10

บทที่ 10


พิธีการดำเนินไปอย่างพิลึกพิลั่น

นอกจากบรรดาแขกกิตติมศักดิ์ที่อยู่เต็มห้องไปหมดแล้ว ไม่มีญาติสนิทของทั้งสองฝ่ายเลย โดยพรำพรรษมีเพียงเพื่อนสาวสามคนคือสามเลขาสาวสวยที่ยืนเว้นระยะห่างทำตัวกลมกลืนพยายามจะไม่ขโมยซีนเจ้าสาวแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบากด้วยความสวยที่แตกต่างกันสามแบบ แถมแต่ละคน...ไม่รู้ทำไมว่าพรำพรรษถึงตั้งใจเลือกคนที่สวยโดดเด่นและดึงดูดสายตาขนาดนี้มาทำงานใกล้ชิดตั้งสามคน ซึ่งทำให้สายตาของผู้ชายในห้องคอยแต่จะเหลือบแลไปทางสามคนนั้นตลอด และแทนที่หญิงสาวผู้เป็นนายจะมีท่าทางเคืองขุ่นหรือโมโหที่ถูกแย่งชิงความเด่นในงานพิธีสำคัญของตัวเองเธอกลับมองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าพึงพอใจแทบมีรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปากด้วยซ้ำยามเห็นสายตาของพวกผู้ชายในงานถูกดึงดูดไปที่สามสาว

ยกเว้นไว้สายตาหนึ่งที่ไม่เหลือบแลไปทางสามคนนั้นสักนิด

...จ้องมองคอยแต่จะจับผิดเธอตลอดเวลา!

ให้ตายสิ!

ไม่ต้องคอยทำหน้ารู้ทันให้ฉันเสียวสันหลังแบบนี้จะได้ไหมเนี่ย

พรำพรรษหันไปขึงตาใส่ว่าที่สามีซึ่งมีเอกสารสำคัญวางเรียงรอให้ไปเซ็นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเพื่อเปลี่ยนจากว่าที่ให้กลายเป็นสามีโดยนิตินัย หลังจากที่ทางพฤตินัยนั้น...มันเลยเถิดไปไหนต่อไหนถึงไหนตั้งไกลมากแล้ว

แถม...ไม่รู้แขกทั้งงานจะคิดยังไงยามที่เจ้าหน้าที่เรียกหาบัตรประจำตัวประชาชนของพรำพรรษแล้วคนข้างตัวดันเป็นคนหยิบออกมาจากอกเสื้อสูทส่งให้

เจ้าหน้าที่คนดำเนินเรื่องมองมายิ้มๆ อาจดูน่ารักมุ้งมิ้งในสายตาคนนอกแต่สำหรับพรำพรรษนั้นอยากตะโกนบอกเหลือเกินว่า...

'ไอ้หมอนี่มันขโมยของชั้นไป!!!...แถมยังลักพาตัวชั้นมาอีกด้วย ช่วยด้วยค่ะคุณตำรวจจจจจจ!!!!'

เสียดายแค่บรรดาเจ้าหน้าที่ที่มานั้นไม่มีใครที่สามารถรับเรื่องนี้ไว้หรือรับแจ้งความได้แม้แต่คนเดียว

แหม...มีตำรวจหลุดเข้ามาหน่อยก็ไม่ได้ นางมารร้ายสายตาวาววับรอยอาฆาตมาดร้ายและยอมตายหากได้ล้างแค้น ขณะหลีกหนีความจริงโดยการจินตนาการว่าจะทำอย่างไรให้บ้านอรรคนีย์พิทักษ์ลุกเป็นไฟถ้าหากมีตำรวจหลุดเข้ามาให้เธอได้อาละวาดได้

แต่อาคเนย์น่าจะป้องกันเรื่องนั้นไว้ได้เป็นอย่างดีแล้ว นอกจากไม่มีตำรวจข้างตัวเขามีเพียงญาติสามสี่คนที่ช่วยรับแขกด้วยมารยาทอันดีเยี่ยมแต่เลือกที่จะยืนอยู่ห่างๆ รักษาระยะอันเป็นการบ่งบอกถึงลำดับความชิดใกล้ในเครือญาติไปในตัวว่าไม่ใช่ญาติสนิท สุภาพสตรีมีอายุราวห้าสิบปีเศษที่เขาแนะนำว่าชื่อน้าอรแม้แต่งตัวดีมากแต่ดูจากเครื่องประดับแล้ว...คิดว่าฐานะแท้จริงไม่ได้โดดเด่นมากนักสัญชาตญาณของพรำพรรษบอกว่าน้าอรน่าจะเป็นกึ่งๆ แม่บ้านคอยดูแลบ้าน น้าอรมีลูกสาววัยรุ่นสองคนแม้จะดูได้รับการอบรมมาแต่ก็ยังคงความเป็นเด็กเจนฯ ใหม่ที่ไม่เก็บอาการคอยแต่จะจ้องมองมาทางพรำพรรษอย่างไม่เป็นมิตร แต่...ใครสนใครแคร์กันยะ

นังชะนีไก่อ่อนที่ยังไม่ทันตั้งไข่อย่าหมายมาเทียบรุ่นกับเจ๊เลยเชียว!

