บทนำ
"ฉันอยากได้ผู้ชายคนนี้"
คำพูดนั้นทำเอาคนฟังพ่นกาแฟพรวด! แต่โชคยังดีที่เธอเบี่ยงตัวหลบวิถี ‘อาวุธเหลว’ นั้นได้ทันฉิวเฉียด
"เป็นบ้าอะไรหา ไอ้เก่ง" หญิงสาวร้องถามเบาๆ
เก่ง...หรือถ้าคนสนิทกันมากๆ เรียก 'ไอ้เก่ง' เป็นชายไทยร่างสันทัด อายุยี่สิบหกปี ผมเกรียนนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า มันสังกัดกรมกองไหน และแฝงตัวมาเพื่อสืบเรื่องราวของเธอไว้คอยไปรายงานคุณพ่อ
"คะ...คุณน้อยหน่า วะ...ว่าไงนะครับ" เก่งถามทั้งที่เหงื่อแตก สีหน้าบอกชัดเจนมากเลย ว่าไม่รู้จะเขียนเรื่องนี้ลงไปในรายงานที่ต้องส่งท่านนายพลว่ายังไงดี (วะ) !?
ณัฐนาราหรือน้อยหน่า หญิงสาวร่างเพรียวสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรมองลูกน้อง ด้วยหน้าตาสวยจัดจนทำให้คนคิดว่า เธอเป็นดาราได้อย่างไม่ยากเย็น และยังดูปราดเปรียว เปี่ยมด้วยพลังที่จะกระตุ้นให้ทุกผู้คนรายรอบตัวกระปรี้กระเปร่า หญิงสาวอยู่ในชุดสูทพอดีตัวที่แม้ราคาไม่แพง แต่เมื่อมันอยู่บนร่างกายสมส่วนของเธอก็ดูมีราคาขึ้นมาทันที
"ฉันบอกว่าฉันสนใจผู้ชายคนนี้ ฉันจะเอา"
คนพูดชี้ไปข้างหน้า ทั้งคู่อยู่ในสวนสาธารณะใจกลางเมือง ความเก่าแก่ของสวนทำให้บรรดาต้นไม้ใหญ่มีกิ่งก้านหนาทึบจนมืดสลัว มีเพียงแสงสีส้มจากไฟถนนลวดลายวิจิตรที่ส่องสว่างเป็นระยะตอนเวลาหนึ่งทุ่ม
จุดที่หญิงสาวชี้นิ้วไปคือ ฝั่งตรงข้ามของถนนสองเลนในสวนสาธารณะที่มีสนามหญ้ากว้าง เธอเพ่งมองไปทางนั้นก็เห็นเงาตะคุ่มๆ กว่าสิบชีวิตที่นั่งบ้าง นอนบ้าง บางคนลุกเดินไปมา จุดรวมความสนใจของคนเหล่านั้นคือ กระดานไม้ใต้ไฟถนนที่ทำหน้าที่เป็นกระดานดำ และเป้าหมายของน้อยหน่าคือ ผู้ชายร่างสูงใหญ่อย่างกับหมีตรงหน้ากระดานดำนั้น เขากำลังเป็น ‘ครูข้างถนน’ สอนหนังสือเด็กๆ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นเด็กไร้บ้านที่เร่ร่อนอยู่แถวนี้
"อ่า...เอ่อ...คุณน้อยหน่าครับ...ผมว่า...ท่านนายพล...คง...เอ่อ...คงไม่เห็นด้วยมั้งครับ" ไอ้เก่งเหงื่อแตกซิกๆ ขณะพยายามโน้มน้าวเจ้านายสาว โดยเลือกสิ่งที่คิดว่าน่ากลัวที่สุดในชีวิตตัวเองออกมาอ้าง
"พ่อฉันไม่เห็นด้วยเรื่องอะไร ฉันแค่จะให้นายไปสืบประวัติผู้ชายคนนี้มาให้"
"คะ...คุณน้อยหน่าเอาจริงหรือครับ" เก่งยังพยายาม...อย่างไม่เป็นผล เพราะเจ้านายสาวพยักหน้าหงึกๆ
