8

บทที่ 8


8

 

ความลับก็เป็นสิ่งที่ไม่มีจริงในโลกพอๆ กับความบังเอิญ

โดยเฉพาะถ้าคุณรวยมากๆ และเป็นเจ้าของทรัพย์สินและมีอิทธิพลเกินครึ่งค่อนประเทศ และเป็นคนใช้เงินเป็น...

ใช้เงินเป็นทาส!

แค่โปรยเงินลงไปก็เนรมิตได้ทุกอย่าง

มันเป็นเรื่องที่พรำพรรษรับรู้มานานแล้ว เคยทำมาก็มาก...

แต่เพิ่งเคยโดนกับตัวก็หนนี้แหละ!

หญิงสาวไม่เสียเวลามานั่งคิดหรอกว่า ใครขายเธอ นั่นเอาไว้ไปคิดบัญชีทีหลังแบบทบต้นทบดอกชนิดไม่ตายไม่เลิกรา คนอย่างพรำพรรษความพยาบาทไม่ใช่ของหวาน แต่เป็นจานหลัก เน้นหนักทางล้างแค้น และสำหรับเธอมันไม่ใช่การ 'ล่า' แต่จะเป็นการตามรังควานชนิดที่ไม่ต้องอยู่ร่วมโลกกันเลยทีเดียว

ทว่าปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องแก้สำคัญกว่า...

'ปัญหา' ตัวมหึมาในชุดสูทที่นั่งหน้ามึนอยู่ข้างๆ และท่าทางจะไล่ไม่ไปแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขารู้แล้วว่าเธอ...

"ทำไมคุณถึงไม่ป้องกัน" พรำพรรษกัดฟันข่มใจถามเรื่องที่คาใจที่สุด

"พลัมรู้ไหม เวลาที่เราอยู่ด้วยกันอะไรๆ มันไม่เคยเป็นไปตามแผนเลย" เขาตอบไปอีกทาง

ไม่เป็นไปตามแผน!

เชอะ! แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกว่าตกหลุมพรางเข้าไปเต็มเปาขนาดนี้นะ ถ้านี่ยังไม่เป็นไปตามแผน...

"แล้วแผนของคุณคืออะไรงั้นเรอะ" พรำพรรษกัดฟันถาม

"แผนของผม...ไม่ควรมีผู้หญิงในชุดบิกินีสีแดงบุกเข้ามาว่ายน้ำในสระว่ายน้ำของเพนต์เฮาส์ผมตั้งแต่เมื่อสามอาทิตย์ก่อน แถมนอกจากเมาได้เซ็กซี่สุดๆ ยังอ่อยแรงอีกต่างหาก" คนเล่าเท้าความไปชนิดที่ทำเอาคนฟังหน้าร้อนแทบไหม้ "ทำเอาผมตบะแตกจนอะไรๆ มันรวนไปหมด"

"มะ...มันเป็นความผิดพลาด ถะ...ถ้าฉันรู้ว่าเป็นบ้านคุณแต่แรก ให้ตายฉันก็ไม่เข้าไปหรอก" พรำพรรษหลับหูหลับตาเถียง

"ถึงคุณจะคิดว่า มันเป็นความผิดพลาด แต่ที่จริงมันถูกต้องแล้ว และ...ถึงจะรู้ว่าเป็นบ้านผมคุณก็ต้องหลงเข้าไปอยู่ดี...คุณตกหลุมแล้วถอนตัวไม่ขึ้นหรอก" คนพูดทำตาเป็นประกายวิบวับ พร้อมพูดกำกวมให้ไปคิดเพิ่มเอาว่า 'ตกหลุม' ของเขานั้นเป็นหลุมอะไร

"ฉันเคยเรียนปีนหน้าผา...คงปีนขึ้นไปไม่ยากหรอก" พรำพรรษกัดฟันบอกเขา ประกายตาวาววับของชายหนุ่มให้ความรู้สึกถึงหลุมพรางที่ทั้งลึกและเต็มไปด้วยขวากหนามแหลมๆ แถมด้วยทรายดูดที่ก้นหลุม ดักให้คนที่ตกลงไปไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้อีกเลยตลอดกาล

"คุณจะปีนขึ้นไป ทั้งๆ ที่ปากหลุมมีคุณภัสตราภรณ์ยืนรออยู่ พร้อมจะจับตัวคุณไปแต่งงานกับลูกชายไม่เอาไหนของเขาเนี่ยนะ" อาคเนย์ข่มขู่ พลางคลึงมือนุ่มนิ่มที่ยึดเอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัวตั้งนาน เป็นสัมผัสที่เล่นเอาคนถูกกระทำรู้สึกราวถูกไฟช็อก เหมือนสมองทำงานแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งเอาไว้รองรับความรู้สึกถึงสัมผัสวูบวาบชวนหลงใหลนั้น

"ฉันเตรียมแผนเอาไว้ประมาณสามอย่างที่น่าจะครอบคลุมทุกกรณีไว้แล้ว" หญิงสาวกัดฟันตั้งสติ

"แล้วในกรณีที่คุณภัสตราภรณ์สืบจนรู้ว่าคุณ..." คนพูดหลุบตามองกลางลำตัวหญิงสาว แทนความหมายของเรื่องที่รู้ๆ กัน "แล้วจับคุณมัดมือชก หรือแบล็กเมลป่าวประกาศว่า คุณท้องกับลูกชายเพื่อบังคับให้คุณแต่งงานล่ะ อยู่ในแผนไหน"

