอย่างจบง่ายๆ บอกเอาไว้เลยนะ เรื่องบางเรื่องต่อให้คุกเข่าขอร้องอ้อนวอนก็ไม่ทำให้คนบางคนหายโกรธ! โตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว!” พายุลงเสียงหนัก

            แหมะ แหมะ

            นายวาเรนก็ไม่อยากร้องไห้หรอกนะ แต่พออีกฝ่ายพูดจบแล้วทั้งห้องเหลือเพียงเสียงอื้ออึงที่ดังก้องในหัว น้ำตาหยดใสก็ร่วงแหมะลงบนฝ่ามืออย่างน่าสงสาร เข้าใจดีว่าเขาเป็นคนพาตัวเองเข้าไปในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจ แต่มันต้องต่อว่ากันขนาดนี้เลยเหรอ

            “ฮึก!”

            “อย่าสำออย”

            ฟืดดด

            เรนพยายามป้ายปัดน้ำตาบนแก้มออก สูดน้ำมูกดังฟืดฟาด แต่น้ำตากลับไม่ยอมหยุดไหลเสียดื้อๆ

            เขาไม่ได้อยากร้องไห้สักหน่อย แต่มันห้ามไม่ได้นี่

            เด็กหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำตาพวกนี้เกิดจากสาเหตุอะไร โดนด่า หรือเพราะน้ำเสียงผิดหวังของอีกฝ่าย

            “ผม...ก็แค่อยากเอาคืนที่พี่แกล้งผมบ้าง...เท่านั้น” เด็กน้อยสารภาพเสียงเบา

            “โง่!”

            “ฮึก!”

            เรนอาจเป็นเด็กผู้ชายที่แก่นเซี้ยวไปบ้าง แต่ไม่เคยทำเพราะเจตนาร้ายเลยสักครั้ง ดังนั้น เจ้าตัวจึงไม่เคยได้ยินใครต่อว่าแถมหาว่าโง่ซ้ำๆ แบบนี้มาก่อน น้ำตาที่พยายามสั่งให้หยุดจึงไหลอาบแก้มด้วยความน้อยใจ

            เขาไม่ได้อยากได้รับความเห็นใจ แต่อย่างน้อยก็พูดดีๆ ไม่ได้หรือไง

            เด็กน้อยจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ปาดน้ำตาด้วยท่าทางน่าสงสาร แต่คนมองกลับว่าเสียงหนัก

            “ทีหลัง ก่อนจะทำอะไรก็ใช้สมองคิดซะบ้าง”

            หมับ!

            คนฟังกำผ้าห่มแน่น

            “ถ้ามีสมองสอบเข้ามหา’ลัยได้ ก็ต้องมีสมองคิดว่าอะไรควร อะไรไม่ควร” พายุว่าเป็นคำสุดท้าย แล้วหมุนตัวไปที่ประตูห้อง มือจับลูกบิดหมายจะออกไปสงบสติอารมณ์ให้ได้ก่อน

            เจ้าเด็กนี่ไม่รู้หรอกว่าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แบบไหน!

            งานนั้นถ้ามีคนพาเข้าเป็นการการันตีก็รอด แต่ถ้าไม่...ไอ้พวกคุมงานก็คงทำตามที่ใจคิด ก่อนจะรายงานให้เจ้านายรู้ด้วยซ้ำ

            “โง่!”

            แต่พายุก็ต้องชะงักมือ หันกลับไปมองคนที่ร้องไห้อยู่บนเตียง

            ขวับ!

            ใบหน้าแดงก่ำกับดวงตากลมโตที่แดงช้ำเงยขึ้น ปากที่สั่นระริกก็ว่าซ้ำๆ

            “โง่! โง่...ฮึก! โง่...”

            คนฟังขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าเรนจะกล้าว่าเขาคืน จนหมุนตัวกลับมายืนข้างเตียงอีกครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่ละสายตาไปจากเขาสักวินาทีเดียว

            แม้จะร้องไห้ไม่ยอมหยุด แต่แววตาราวกับตัดสินใจอะไรได้ ทำให้พายุนึกแปลกใจ

            จากนั้น สายฝนตัวน้อยก็เป็นฝ่ายทวีความรุนแรงบ้าง

            “พี่ก็เอาแต่ด่าผมว่าโง่ เออ ผมโง่ก็ได้ โง่ที่ทำอะไรไม่คิด โง่ที่ทำตัวเองเดือดร้อน โง่ที่ทำให้พี่โกรธ ไม่มีสมองคิดว่าอะไรถูกอะไรควร เป็นแค่เด็กโง่ที่พี่ดูถูก!” เรนตะโกนเสียงดัง ปาดน้ำตาที่แก้มข้างหนึ่งจนแดงเถือกเป็นทาง แล้วเจ้าตัวก็ผุดลุกขึ้นมายืนบนฟูกนุ่ม…

            หมับ!

            จากนั้นก็ทำสิ่งที่พายุเองก็คาดไม่ถึง…

            เด็กน้อยคว้าคอเสื้อของคนแก่กว่าเข้ามาขยี้ริมฝีปากลงไปหนักๆ

                “คอยดู ผมจะทำให้พี่ตกหลุมรักเด็กโง่อย่างผมจนพี่ไม่กล้าว่าผมอีกเลย!”

            เขาไม่รู้ว่านี่เป็นแรงแค้นหรือความเจ็บใจที่ทั้งชีวิตไม่เคยโดนแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า แต่เรนก็ตัดสินใจแล้วว่าถ้าเขาโง่นัก งั้นเขาก็จะทำให้คนฉลาดมาลองรักคนโง่อย่างเขาดู!!!

            สิ้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ (ระดับเด็กอนุบาล) วาเรนก็โน้มหน้าไปกอดรอบลำคออีกฝ่าย เพื่อขยี้ริมฝีปากลงบนปากร้ายๆ ที่เอาแต่ว่าเขาโง่จนแนบแน่น สัมผัสได้ถึงความอุ่น ความนุ่ม และกลิ่นคาวเลือดยามที่ฟันกระแทกเข้ากับกลีบปาก บดเบียดหนักๆ นึกสะใจที่ทำให้คนอย่างพายุตกตะลึงได้เหมือนกัน ดังนั้น เขาจึงพยายามเบียดชิดเท่าที่ทำได้

            เด็กโง่อย่างผมก็ทำให้พี่อึ้งได้เหมือนกัน!

            หมับ!

            “อื้ออออออ!”

            แต่เด็กน้อยยังไม่ทันจะย่ามใจ มือใหญ่ก็คว้าเข้าที่ท้ายทอยแล้วกระชับจนแนบแน่น ดึงให้ริมฝีปากอวดดีกลับมาแนบชิดกับปากร้อนผ่าวอีกครั้ง จากนั้นพายุก็ดูดเนื้อนิ่มแรงๆ จนคนได้รับสะท้านเยือก แต่มันยังไม่จบแค่นั้น เพราะลิ้นร้อนผ่าวกำลังบังคับดุนดันเข้ามาในโพรงปาก

            จากคนถูกไล่ พลิกกลับเป็นฝ่ายรุกคืน

            “อื้อ! ฮื่อออ”

            เรนเป็นฝ่ายกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาก็จริง แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายทุบอกพายุเพื่อดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดแข็งแกร่ง แต่คนตัวโตกลับไม่ยอมง่ายๆ กดเข้าที่ท้ายทอยจนเรนไม่อาจถอนจูบออก ได้แต่ร้องอื้ออึงที่ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ลิ้นร้อนกวาดความหวานในปาก จนน้ำใสไหลเลอะขอบปากของทั้งคู่…

            จวบจนพายุพอใจจึงถอนริมฝีปากออก

                “แล้วพี่จะรอดู”

            ฮวบ!    

            ทันทีที่มือใหญ่ปล่อยจากท้ายทอย เรนก็ทำได้แค่กลับไปทรุดฮวบลงบนที่นอนนุ่มอีกครั้ง เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง น้ำตาหยุดไหลไปแล้ว เหลือเพียงแก้มใสที่แดงซ่านจนแทบหาสีเดิมไม่เจอ เพราะอีกฝ่าย...เลียปากอย่างพอใจ

            ฟึ่บ!