"เอาจริง" หญิงสาวบอกด้วยสีหน้าและแววตามาดหมายยามมองไปที่เป้าหมายนั้น ทำเอาลูกน้องคนสนิทต้องปาดเหงื่อ
"ตะ...แต่คุณน้อยหน่าไม่ได้รู้จักกับเขาเลยนะครับ" ลูกน้อง...พ่อเธอยังคงพยายามอยู่
"ฉันถึงให้แกไปสืบมาให้ฉันไง"
"ผะ...ผู้ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้...จะ...จะพาเข้าบ้านได้ยังไงกันครับ" เก่งกลืนน้ำลายฝืดคอยามนึกภาพการพบปะกันระหว่างคนที่เจ้านายสาวสนใจกับท่านนายพลผู้เป็นบิดาของเธอ
"ใครบอกแกว่าฉันจะพาเข้าบ้าน" หญิงสาวหันมาถามด้วยสีหน้างุนงง พลางกะพริบตาปริบๆ ขณะที่ลูกน้องตาเหลือก แทบจะตะโกนออกมา
"นี่! คุณน้อยหน่าจะแอบคบผู้ชายโดยไม่บอกทางบ้านเหรอครับ แอ้ก!" ท้ายประโยคคือเสียงร้องของคนที่โดนหวดลงไปนอนกองกับพื้น
"ใคร!? ใครบอกว่าฉันจะทำบ้าๆ บอๆ แบบนั้นหา!!!" หญิงสาวเลือดขึ้นหน้า โกรธจนหัวหมุน
"อะ...อ้าว...กะ...ก็คุณน้อยหน่าบะ...บอกว่าสนใจ ยะ...อยากได้หมอนั่น" ไอ้เก่งกุมหัวที่โดนตบเหม่ง พลางตัดพ้อด้วยเสียงครวญครางอย่างคนโดนรังแก
"ฉัน...อยาก...ได้...ประวัติ เฉยๆ โว้ย!" หญิงสาวแทบต้องกัดฟันพูด พร้อมกับกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดขึ้นหลังมือ ระงับใจไม่ให้พลั้งมือเหวี่ยงหมัดใส่มันอีกสักตุ้บ
"ผู้ชายท่าทางเนิร์ดๆ แบบนั้นจะทนมือทนเท้าฉันได้ที่ไหนกัน! แถม...คนอย่างฉันเนี่ยนะจะแต่งผู้ชายเข้าบ้าน เฮอะ! ฝันไปเถอะ" คนพูดจิ้มนิ้วชี้ที่จมูกตัวเอง ทำสีหน้าเหยียดหยามสุดๆ
"ตะ...แต่เขาก็ดูตัวใหญ่เป็นหมีอยู่นะครับ อาจทนมือทนเท้าคุณน้อยหน่าไหวก็ได้นะ" เก่งเอ่ยพลางเหลียวมองเป้าหมายของเจ้านายสาว
ผู้ชายคนนั้นตัวใหญ่มาก แต่ก็ดูเนิร์ดจริงๆ นั่นแหละ ร่างสูงใหญ่อยู่ในเชิ้ตสีขาวที่พับแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอก จากระยะไกลเขามองเห็นหน้าตาอีกฝ่ายไม่ชัดขึ้น แต่ก็น่าจะเกลี้ยงเกลาอยู่...ยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางเด็กจรจัดด้วยแล้ว...เขาก็ยิ่งดูโดดเด่นออกมา
ฉับพลันเก่งก็คิดถึงเรื่องสำคัญยิ่งยวดขึ้นมาได้
หากคุณน้อยหน่าล็อกผู้ชายคนนั้นเป็นเป้าหมาย...นั่นย่อมหมายความว่า ตัวเขาจะหลุดพ้นจากการเป็นเป้าซ้อมมือให้นายน้อยจอมซาดิสม์ ส่วนท่านนายพล...คนโคตรเผด็จการพรรค์นั้นจะได้ผู้ชายแบบไหนเป็นลูกเขยมันไม่ใช่ปัญหาของเขาเสียหน่อย!
‘โง่อยู่ได้ตั้งนาน ไอ้เก่งเอ๊ย!!! ส่งเสริมกันซะ แกก็สบายแล้วเว้ย ไอ้เก่ง!’