...คิดอยู่ในใจเท่านั้นแหละ ไม่แสดงออกใดๆ ให้กระต่ายตื่นตูมหรอกเดี๋ยวจะหมดสนุกเสียเปล่าๆ พรำพรรษยังคงรักษารอยยิ้มน้อยๆ สีหน้าใสซื่อไว้ได้เป็นอย่างดีเหมือนไม่รู้ซึ้งถึงสายตาอาฆาตของญาติสาวน้อยของอาคเนย์แม้สักนิด ปล่อยให้สองเด็กน้อยถลึงตาแทบถลนไปสิ พลังกดดันอันอ่อนหัดนั้นไม่สะเทือนได้แม้เงานางมารร้ายด้วยซ้ำไป

ญาติอีกคนของเขาชื่อพี่เกษอายุราวสามสิบถึงสี่สิบบุคลิกคล่องแคล่วสวมสูทเนี้ยบท่าทางเป็นผู้หญิงทำงานคนหนึ่ง พี่เกษเป็นคนดูแลเครื่องประดับที่เอาออกจากเซฟมาให้เธอเลือกสวมในห้องแต่งตัวเมื่อครู่ ดูท่าทางเป็นคนดูแลเรื่องภายในบ้านอีกคนหนึ่ง

"แล้ว...ไหนแม่คุณล่ะ?" พรำพรรษกระซิบถามสิ่งค้างคาใจหลังจากทักทายคนหมดทั้งห้องเรียบร้อยแล้ว

"ไม่อยู่" อาคเนย์ตอบยิ้มๆ

"หา!?" หญิงสาวอุทานประหลาดใจ มิน่าล่ะยัยน้าอรถึงเข้ามากระซิบกระซาบอะไรไม่เลิกรา ตอนหนึ่งที่พอจับความได้คือ '...รอให้คุณแม่กลับมาก่อนดีไหมคะ...'

"แล้ว...แม่คุณไปไหน?" พรำพรรษกัดฟันถาม

"เมืองนอก...ยุโรปมั้ง น่าจะอีกสองสามวันกว่าจะกลับ ...หรืออาจเร็วกว่านั้นถ้ามีคนฟ้อง" อาคเนย์พูดยิ้มๆ ปรายสายตาแฝงความหมายคล้ายเตือนไปยังญาติสาววัยรุ่นลูกสาวของน้าอรซึ่งกำลังทำท่ากระสับกระส่ายสลับกับมองพรำพรรษด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอยู่เป็นระยะๆ

"สรุป...ที่จะจดทะเบียนกับฉันนี่แม่คุณไม่ได้รู้เห็นด้วยเลย" ทำไมมันกลายเป็นพิธีแต่งงานจดทะเบียนที่เหมือนลักกินขโมยกินอย่างนี้เล่า แถมยังมีหน้าไปบลัฟใส่คุณภัสตราภรณ์แบบหน้าไม่อายอีกว่าจะรีบพาลูกสะใภ้ไปหาแม่!

"แล้วทำไมคุณถึงไม่รอให้แม่คุณกลับมาฮะ?" หญิงสาวกัดฟันกระซิบเสียงเขียวอย่างชักของขึ้น

...นี่เขาเชิญแขกสำคัญมามากมายร่วมเป็นประจักษ์พยานในการข่มขู่บังคับเธอให้แต่งงานด้วยแบบรวบรัดตัดจบโดยที่ยังไม่ได้ผ่านการเห็นชอบของแม่เขาเลยงั้นเรอะ

พรำพรรษปวดหัวตึ้บขึ้นมาทันทีเมื่อคิดไปถึงตอนที่แม่เขากลับมาแล้วจู่ๆ มาเจอสะใภ้ซึ่งเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้อยู่ๆ งอกมาอยู่ด้วยกันในบ้านอีกคน คนทั่วไปถ้าไม่เป็นลมตายก็คงเหวี่ยงกระจายอาละวาดบ้านแตก ภาพจำของชื่อละครตระกูลสะใภ้ๆ ทั้งหลายวิ่งวนขึ้นในหัวที่กำลังเหวี่ยงวิ้งๆ ของหญิงสาวเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น สะใภ้สารพัดพิษ...ไม่ใช่! ลูกสะใภ้ต้องเป็นฝ่ายถูกทารุณและน่าสงสารสิ แต่ไม่ทันที่พรำพรรษจะหาชื่อเหมาะๆ ได้เขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

"แม่กลับมาแล้วยังไง? อายุขนาดพลัม...ขนาดผมนี่เราควรตัดสินใจเรื่องอะไรๆ ด้วยตัวเองกันได้แล้วมั้ง"

หนอย...ไม่ต้องย้ำเรื่องอายุก็ได้นะ!

ความโกรธของหญิงสาวยิ่งพุ่งปรี๊ดๆ ปรอทแตกเมื่อถูกตอกย้ำด้วยเรื่องนี้

"แต่ไม่ใช่เรื่องการแต่งงานและไม่ใช่กับคนที่รวยเป็นหมื่นๆ ล้าน นับชาติตระกูลย้อนกลับได้แปดรุ่นแบบคุณ!" พรำพรรษกัดฟันอธิบายอย่างโมโห

"ผิด!" อาคเนย์บอกน้ำเสียงหนักแน่นเสียจนคนโมโหต้องลืมตัวลืมโมโหชั่วคราวเงยขึ้นมองเขาอย่างสงสัย

"แสนล้านต่างหากและเรากำลังจะนับได้สิบรุ่น" คนกวนประสาทก้มลงส่งรอยยิ้มพร่าพรายใส่ตาจนพรำพรรษเบลอไปหมดแล้ว

ใคร! ใครกันจะไปอยากรู้ว่าเขารวยแค่ไหน จะเป็นหมื่นหรือแสนล้านสำหรับเธอมันก็ไม่ต่างกันสักนิด เพราะมันไม่เกี่ยวกับเธอเลยด้วยซ้ำ...

