7

บทที่ 7


7

 

ตัวบ้านนั้นเป็นอาคารสามชั้น

ด้านล่างเป็นห้องรับแขกกว้าง โล่ง เพดานสูง มีชั้นหนังสือตั้งเป็นระยะตามผนัง ห้องที่เปิดโล่งถึงกันเกือบทั้งหมดนั้นมีพื้นที่ที่กั้นเป็นสัดส่วนชัดเจนคือ ห้องออกกำลังกายกับห้องทำงาน...ที่ดูเหมือนไม่ค่อยได้ใช้งาน ครัวอยู่บนชั้นสองและออกแบบมาให้เปิดโล่ง ผนังปูนฉาบดิบๆ สไตล์ลอฟต์ กับเครื่องเรือนแบบผสมผสานหลายสไตล์แต่ดูลงตัวสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะอาหารตัวใหญ่ที่ใช้ไม้หนาๆ ทั้งชิ้น กับเก้าอี้ที่...คงไม่ได้ซื้อพร้อมกัน เพราะไม่เหมือนกันสักตัว หญิงสาวเลือกเก้าอี้บุนวมตัวที่นุ่ม นั่งสบายที่สุด (ลองนั่งดูหมดทุกตัวแล้วตั้งแต่ที่เข้ามาสำรวจคราวก่อน)

แหม...ก็ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่ที่นั่งนั้นดันตรงกับที่เจ้าบ้านตรงหัวโต๊ะพอดี เรียกแววตาขุ่นขวางจากเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี นั่นทำให้ดวงหน้าผู้บุกรุกยิ่งกระหยิ่มราวกับเจ้าเหมียวตัวร้ายที่ยึดบ้านทาสมนุษย์ได้สำเร็จอย่างไรอย่างนั้น

“นั่นยังใช้ได้อยู่ไหม”

อัคนีหันมองตามมือของแขกไม่ได้รับเชิญที่ชี้อุปกรณ์บนเคาน์เตอร์ครัวด้านหลังแล้วก็ต้องสูดลมหายใจลึกข่มใจอีกหลายเฮือก ระงับอารมณ์ไม่ให้หันไปเขย่าคอคนที่มีหน้ามาถามว่า Bezzera Galatea...เครื่องชงกาแฟตัวละหลายแสนแถมยังใหม่เอี่ยมของเขามันใช้ได้ไหม

‘หน็อย...ยัยตัวแสบนี่วอนจริงๆ ใช่ไหม!’

คนหงุดหงิดหันมาแล้วก็ต้องชะงักเมื่อสบตากับดวงตาเต้นระริกด้วยรอยคาดหวังเต็มเปี่ยมของคนด้านหลัง มันแทบจะเปล่งคำอ้อนวอนออกมาเลยด้วยซ้ำ...

นั่น...จะให้เขาทำอะไรได้อีกล่ะ นอกจากจะเดินไปเปิดตู้ หยิบอุปกรณ์และถุงกาแฟ พร้อมถ้วยกาแฟออกมาจัดการให้เจ้าหล่อนที่ทำท่าราวเด็กๆ อ้อนจะเอาของเล่น

มัน...เหมือนไอ้อาร์คไม่มีผิด!

...ไม่ใช่ไอ้คุณชายอาร์คเหมือนที่มันเป็นอยู่ตอนนี้นะ แต่เป็นไอ้อาร์คตอนเด็กๆ ที่มันยังทำอะไรเองไม่ค่อยได้ ต้องคอยอ้อนให้เขาช่วยนะ หึ! ตอนนั้นนะมันโคตรน่ารักเลยจริงๆ พอคิดถึงน้องชาย รอยยิ้มจางๆ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าที่พยายามขรึมๆ บึ้งๆ นั้นก่อนเลือนจางไปอย่างรวดเร็วแบบคนที่คุ้นชินกับการฝึกข่มอารมณ์ ให้สีหน้าสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา

แต่แล้วความคุ้นชินนั้นก็พลันสั่นคลอนจนแทบถล่มทลาย เมื่อหันกลับมาแล้วได้พบรอยยิ้มที่เจิดจ้าที่สุดแทบจะในชีวิตเขาแล้วมั้ง!