            ไหนจะปลายนิ้วโป้งที่ยื่นมาเช็ดปากให้เขาด้วยการปาดทีเดียว กดสายตาสบเข้ากับดวงตาแดงช้ำ

            “ทำให้ได้อย่างปากพูดก็แล้วกัน”

            พายุเลียนิ้วตัวเองที่เลอะน้ำลายของเรน ตาคมฉายแววท้า จากนั้นก็หมุนตัวออกจากห้อง

            ประตูห้องนอนปิดลงแล้ว แต่เด็กน้อยคนเดิมยังนั่งตกตะลึงอยู่กับที่

            ฉ่า!

            ความร้อนผ่าวลามเลียขึ้นมาจากปลายเท้า เปลี่ยนผิวขาวให้กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ แล้วไล่ขึ้นมาบนใบหน้าจนแดงซ่านไปหมด ไหนจะควันที่มองไม่เห็นกำลังลอยฟุ้งออกมาจากหัว จนได้แต่ยกมือปิดหน้า อีกมือปาดเช็ดปากตัวเองไปด้วย

            “อ๊ากกกกกก!”

            เรนใช้สองมือทุบลงบนเตียงนุ่ม ดิ้นปัดๆ อย่างที่ไม่รู้ว่านี่เจ็บใจหรืออาย แต่ที่แน่ๆ...หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก

            ไอ้บ้าเอ๊ย!

            ดูท่าสงครามรักนี้ พายุจะกำชัยชนะในยกแรกไปแบบขาดลอย เพราะผู้ท้าชิง...เครื่องแฮงก์ไปเรียบร้อยแล้ว

 

            “หึๆ”

            เวลาเดียวกัน ผู้กำชัยที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องนอนก็หลุดเสียงหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ ตอนแรกก็หมายจะสั่งสอนให้เด็กมันสำนึกว่าทำอะไรลงไป หนหน้าจะได้ไม่เอาตัวไปเสี่ยงอันตรายอีก แต่ใครจะคิดล่ะว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่ทิศทางที่เขาต้องการ

            “จะทำให้ตกหลุมรักเหรอ” พายุหัวเราะขลุกขลักในคอ นึกถึงใบหน้าแดงก่ำของเด็กที่จูบไม่เป็นแล้วก็อดขำไม่ได้

            เขาจูบไปทีเดียวก็ตัวอ่อนเข่าทรุดแล้ว แบบนี้จะงัดอะไรมาสู้

            “ว่าจะไม่เอานิสัยเสียมาใช้แล้วนะ”

            พายุมีนิสัยเสียอย่างหนึ่งที่ฝังกลบไปตั้งแต่โตเป็นหนุ่ม แต่น่าแปลก พอเขาเจอเรน ไอ้นิสัยที่คิดว่าตายไปแล้วกลับผุดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งมองดวงตาดื้อรั้นที่เปลี่ยนเป็นแดงๆ ฉ่ำๆ ชื้นๆ เจ็บใจแต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ก็ยิ่งห้ามนิสัยนี้ไม่อยู่

            ชายหนุ่มก้มลงมองฝ่ามือตัวเองที่สั่นน้อยๆ

            ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดที่ทำเด็กร้องไห้ แต่มันสั่นเพราะอยากจะขยี้เด็กน้อยจนครางไม่เป็นภาษาต่างหาก

            หมับ!

            “ไม่ได้ อย่าเพิ่งรีบ” พายุกำหมัดเข้าหากัน บอกตัวเองว่าใจเย็นๆ เพราะบางอย่างไม่ควรรีบผลีผลาม ยิ่งหลังจากที่มีเด็กบางคนประกาศว่าจะเอาชนะใจเขาแบบนี้อีก

            เรื่องนี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

            ความคิดที่ทำให้ร่างสูงหัวเราะแผ่วๆ ยามที่ผละจากประตูห้องนอนไปนอนอีกห้องหนึ่ง

            คืนนี้พี่ยอมถอยก่อน จะรอดูซิว่าเรนจะมาไม้ไหน

            ยิ่งคิด มุมปากก็ยิ่งยกสูงอย่างพอใจ

 

