9

บทที่ 9


9

 

บางครั้งอัจฉริยะก็อาจลืมไปว่ามันไม่มีอะไรได้อย่างใจเขาทุกอย่างหรอกนะ!

ปืนหรี่ตามองดูโน้ตบุ๊กตรงหน้าอย่างหัวเสียนิดหน่อย จากที่มีแผนหาเรื่องบุกเข้าไปหาหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของห้องอีกสักรอบ ผ่านข้ออ้างว่าเขาลืมอุปกรณ์ทำงานไว้ในห้องครัวเธอ แต่คราวนี้จะแนะนำตัวดีๆ อาจมีโอ๋ปลอบใจอีกนิดหน่อยที่เมื่อครู่นี้เขา 'หยอกล้อ' เธอหนักมือไปสักนิด คิดว่าน่าจะทำความเข้าใจกันได้ไม่ยากนัก

แต่...ใครจะคิดว่าเจ้าของห้องจะอัปเปหิอุปกรณ์ทำงานเขาออกมาโดยไม่อินังขังขอบขนาดนี้

เจ้าโน้ตบุ๊กที่มีงานมูลค่าตั้งไม่รู้เท่าไรของเขาถูกวางกองไว้ที่หน้าห้องอย่างไม่ดูดำดูดี โดยยายตัวร้ายที่...นาทีนี้ปืนนึกแช่งชักให้เธอเป็นโสดไปจนชั่วชีวิตเสียเลย หรือไม่อย่างนั้นขอให้เธอได้ลงเอยกับผู้ชายห่วยแตก นิสัยแย่ๆ ให้โดนรังแกเสียให้เข็ด!

แต่ประตูเจ้ากรรมจู่ๆ ก็เปิดผลัวะทำเอาคู่กรณีสะดุ้งทั้งคู่

ปืนที่นึกแช่งชักเธออยู่จึงอดตกใจ...นิดหน่อยไม่ได้ ขณะที่มัลลิกาสะดุ้งโหยงเพราะจู่ๆ ก็เปิดมาเจอคนที่ทำเธอหวาดผวามาตลอดหลายชั่วโมงเข้าให้

หญิงสาวแทบกรีดร้อง แต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว แล้วจัดการกับกระเป๋าโน้ตบุ๊กของปืนที่หลงอยู่บนเก้าอี้ในครัวซึ่งเธอเพิ่งเจอมันเมื่อกี้นี้เอง ปฏิกิริยาของมัลลิกาเป็นไปอย่างรวดเร็วราวมือวางระเบิด หญิงสาวเหวี่ยงกระเป๋าโน้ตบุ๊กออกมานอกห้อง แล้วปิดประตู กดล็อก คล้องโซ่นิรภัยด้วยเวลาเร็วกว่าสถิติโลก...ถ้าจะเคยมีการแข่งขันเหวี่ยงกระเป๋าโน้ตบุ๊กใส่หน้าผู้ชายแล้วล็อกประตูอะนะ...

จากนั้นเหรอ...ร่างบางเผ่นพรวดจากตรงนั้น โดยไม่ลืมคว้าโทรศัพท์มือถือติดมือเข้าไปในห้องนอน ล็อกประตูแน่นหนาก่อนขดตัวสั่นเทาอยู่ใต้โปงผ้าห่ม ไม่สนใจแล้วว่าเสียงเคาะหรือตะโกนเรียกที่หน้าประตูนั้นจะดังแค่ไหน หรือจะยังดังอยู่อีกนานเท่าไร

จนคนหน้าประตูจำต้องเลิกราไปเอง

ปืนยืนอึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้นอีกเป็นครู่ หลังจากไตร่ตรองจนแน่ใจว่า ยายหมวยตัวแสบ เพื่อนสาวของน้อยหน่าจะไม่ยอมมาเปิดรับเขาเข้าไปรังแกเธออีกรอบแล้วแน่ๆ

ขณะที่ชายร่างสูงก้มลงเก็บกระเป๋าและโน้ตบุ๊กที่พื้นขึ้นมา ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ยายคนที่ซื้อห้องพักสุดหรูหราหมาเห่ามูลค่ากว่าห้าล้านนี้มาเพื่อไว้ส่องผู้ชายเพื่อหาพ่อของลูกนี่...

รอยยิ้มอ่อนใจผุดขึ้นบางเบาบนริมฝีปากเขาเมื่อคิดว่า ผู้ชายตัวเป็นๆ มาเคาะห้องขนาดนี้ ยังเอาแต่ปิดประตูขังตัวเองไว้ไม่ยอมออกมา หล่อนคงหาได้อยู่หรอกนะ หลัวน่ะ!

คนคิดอดยิ้มขันๆ ให้ตัวเองไม่ได้ขณะยอมถอยออกมา ทั้งที่ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไร เพราะปกติแล้วเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามแผนนั้น แทบไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิต

แต่อย่างไรก็ดี เรื่องราวเหนือความคาดหมายที่เกิดจากการคาดคำนวณผิดของปืนไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ยังมีอีกเรื่องที่เขาคำนวณพลาดไป พลาดไปชนิดที่อาจอันตรายถึงชีวิตได้...ถ้าน้องไปฟ้องแม่!

ปืนคาดผิดว่าน้อยหน่ายังมีเงินติดตัวไว้ใช้จ่ายอย่างไม่ลำบากได้อีกนาน เพราะหญิงสาวเพิ่งให้เก่งนำเงินของมารดาไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าสาธารณูปโภคให้บ้านอัคนีจนหมดเกลี้ยงกระเป๋าแล้วน่ะสิ!