แต่...เอ๊ะ! เดี๋ยวสิ!

มันเกี่ยวนี่หว่า!

หญิงสาวชะงักมือที่กำลังเตรียมจะเซ็นลงไปในเอกสารสำคัญเมื่อสำนึกได้ในที่สุดว่าไอ้ที่เขาว่ามาทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันเกี่ยวพันกับเธอล้วนๆ ถ้าหากว่าเธอจรดปากกาลงไป...

พรำพรรษกลืนน้ำลายฝืดคอยามเหลือบมองไปรายรอบ สำรวจไปตามบรรดาญาติของเขาซึ่งมองมาด้วยสายตาแบบที่...ก็รู้ๆ กันอยู่น่ะ น้าอรนั้นคงเป็นญาติห่างๆ ที่น่าจะห่างพอจะหวังจับคู่ลูกสาวคนใดคนหนึ่งกับอาคเนย์เพื่อความมั่นคงทางฐานะมานานแล้ว นังเด็กสองคนนั่นถึงมองเธอเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแบบนั้น

...นี่แค่ญาติบางส่วนนะ ตระกูลที่สืบเชื้อสายมาไกลเป็นสิบรุ่นแบบนี้จะแตกญาติออกไปให้ชักแถวกันเข้ามาเขม่นเข่นฆ่ากับเธออีกตั้งเท่าไหร่ ญาติที่เห็นนี่แค่ปลายยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น หญิงสาวสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บขณะกวาดสายตาไปสบตากับสามเลขาสาวที่พากันพยักหน้าให้กันอย่างลุ้นๆ

"เซ็นชื่อลงไป อย่าตุกติก แขกทุกคนมองอยู่" เสียงนุ่มนวลกระซิบข่มขู่อยู่เหนือหัวโดยแทบไม่ขยับปากจากคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทำให้พรำพรรษค่อยเบนสายตากลับมาที่กระดาษที่วางรออยู่ตรงหน้า เหงื่อแตกมือเย็นไปหมด ไม่เคยรู้สึกกดดันขนาดนี้มาก่อน...แม้แต่ตอนที่ปะทะกับกรรมการผู้จัดการทั้งคณะของพีเคกรุ๊ปเมื่อตอนที่เธอจำเป็นต้องเสนอหน้าเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารแทนภาสกร ตอนนั้นก็โดนพวกตาลุงสันดานเสียพวกนั้นรุมสับเสียไม่มีชิ้นดีแต่ความกดดันในตอนนั้นยังไม่ได้ครึ่งของตอนนี้เลย

"เลือกเอาว่าจะเซ็นลงไปไว้อวดลูกสวยๆ หรือจะโดนจับปั๊มนิ้วให้เสร็จๆ ไป เร็วๆ เข้า แขกเราต้องกลับไปทำงานกันแล้วนะ พลัมยิ่งช้ายิ่งถ่วงเวลาราชการให้เสียไปรู้ไหม" เสียงข่มขู่ใกล้ๆ ยังข่มเหงเธอไม่เลิกรา

เขามัน...มัน...มัน...ไอ้ผู้ชายเฮงซวย! ดีแต่ขู่ผู้หญิง ฮือๆ ๆ

นางมารร้ายร่ำร้องอยู่ในใจขณะจำต้องจรดปากกาลงไปมือไม้สั่น ท่ามกลางเสียงถอนใจโล่งอกของใครหลายคนในห้อง ...รวมถึงสามีตามกฎหมายหมาดๆ ด้วยที่แอบลอบถอนใจโดยไม่ให้ใครรู้ว่าเขาโล่งอกแค่ไหน

มือบอบบางถูกเกาะกุมทันทีที่วางปากกาลงดุจกลัวว่าเธอจะวิ่งหนีหาย ซึ่งแน่นอนว่ามันเย็นเฉียบจนคนตัวสูงที่ยืนเคียงข้างอดกระตุกรอยยิ้มขึ้นมาไม่ได้ มืออุ่นกุมกระชับคลึงเบาๆ คล้ายปลอบขวัญและให้ความอุ่นใจกับมือน้อยนั้น

"ถามจริงๆ ทำไมถึงต้องเชิญแขกสำคัญมาเยอะแยะขนาดนี้ด้วย" พรำพรรษที่เริ่มตั้งสติได้กระซิบถามอย่างค้างคาใจ

"กันพลัมอาละวาด" คนพูด พูดยิ้มๆ ซ่อนรอยวิตกกังวลในสีหน้าไว้แนบเนียน "กับ...ป้องกันถ้าหากพลัมไม่ยอมเซ็นชื่อในทะเบียนสมรส อย่างน้อยข้าราชการซีสูงๆ เป็นตับที่มาพวกนี้น่าจะกดดันอะไรพลัมได้บ้าง"

"นี่คุณจะขอแต่งงานแบบมนุษย์โลกแบบธรรมดาแบบคนที่มีอารยะเขาทำกันไม่ได้เรอะ?" พรำพรรษเงยขึ้นถามอย่างโมโห

"ถ้าขอแบบนั้นแล้วพลัมจะตอบว่า..." คนพูดลากเสียงเว้นไว้ให้เติมคำในช่องว่าง ซึ่งคำตอบที่ผุดในใจพรำพรรษแน่นอนอยู่แล้วว่ามันต้องเป็นคำว่า...