แม้ว่า...ดูเหมือนจะเป็นรอยยิ้มที่มอบให้ถ้วยเอสเพรสโซในมือของเขาก็ตามทีเถอะ!

 

กาแฟร้อนกรุ่นรสเข้มข้นหอมจัดด้วยชนิดของเมล็ดกาแฟชั้นเลิศ ทำให้ห้องครัวกว้างอบอวลด้วยกลิ่นหอมของเครื่องดื่มปีศาจที่กำลังมอมเมานางฟ้าให้ลุ่มหลงจนไปไหนไม่รอด

น้อยหน่าจิบกาแฟอย่างละเมียด ดื่มด่ำรสชาติแสนแพงนั้นอย่างบรรจง โดยทำมองเมินไม่สนใจสายตาดุดันของเจ้าของบ้านที่ทำหน้าหงิกหน้างอเลเวลสุดท้ายใส่

หมอนี่...มีอาการเส้นประสาทสมองคู่ที่เจ็ดอักเสบหรือไงกันนะ ถึงต้องทำหน้าแบบนี้ตลอดเวลา ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงกัน หรือคิดว่าทำหน้าดุเข้าใส่แล้วเธอจะกลัว

‘นายคิดว่า...คนที่เกิดและเติบโตมาในค่ายทหาร เจอลุงจ่าหน้าโหดกับครูฝึกที่ว้ากใส่มาตั้งแต่จำความได้...ควรกลัวไหม’ น้อยหน่าคิด

เพราะสิ่งเดียวในโลกนี้ที่ทำให้เธอกลัวได้ คือคำสั่งเผด็จการจากท่านนายพล พ่อเธอเท่านั้น...อ้อ อาจมีการไปอยู่บ้านป้าทิพย์อีกอย่างที่น่ากลัวรองลงมา

นอกนั้นน่ะเรอะ...หึ!

หญิงสาวส่ายศีรษะช้าๆ แอบยิ้มอ่อนให้คนที่พยายามทำตัวน่ากลัวคนนั้น ขณะยืนยันความเชื่อของตัวเอง ด้วยการยื่นถ้วยเปล่าให้เขา พร้อมบอกอย่างไร้ความละอายใดๆ

"ขออีกถ้วยได้ไหม...คะ" ท้ายประโยคยังอุตส่าห์ไม่ลืมเติมหางเสียง แถมยังลงทุนเอียงคอนิดๆ ยิ้มกว้าง จนลักยิ้มกดแก้มบุ๋มลึกลงไป ซึ่งเจ้าตัวรู้ดีว่ามันทำให้ความน่ารักเพิ่มขึ้นไปอีก

‘นี่ถ้ากาแฟนายไม่อร่อยขนาดนี้ อย่าหวังรอยยิ้มหรือคำขอร้องดีๆ เลยเชียว’

คนที่ต้องทนกับกาแฟทรีอินวันรสชาติไม่ได้เรื่องมาจนลิ้นจวนพิการอยู่แล้วบอกตัวเองในใจ มองสบแววตาขุ่นเขียวได้โดยไม่สลดสักนิดเดียว

อัคนีที่ปั้นหน้าดุมาหลายสิบนาทีจนเมื่อยหน้าก็ชักจะไม่ไหว ชายหนุ่มขึงตาดุๆ ใส่เธอก่อนคว้าแก้วจากมือหญิงสาวมาถือไว้

"เย็นแล้ว ดื่มกาแฟเข้มๆ มากไปเดี๋ยวนอนไม่หลับ" น้ำเสียงยังคงความดุไว้ได้อยู่ แต่...โว้ย! จะไปห่วงใยทำไมวะ ว่าเธอจะนอนหลับหรือไม่หลับเนี่ย ชายหนุ่มสบถในใจอย่างหัวเสีย ก่อนเดินไปวางแก้วลงในอ่างล้างจานท่ามกลางสายตาอาวรณ์ของคนที่ยังอยากได้กาแฟอีกแก้ว

น้อยหน่ากำลังจะแก้ตัวว่าเธอนอนได้ ไม่เคยนอนไม่หลับเสียที กาเฟอีนไม่มีทางทำอะไรคนอย่างเธอได้ แต่พลันเหลือบมองดวงหน้าเครียดขึ้งที่มีรอยช้ำใต้ตาเด่นชัด ใต้ดวงตาแข็งกร้าวดุดัน มีบุคลิกที่ปฏิเสธสังคมอย่างชัดเจนมาก...ช่างเป็นอาการที่คุ้นเคยเสียเหลือเกิน