            ถ้าถามว่าเคยมั้ยที่ไม่อยากให้เวลาเช้ามาถึง เชื่อเถอะว่าร้อยทั้งร้อยต้องเคยรู้สึกแบบนี้ บ้างก็ไม่อยากไปโรงเรียน บ้างไม่อยากไปทำงาน บ้างทำงานไม่ทัน บ้างไม่อยากสู้รบกับเจ้านาย ดีลงานกับลูกค้า แต่สำหรับนายวาเรนแล้ว เขา...ไม่กล้าสู้หน้าเจ้าของบ้าน

            เรนไม่ใช่คนตื่นเช้านักหรอก ปกติถ้าเป็นวันหยุด เขาคงนอนอุตุไปจนถึงเที่ยง ไม่หิวไม่ตื่น แต่นี่ยังไม่ทันจะเจ็ดโมงเช้าดี ร่างเล็กก็โงหัวขึ้นมาจากเตียงด้วยตาลึกโหล ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเพราะพลิกไปมา

            สภาพนี้ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นหรอก ไม่ได้นอนเสียมากกว่า

            ใช่ เด็กหนุ่มนอนไม่หลับ และคิดว่าใครที่หลับลงในสถานการณ์แบบนี้ก็จิตแข็งเกินไปแล้ว

            โอเค เมื่อวานมีเรียนทั้งวัน แถมยังไม่กล้าหลับเพราะกลัวเลยเวลานัดกับเพื่อน ไหนจะบุกไปยังงานแข่งรถกลางเมือง โดนด่าจนร้องไห้เป็นเผาเต่า ทั้งหมดนั่นควรจะทำให้เขาหลับเป็นตาย แต่เพราะเหตุการณ์สุดท้ายตอนตีสามกว่านั่นแหละที่ทำให้สมองค้าง

            ‘ผมจะทำให้พี่ตกหลุมรักเด็กโง่อย่างผมจนพี่ไม่กล้าว่าผมอีกเลย’

            หมับ!

            เรนยกมือปิดหน้า ส่งเสียงฮือในลำคออย่างอับอายสุดขีด

            “กูทำอะไรลงไป”

            ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำอะไร แต่ที่แน่ๆ คือทำมันลงไปแล้ว

            ผีห่าซาตานตัวไหนมันมาสิงวะ!

            ร่างเล็กถามตัวเองเป็นรอบที่ร้อย เหมือนที่ถามมาตลอดทั้งคืน ยามนั่งโง่ๆ พิงหัวเตียง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

            สงสัยเมื่อคืนคงฝันไป

            ก๊อก ก๊อก...แอ๊ด!

            “ตื่นแล้วเหรอ”

            คนที่กำลังหลอกตัวเองสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู แล้วยิ่งผวาไปดึงผ้านวมมาคลุมโปง เมื่อผู้ชายหน้าตาคุ้นๆ เหมือนกับคนที่เขาเพิ่งขยี้ปากไปเมื่อคืนก้าวเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ หัวใจงี้สั่นยังกับรัวกลอง

            พี่ให้ผมตั้งตัวนิดนึงได้มั้ย!

            “เป็นอะไร” น้ำเสียงที่ได้ฟังดูปกติ เหมือนเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เรนยังไม่โผล่หัวขึ้นมา

            ภาพของอีกฝ่ายที่เลียปาก เลียนิ้ว แวบเข้ามาในหัวจนแก้มร้อนผ่าว

            ไม่อยากยอมรับหรอก แต่...เซ็กซี่สัส!

            “ปอดแหกแล้วเหรอ”

            ขวับ!

            “ใครปอดแหก!”

            เรนรู้ตัวว่าเสียรู้ก็ตอนที่ตวัดผ้านวมออกจากหน้า โต้กลับอีกฝ่าย เพราะพายุ...ยิ้ม!