'ไม่'

ผู้ชายร้ายกาจเปิดรอยยิ้มร้ายแฝงความหมายคาดโทษใส่ตาหญิงสาวข้างตัวที่ทำหน้ามุ่ยเพราะถูกรู้เท่าทันไปซะหมด

"คุณนี่ชักจะรู้เรื่องฉันไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนะ" พรำพรรษบ่นอย่างหัวเสีย

"พลัมไม่รู้หรอกว่าผมจ่ายไปมูลค่ามากแค่ไหนเพื่อให้ได้ข้อมูลพวกนี้มา"

พรำพรรษขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดถึงราคา แต่เป็นมูลค่า...ฟังดูเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของอะไรที่มูลค่าสูงมากๆ หญิงสาวจดรายชื่อไว้ในหัวว่าคนที่เขาพูดถึงควรเป็นใคร ...คนที่ซื้อได้ด้วย 'มูลค่า' ไม่ใช่ราคา

"ไม่ใช่คนที่พลัมรู้จักหรอก ไม่ต้องไปเสียเวลาคิด เอาไว้อีกสองวันผมจะบอกเองแล้วกันว่าใคร" คนพูดเหมือนรู้ใจแถมยังใจดีผิดปกติจนพรำพรรษต้องเงยมองอย่างสงสัยและเขาก็ยิ้มใส่ตาให้ก่อนเฉลยด้วยสีหน้าแววตาชั่วร้ายโคตรๆ

"แลกกับการอยู่เจอแม่ผมสองวัน" อาคเนย์จบคำพูดด้วยรอยยิ้มที่พยายามกลั้นอาการอยากหัวเราะให้ลั่นบ้านเอาไว้เพราะสีหน้าของนางมารร้ายของเขาบิดเบี้ยวเหยเกขึ้นมาทันที

พรำพรรษเริ่มรู้รางเลาถึงความหมายของคำว่า 'มูลค่า' ของเขาแล้ว

จดไว้อีกอย่างในใจถ้าเมื่อไหร่ที่เขาพูดคำนี้ขึ้นมา...

ห้ามแลกเปลี่ยนด้วยโดยเด็ดขาด!

 

'เหมือนอยู่ในความฝันเลย...'

...เปล่า พรำพรรษไม่ได้เป็นคนพูดประโยคเพ้อๆ นี้ออกมา

แต่เป็นต้องรักที่ยืนเคลิ้มตาลอยบิดมือไปมาราวกับได้ไปอยู่ในตำแหน่งเจ้าสาวนั้นเสียเอง

"ฉันหยิกปลุกให้ก็ได้นะถ้าแกยังไม่ตื่นน่ะ" ปรายจิกกัดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ จนต้องรักต้องสะดุ้งถอยหนี ยังดีที่เป็นปรายเพราะหญิงสาวจะแค่พูด แต่จากประสบการณ์แล้วถ้าเป็นพรำพรรษจะไม่พูดซักคำแต่เจ้านายสาวจะหยิกเอาเลยแรงๆ ซึ่งสร้างความหวาดระแวงให้สาวโลกสวยจนต้องถอยหนีไปหลายก้าว

"ตื่นแล้วๆ แหม... แต่ยังงงๆ อยู่เลยนะว่าทำไม...คุณพลัมถึงมาแต่งงานกับคุณอาคเนย์ได้ แล้ว...แล้วกับคุณภาสกรนี่จะยังไงต่อ?" สาวน้อยพึมพำพร้อมเกาหัว

"นังต้อง! นี่ยังต้องให้บอกอีกเหรอ" ปรายตวาดเบาๆ อย่างอ่อนใจในความไม่เข้าใจโลกของต้องรัก

"ใจเย็น มานี่มาฉันจะอธิบายให้ฟังเอง" ดนตร์โอบไหล่ต้องรักให้หันไปดูทางที่เจ้านายทั้งคู่ยืนส่งแขกอยู่บริเวณโถงของห้องรับแขกด้านหน้าคฤหาสน์ "ลองมองดูดีๆ แกเห็นอะไรบ้าง ...ไม่เอา ไม่ต้องบอก ฉันรู้ว่าแกไม่เห็นอะไรเลย ฉันจะบอกให้ว่าแกควรเห็นอะไร เห็นผู้ชายสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเก้าเซ็นฯ ที่สวมสูท Kiton กับรองเท้า Ferragamo รุ่นล่าสุดนั่นไหม ยังไม่นับนาฬิกา Audemars Piguet กับกระดุมคัฟลิงค์ที่ทำจากทองคำขาวและเพชรแท้นั่น แล้วยังไม่รวมทรัพย์สินที่ฉันเดาว่าน่าจะสัก...อืม...น่าจะเฉียดแสนล้าน แล้ว...ถ้าติ่งความทรงจำของแกยังพอมีที่เหลือให้ความทรงจำเลือนรางเกี่ยวกับคุณภาสกรกับสูทอาร์มานี่รุ่นไม่ท็อปที่ใส่แล้วดูไม่เหมือนอาร์มานี่ กับเทคนิคการบริหารกิจการที่ทำงานไม่เป็น แถมยังมีแม่แบบคุณภัสตราภรณ์อีก... บอกขนาดนี้แล้ว ถ้าแกยังแยกความแตกต่างไม่ออก เลือกไม่ได้ว่าควรทำยังไง ฉันว่าสมองแกต้องมีปัญหาแล้วแหละ"