'ฉันโอเค หนีมาได้แล้ว มีเงินติดตัวไม่ถึงพัน'

นั่นคือข้อความที่น้อยหน่าส่งถึงมัลลิกาที่ไลน์มาถามด้วยความห่วงใย แต่ถ้าจะให้มาค้างด้วย...อาจต้องคิดดูก่อน

น้อยหน่าอยู่ในร้านกาแฟที่ดูปลอดภัยและมีผู้คนอยู่จำนวนหนึ่งที่พอจะเอาไว้เป็นตัวประกัน เอ๊ย! ไม่ใช่สิ! ไว้เป็นหลักประกันได้ว่า ถ้าพวกพี่ๆ ของเธอบุกเข้ามาใช้กำลัง อย่างน้อยถ้าตะโกนขอให้ช่วย หรือเรียกร้องความสนใจให้เกิดความวุ่นวายขึ้น คนพวกนี้ก็น่าจะพอใช้ถ่วงเวลาให้เธอได้บ้าง หญิงสาวเลือกโต๊ะในสุด ติดทางเดินไปห้องน้ำ ซึ่งมีประตูออกทางครัวได้อีกทางหนึ่ง เป็นทางหนีทีไล่ที่หญิงสาวตระเตรียมไว้ใช้เผื่อฉุกเฉิน ซึ่ง...น่าจะไม่ต้องใช้แล้วมั้ง!

'ไอ้พี่เฮงซวย!'

หลังจากกดฟังข้อความที่พี่ปืนฝากเอาไว้จบลง น้อยหน่าก็ด่าดังๆ คนเดียวในลิฟต์ไปรอบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยประโยคนั้นซ้ำๆ ในใจอีกเป็นร้อยรอบขณะแหวกกระเป๋าตังค์ใบหรู...อีกหนึ่งไอเทมที่แม่ซื้อให้และบังคับให้ใช้งานไม่ใช่ให้เอาไปประมูลขาย

กระเป๋าตังค์หรูก็จริง แต่มีเงินในนั้นไม่เกินหนึ่งพันบาท หลังจากคุ้ยเขี่ยแคะเขย่าเอาทุกบาททุกสตางค์ออกมาแล้ว หญิงสาวก็บอกตัวเองได้ว่า ไม่น่ารอดเกินสองวัน...

สำหรับชีวิตในกรุงเทพฯ แล้ว เงินแค่พันเดียวพอแตกแบงก์พันปุ๊บ มันก็แทบละลายหายไปแล้ว ยังดีหน่อยที่มีร้านกาแฟและร้านอาหารเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงให้พอสิงลดค่าใช้จ่ายได้อยู่ แต่คนเราก็ไม่สามารถนั่งในร้านกาแฟได้ตลอดไปปะ!

โรงแรมที่ปลอดภัยพอจะเข้าพักได้อย่างวางใจ แม้มีที่ราคาต่อคืนถูกกว่าหลักพัน แต่...เธอต้องนอนโรงแรมกี่คืนกันล่ะ

บ้านเพื่อนยังเป็นโซนต้องห้าม ถ้ายังอยากจะมีเพื่อนไว้คบหากันโดยไม่ถูกไอ้พวกพี่ๆ วายร้ายบุกไปทำลายความสัมพันธ์ถึงหน้าประตูบ้านแบบมัลลิกา...คิดถึงไอ้มู่แล้วก็โมโหพี่ปืนขึ้นมาติดหมัด

‘ไอ้พี่บ้าเอ๊ย!’

หญิงสาวซดกาแฟสดรสชาติดีจนหมดแก้ว...เป็นกาแฟแก้วที่สองของวันที่ทำให้อดคิดถึงแก้วแรกในครัวใหญ่นั่นไม่ได้ พอได้ลิ้มรสชาติดีๆ แพงๆ เข้าไปยิ่งทำให้ยากจะทำใจยามต้องมานั่งกลั้วคอด้วยกาแฟรสชาติห่วย ซึ่งด้วยเงินที่มีคงต้องยังชีพแบบนั้นไปอีกหลายวันเลย

จะบอกว่าเธอไม่มีเงินเลยก็ไม่ถูกต้องนัก จริงๆ แล้วเงินมหาศาลที่ได้กำไรจากหุ้นยังคงค้างอยู่ที่พี่กาย ซึ่งถ้าเบิกออกมาใช้จ่าย ปัญหาความฝืดเคืองของเธอจะหมดสิ้นไปทันที

แต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ...จะไปหาพี่กายอย่างไร โดยไม่ให้พวกพี่ชายเธอบุกเข้าไปร่วมรับรู้บัญชีทรัพย์สินที่ซ่อนเอาไว้นั่น ขืนถ้าพี่ปืนรู้ว่าเธอไม่ได้จนตรอกอย่างที่เขากดดันนะ...ไม่รู้ว่าพี่ชายจอมเจ้าแผนการของเธอจะงัดการอายัดทรัพย์สินอะไรมาใส่กันอีก

'โว้ย!'