"คุณ...นอนไม่หลับเหรอ" ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

พักหลังๆ นี้งานที่พี่ปืนให้เธอทำเหมือนฝังเข้าเส้นเลือดไปแล้ว เมื่อเจอคนที่เป็นโรค PTSD หรือมีอาการคล้ายจะซึมเศร้า เป็นต้องไปแตะๆ คุยๆ ด้วยตลอดเลย และก็ไม่ผิดหวังสักนิดเมื่ออีกฝ่ายตวัดสายตาขุ่นขวางใส่เสียอีกรอบ

ดวงตาดำจัดใสเหมือนลูกแก้วของหญิงสาวสะท้อนความจริงใจให้เขา ก่อนจะถอนใจเบาๆ โต้ความขุ่นเคืองด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ

"เฮ้อ...ช่วยไม่ได้นะ...คนรวยก็มีเรื่องกลุ้มใจของคนรวยแหละ เนอะ แต่...คุณทำบ้านเสียรัดกุมขนาดนี้...ไม่น่าจะต้องกลัวใครมาปล้นแล้วมั้ง"

"หือ?" ชายหนุ่มเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูงพร้อมกับน้ำเสียงประหลาดใจ สีหน้าของเขาคาดคั้นคำตอบเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพยายามบอกสักนิดเดียว

"ก็" น้อยหน่าเกริ่น กลอกตานิดหนึ่ง เหมือนพยายามหาคำที่ความหมายดีๆ มาใช้

"คุณรวยมาก มีสมบัติเยอะ แถมยังเป็นโรคหวาดระแวงกลัวโดนปล้นอีกต่างหาก เลยทำให้นอนไม่หลับใช่ไหมล่ะ" น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่ทำไมคนฟังรู้สึกว่ามันกวนประสาทสิ้นดี

"ไม่ต้องกังวลไป หมอเดี๋ยวนี้เก่ง ยาก็ดี ปรึกษาไม่กี่ทีก็ดีขึ้นเองแหละ เนอะ"

ถ้าเคาน์เตอร์ครัวเขาเป็นไม้...มันคงได้ป่นคามืออัคนี เพราะยายคนที่ทำน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจพลางพยักหน้าใส่นี่แหละ อัคนีกำขอบเคาน์เตอร์หินอ่อนจนเส้นเลือดขึ้น ระงับอกระงับใจไม่ให้พุ่งตัวไปจับยายคนพูดมากมาเขย่าคอ

นี่เธอไปเอาความมั่นหน้านี้มาจากไหนว่า ที่เขาทำระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมดทั้งมวลนี้ เพราะพารานอยด์กลัวโดนปล้นสมบัติน่ะหา!?

โว้ย!

หิ้วคอเสื้อเอาไปโยนออกนอกบ้านซะเลยดีไหม จะได้จบ

...ไม่ได้สิ เธอยังไม่ได้ตอบเลยว่าเข้ามาได้ยังไง

คนคิดสูดลมหายใจลึกยาวสติอีกหลายครั้ง ก่อนหันกลับไป คราวนี้ด้วยท่าทางสุขุมขึ้น ปั้นหน้าขรึมดุก่อนเอ่ยเสียงเย็น

"เลิกโยกโย้ได้แล้ว เล่ามาเสียทีว่าคุณเข้ามาถึงที่นี่ได้ยังไง"

น้อยหน่าละสายตาอาลัยอาวรณ์จากอ่างล้างจาน มามองหน้าเจ้าของบ้านที่ยังคงสีหน้าโกรธๆ อยู่

...เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะ...ใจจริงก็อยากถามอยู่หรอกว่า ไม่เมื่อยหน้ามั่งเลยเหรอ

แต่...ดูจากสีหน้าบูดบึ้ง แววตาดุดันราวกับฆาตกรที่อยากฆ่าคน และขนาดตัวมหึมาที่แน่นด้วยมัดกล้ามนั่นแล้ว...อย่าไปตอแยเขาดีกว่า

"ฉันก็..." หญิงสาวเกริ่นช้าๆ แต่ก็ทำปากเบ้ เมื่อคนหน้าดุมองมาพร้อมชี้นิ้วใส่หน้าเป็นเชิงคาดโทษว่า ถ้าตอบกวนประสาทอาจได้เห็นดีกัน หญิงสาวอยากบอกเหลือเกินว่ากลัวตายล่ะ!