"จริง ชีวิตนึงได้เกิดมาเจอผู้ชายสเป็คนี้แล้ว ถ้ายังเล่นตัวอยู่อีกนะ แม่ง...ถ้าไม่โง่ก็ต้องปัญญาอ่อนอะ" ปรายสำทับ

"ฮัดเช้ย!" พรำพรรษหลุดจามออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ "แม่ง...ใครนินทาฉันวะ?" หญิงสาวพึมพำในคอขณะรับผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่จากคนข้างตัวที่ยื่นส่งให้อย่างใส่ใจ พรำพรรษมองผ้าเช็ดหน้าสุดเนี้ยบที่มีลายปักเป็นชื่อเขาอยู่ตรงมุมซึ่งเป็นของที่สั่งทำเฉพาะนั้นอย่างสงสัยนิดหน่อยแต่ก็ส่งคืนเขาไปพร้อมกับทวงของไปด้วย

"ขอบคุณค่ะ ขอผ้าเช็ดหน้าฉันคืนด้วย" คนหวงของยังจำแม่นว่าเขาริบเอาของเธอไปไม่คืนทำไมก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีผ้าเช็ดหน้าผืนเบ้อเริ่ม

"งกจริง มีสามีรวยขนาดนี้แล้วคุณจะมาหวงอะไรกับแค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว เดี๋ยวซื้อให้ใหม่ยี่สิบโหลเลยเอ้า" คนพูดเก็บทั้งของคว้าทั้งมือพรำพรรษดึงให้หันกลับเข้าบ้านท่ามกลางความงวยงงของคนฟังที่ยังพยายามตีความอยู่ว่าการมีสามีรวยกับการโดนยึดผ้าเช็ดหน้าโดยจะซื้อให้ใหม่ยี่สิบโหลแต่ไม่ยอมคืนของเดิมมาให้มันคือตรรกะอะไร

"เดี๋ยว!" หญิงสาวขืนตัวไว้ "แขกกลับหมดแล้ว" คนพูดโดนลากเดินดุ่มเข้ามาภายในบ้านทั้งที่ยังขืนตัวอยู่

"ใช่" อาคเนย์รับคำน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ไม่ยอมหยุดเดิน

"ฉัน...ฉันต้องกลับไปทำงานก่อน ยังเหลืองานค้างอีกเพียบเลยที่ยังเคลียร์ไม่เสร็จ" หญิงสาวหาข้ออ้าง

"คุณลาออกแล้วไง" อาคเนย์เตือนความทรงจำ

"แต่ก็ต้องต่องานให้เรียบร้อยก่อนสิ ถ้าอยู่ๆ ฉันหายไปเลยมันจะมีผลกระทบกับคนหลายร้อยคนนะ" พรำพรรษบอกพร้อมทำสีหน้าแบบ...โคตรมีความรับผิดชอบเลย ขณะคนฟังไม่ปิดบังสีหน้าหมั่นไส้

"คราวที่แล้วที่คุณกลับไปเคลียร์งาน ทำให้มีคนต้องตกงานสองคนนะ คนขับรถกับบอดีการ์ดที่ทำคุณหายไประหว่างทาง" ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะบลัฟใส่ทันทีที่มีโอกาสกะใช้ความรู้สึกผิดแบล็กเมล์เธอ

"หนอย...หยุดเลย" พรำพรรษเข่นเขี้ยว ถ้าจะมีคนตกงานก็เพราะใครกันล่ะที่ไล่ลูกน้องตัวเองออกน่ะหา! "ไม่ต้องมาอำ ฉันยังเห็นหมอนั่นขับรถให้คุณอยู่เลย ไม่งั้นคนขับรถตู้เมื่อกลางวันนั่นใคร ฝาแฝดจากโลกคู่ขนานของคนที่โดนไล่ออกหรือไง?" คนเงยหน้าเถียงฉอดๆ ไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ เรียกประกายมันเขี้ยวจากสายตาชายหนุ่มที่แสร้งถอนใจทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่ายทั้งที่กำลังสนุก

"คุณมีทางเลือกสองอย่าง นั่งทำงานที่นี่หรือไม่งั้นผมจะเอาเอกสารสำคัญของพีเคกรุ๊ปที่ขนมาทั้งหมดนั่นไปเผาทิ้ง ให้คนเป็นร้อยของคุณได้เดือดร้อนกันจริงๆ เลือกเอา"

"หา! คุณ...นี่คุณขนเอกสารของพีเคกรุ๊ปมาที่นี่งั้นเรอะ?" พรำพรรษถามเสียงหลง เงยมองสีหน้าเอาจริงของอาคเนย์แล้วค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่ได้พูดเล่นแน่...

"ใช่" เขารับคำหน้าตาเฉยแถมยังสำทับ "ต่อไปถ้าต้องดีลงานก็วิดีโอคอลล์เอาหรือไม่งั้นให้เด็กๆ สามคนของคุณคอยวิ่งไปวิ่งมาแทน"

คือ...จะขังฉันไว้ห้ามไปไหนว่างั้น!