หญิงสาวสบถในใจพร้อมๆ กับที่เหลือบเห็นผู้ชายตัวสูงผมเกรียนๆ เดินเข้ามาในร้าน แม้ไม่ชัดเจนนัก แต่สัญชาตญาณระแวงภัยทำให้หญิงสาวลุกพรวด เผ่นหายออกทางประตูหลังร้านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากส่องจนแน่ใจว่าไม่มีใครดักซุ่มอยู่ด้านหลังร้านแล้ว หญิงสาวจึงลัดเลาะออกทางซอยเล็กด้านหลัง พยายามเลี่ยงทางหลักที่น่าจะถูกเจอตัวได้ง่าย หญิงสาวคิดว่าตัวเองมีสกิลในด้านนี้พอตัวทีเดียว ถ้าหางานที่ต้องใช้ความสามารถด้านนี้อาจรุ่งก็ได้นะเนี่ย

เดี๋ยวสิ! งานโลกไหนเขาใช้สกิลการหนีในการทำงานกันยะหล่อน

ตรอกหลังร้านกาแฟให้อารมณ์ตรงข้ามกับความสวยงามหรูหราด้านหน้าราวฟ้ากับเหว แต่ทางเดินขรุขระที่ซ่อนตัวอยู่หลังความสวยงามที่ฉาบไว้หน้าร้านนั้นไม่ได้สร้างปัญหาให้หญิงสาวอย่างน้อยหน่า

ไม่ว่าจะเป็นทางเดินปูพรมแดงหรูหรา หรือทางเดินตะปุ่มตะป่ำในตรอกสกปรกมืดๆ เปลี่ยวๆ ตอนดึกดื่น ก็ไม่สามารถสร้างความลำบากใดๆ ให้คนอย่างเธอได้

สิ่งที่น่าจะสร้างความลำบากกับเธอได้นั้น...เป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังก้าวตามช้าๆ สะกดรอยตามเธอมาต่างหาก มองจากหางตาทำให้รู้ว่าชายร่างสันทัดค่อนไปทางผอมนั้นไม่ใช่คนคุ้นเคย...ถ้าเป็นไอ้เก่ง เดี๋ยวนี้มันอัปสกิลสะกดรอยขึ้นจนเธอแทบจับร่องรอยของมันไม่ได้แล้ว ไม่รู้มันไปเรียนเพิ่มมาจากไหน

ดวงตาวาววามของหญิงสาวหรี่ลงเมื่อดวงหน้าบึ้งตึงหน้าหนึ่งผุดขึ้นในความคิด

ดูเหมือน...เรื่องที่รอให้ไปคิดบัญชีด้วยจะเยอะกว่าที่คิด

และดูเหมือน...นักจี้ชิงทรัพย์คนล่าสุดจะไม่ใช่นักฉวยโอกาสที่ดีนัก...จะว่าไงดีล่ะ มันเลือกจังหวะแทงมีดเข้าใส่เหยื่อจากด้านหลังได้อย่างไร้ทักษะที่สุด ต่อให้เป็นสาวใสไร้เดียงสายังน่าจะไม่มีทางถูกมีดนี้แทงตายได้เลย!

คนคิดถอนใจนิดๆ ขณะเบี่ยงตัวหลบอาวุธมีคมที่ถูกใช้โดยคนไม่ชำนาญนัก

ฝั่งคนร้ายก็แทบสะดุ้งเมื่อมันรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ตัดสินใจลงมือแทงเหยื่อผู้หญิงจากด้านหลัง โดยหวังผลให้เหยื่อบาดเจ็บจนไม่อาจขัดขืนมันได้

แต่...นี่มันเหยื่อที่ไหนกัน!?

เหยื่อที่ไหนจะเบี่ยงตัวหลบคมมีดได้ด้วยท่าทางสบายดุจหมุนตัวบนแคตวอล์กขนาดนี้! แถมยังใช้จังหวะที่หมุนตัวสับสันมือใส่ลูกกระเดือกมันเต็มๆ ความเจ็บร้าวราวกับหลอดลมโดนขยี้นั้นแล่นปราดไปยังไม่ทันถึงสมอง มือเดียวกันนั้นก็ตวัดซ้ำ กระแทกเข้าที่สันจมูกใกล้ดวงตามัน ด้วยความเร็วแรงจนมันยังไม่รู้เลยว่าโดนอะไรเข้าไป ก็หงายลงไปนอนพะงาบ สำลักอากาศ ดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้นแล้ว

หลังจากสยบคนร้ายลงไปนอนที่พื้นได้แล้ว น้อยหน่าก็เตะมีดที่หล่นอยู่ใกล้ๆ ให้กระเด็นห่างออกไปเกินระยะคนร้ายเอื้อมถึง ก่อนเดินเข้าไปทางด้านศีรษะโจรร่างหย็องกรอด เตะทักทายมันอีกทีเป็นการย้ำเตือนกันนิดหนึ่งว่า อย่าคิดขัดขืนเสียให้ยากเลย

"อย่าขยับ ถ้านายขยับเดี๋ยวฉันตกใจเหมือนเมื่อกี้ไม่รู้ด้วยนะ" น้อยหน่าขู่ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเหี้ยมเกรียมพลางหักข้อนิ้ว ด้วยกิริยาที่ไม่มีตรงไหนที่ตรงกับคำบรรยายที่พูดออกมาสักนิด

คนที่นอนพังพาบอยู่บนพื้นแทบจะตะโกนสวนกลับมาว่า มันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายตกใจน่ะ ผู้หญิงห่าไรวะ สวยเสียเปล่า หนักทั้งมือทั้งเท้า ไม่น่าหลวมตัวเดินตามมาเลยให้ตายชักสิ!

"แกเป็นโจรแถวนี้เรอะ" น้อยหน่าชวนคุยขณะคิดว่า จะทำอย่างไรกับมันดี จะส่งตำรวจก็...เสียเวลาแถมยังอาจทำให้พี่ปืนตามหาเธอเจอด้วย หรือไม่อย่างนั้นถ้ามันหัวหมอหน่อย เธออาจโดนแจ้งความกลับ ข้อหาทำร้ายร่างกายก็ได้

เฮ้อ...เป็นคนสวยรูปร่างบอบบางแต่แข็งแรงนี่...อยู่ยากจริงจี๊ง!