            “พี่ก็นึกว่ายอมแพ้ไปแล้ว”

            เมื่อคืนก็มีหลายแวบละว่ายอมเสียศักดิ์ศรีเอ่ยปากขอโทษไปเลยดีมั้ย จะได้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอเจอรอยยิ้มรู้ทัน ไอ้นิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ก็พุ่งปรี๊ดขึ้นหัว ปากประกาศก้องแบบไม่ถามสมองสักนิดว่า คิดดีแล้วเหรอ

            “ผมไม่ยอมแพ้พี่หรอก!”

            “แน่ใจ”

            “แน่!”

            “จริงดิ”

                “เออ! ผมจะทำให้พี่รักผมให้ดู!”

            อีกครั้งที่เรนก้าวตกหลุมกับดักไปโครมเบ้อเริ่ม เมื่อพายุถามซ้ำๆ เหมือนเขาป๊อด จนโพล่งขึ้นมา ถึงรู้ตัวว่าฝังตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว

            “ก็ดี” พายุว่าแค่นั้น แล้ววางเสื้อผ้าลงบนปลายเตียง มองเด็กที่พยายามเชิดหน้าท้าทาย ทั้งที่แก้มกับคองี้แดงจนน่ากลัวว่าเลือดจะไหลมากองรวมกันที่เดียว

            “งั้นก็ไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้ลงไปกินข้าว”

            เจ้าของบ้านขยับไปที่ประตูห้อง จนเรนเกือบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ไม่วายหันกลับมาอีก

            “พี่โทร.บอกแม่บ้านให้ซื้อเข้ามาให้ ไม่รู้หรอกนะว่าไซซ์ถูกมั้ย แต่เท่าที่เคยจับ...ก็ไม่น่าพลาด”

            ว่าแล้วพายุก็ก้าวออกจากห้องนอน ปล่อยเด็กงงไว้หนึ่งอัตรา

            “อะไรวะ ไซซ์เสื้อเหรอ”

            เรนคลานมาดูเสื้อผ้าที่ทางนั้นทิ้งไว้ให้ คลี่ออกดูแล้วขมวดคิ้วฉับ เพราะเสื้อไซซ์ L นี่ไม่ใช่ไซซ์เขาแน่ๆ ไม่ต้องดูกางเกงก็รู้ว่าต้องพับขา แต่อะไรบางอย่างที่หล่นลงมาระหว่างเสื้อกับกางเกงต่างหากที่ทำให้ตากลมโตยิ่งกว่าไข่ห่าน

            “นะ...นี่มัน”

            เด็กหนุ่มคีบผ้าชิ้นน้อยขึ้นมาพอดีสายตา ก่อนจะร้องลั่น ปาไปยังผนังอีกฝั่ง

            “ไอ้พี่พายุ!!!”

            เขารู้แล้วแหละว่าอะไรที่ซื้อมาถูกไซซ์ เพราะเจ้าผ้าชิ้นน้อยนั่นคงไม่พ้นไซซ์ S นั่นก็ว่าน่าอับอายขายขี้หน้าแล้วนะ แต่รูปแบบมันน่าอายยิ่งกว่า...

            “ใครมันจะบ้าใส่จีสตริงวะ!!!”

            ชั้นในตัวสีขาวที่เป็นรูปสามเหลี่ยมมีเนื้อผ้าน้อยจนไม่รู้จะน้อยยังไง ทำให้เรนปาหมอนไปทางประตูห้อง บ้าชะมัด!...เขาหน้าแดง

            “จ้างให้ก็ไม่ใส่!”

            วาเรนประกาศก้อง แต่อย่างว่าละนะ รู้ตัวอีกที เขาอาจจะใส่ไปแล้วก็ได้ เหมือนรู้ตัวอีกที...ก็ไปติดบ่วงพี่พายุซะอย่างงั้น

            บ่วงบาศที่พายุยืนยันว่าแน่นหนากว่าพรานบุญจับมโนราห์เสียอีก

 