พรำพรรษกลอกตาใช้ความคิดอย่างรวดเร็วว่าจะหาทางออกจากที่นี่ไปได้ยังไง

"นอกจากเอกสารแล้วฉันยังมีของอยู่ที่นั่นอีก" พรำพรรษใช้ห้องด้านในหลังห้องทำงานประธานบริษัทบนยอดตึกพีเคกรุ๊ปนั้นเป็นห้องนอนมาตั้งนานแล้ว ข้าวของเกือบหมดทุกอย่างของเธอล้วนอยู่ที่นั่น "ต้องไปย้ายของออกด้วย" หาข้ออ้างไปเรื่อยขณะเดาทางว่าเขาน่าจะตอบมาว่าอะไรเพื่อหาวิธีเกลี้ยกล่อมให้เขายอมให้เธอออกไปย้ายของให้ได้ หากคำตอบของเขา...

"ของในห้องนอนที่อยู่ด้านหลังของห้องประธานบริษัทนั่นน่ะนะ? ไม่ต้องห่วง ผมให้คนขนมาให้หมดแล้ว" คนพูดยิ้มร้ายๆ ใส่ตาที่เบิกโตของคนข้างตัวก่อนสำทับน้ำเสียงนุ่มนวล

"ไม่เหลือไว้สักชิ้น"

ด...ได้ไงวะ! เขามัน...เขามัน...

โว้ย!

พรำพรรษพยายามตั้งตัวไม่ยอมสติแตกกรีดร้องบ้าคลั่งอย่างอารมณ์ที่กำลังขึ้นอยู่ตอนนี้ สมองคอยหาเหตุผลไปด้วยว่าเขาทำอย่างที่ว่าได้ยังไง ในเมื่อ...ตอนเช้าเธอยังเข้าทำงานอยู่เลย

"ตั้งแต่เมื่อไหร่?"

"สักสายๆ มั้ง น่าจะตอนที่เราอยู่ในสวนที่โรงพยาบาล ให้ดนตร์ขนมาให้" คนพูดไหวไหล่ทำท่าไม่ใส่ใจทั้งๆ ที่เป็นการคิดและวางแผนไว้อย่างรัดกุมทุกขั้นตอน

พรำพรรษนิ่งใช้ความคิดย้อนคิดไปถึงตอนที่อยู่ในสวนโรงพยาบาล ...ตอนที่เธอโทร.หาดนตร์นั่น...อา...ใช่แล้ว มีเสียงผิดปกติดังมาจากปลายสายซึ่งเธอไม่ได้สนใจ เสียงกุกกักกึงกังคล้ายมีการขนย้ายของ...ต้องเป็นตอนนั้นแหงๆ

"พวกแก!" พรำพรรษหันกลับไปเขม่นใส่สามเลขาสาวที่เดินตามมาห่างๆ เล่นเอาทั้งสามคนสะดุ้งถอยกรูดแทบจะไปกองกันอยู่มุมห้อง

"สามคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมเพิ่งเคยเจอพวกเค้าก็วันนี้แหละ" อาคเนย์รีบบอกก่อนที่พรำพรรษจะกินหัวลูกน้องคนสนิท

"แล้วทำไมพวกมันถึงทำตามคำสั่งคุณขนาดนี้ไม่ทราบ" หญิงสาวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโห

"ผมมีวิธีใช้คน" อาคเนย์พูดพร้อมโปรยรอยยิ้มยั่วเย้าใส่ตาหญิงสาวก่อนเปิดประตูห้องห้องหนึ่งออกมา

"มาดูนี่มา ต่อไปพลัมกับลูกน้องนั่งทำงานกันที่ห้องนี้ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอก"

อาคเนย์พาเข้าไปในส่วนที่กว้างมากเพดานสูงประดับแชนเดอร์เลียหรู พื้นที่ภายในห้องเจาะทะลุถึงกันกว้างใหญ่ราวห้องปกติสักสี่ถึงห้าห้อง ใหญ่กว่าห้องทำงานเดิมที่ยอดตึกพีเคกรุ๊ปประมาณสามเท่า เฟอร์นิเจอร์หรูหรา โต๊ะ โซฟาและแชนเดอร์เลียพราวระยับ มุมหนึ่งกองไว้ด้วยลังสำหรับขนย้ายประมาณยี่สิบลังซึ่งไม่ได้เข้ากันกับห้อง เดาว่าเป็นเอกสารที่เขาให้คนไปปล้น...เอ้อ ถือวิสาสะขนเอามาจากห้องทำงานเธอที่พีเคกรุ๊ป

...นี่เขาเอามาจริงๆ ด้วยเหรอเนี่ย

พรำพรรษมองสถานการณ์ด้วยสายตาอัศจรรย์ใจโดยไม่ทันได้ฟังที่เขาสั่งเลขาเธอให้ทำงานกันอยู่ในนี้ หญิงสาวมัวแต่คิดว่า...ที่เขาทำมันก็เด็ดขาดดีแฮะ ไม่เปิดโอกาสให้ฝั่งคุณภัสตราภรณ์ได้มีโอกาสต่อรองอะไรได้เลย

ที่จริงตัวเธอเองยังปวดหัวแทบตายในการที่จะหาแผนในการถอยฉากออกมาโดยไม่โดนคุณภัสตราภรณ์และภาสกรตามรังควาน บอกตรงๆ คงต้องยอมรับว่า...