"ถามก็ตอบดิวะ" น้ำเสียงน้อยหน่าเริ่มเหวี่ยง เผลอกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด ถ้าเป็นผู้หญิงอื่นที่สวยขนาดนี้คงเป็นกิริยากระเง้ากระงอดน่ารักน่าเอ็นดู (?) แต่เมื่อเป็นเธอที่ทำขึ้นตอนดึกดื่นในตรอกมืดๆ ข้างๆ ศีรษะสะบักสะบอมของโจรที่เพิ่งโดนอัดจนหมอบ ส่งผลให้เจ้าโจรพูดละล่ำละลักลิ้นแทบพันกัน

"โจรคับ ผมเป็นโจรครับ หากินอยู่ถะ...แถวนี้...งือ..." ท้ายประโยคเจ้าโจรพูดเสียงสั่นรัวสะเทือนใจ เมื่อเจ้าของรองเท้าสวยๆ คู่นั้นเริ่มเดินวนไปมาอยู่ใกล้ๆ ศีรษะมัน และทำท่าพร้อมจะเหนี่ยวใส่หัวมันได้ทุกขณะจิต

กิริยานั้นของน้อยหน่าเป็นผลมาจากการเติบโตมากับพี่ชายสุดโหด โดยเฉพาะพี่ปืนที่ชอบงัดการข่มขู่และกิริยาท่าทางที่มีผลทางจิตวิทยาต่างๆ นานาใส่เธอมาตั้งแต่เด็ก มันทำให้น้อยหน่าเผลอข่มขู่คนโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ข่มขวัญคนร้ายได้ชะงัดนัก

"พี่จะ...จะเอาเงินเอาอะไรก็เอาเลย แค่ปล่อยผมไปก็พอ อย่าทำอะไรผมเลยได้โปรดเถอะ ผมยังมีครอบครัวให้ต้องดูแลนะ ฮือๆ" โจรจิตหลุดทนความกดดันไม่ไหว แทบกอดขาหญิงสาวอ้อนวอนขอให้ปล่อยมันไป

ขณะคนที่ตอนแรกดูเหมือนจะเป็นเหยื่อ...อ้าปากค้าง สีหน้าตื่นตะลึงปนไม่อยากเชื่อ แถมด้วย...ความผิดหวังนิดหน่อย...

ทำไม...คำพูดถึงกลับกลายเป็นเหมือนเธอฝ่ายปล้นชาวบ้านเขาซะเองอย่างนี้เล่า!

โว้ย! โชคชะตาจะอะไรกับเธอนักหนาเนี่ย

แค่อยากออกจากบ้านมาใช้ชีวิตของตัวเองบ้างอะไรบ้าง ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

โดนพี่ปืนไล่ออกจากหอ แถมยังบุกมาขู่เพื่อนไม่ให้เธออาศัยอยู่ด้วย ถ้านั่นยังเลวร้ายไม่พอ ยังขู่ตัดเงิน ตัดความช่วยเหลืออีกต่างหาก

คิดจะให้เธอไปหาเงินใช้โดยปล้นชาวบ้านเขาหรือไงกัน!?

‘เดี๋ยว!’

ความคิดถึงคำว่า 'ปล้น' ทำให้ดวงตาคู่นั้นสว่างวาบขึ้นมา

‘นี่มันหลักการเดียวกันกับโรบินฮูดนี่หน่านิ!’

ดวงหน้าสวยหันขวับไปมองเป้าหมายที่ยังนอนพังพาบอยู่กับพื้นด้วยดวงตาเป็นประกายวาว

ไม่อย่างนั้นมันจะมีสุภาษิตว่า 'โจรปล้นโจร' ได้ไง

ถึงขั้นมีสุภาษิตแบบนี้ แสดงว่ามันคงไม่ผิดอะไรเท่าไรหรอก...มั้ง

ถ้าไม่ให้ตำรวจรู้...รับรองไม่ผิดกฎหมาย!

 

10

 

เกือบไปแล้ว...เกือบไปแล้ว! เกือบไปแล้ว!

น้อยหน่าพร่ำบอกตัวเองรัวๆ ขณะหัวใจเต้นแรงด้วยความระทึกแทบทะลุออกมานอกอก

เกือบได้ลงมือปล้นโจรแล้วไง!

ดีนะยั้งตัวเองอยู่

แต่จะเรียกว่ายั้งตัวเองได้ก็ไม่ถูกนัก คงต้องบอกว่าดีนะที่มีคนผ่านมาพอดี...

ซึ่ง...ที่จริงก็ไม่ดีเท่าไร

...ไม่ดีเอามากๆ

คือ...โคตรเฮงซวยเลยเหอะ!

ในระหว่างที่เจ้าโจรโชคร้ายนอนพังพาบอยู่กับพื้น และหญิงสาวผู้สยบโจรได้โดยแทบไม่ต้องเปลืองแรง กำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของการก่ออาชญากรรมกับอาชญากร

...ในทางคณิตศาสตร์นั้น เมื่อนำจำนวนลบมาคูณกับลบจะได้เป็นบวก

งั้น...การก่ออาชญากรรมซ้อนอาชญากรรมอีกทีก็อาจกลายเป็น 'ถูก' ก็ได้...มั้ง!

โอ๊ย! หลักการอะไรของหล่อน...ตรรกะพังมากแม่!

ระหว่างน้อยหน่ายังสองจิตสองใจ มัวหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเองอยู่นั้นก็ดันมีคนเดินผ่านมาพอดี...

ต้องเป็นคนแบบไหนกัน ที่เดินผ่านมาในตรอกมืดๆ ตอนดึกดื่นค่อนคืน...แถมมาตอนที่โจรนอนพังพาบอยู่ที่พื้นไปแล้วด้วย!