เก่งแทบจะหัวเราะเมื่อเห็นหนทางหลุดพ้นจากการเจ็บตัว เพราะมือ เท้า เข่า ศอกของหญิงสาวได้เสียที แต่ประโยคต่อมาของหญิงสาวดับฝันของเขาวูบ
"หมอนั่นน่าสงสัยมาก"
"หา!? ทะ...ทำไมล่ะครับ" เก่งแทบร้องเสียงหลงกับการพลิกกลับสามร้อยหกสิบองศาของเจ้านาย
"หมอนั่นหน้าตาดูแพง เสื้อผ้าก็ไม่ซ้ำกันสักวัน จนเดาไม่ได้ว่าทำงานอะไร แถม...ไอ้ที่เขียนบนกระดานนั่นก็ไม่ใช่ตำราหนังสือเด็ก" หญิงสาววิเคราะห์ด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาวาววับ
เก่งหันมองไปทาง 'ครูข้างถนน' คนนั้นอีกรอบ พลางรื้อฟื้นความทรงจำเพราะคำวิเคราะห์ของเจ้านายสาว
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเขาติดพันงานติดต่อกับลูกค้า และต้องผ่านเส้นทางนี้ตลอด...เขาก็เห็นผู้ชายคนนั้นอยู่หลายครั้งเหมือนกัน...มั้ง แต่ไม่ได้สังเกตอีกฝ่ายขนาดที่หญิงสาวมอง
"เอาอีกแล้วนะคุณน้อยหน่า" ลูกน้องคนสนิททำสีหน้าเหนื่อยหน่าย ส่ายหัวไปมา "เลิกเล่นเป็นนักสืบเสียทีเถอะ คราวที่แล้วก็ตามสืบจนคุณป้าข้างบ้านมายืนตะโกนด่ามารอบหนึ่งแล้วนะ"
เจ้านายสาวมักชอบสังเกตสิ่งต่างๆ จากผู้คนรอบข้างเป็นพิเศษ จนบางครั้งก็กลายเป็นการละเมิดสิทธิ์ของชาวบ้านจนโดนด่ามาหลายรอบแล้ว
"ใคร! ใครใช้ให้แกวิจารณ์ฉันกันยะ ไอ้เก่ง!" หญิงสาวขยำแก้วกระดาษจากร้านสะดวกซื้อเมื่อดื่มกาแฟร้อนจนหมด แล้วเขวี้ยงใส่ที่ระบายอารมณ์ส่วนตัว
"ไปสืบมาให้ได้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน พักอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ได้ข้อมูลไม่ต้องกลับบ้าน" หญิงสาวออกคำสั่งเผด็จการก่อนคว้ากระเป๋ามาสะพายไหล่และก้าวฉับๆ เดินจากไป ไม่สนใจคนรับคำสั่งที่ละล้าละลังอย่างไม่รู้จะวิ่งตามไป หรือต้องคอยสืบเรื่องของคนที่เธอสนใจดี
นั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด...
"ฉันเจอเขาก่อน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันแอบดูเขาอยู่นานแค่ไหน" น้อยหน่าเล่ายิ้มๆ นัยน์ตากระจ่างใสมีแววหวานอย่างหาได้ยากในชีวิตสาวนักบู๊
พรำพรรษมองหน้าพี่สะใภ้โดยไม่ขัดอะไร แม้จะขมวดคิ้วด้วยสีหน้าสงสัยสุดๆ
น้อยหน่าเป็นผู้หญิงสวยจัด ดูแพงไปทั้งตัว แถมยังไฮโพรไฟล์ระดับลูกนายพล มารดามีเชื้อสายผู้ดีเก่าที่สืบทอดตระกูลมาอย่างยาวนาน หญิงสาวจึงน่าจะผ่านการอบรมมาจนมีบุคลิกสง่าโดยไม่ต้องพยายาม
เมื่อมองรูปร่างผอมแต่ฟิตเปรี๊ยะด้วยกล้ามเนื้อแบบคนออกกำลังกาย ผิวขาวกร้านแดดนิดๆ อย่างคนโดดแดดลม เสื้อผ้า หน้า ผมเป๊ะแม้จะทำงานมาครึ่งค่อนวันจนหน้าเริ่มมัน แต่ไม่หมองเลยสักนิด ขณะที่พรำพรรษร่างเล็กบางกว่ามีผิวขาวจัดเหมือนคนไม่เคยโดนแดดมาก่อน...ก็แหงละ หญิงสาวเล่นขังตัวเองอยู่บนยอดตึกในชั้นผู้บริหารบริษัทที่มีมูลค่าเฉียดพันล้านมาตั้งเจ็ดปี แทบไม่เคยยอมก้าวเท้าออกไปโดนแดดโดนลมที่ไหน แต่ผิวขาวๆ ก็ไม่ได้ซีดเซียวเป็นผีดิบแต่ประการใด กลับผุดผ่องเปล่งประกายด้วยการบำรุงจากคอร์สสปาชั้นดี ที่สามีเธอซื้อทั้งร้านมาไว้ให้เธอใช้บริการแต่เพียงผู้เดียว
พูดถึงสามีแล้ว...