"เดินเข้ามา...ตามทางเดินพระจันทร์" หญิงสาวรีบพูดให้จบก่อนคนตัวโตผู้เป็นเจ้าของบ้านจะของขึ้น เธอบอกตัวเองว่า จำเป็นต้องกล่อมเขาเอาไว้ดีๆ ดังนั้นจะกวนต...เอ่อ กวนประสาทเขามากกว่านี้ไม่ได้

คิดแล้วหญิงสาวผู้มีแผนบุกรุกบ้านชาวบ้านระยะยาว ก็พยักหน้ายิ้มๆ ให้ตัวเอง ก่อนจะท่องสิ่งที่อยู่ในความทรงจำออกมา

"ทางเข้าอยู่ตรงป่าเดือนหก หาสัญลักษณ์ให้เจอ แล้วเดินไปตามทางเดินจันทราเจ็ดค่ำ ซ้าย ซ้าย ซ้าย ขวา ซ้าย ซ้าย ขวา ซ้าย แยกที่แปด ให้ตามหาสัญลักษณ์แรมเก้าค่ำ จากนั้น..."

"นี่...คุณรู้จัก Lunar Wish ด้วยเหรอ" อัคนีถามอย่างประหลาดใจ สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

"ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ นิทานเรื่อง จันทราอธิษฐาน ที่เคยอ่านตอนเด็กๆ ไง" หญิงสาวตอบด้วยสีหน้างุนงง เหมือนไม่รู้ถึงความพิเศษนั้นเลยสักนิด เธอนิ่งคิดทบทวนความจำก่อนว่า

"นิทานที่..." น้อยหน่าและอัคนีเอ่ยประโยคเริ่มต้นพร้อมกันและเหมือนกัน แต่เนื้อความต่อมากลับแตกต่างกัน

น้อยหน่าเล่าว่า "มีอาณาจักรจันทรากับเจ้าหญิงที่น่าสงสาร ถูกพระจันทร์ใจร้ายจับขังไว้บนหอคอย จนต้องหนีออกมาไง"

พร้อมกันนั้นอัคนีก็พูดออกมาว่า "นิทานที่...มีพระจันทร์น่าสงสารที่ถูกเจ้าหญิงกับอาณาจักรชั่วร้ายหลอกลวงให้ปกป้องเมืองให้น่ะนะ?"

ขาดคำ คนทั้งคู่ก็รับรู้ได้ถึงความไม่ถูกต้องบางอย่าง...แม้จะพูดว่าอ่านจากหนังสือเล่มเดียวกัน แต่...ทำไมเนื้อหามันถึงได้ต่างกันอย่างนั้นเล่า

"พระจันทร์ใจร้ายที่ไหนจับเจ้าหญิงไปขัง?" อัคนีถามน้ำเสียงเหวี่ยงนิดๆ ขณะที่หญิงสาวหรี่ตาด้วยสีหน้าเอาเรื่องแล้วถามว่า

"เจ้าหญิงที่ไหนไปหลอกลวงพระจันทร์ นายไปอ่านเวอร์ชันไหนมาเนี่ย"

"มีแค่เวอร์ชันเดียวแหละน่า มันเป็นหนังสือของ เอส.เค.วาย. นักเขียนชื่อก้องโลกที่เขียนมหากาพย์ ลูนาร์ สกาย มียอดพิมพ์หลายร้อยล้านเล่มทั่วโลก ถูกสร้างเป็นหนังไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง" อัคนีทบทวนความเป็นมาของนักเขียนเผื่อว่าเธอจะจำผิด

"ใช่ ดังพอๆ กับ เจ.เค.โรว์ลิง หรือ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีน เลย ด้วยซ้ำ" น้อยหน่าพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

"และ จันทราอธิษฐาน นี้ก็เป็นหนังสือพิเศษที่เขาไม่ได้เอาไปพิมพ์ที่ไหน แต่ทำออกมาเป็นหนังสือทำมือแบบพิเศษ ทั้งโลกมีเพียงแค่สามเล่มเท่านั้น" อัคนีเอ่ย