พลเมืองดีมาตอนจบเหมือนตำรวจในหนังไทยไม่มีผิด!

เพียงแต่พลอตคราวนี้ไม่อ่อนขนาดนั้น เพราะแทนที่เจ้าโจรร้ายจะสำนึกในความเป็นทุรชนของตัวเอง มันกลับแหกปากร้องเสียงดังลั่น

"ช่วยด้วยครับ! ช่วยผมด้วย! ผมโดนทำร้าย! ผมโดนปล้น!"

อ่าว เฮ้ย! ฉิบหายแล้วไง!

หญิงสาวแทบลืมตัวหันไปตะโกนใส่ผู้มาใหม่บ้างว่า

'เปล่านะ! ฉันแค่คิดเฉยๆ ยังไม่ทันได้ปล้นเลยนะเฮ้ย!' ยังดีหรอกที่ยังดึงสติไว้ได้ทัน ไม่ได้ตะโกนถ้อยคำสิ้นคิดเหล่านั้นออกมา

น้อยหน่าก้มลงมองร่างที่นอนหมดสภาพอยู่แทบเท้าตัวเอง ด้วยสายตาตื่นตะลึง อ้าปากค้างไปชั่วเสี้ยววินาที ใช้ห้วงเวลาสั้นๆ นั้นทบทวนความทรงจำกับตัวเองว่า เธอไม่ได้สับสนอะไรใช่ไหม

ใครมันปล้นใครกันแน่ยะ ไอ้โจรสมองเสื่อม!

โดนสันมือเข้าไปไม่กี่ที แถมตอนล้มลงไปหัวไม่ได้กระแทกพื้นเสียหน่อย ทำไมถึงสมองกระทบกระเทือนจนจำเหตุการณ์สลับกันได้ขนาดนี้

คนที่พุ่งมีดใส่คนอื่นมันคือแกไม่ใช่เรอะ!

มีดที่...กระเด็นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้เนี่ยสิ!

‘บ้าจริง! เมื่อกี้ไม่น่าเตะทิ้งไปเสียไกลจนหาไม่เจอเลย’ หญิงสาวคิดอย่างเริ่มเหงื่อตก

ดูรูปการณ์แล้วมีโจรที่กลายเป็นเจ้าทุกข์ แถมยังดูบาดเจ็บจนนอนร้องโอดโอยฟ้องชาวบ้านอยู่แบบนี้ ใครมันจะมามัวฟังว่าเป็นการป้องกันตัวของเธอกัน แล้วยังมีดที่ตกบนพื้นที่ยังหาไม่เจอ แถมด้วยประวัติที่เป็นแชมป์ศิลปะป้องกันตัวตั้งไม่รู้กี่ขนานของเธอ คงทำให้ตำรวจร้อยเวรยิ้มมุมปาก เพราะยากจะเถียงจริงๆ ว่ามันเป็นการป้องกันตัว

หนทางเดียวที่จะรอดจากโรงพักได้ คงไม่พ้นหนี

มันต้องเป็นแผนของไอ้พี่ปืนแน่ๆ!

คนคิดเข่นเขี้ยวกับตัวเอง ขณะหันหลังโกยอ้าวออกมาจากที่เกิดเหตุ ด้วยฝีเท้าที่ถูกฝึกปรือมาอย่างดีจากการโดนทำโทษให้วิ่งรอบค่ายมาทั้งชีวิต และด้วยทักษะที่ฝึกฝนจนมีสายตาเฉียบคมในความมืด ทำให้ไม่ต้องถึงกับคลำทางก็พาตัวเองล่องหนออกจากบริเวณนั้นมาได้โดยไม่ยากเย็น

และด้วยสกิลสุดท้าย...ถ้าการถูกปรักปรำจนชำนาญจะเรียกว่า เป็นความสามารถชนิดหนึ่งแล้วละก็ ต้องบอกว่าเธอถูกปรักปรำเก่ง!

และคนที่ยัดเยียดความสามารถด้านนี้ให้เธอนั้นไม่ต้องมองไปทางไหนไกล...ยายทิพย์...ธารทิพย์ลูกพี่ลูกน้องเธอ ลูกสาวของป้าน้ำทิพย์ ญาติแท้ๆ ของเธอเองนั่นแหละ

ขณะที่น้อยหน่าเป็นหญิงสาวร่างสูงปราดเปรียวคล่องแคล่วจนถูกป้าทิพย์ค่อนขอดเสมอว่า เป็นลิงทโมน ผิดกับลูกรักของท่านที่เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้...

ถถถถถถ!

ผ้าพับไว้ที่วางทับหมอนเข็มสิไม่ว่า!

ธารทิพย์เตี้ยกว่าเธอเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ เป็นหญิงสาวตัวเล็กร่างผอมบาง ผิวไม่ขาวจัด แต่ดูซีดเซียวเหมือนคนสุขภาพไม่ดี บวกกับการไปทำหน้าวีเชฟมาจนคางแหลม ผสมกับความพยายามควบคุมหุ่นขนาดหนัก ทำให้เธอยิ่งดูซูบจนเกินไป ดวงหน้า 'เกือบ' สวยใสยังมีหางตาตกหน่อยๆ ที่ทำให้ดวงตาดูเศร้า ส่งเสริมให้บุคลิกดูน่าสงสาร และเหมือนจะโดนรังแกอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงนั้นตรงกันข้าม