            นายวาเรนไม่ใช่คนที่อาบน้ำนานนักหรอก แต่เขาใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ก่อนจะเดินลงมายังชั้นล่างของตัวบ้าน เพิ่งจะมีเวลาสังเกตว่าทั้งห้องนอนและภายในบ้านหลังนี้เป็นสไตล์โมเดิร์นเน้นสีเอิร์ธโทน ให้ความรู้สึกสบายตา เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่เน้นประโยชน์ใช้สอย สมกับเป็นบ้านของศิษย์เอกที่บรรดาคณาจารย์ชอบยกตัวอย่างบ่อยๆ

            น่าหมั่นไส้ เก่งทั้งภายนอกภายในแบบนี้

            เด็กน้อยคิดพลางนึกถึงแปลนที่ทำส่งอาจารย์ไปเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วละเหี่ยใจ ก็ว่าตั้งใจทำสุดๆ แล้วนะ แต่ยังโดนวิจารณ์จนน้ำตาเล็ด ไม่รู้ว่าทำไมคนทำงานสายนี้ถึงปากร้าย ว่าเจ็บ ดูจากคนที่ทำเขาร้องไห้ไปเมื่อคืนสิ

            แม้เวลาคนนี้ด่าจะเจ็บใจกว่าก็เถอะ 

            “นึกว่าลื่นล้มหัวกระแทกไปแล้ว”

            ดูดิ มีแช่งกันด้วย

            “ผมเป็นคนอาบน้ำนาน” เรนหลบสายตา ว่าเสียงเบา ยามที่ยืนนิ่งอยู่ตรงประตูครัว ขณะที่อีกคนกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว ดูอะไรบางอย่างอยู่

            “อ้อ ปีหนึ่งนี่นะ จะรอดูว่าตอนปีสองจะอาบชั่วโมงนึงหรือนาทีเดียว” อย่างว่า เด็กสถาปัตย์ แค่มีเวลาอาบน้ำก็ดีถมถืดไปแล้ว ส่วนใหญ่หลับไปทั้งที่น้ำไม่อาบกันหมด นั่นทำให้เด็กปีหนึ่งเม้มปากแน่น

            ตอนนี้อาบจริงก็นาทีเดียวเหอะ แต่อีกห้าสิบเก้านาทีลังเลว่าควรจะใส่มั้ยต่างหากล่ะ

            “ไซซ์ถูกมั้ย”

            กึก!

            เขาเกือบจะวางใจแล้วนะ นึกว่าพายุจะไม่เอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้หย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็ทัก จนได้แต่หลบเลี่ยงสายตาเป็นพัลวัน

            “ไม่รู้”

            “แปลว่าไม่ได้ใส่”

            “...”

            เรนเงยหน้าหมายจะโต้กลับ แต่พอสบเข้ากับดวงตาคู่คม แล้วทางนั้นกดสายตามองโต๊ะ ราวกับมองทะลุผ่านไปถึงสะโพกเขาได้ เด็กน้อยก็พูดไม่ออก เบือนหน้าหลบไปทางอื่น สองมือกำหมัดแน่น อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีแล้ว

            ขณะที่พายุเองก็ขมวดคิ้วมุ่น ร่างสูงค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กบางคนต้องตอบโต้กลับ แต่นี่เล่นนั่งหน้าแดง กำหมัด ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมพูดจา ก็ทำให้นึกแปลกใจ

            วันนี้พอก่อนก็ได้ เมื่อคืนหนักมากพอแล้ว

            ชายหนุ่มคิดพลางมองขอบตาคล้ำๆ ของอีกฝ่าย ไหนจะร่างเล็กที่อยู่ในเสื้อยืดตัวใหญ่ กางเกงพับขาที่ดูเหมือนเอาเสื้อพ่อมาใส่ก็น่าเอ็นดูเสียจนเขาจะยอมปล่อยผ่านไปก่อน พายุเลยลุกขึ้นไปยกอาหารเช้าง่ายๆ อย่างไส้กรอก ไข่ดาว มาวางลงตรงหน้าแขก

            “กินสิ จะได้มีแรงตอบคำถามพี่”

            แม้ว่าเรนจะมองอย่างไม่ไว้ใจเท่าไหร่ แต่เขาก็รีบฉวยส้อมกับมีด เพราะเมื่อวานมัวตื่นเต้นเรื่องงานแข่งอะไรนั่นจนไม่ได้กินข้าวเย็น ตอนนี้เลยหิวจนแสบไส้