เล่มหนึ่งนั้นคุณอัคคี คุณตาของเขาได้มาจากเส้นสายและความร่ำรวยที่ซื้อได้ทุกอย่าง มันเป็นของสะสมราคาแพงที่ถูกเก็บล็อกไว้แน่นหนา แต่ไม่สามารถรอดพ้นจากความดื้อความซนในสมัยเด็กของเขาได้หรอก มันเป็นหนังสือนิทานที่ลึกซึ้งและซับซ้อน อีกทั้งหายาก เลยไม่น่าจะมีใครรู้จัก หรือเข้าถึงได้ง่ายๆ อัคนีจึงนำเนื้อหาในหนังสือส่วนที่เป็นเขาวงกตและกับดักมาใช้ในสวนของเขา

คิดไม่ถึงเลยว่า...

"ฮื่อ" หญิงสาวพยักหน้าอีกคราก่อนบอกหน้าตาเฉย "ในห้องสมุดของคุณแม่ที่บ้านในกรมทหารมีอยู่เล่มหนึ่งพอดี คุณแม่ไม่หวงด้วย" ก็แน่ละ การพักอาศัยอยู่ในเขตหวงห้ามที่มีการคุ้มกันแน่นหนาขนาดนั้นคงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการโจรกรรมใดๆ อีกแล้ว

"แต่...ทำไมมันไม่ตรงกันล่ะหา ไหนนายลองเล่าเวอร์ชันของนายทั้งหมดมาหน่อยซิ" น้อยหน่าคาใจจนต้องลุกขึ้นเงยหน้าถาม

แล้วเนื้อหาที่พวกเขาเอ่ยอ้างถึงก็กลายเป็นวิวาทะที่ทำเอาคนทั้งคู่ทุ่มเถียงกันเรื่องหนังสือนิทานสมัยเด็กอย่างหน้าดำหน้าแดง ถึงขั้นทวนเนื้อหานิทานกันทั้งเรื่อง...ซึ่งก็ตรงกัน แต่ต่างคนก็ต่างยึดถือว่าที่ตนเองตีความนั้นถูกต้อง ยังดีอยู่หรอกที่แม้จะเถียงกันแบบไม่มีใครยอมใคร แต่ก็ยังไม่ถึงกับลงไม้ลงมือกัน แต่ก็กินเวลาอยู่เป็นสิบๆ นาทีกว่าที่ทั้งคู่จะค่อยคืนสติมารับรู้ว่า...กำลังทำอะไรกันอยู่ (วะ!)

ด้วยวุฒิภาวะที่ค้ำคออยู่ ทำให้ทั้งคู่จำต้องหยุดเถียงกันไปโดยยังไม่มีข้อสรุปว่าใครถูกใครผิด

หญิงสาวทำปากเบ้ เบือนหน้าหนีด้วยความหงุดหงิดแล้วก็ต้องนิ่งไปเมื่อหันไปเห็นจันทร์เสี้ยวนอกบานหน้าต่าง มันเป็นจันทร์เสี้ยวที่งามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น ดวงจันทร์เป็นเส้นเรียวเล็กลอยท่ามกลางเงาดำของพุ่มพฤกษา เห็นแล้วจึงค่อยรู้สึกตัวว่าความมืดได้เข้าครอบครองห้องครัวนั้นไว้แล้ว เพราะต่างก็ฝึกสายตามาเป็นอย่างดี ทำให้ต่อให้ไม่เปิดไฟ ทั้งคู่ก็ไม่เดือดร้อนเรื่องการมองสักนิด...