เป็นธารทิพย์ต่างหากที่มักหาเรื่องกลั่นแกล้งรังแกเธอเสมอ ทั้งๆ ที่อายุเท่ากันแท้ๆ แต่ด้วยความที่ตัวโตกว่าอีกฝ่าย และมีนิสัยห้าวๆ ลุยๆ เหมือนผู้ชาย ทำให้น้อยหน่าถูกบังคับให้เป็นฝ่ายต้องยอมตลอด ไม่ว่าธารทิพย์จะแย่งขนม แย่งของเล่นเธอ หรือกลั่นแกล้งเธอขนาดไหน อีกฝ่ายจะรอดตัวไปได้ทุกครั้ง ด้วยสกิลปั้นหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ทำหน้าตาน่าสงสาร น้ำตาคลอๆ แบบ...เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์มาตั้งแต่เด็ก และพอธารทิพย์เริ่มทำตัวน่าสงสาร ป้าน้ำทิพย์จะคอยตาม ส่งเสริมความน่าเศร้าของลูกสาวตัวเองเข้าไปอีก ทั้งจิกกัดใส่เธอ ทั้งดรามา

เรื่องกำพร้าพ่อกับการต้องสู้ชีวิตสุดรันทดหดหู่ของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้สุดแสนอับจนหนทาง ไม่ได้มีสามีเป็นนายพลที่ทั้งร่ำรวย ทั้งมีอิทธิพล จนจะกลั่นแกล้งรังแกลูกใครๆ ก็ได้ อีกทั้งลูกสาวผู้อ่อนแอบอบบางก็ไม่สู้คน จนใครๆ ก็รังแกกันได้ง่ายๆ

เท่านี้ความผิดทั้งหมดทั้งมวลก็ตีกลับ ฝ่ายที่ถูกรังแกก็กลายเป็นฝ่ายผิดได้ง่ายๆ แล้ว

น้อยหน่าพยายามโต้แย้งมาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบยันโตก็ไม่สามารถสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองได้ เพราะการแท็กทีมกันของแม่ลูกทวินทิพย์คู่นี้ จนอายุสิบห้า...ความสามารถในการสร้างเรื่องราวกลั่นแกล้งกันของธารทิพย์ก็เพิ่มขึ้นตามอายุ และหนักข้อขึ้นกว่าการล้อเล่นกันของเด็กๆ แถมสกิลการปรักปรำขั้นเทพ กลับผิดเป็นถูกของแม่กับลูกก็ล้ำเส้นขอบเขตศีลธรรมและความสำนึกรับผิดชอบชั่วดีเข้าขั้นวิกฤต ทำให้หญิงสาวเรียนรู้วิธีรับมือกับคนแบบนี้ได้ในที่สุด

นั่นคือการหลีกหนีไปให้ไกลเท่านั้น

ดังนั้นไม่ว่าคุณแม่จะทั้งปลอบทั้งขู่ ทั้งขอร้องอย่างไร บ้านป้าทิพย์ก็เป็นสถานที่ชวนขยาดที่หญิงสาวไม่ยอมไปเด็ดขาด

ไอ้พวกพี่ๆ มันถึงเอาบ้านป้าทิพย์มาเป็นเงื่อนไขข่มขู่เธอไง

ไอ้พวกพี่เฮงซวย! นอกจากไม่เคยเข้าข้างน้องแล้วยังขยันขู่กันอีก!

คิดว่าเธอไม่กลัวหรือไงกัน!

 

ภายในตรอกมืดๆ ที่ยังมีร่างของเจ้าโจรกระจอกนอนอยู่ที่พื้น กับร่างสันทัดของ 'พลเมืองดี' ที่กำลังก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้ ทุรชนร่างหย็องกรอดรีบยันตัวขึ้นจากพื้น พลางพร่ำรำพันไปด้วย

"เกือบแย่เสียแล้ว ขอบคุณมากนะ ถ้าพี่ไม่ผ่านมาช่วยไว้ผมคง...แอ้ก!" ท้ายประโยคเป็นเสียงร้องเจ็บจุก จากการโดนเท้าในรองเท้าหุ้มข้อกระทืบซ้ำเข้ากลางหลังของร่างที่ยงโย่ยงหยกจะลุกจากพื้น

"โอ๊ย ทำอะไรของพี่เนี่ย อั้ก!" ท้ายประโยคยังเป็นเสียงของความเจ็บปวดอยู่ จากการถูกกดเท้าเน้นลงไปอย่างหงุดหงิด

"หนวกหู! หุบปากไปเลย" เจ้าของเสียงแหบห้าวคำรามเหี้ยมเกรียมใส่ ก่อนจะน้ำเสียงเปลี่ยนไป แต่คล้ายไม่ได้พูดกับคนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าตัวเองแล้ว

"เอาไงกับไอ้นี่ดี" คำถามเหมือนคุยกับใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ขณะกวาดตามองตามทางที่หญิงสาวเพิ่งเผ่นหนีลับตาไป อดชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้ว่า แม่ระเบิดน้อยหน่าของลูกพี่ช่างวิ่งเก่งดีจริง!