ความคิดพรำพรรษสะดุดลงเมื่อสายตาเริ่มกลับมาโฟกัสสภาพแวดล้อมรายรอบ เธอถูกจับจูงพามาจากห้องที่เขาบอกว่าไว้ให้พวกเลขาใช้ทำงานผ่านมาน่าจะราวสามห้องก่อนจะถูกพามาทางปีกตึกด้านหนึ่งหญิงสาวหยุดเดินเมื่อกวาดสายตาสำรวจไปโดยรอบแล้วพบว่าส่วนนี้มันเหมือนส่วนที่เป็นห้องพักที่อยู่อาศัยไม่ใช่บริเวณส่วนกลางที่มีผู้คนพลุกพล่านเดินไปมาซึ่งมีทั้งบอดีการ์ด คนรับใช้ และพวกคนทำงานในส่วนอื่นๆ แต่ในบริเวณนี้กลับเงียบสงบไม่มีคนเลย แถมสามเลขาสาวของเธอยังหายไปแล้วอีกด้วย

...พูดง่ายๆ คือเหลือแค่เธอกับเขาอยู่กันตามลำพัง...ในบริเวณที่น่าจะไม่ปลอดภัย...เท่าไหร่

อาคเนย์หันกลับมาเมื่อรู้สึกว่าหญิงสาวหยุดเดินแถมยังถอยกรูดเมื่อเขาเดินกลับมาหา

"คุณรู้ได้ยังไงเนี่ย?" ชายหนุ่มถามพร้อมรอยยิ้มพรายนัยน์ตาพราวระยับรอยสนุกพึงใจที่จะได้ไล่ต้อนใครบางคนแถวนี้

"รู้? รู้ว่า...?" หญิงสาวถามเสียงเกือบสั่นเมื่อถอยหลังจนชนเข้ากับบานประตู โดยคนที่เดินเข้าหายังไม่ยอมหยุดคุกคาม อาคเนย์เท้าแขนข้างหนึ่งลงไปกักพรำพรรษเอาไว้กับบานประตูขณะอีกมือหนึ่งเอื้อมไปหมุนลูกบิดเปิดประตูบานใหญ่นั้น

"รู้ว่าห้องนอนอยู่ตรงไหนน่ะสิ" คนพูดก้มลงยิ้มคุกคามใส่ตาขณะดันบานประตูเปิดออกจนหญิงสาวที่พิงอยู่แทบหงายหลังเข้าไปในห้อง

"หะ...หา!" พรำพรรษอุทานอย่างตกใจเสียหลักเกือบล้มจนต้องคว้ากำแขนเสื้อเขาเอาไว้ขณะโดนดันเข้าไปในห้องแบบแทบไม่รู้ตัว

วูบหนึ่งสั้นๆ ที่หันไปสังเกตรายรอบพบว่าหลุดเข้ามาอยู่ในห้องนอนห้องหนึ่งซึ่งใหญ่มหึมา ส่วนเตียงนอนนั้นอยู่ลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่งถูกกั้นไว้ด้วยซุ้มประตูและผ้าม่าน แค่นั้นพรำพรรษก็รับรู้แล้ววว่า...

นี่มันห้องนอนจริงๆ นี่หว่า!

ทำไมยิ่งหนีเธอยิ่งเข้าตาจนวะเนี่ย...

คนคิดหมุนตัวกลับเอาหลังชนประตูขณะเอื้อมมือไปด้านหลังพยายามจะหมุนลูกบิดประตูเพื่อเปิดทางหนีแบบเนียนๆ หากแต่ไม่ทันมือใหญ่ที่ไวกว่าเอื้อมมากดล็อกพร้อมรวบข้อมือเธอไว้หลวมๆ ในอุ้งมือใหญ่กลายเป็นถูกกักอยู่ในอ้อมแขนเขาแถมยังโดนดันติดชิดประตูที่ล็อกไว้แน่นหนา

"จะไปไหน?" อาคเนย์ก้มลงถามคนที่ไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตา

"ปะ...ไป...ไป..." คำถามพร้อมลมหายใจอุ่นที่เป่าร้อนอยู่ข้างหูนั้นทำเอาพรำพรรษแทบหาลิ้นตัวเองไม่เจอ

"ไม่ให้ไปไหนแล้ว" คนพูดก้มลงบอกใกล้ๆ ลมหายใจผ่าวร้อนเป่าเคลียแก้ม กลิ่นละไอจางๆ ของผู้ชายปะปนกลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวที่เธอเริ่มคุ้นเคยกรุ่นอวลโอบล้อมเข้มข้นอยู่รอบตัว

"ปละ...ปล่อยมือฉันก่อน...มันอึดอัดนะ" หญิงสาวต่อรองพร้อมกับขยับแขนที่ถูกเขาล็อกข้อมือไขว้ไว้เบื้องหลังเป็นเชิงร้องขอ

"ถ้าปล่อยแล้วจะยอมอยู่ด้วยกันดีๆ ไหม?" คำถามพร้อมยอมคลายมือใหญ่ออก แต่ไม่ทันที่พรำพรรษจะได้พักหายใจ เขากลับเปลี่ยนเป้าหมายจากข้อมือเป็นเอวเล็กบางรวบยกลอยขึ้นสูงจนใบหน้าเสมอกันบังคับให้สบสายตาคมเข้มที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่...ที่เธออยากหลีกหนี

สองมือที่เป็นอิสระแล้วพยายามยกขึ้นยันอกกว้างอย่างไม่เป็นผลเพราะคนตัวใหญ่ที่หิ้วเธอขึ้นจนเท้าลอยพ้นพื้นเบียดเนื้อตัวเข้าประชิดใช้ร่างกายใหญ่โตนั้นตรึงร่างน้อยบอบบางติดชิดบานประตูจนสองร่างแนบแน่นสนิทไปหมดแทบทุกสัดส่วน ...ร่างกายผ่าวร้อนที่แสนคิดถึง!