แต่อย่างไรคนสองคนก็ไม่อาจอยู่ในความมืดมิดไปได้ตลอด อัคนีเป็นคนเดินไปกดเปิดสวิตช์ไฟ ไฟวอร์มไลต์อันอบอุ่นพลันสว่างขึ้นในห้อง

ห้อง...ที่ดูแปลกไปในสายตาอัคนี อาจเพราะ...ใครอีกคนที่หันหน้ากลับมาจากแสงจันทร์แรมแปดค่ำ สีหน้าเธอสุกสว่างราวทอประกายความสุข จนราวกับห้องครัวของเขาสุกสกาวด้วยรอยยิ้มพรายของเธอขณะเอ่ยออกมา

"ฉันชอบห้องครัวนี้มากเลยอะ"

มันเป็นคำชม...ที่ทำเอาผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องขมวดคิ้วก่อนกลอกตา มึนงงนิดหน่อยกับคำพูดผู้บุกรุก

หญิงสาวไม่ปล่อยให้เขางงนาน เพราะเธอรีบพูดต่อ

"นายไม่ค่อยได้อยู่บ้านใช่มะ" มาอีกแล้วข้อสันนิษฐานอันแสนมั่นหน้า แถมยังมีข้อมูลรองรับเสียด้วย "ตู้จดหมายนายมีบิลตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนค้างอยู่...แต่ไม่เป็นไร ฉันให้คนไปจ่ายมาให้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางถูกตัดน้ำตัดไฟง่ายๆ แน่ๆ"

คนพูดเปิดรอยยิ้มเหนือกว่าคล้ายๆ จะทวงบุญคุณนิดๆ และภูมิใจหน่อยๆ ที่ได้เกทับชาวบ้าน

อัคนีหรี่ตาจ้องคนที่ดูไม่สะดุ้งสะเทือนกับรังสีอำมหิต หรือสีหน้าไม่รับแขกของใครทั้งนั้น เขาบอกตัวเองว่าลองปล่อยให้พูดต่อไปดู...อยากรู้เหมือนกันว่า ยายตัวร้ายจะมาไม้ไหนกันแน่

"และนายก็ไม่มีคนที่จะมาทำตรงนี้ให้ใช่ไหมล่ะ" หญิงสาวถามต่อ

อัคนีถามตัวเองอย่างสงสัย ‘ผู้หญิงคนนี้...ถ้าจะไม่พูดเองเออเองสักนาทีจะขาดใจตายใช่ไหม แถมยังพยักพเยิดมั่นหน้าสุดๆ อีก’

"ช่วยไม่ได้ งั้นฉันจะทำเรื่องพวกนั้นให้คุณเอง แลกกับการขอมาอยู่ที่นี่สักระยะ" คนพูดพยักหน้ายิ้มๆ ดุจเขาเป็นฝ่ายอ้อนวอนขอให้เธอทำอย่างไรอย่างนั้น

...แต่เดี๋ยว!

อัคนีดึงสติจากความฉุนเฉียวจนเกือบฟิวส์ขาด มาโฟกัสกับข้อความสุดท้ายนั้นได้ทัน

"นี่คือการ..." ชายหนุ่มเว้นจังหวะการถามด้วยการสูดลมหายใจลึก ข่มใจไม่ให้กระโจนเข้าไปเขย่าคอคนตรงหน้า "ขอมาอาศัยอยู่ด้วย...งั้นเรอะ?"

เขาจับใจความสำคัญออกมาตั้งคำถามขณะคน 'ขอมาอยู่ด้วย' รีบโบกไม้โบกมือ

"ไม่ได้ขอ เรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกันดีกว่า คุณก็จะได้รับบริการจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้านให้แบบไม่ต้องลงมือทำเอง ส่วนฉันก็...ขอที่ลี้ภัยเพื่อตั้งตัวสักระยะหนึ่ง ต่างคนต่างได้ประโยชน์ไง วิน-วิน" คนพูดทำตาระยิบระยับวับวาวที่ไม่ซ่อนความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจไว้สักนิด

อัคนีเริ่มเข้าใจตงิดๆ แล้วว่าทำไมเธอถึงไม่สามารถเจรจาขอทุนมาทำธุรกิจของตัวเองได้เสียที ก็ถ้าแม่คุณมีทักษะการเจรจาน่าโดนบีบคอเขย่าอย่างนี้แล้วละก็...ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหอะถึงจะมีไอ้หน้าโง่สักคนหลงมาลงทุนให้น่ะ

"ไม่!" ชายหนุ่มตัดบทพลางชี้นิ้วไปที่ประตู เพื่อไล่แขกและจบการพบปะอันยาวนานนี้เสียที เขาไม่เคยต้องเสียเวลามาเจรจาอะไรไร้สาระขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ ความกระด้าง เลือดเย็น ไร้หัวใจค่อยๆ กลับคืนมาฉาบเคลือบอารมณ์เขาเอาไว้ เพื่อไล่เธอออกไปให้พ้นจากที่นี่...และไม่ให้กลับมาอีกเลย

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะมาลี้ภัยหรือซ่อนตัวอยู่ได้...มันไม่ใช่ที่อยู่อาศัยเสียด้วยซ้ำไป มัน...