“สภาพมันเป็นยังไง”

คำถามนั้นคล้ายดังอยู่ในหัวด้วยเครื่องมือสื่อสารระยะไกลที่นำคำสั่งจากคนในเงามืดมาให้คนที่ยังอยู่กับโจรในตรอกมืดๆ

เขาเป็นชายหนุ่มร่างสันทัดซึ่งสวมชุดธรรมดา หน้าตาก็ธรรมดา ไร้จุดเด่น จุดด้อย แบบที่กวาดตามองผ่านไปได้ไม่สะดุด ไม่น่าจดจำใส่ใจเป็นพิเศษสักนิด แต่ถ้าพิจารณาเป็นพิเศษอีกหน่อย จึงจะรับรู้ได้ถึงดวงตาคมวาวที่ราวกับมองเห็นในที่มืดได้

ชายหนุ่มมองร่างที่ยังคงนอนพังพาบอยู่บนพื้นสกปรก ใต้ฝ่าเท้าตัวเองอย่างพิจารณา

"อืม...นอกจากที่ดูเหมือนมันโดนสันมือไปสักสองหรือสามทีแล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรเท่าไร...นอกจากท่าทางฟ้องเก่ง แถมยังใจเสาะ เพราะแทงผู้หญิงจากทางด้านหลัง ไม่กล้าเผชิญหน้าเหยื่อ" คนรายงานวิเคราะห์เชิงอาชญาวิทยาแถมจิตวิเคราะห์ให้ด้วย

“มัน...แทงใส่เธองั้นเหรอ” คนถามมีน้ำเสียงตกใจปนกัดฟัน

"แทงไม่โดน โดนสันมือสับเดี้ยงไปซะก่อน ไม่ต้องห่วง...นายผู้หญิงไม่มีรอยบุบสลาย" คำท้ายๆ มีรอยล้อเลียนขำขัน เรียกเสียงฮาครืนจากอีกหลายคนที่อยู่ในระบบสื่อสารที่ติดตามเรื่องราวเดียวกันอยู่

อัคนีกัดฟันสบถดุเดือดไปที ก่อนลูกน้องผู้เสียเวลาอยู่หน้างานนานไปแล้วจะรีบถามขึ้น

"แล้วไง ให้ทำไงกะไอ้นี่ดี เก็บเลยไหม" น้ำเสียงตอนท้ายออกจะเบื่อๆ แต่ทำเอาคนฟังตาเหลือก ตะเกียกตะกายขึ้นมาแหกปากโวยวายอีกครั้ง

"ยะ...อย่าฆ่าโผมมม...ช่วยดะ..."

เสียงตุบตับที่เหมือนมีการกระทบกระแทกอะไรสักอย่างหนักๆ ดังอยู่สองสามที ก่อนนิ่งเงียบไป

“เก็บมัน...” คำถามสั่งนั้นกึ่งคล้ายพึมพำกับตัวเอง

"จัดให้!" คนรับคำเปิดรอยยิ้มเลือดเย็นอำมหิต ก่อนขยับตัวรวดเร็ว ก่อนชักบางอย่างในเงามืด ก่อเกิดเสียงชิ้นส่วนโลหะลั่นกริ๊กเบาๆ ทำให้ร่างสะบักสะบอมใต้ฝ่าเท้าผวาเฮือก แต่ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะน้ำหนักฝ่าเท้าที่กดลงมาคงมากกว่าเรี่ยวแรงของมันที่มีเหลืออยู่

“...เอาไว้ก่อน...อย่าให้มันตายนะ”

ประโยคคำสั่งที่มาตอนท้าย เรียกเสียงสบถจากลูกน้องได้เป็นอย่างดี

"ห่าเอ๊ย! ไม่บอกพรุ่งนี้เสียเลยล่ะ" เพราะนิ้วเขาลั่นไกไปแล้ว!

เสียงแหวกอากาศดังขึ้นเมื่อกระสุนโลหะพุ่งผ่านท่อเก็บเสียงตรงปากกระบอกปืน และเจาะโดนพื้นคอนกรีตจนชิ้นส่วนปูนปลิวกระเด็น ทำเอาโจรที่นอนอยู่ที่พื้นสะดุ้งเฮือกร่างกระตุก หายใจพะงาบๆ คล้ายคนใกล้ตายก่อนร้องโอ๊ย! เพราะเท้าในรองเท้าหุ้มข้อเขี่ยมันให้หงายหน้าขึ้น เผยแก้มที่มีรอยถากของคมกระสุน

ไม่มีเลือดแดงฉานแผ่กว้างออกมา ไม่มีกะโหลกเปิด หรือมันสมองกระจายแต่อย่างใด มีเพียงกลิ่นอายอำมหิตคุกรุ่นอยู่ในบรรยากาศเท่านั้น

โจรดวงซวยสูดลมหายใจอีกหลายเฮือก กว่าจะรู้สึกตัวว่ายังไม่ได้โดนกระสุนเจาะหัวจนตาย...แค่เฉพาะในตอนนี้...

มันเพ่งมองฝ่าความมืดสลัวไปยังดวงหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงา ซึ่งเหมือนคุยกับใครสักคน ที่ไม่รู้ว่าจะประกาศิตสั่งตายมาอีกระลอกไหม

“ทำให้มันหุบปากได้ไหม”

"หา!?"

ลูกน้องทำสีหน้า 'อีหยังวะ' ใส่ความว่างเปล่าตรงหน้า แทบอยากถามว่า จะทำยังไงให้มันหุบปากได้โดยไม่ฆ่าไม่ทราบวะ...ครับ...ฮะ!

และถ้าคำสั่งนั้นยังยากไม่พอ อัคนีเพิ่มคำสั่งใหม่อีกรอบ

“กับทำให้มั่นใจว่า มันจะเที่ยวไปแทงใส่ข้างหลังของผู้หญิงคนไหนอีกไม่ได้ทั้งนั้น...”

WTF!

คนเป็นลูกน้องคงอยากตะโกนคำนั้นออกมา...สีหน้ามันใช่

"ยังมี..." คำถามมาพร้อมเสียงสูดลมหายใจลึกแบบข่มกลั้นอารมณ์เต็มที่ "อะไรที่อยากทำอีกไหม"

“มี”

ดันรับคำอีก!

ฝ่ายรับคำสั่งทำสีหน้าเหมือนอยากตะโกนว่า...เมื่อกี้กูประโชดดด!!!