หญิงสาวทั้งคู่กำลังอยู่ในเซฟเฮาส์ หรือที่จริงคือเพนต์เฮาส์สุดหรูบนยอดตึกสูงติดอันดับประเทศ ซึ่งเป็นที่พักของอาคเนย์ สามีสุดที่รักของพรำพรรษ ตอนนี้มันถูกเอามาทำเป็นที่ทำงานลับกึ่งๆ เป็นงานราชการของอัคนี พี่ชายนิสัยเสียของเขา
ระหว่างที่คุยเรื่องเครียดๆ พรำพรรษก็ล้วงความลับจากญาติสามีไปด้วย ซึ่งมันช่างน่าสงสัยแท้...น่าสงสัยสุดๆ ไปเลย
‘ฉันเจอเขาก่อน เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าฉันมองเขาอยู่นานแล้ว...’
นั่นเป็นคำบอกเล่าของอัคนีเมื่อพรำพรรษเลียบๆ เคียงๆ ถามอย่างมีชั้นเชิงถึงการเจอกันเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ อัคนีเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ มีรูปลักษณ์ที่...ถ้าไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดนี้ น่าจะเสร็จจิ๊กโก๋หรือวินมอ’ไซค์ปากซอยไปไม่รู้กี่เท้าแล้ว ใช่...เขาเป็นผู้ชายที่ดูกวนตีนมากกก! แม้หน้าตาจะคล้ายกับอาคเนย์ สามีเธอไม่น้อย แต่บุคลิกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่รู้ผู้หญิงสวยๆ ฉลาด และดูแพงแบบน้อยหน่าไปหลงผิดได้อย่างไร
‘ผู้หญิงอะไรไม่รู้โคตรสวยเลย ยังกะนางฟ้าในดงหญ้าเขียว’ อัคนีบอกแบบนั้น ทำให้พรำพรรษมองหน้าพี่ชายของสามี พยายามตีความไปด้วยว่าไอ้สำนวน 'นางฟ้าในดงหญ้าเขียว' ของเขามันคืออะไรกันแน่วะ!?
‘นายเลยตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น’ หญิงสาวถามด้วยนัยน์ตาเต้นระริกที่มีแววอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยม
ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบนี้ก็มีด้วย!
‘เปล่าซะหน่อย คนบ้าอะไรวะจะไปตกหลุมรักคนแค่มองหน้ากันน่ะหา? คนนะไม่ใช่ปลากัด ตรรกะมันจะวิบัติไปปะน้องสะใภ้’ ดูเหมือนหมอนั่นจะปีนขึ้นจากหลุมพรางของเธอได้ และกลับมาแกว่งปากร้ายๆ ระรานกันอย่างไม่ปรานีปราศรัย
เหตุผลที่ทำให้พรำพรรษอดทน ไม่แว้งกลับแรงๆ คือความอยากรู้อยากเห็นอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเรื่องมันยังไม่เฉลยเลยว่าคนทั้งคู่เจอกันได้อย่างไร
‘แล้วนาย...ชอบคุณน้อยหน่าตอนไหน’
‘ตอนที่น้อยหน่าทุ่มไอ้เวรคนนึงลงไปนอนกับพื้น แล้วกระทืบหมอนั่นซะคางเหลืองนอนโรงพยาบาลอยู่เป็นอาทิตย์น่ะ คนอะไรไม่รู้...โคตรเซ็กซี่เลย’ คนเล่าสีหน้าเคลิ้มเหมือนหนุ่มน้อยขึ้นมาหน่อยๆ ช่วยลดความกวนประสาทลงได้อยู่มากโข แต่ที่สำคัญคือ...ทำอย่างไรพรำพรรษก็หาความเชื่อมโยงไม่ได้ว่า สองคนนี้เจอกันได้อย่างไรกันแน่
เพราะฟังจากที่เล่าแล้ว...เรื่องเล่าของทั้งคู่มันเหมือนหนังคนละม้วนเลย!
พรำพรรษหรี่ตา สีหน้าเคลือบแคลงสุดๆ ขณะฟันธงกับตัวเองในใจว่า...ในระหว่างสองคนนี้...ต้องมีคนใดคนหนึ่งโกหกแหงๆ
แต่...ใครล่ะ
ดูเหมือนหญิงสาวจะลืมเรื่องสำคัญสุดไปว่า คำถามที่ควรถามคือ...
จริงๆ แล้วทุกอย่างมันเริ่มเมื่อไรต่างหาก!
ความคิดเห็น |
---|