แต่คนถูกไล่กลับทำตาวาวด้วยสีหน้าดื้อดึง เหมือนอยากจะเถียงให้ขาดใจเลย ถ้าโทรศัพท์มือถือของเธอจะไม่สั่นระรัวด้วยเสียงเพลงเรียกเข้าสุดเร้าใจเสียก่อน เสียงเพลงตื๊ดๆ ทำลายบรรยากาศการทะเลาะกันจนหมดสิ้น

น้อยหน่าหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาดูชื่อคนโทร.เข้ามาขัดจังหวะอย่างหัวเสียก่อนกดรับสาย

"ฮัลโหลมู่มีอะไร" ถามไปแล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะคนปลายสายนั้นส่งเสียงร้องไห้โฮดังลั่น

"น้อยหน่า...ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย...พี่ชายแกจะฆ่าฉันแล้ว ฮือๆๆ"

"เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ" หญิงสาวตกใจกับน้ำเสียงสะอึกสะอื้นที่เจือความสติแตกของเพื่อนสาว เพราะปกติมู่เป็นคนจิตแข็งและควบคุมอารมณ์เก่งมากคนหนึ่ง แถมยังรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีมาก ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เพื่อนสายแข็งของเธอเสียงสนั่นหวั่นไหวขนาดนี้ได้ต้องไม่ธรรมดา

"พี่ชายแกบุกมาคอนโดฉัน มาถึงก็ขู่เอาๆ ฮือๆ ทำไมแกไม่บอกฉันก่อนวะ ว่าพี่ชายแกน่ากลัวขนาดนี้เนี่ย ว้าย!" ท้ายเสียงคือเสียงอุทานตกใจ ก่อนเสียงคู่สนทนาจะเปลี่ยนเป็นเสียงห้าวที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี

"น้อยหน่า มาที่นี่เดี๋ยวนี้!" พี่ปืนสั่งเสียงเข้มก่อนตัดสาย ทิ้งให้น้องสาวยืนนิ่งอึ้งด้วยสีหน้าหลากอารมณ์ โกรธน่ะใช่ เพราะดูเหมือนพี่ชายเธอจะล้ำเส้นไปข่มขู่รังแกเพื่อนเธอจนต้องร้องห่มร้องไห้ แต่พร้อมกันนั้นหญิงสาวก็ประเมินสถานการณ์ของตัวเองไปด้วย ว่าในตอนที่ไปถึง เธอคงไม่แคล้วโดนข่มขู่ให้ไปอยู่บ้านป้าทิพย์แหงๆ

เพราะพี่ปืนข่มขู่เธอมาตลอดหลายวันมานี้ อีกทั้งบีบบังคับให้เธอย้ายออกเพื่อไปอยู่บ้านป้าทิพย์ ซึ่งก็มีความหมายเท่ากับบังคับให้เธอกลับไปอยู่บ้านพ่อนั่นแหละ และเธอคงไม่ยอมไปอยู่สถานที่เลวร้ายแบบนั้นแน่ๆ

หญิงสาวจึงตัดสินใจย้ายข้าวของไปฝากไว้บ้านเพื่อน แล้วเดินทางมาตกลงขอยืมที่พักอาศัยกับอัคนี ซึ่งน่าจะพอช่วยให้รอดพ้นจากสายตาและการคุกคามของคนที่บ้านเธอได้บ้าง อย่างน้อยขอให้พอมีเวลาหาที่พักใหม่ซึ่งปลอดภัยและแน่ใจว่า เจ้าของสถานที่จะไม่โดนครอบครัวเธอคุกคามง่ายๆ เท่านั้นเอง

แต่ใครจะคิดว่าไอ้พี่ชายป่าเถื่อนของเธอมันจะ...ฮึ่ม!

ไอ้พี่ปืน! ไอ้พี่เฮงซวย!