"มีอะไรอีก" คำถามข่มใจสุดๆ มาพร้อมๆ กับดวงตาที่มองอาชญากรตรงหน้ายิ่งทอประกายอำมหิตดุดันขึ้นทุกที

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว...ไม่จำเป็นต้องปิดปากมัน...ให้มันคาบข่าวไปบอกเพื่อนมันที่หากินอยู่แถวนี้ว่า...”

"ว่า..." คนถามตั้งเซฟปืนก่อนเก็บหายเข้าไปในเสื้อ

“ต่อไปนี้...ถ้ายังมีหมาตัวไหนกล้าเดินตามผู้หญิง...” คนพูดชะงักนิดหนึ่งเมื่อเกือบหลุดคำว่า...ของฉัน ออกมาแล้ว เสียงสูดลมหายใจลึกยาวตั้งสติเฮือกหนึ่ง ก่อนต่อคำ 'ผู้หญิงที่เดินคนเดียวตอนกลางคืนอีกละก็...'

คำสั่งต่อมาทำให้คนในเงามืดเปิดรอยยิ้มกว้างสะใจอย่างไม่ออมรังสีอำมหิตเลยสักนิดเดียว ท่ามกลางเสียงโอดโอยของโจรดวงซวยที่ดูเหมือนจะเลือกเหยื่อผิด มีกี่ชีวิตก็ไม่พอจะรับโทสะของชายหนุ่มผู้ซ่อนตัวอย่างหงุดหงิดอยู่ในที่มืดๆ แคบๆ นั้นได้

 

ดูเหมือนว่าเธอจะเริ่มเรียนรู้ขึ้นมาแล้วว่า การเดินในตรอกมืดๆ โดยพยายามเลี่ยงถนนสายหลักที่แสงไฟส่องถึงนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก

เมื่อหญิงสาวร่างโปร่งวิ่งพ้นตรอกที่เกิดเหตุออกมาได้ไกลระยะหนึ่งก็ผ่อนฝีเท้าลงเป็นการเดินเอื่อยๆ เบาสบายดุจไม่เคยเจอการคุกคามจากคนร้ายมาก่อน นับว่าเป็นคนจิตแข็งที่ควบคุมสติเก่งมากๆ คนหนึ่ง แม้จะมีการ

เหลียวมองอย่างหวาดระแวงไปรอบๆ เป็นระยะ แต่ดูเหมือนมันเป็นการระวังภัยจากสายตาของคนที่พี่ชายเธอส่งมาติดตามเสียมากกว่า

ถ้าปล่อยให้เดินต่อไป ไม่รู้ว่าเธอจะเดินเรื่อยเปื่อยไปจนถึงไหน...

และเขาไม่มีเวลาว่างมาคอยตามดูอยู่ทั้งคืนหรอกนะ!

คนคิดสบถเบาๆ อย่างหัวเสียเมื่อเสียงจากพวกลูกน้องที่อยู่ในระบบดังจากเครื่องมือสื่อสารที่ติดอยู่ข้างหู เป็นเสียงบ่นดังคล้ายๆ กับที่เขาคิดอยู่

ชายในเงามืดถอนใจอย่างยอมจำนน ขณะที่เข้าเกียร์และบังคับพาหนะที่เขาใช้เป็นที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ให้เคลื่อนไปหยุดอยู่ข้างๆ นั่นทำให้คนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกใจมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แทบจะกระโจนหนี

รถเก๋งสีดำติดฟิล์มดำสนิทแล่นเข้ามาเทียบกับทางเดิน คนขับรีบลดกระจกลงแสดงตัวก่อนที่ 'คนขวัญอ่อน' จะได้วิ่งกระเจิงอีกรอบหนึ่ง

น้อยหน่าเกือบกระโจนหนีแล้วถ้าสายตาไม่ปะทะกับดวงตาคนขับเสียก่อน เป็นดวงตาดุๆ บนหน้าตึงๆ ของผู้ชายที่หน้าบึ้งที่สุดในสามโลก!

เขามาทำอะไรตรงนี้!

หญิงสาวกวาดตามองอย่างหวาดระแวงไปรายรอบ ก่อนเบนสายตากลับมาที่รถสีดำไม่ปรากฏยี่ห้อ ไม่มีป้ายทะเบียน เป็นซูเปอร์คาร์หรูที่มีพวงมาลัยอยู่ทางด้านซ้าย บ่งบอกว่าน่าจะเป็นรถนำเข้าราคาแพงหูฉี่ พร้อมด้วยคนขับหน้าโหด...เหมือนไปโกรธใครมา

ชายหนุ่มตวัดดวงตาขุ่นขวางเข้าใส่เธอ พร้อมๆ กับคำสั่งด้วยเสียงห้าวๆ ห้วนๆ

"ขึ้นรถ!"

แหม...นี่...

ถ้า...ไม่ใช่เวลาดึกดื่นป่านนี้นะ

ถ้า...ไม่ใช่บนถนนมืดๆ ที่มีไฟหรุบหรู่ชวนให้นึกถึงหนังสยองขวัญที่มีผีโผล่มานะ

ถ้า...

"ให้ไว!" น้ำเสียงเหี้ยมๆ ที่บ่งบอกอารมณ์ของคนใกล้หมดความอดทนทำให้หญิงสาวเลิกหาเหตุผลแล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งจู๊ดอ้อมรถไปกระโดดขึ้นที่นั่งข้างคนขับ ประตูปิดฉับลงพร้อมๆ กับที่รถกระชากตัวจนผู้โดยสารต้องรีบควานหาเข็มขัดนิรภัยมารัดไว้โดยไม่ต้องให้เตือน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น