"คิดถึงผมบ้างไหม?" คำถามราวกับอ่านความคิดในสมองของเธอได้ ทำให้พรำพรรษเผลอจ้องมองเขาอย่างตกตะลึง ดวงหน้าที่อยู่ใกล้กันไม่เกินคืบนั้นเจนตาเจนใจอย่างประหลาดทั้งๆ ที่ได้พบเจอได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันไม่ถึงสองวันด้วยซ้ำ แต่...พรำพรรษจำต้องยอมรับทั้งที่ไม่อยากยอมรับว่าตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา จิตใต้สำนึกที่เธอพยายามกดข่มกลบฝังไว้นั้นมันร่ำร้องโหยหาอาวรณ์ถึงคนตรงหน้านี้อย่างห้ามปรามไว้แทบไม่อยู่ ยิ่งพอได้มาอยู่ตรงนี้ได้มาพบเผชิญหน้ากันสบสายตากันระยะประชิดรับรู้ถึงความมีตัวตนทุกอณูที่แนบชิดกันอยู่นี้ ความอดทนข่มกลั้นที่เธอก่อเป็นปราการกั้นเอาไว้มันพังทลายแหลกไม่มีชิ้นดี และเขาก็น่าจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นเพราะรอยยิ้มต่อมานั้นเต็มไปด้วยประกายความอ่อนโยนอ่อนหวานที่สุดขณะกระซิบบอก

"ผมก็คิดถึงพลัม"

แค่คำว่า 'คิดถึง' เท่านั้นแต่ไม่รู้ทำไมหัวใจมันถึงแหลกละลายราวกับได้ยินคำสารภาพรักที่อ่อนหวานที่สุดในโลกขนาดเน้...ฮือๆ มันต้องเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนจากผลกระทบของการตั้งครรภ์แหงๆ

พรำพรรษคิดอย่างปลดปลงยกเลิกความคิดที่จะหลีกหนีเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนประกบเข้ามาหา

มันเป็นจูบที่...เหมือนมีคำพูดมากมายอัดแน่นอยู่ในนั้น

คิดถึงและห่วงหาความอ่อนโยนแผ่วหวานค่อยๆ แปรไปเป็นการเรียกร้องบดขยี้เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาที่แผดเผาเร่าร้อน มือใหญ่ไม่หยุดนิ่งที่จะแตะต้องลูบไล้ไปทั่วร่างบางอย่างถือสิทธิ์เป็นเจ้าของกอบกุมสะโพกนุ่มรั้งเข้าหาขณะบดเบียดเสียดสีร่างกายผ่าวร้อนกับเรือนร่างนุ่มแสนหวานที่ถูกกอดรัดราวจะให้แหลกจมหายไปในอ้อมกอดเขาให้หมดมิด

ยิ่งจูบเหมือนยิ่งไม่พอ ยิ่งชิดเหมือนยิ่งปลุกความกระหายอยากให้ทะลักทลายออกมา มือใหญ่สำรวจลูบไล้แตะต้องควานลึกไปสู่จุดที่เสียดสีกันอยู่และสร้างความผ่าวร้อนระอุทะลุขีดขึ้นไปอีกเมื่อลงมือปลุกเร้าหนักหน่วง

อาคเนย์ถอนจูบจากริมฝีปากเห่อช้ำเพื่อกระซิบสั่นพร่าชิดผิวเนื้อเนียนนุ่มที่พรมจูบซับซ้ำๆ ได้ไม่เลิกรา

"ผมคิดถึง...ที่เราอยู่ด้วยกัน...แบบนี้"

'แบบนี้' ของเขาคือการบุกรุกเข้ามาทั้งที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบ!

"ฮึก...อื้อ" เสียงท้วงติงเจือสะอื้นถูกดูดกลืนหายด้วยจูบเร่าร้อน ร่างแกร่งหนาเบียดบดกระทั้นลึกเข้าหาอย่างห้ามตัวห้ามหัวใจไว้ไม่อยู่รู้แค่เพียงต้องการการเติมเต็มที่มากกว่าทางกาย แต่ก็คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะบรรเทาความโหยหาที่เขาไม่รู้ว่าควรเรียกว่าอะไรนั้นได้ ขณะที่หญิงสาวที่รู้สึกตัวเพียงเลือนรางว่ากำลังถูกครอบครองเรียกร้องอย่างดิบเถื่อนหากร่างกายและจิตใจเธอไม่ได้ขัดขืนห้ามปรามเหมือนจิตใต้สำนึกที่กระตุ้นเตือนเพียงแผ่วๆ เลยสักนิด สองแขนอันอ่อนแรงแถมยังทรยศหักหลังไม่ไว้หน้าเจ้าของโดยการโอบกอดไขว่คว้าเขาไว้อีกต่างหาก ขณะที่รู้สึกตัวว่าการบุกรุกอันป่าเถื่อนนั้นไม่ได้สร้างความเจ็บปวดเหมือนที่มันควรเป็น ร่างกายเธอมีเพียงความทรมานอันแสนหวานที่เรียกร้องต้องการร่างกายของอีกฝ่ายรุนแรงจนน่าตกใจ

ต้องการเขาอีก...มากกว่านี้อีก ลึกซึ้งและรุนแรงมากกว่านี้อีก ให้มันสมกับความคิดถึงและโหยหาที่ต้องทนทรมานมาตลอดช่วงเวลาที่แยกจากกัน

สิ่งนี้มันคืออะไร!?

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น