หญิงสาวกัดริมฝีปากก่อนหันมองหน้าเจ้าของบ้านที่ยังคงทำสีหน้าถมึงทึงใส่เธออยู่ แต่ก็มีรอยความอยากรู้วูบผ่านในดวงตาคู่นั้น

น้อยหน่าก็สงสัยว่าจะเป็นยังไงนะ ถ้าพี่ชายเธอมาอาละวาดถึงที่นี่

...ไม่เอาดีกว่า อย่าให้เขาต้องพลอยมาซวยไปด้วยเลย แค่นี้ปัญหาของเขาก็ดูจะเยอะพอแล้ว หญิงสาวทำปากเบ้ก่อนถอนใจหนัก

"เออ...โอเค...ขอบคุณสำหรับกาแฟ ไม่รบกวนแล้ว ลาก่อน"

ทันทีที่ร่างบางหมุนตัวกลับก็ราวกับว่าเธอจะพาแสงสว่างอันอบอุ่นในห้องหายวับไปด้วย จน...

อัคนีก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงควบคุมตัวเองไม่อยู่ขนาดนี้ มือใหญ่เอื้อมตะปบคว้ามือเธอไว้ และก็ต้องว้าวุ่นใจเสียเองเมื่อหญิงสาวหันกลับมามองมือเธอที่ถูกยึดไว้ในมือใหญ่ ก่อนไล่สายตามามองหน้าเขาอย่างตั้งคำถาม

เอาไงดีล่ะ

บ้าเอ๊ย! ไล่เขาแทบตาย แล้วพอเขาจะไปจริงๆ ดัน...

ความปั่นป่วนว้าวุ่นใจตีรวนอยู่ในอกจนใจอัคนีวุ่นวายไปหมด ดวงตาดำจัดวูบไหวด้วยหลากอารมณ์ แล้วหนึ่งในอารมณ์ที่ชัดเจนที่สุดที่เขากำลังรู้สึกนั้นก็กระตุ้นให้ต้องตัดสินใจปลดสร้อยที่คอตัวเองออกมาคล้องให้คนตรงหน้า มันเป็นสร้อยคอโลหะรมดำแบบที่ทหารใช้คล้องด็อกแท็กกัน เพียงแต่สิ่งที่สร้อยคล้องไว้ไม่ใช่ด็อกแท็ก แต่เป็นจี้เล็กๆ เมื่อน้อยหน่าหยิบขึ้นมาดูก็ต้องประหลาดใจ เพราะมันเป็นน้อยหน่า...

จี้ที่เป็นโลหะมันวาวมีรายละเอียดต่างๆ ของระเบิดน้อยหน่าราวกับของจริง ทั้งรอยบากของลูกระเบิด หรือแม้แต่สลักและกระเดื่องเล็กๆ ก็ยังมีเลย หญิงสาวเลิกคิ้วมองหน้าเขาเป็นเชิงถาม สีหน้ายุ่งๆ ของเขาก็ดู...แปลกๆ พิกลยามบอก

"ฝากไว้ ไม่ต้องเอามาคืน เดี๋ยวให้คนไปเอาเอง"

กำลังคิดจะไม่ยอมรับแบบหยิ่งๆ แต่...เจ้าน้อยหน่าจิ๋วลูกนี้มันก็โคตรน่ารักเลย ไม่รู้ว่าเขามีไว้ทำไม แต่...ของฟรีรับไว้ก็ไม่เสียหายอะไรมั้ง หรือถ้าอยากเอามาคืน เธอก็แค่เอามาหย่อนคืนไว้ในตู้ไปรษณีย์ให้อีตาคนที่สองสามเดือนไปเปิดตู้ดูทีไปเจอเองก็ได้นี่นา

อีกอย่าง เมื่อคิดได้ว่าจะไม่มากวนเขาที่นี่อีกแล้ว และอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน ก็...ทำไมถึงไม่จากกันแบบดีๆ เล่า คิดได้ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงเงยขึ้นยิ้มกว้างให้เขา พร้อมบอกขอบคุณแล้วเอ่ยอำลา

เป็นการอำลาที่ราวกับจะเพิ่มความมืดหม่นให้สถานที่มากขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่าเมื่อไม่มีเธออยู่ในครัวมืดๆ นี้อีกต่อไป...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น