            “นั่นอะไรอะพี่พายุ”

            พอกินไปแล้วมีแต่เสียงส้อมกับมีด เรนก็เอี้ยวคอไปดูกองเอกสารที่พายุรวบเอาไว้เมื่อครู่แก้ขวย

            “สเกตช์แบบที่เสนอลูกค้าจันทร์นี้”

            “ผมดูได้มั้ย” พอรู้ว่านี่คืองานจริงของรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว เด็กปีหนึ่งก็ถามอย่างตื่นเต้น เจ้าของงานดึงกระดาษสองสามแผ่นมาส่งให้

            สุดยอด!

            เขาอาจจะไม่มีประสบการณ์ขนาดดูเป็นว่างานไหนดีหรือไม่ดี แต่แบบสเกตช์มือบ้านสองชั้นของพี่พายุก็ละเอียดยิบจนน่าชื่นชม รูปทรงทันสมัย ไหนจะข้อมูลมากมายที่เขียนกำกับเอาไว้ทุกแผ่นนั่นอีก จนเงยหน้าขึ้นมองคนออกแบบ

            “อย่าเอาแต่ดู กินให้หมดก่อน” พอเห็นเด็กมองมาตาใสแจ๋วก็ทำท่าจะดึงคืน แต่เรนดึงมือกลับ ส่ายหน้าขวับๆ มือหนึ่งจิ้มไส้กรอก อีกมือถือแบบ ตาจ้องเขม็งที่กระดาษอย่างกับเด็กน้อยได้ลูกกวาด

            ท่าทางสนอกสนใจที่พายุก็ชวนคุย

            “เทอมนี้ได้ทำโมเดลหรือยัง”

            “อือ โมเดลบ้านอะพี่พายุ แต่แปลนยังไม่ผ่านเลย โดนตีมาสองรอบแล้ว”

            “แบ่งเวลาดีๆ เดี๋ยวจะไม่ทันเอา”

            พอคนตัวโตคุยด้วยดีๆ เรนก็พยักหน้าหงึกๆ รับคำ ทั้งที่ยังคงดูแบบสเกตช์มือของพายุไม่ละสายตา ดูผ่อนคลายกว่าเดิมโข ซึ่งก็คงเป็นเช่นนั้นตลอดมื้อเช้า เกือบจะลืมไปแล้วว่าลั่นวาจาอะไรไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะ...

            หมับ!

            “ไซซ์ก็ถูกนี่”

            “พี่พายุ!”

            เรนแทบจะปล่อยกระดาษร่วงลงจาน สะท้านวาบไปทั้งตัว เมื่อเจ้าของบ้านที่เดินอ้อมหลังไปเติมกาแฟ กลับมาลูบเข้าที่สะโพก แล้วไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลูบโดนอะไร...ขอบจีสตริงไงล่ะ!

            เท่านั้นแหละ เด็กน้อยก็ร้องหน้าแดงก่ำ หันขวับไปมองคนตัวโต

            แต่ก็ต้องหน้าร้อนซะเอง

            “ไหนว่าจะทำให้พี่รัก แค่นี้ก็อายซะแล้ว”

            “ผมไม่ได้อาย!”

พายุหัวเราะ แล้วยอมเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามเช่นเดิม มองคนเด็กกว่าที่พยายามแยกเขี้ยวขู่ สองมือกุมก้น จากนั้นก็หันกลับไปทำงานต่อ แต่ยังไม่วายจะทิ้งคำพูดสุดท้ายที่ทำให้เด็กบางคนแทบจะซุกโต๊ะหนี

            “พี่อยากรู้ว่าตอนใส่ทำหน้ายังไง”

            ไอ้บ้า! กูไม่คุยกับมึงแล้ว!

            ความคิดของคนที่ก้มหน้างุดๆ เพราะ...อายฉิบหายไง

            ถามจริง แล้วแบบนี้กูจะเอาอะไรไปชนะพี่พายุวะ แค่นี้ก็จะบ้าตายแล้ว!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น