"แผนที่ไม่มีคุณอยู่ในนั้นแน่" หญิงสาวกัดฟันบอก และบอกตัวเองไม่ให้หลงเคลิ้มไปกับสัมผัสเขาอย่างเด็ดขาดและแค่พอทำท่าจะขยับ เตรียมจะกระชากมือหนีเมื่อเขาเผลอ อาคเนย์ก็ยิ่งกระชับมือกุมไว้แน่น ส่งสายตาเตือนกึ่งคาดโทษมาให้

"คุณจำเป็นต้องมีผมอยู่ในแผนแน่ๆ เพราะผมนี่แหละที่จะทำให้คุณหลุดพ้นจากสองแม่ลูกนั่น"

"ฟังดูเหมือนมีคนพยายามสร้างบุญคุณ เพื่อหาเรื่องทวงบุญคุณฉันใช่ไหมนะ" หญิงสาวดักคอเสียงเครียด

"ผิดแล้ว...ผมทำเพื่อไม่ให้คุณต้องเจ็บตัวต่างหาก ได้ยินว่าการขูดมดลูกมันเจ็บมากๆ ถ้าอยากจะหนีงานแต่งด้วยการเข้าโรงพยาบาล ผมแนะนำให้ผ่าไส้ติ่งน่าจะเจ็บน้อยกว่า แถม...ผมเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ด้วย คุณอยากตัดไส้ติ่งสักสี่อัน ผมยังให้หมอเขียนใบรับรองแพทย์ให้ได้เลย" ประกายในดวงตาเขาไม่นุ่มนวลเหมือนน้ำเสียงเลยสักนิด มันเตือนว่าเขาจะไม่ยอมรับการตัดสินใจของเธอแน่ หากเธอคิดจะยุติการตั้งครรภ์

"คนบ้าอะไรจะมีไส้ติ่งตั้งสี่อัน! โรงพยาบาลของคุณมันเฮงซวย! ฉันจะทำเรื่องร้องเรียนให้โดนปิดไปเลย" โดนกดดันหนักๆ เข้า ก็ทั้งกลัวทั้งโมโหนั่นจนหญิงสาวสติแตก พาลไร้เหตุผล

อารมณ์หลุดๆ นั้นเรียกรอยยิ้มจากอาคเนย์ได้ ดวงหน้าหล่อเหลาเคลื่อนมาใกล้ ยิ้มใส่ตาในระยะประชิด

"ปิดไม่ได้หรอก เพราะผมหลอกพวกผู้มีอิทธิพลมาซื้อหุ้นเอาไว้ พวกนั้นต้องใช้ทุกเส้นสายไม่ให้เรื่องร้องเรียนมีปัญหากับโรงพยาบาลแน่"

เขามัน...มัน...มัน...

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พรำพรรษอ้าปากค้าง ไม่อาจหาคำอะไรมานิยามผู้ชายตรงหน้าได้

"ที่จริงนี่มันก็ไม่อยู่ในแผนหรอกนะ" อาคเนย์พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนนิดหน่อย ขณะหยิบบางอย่างออกมาจากในเสื้อสูท รูดเข้ากับนิ้วมือเธอพร้อมบอก "ไม่คิดว่าจะได้มาขอแต่งงานอย่างไร้ความโรแมนติกอย่างนี้ ในสวนของโรงพยาบาล โดยมีแม่ของอดีตคู่หมั้นตามมาทวงคุณ"

WTF!

ขณะพรำพรรษจะร้องถามว่า เขาพูดเรื่องอะไรกันวะ! อาคเนย์ก็ยิ้มใส่ตาเธออีกรอบ

"คุณไม่เหลือตาให้เดินแล้ว ถ้าอยากรอดจาก..." ชายหนุ่มหันหน้าไปทางด้านหลัง เหมือนชี้นำให้เธอหันไปมองตาม แล้วพรำพรรษก็ต้องลุกพรวดอย่างตกใจ เมื่อเห็นผู้ที่เดินตรงมาทางนี้

"หนูพลัม อยู่นี่เองแม่ตามหาซะตั้งนาน นัดกันไว้ที่บริษัท ทำไมถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลนี่ได้ล่ะ"

คุณภัสตราภรณ์เป็นหญิงวัยกลางคนที่ใช้เงินเป็นคนหนึ่ง โดยใช้สมบัติที่สามีเหลือไว้ในการกระชากวัย ร่างนั้นยังคงทรวดทรงเอาไว้ได้อยู่ แม้จะอวบท้วมไปบ้าง แต่ผิวที่ขาวผ่องจากการซื้อคอร์สบำรุงราคาแพง และดวงหน้าที่ผ่านทั้งการร้อยไหมและฉีดโบทอกซ์มาจนตึงเปรี๊ยะนั้น ทำให้ดูเหมือนคนอายุเพียงสามสิบกว่าๆ ทั้งที่ปีหน้าก็จะหกสิบปีอยู่แล้ว แถมถ้านั่นยังพยายามไม่มากพอ เจ้าตัวยังเพิ่มความพยายาม ด้วยการสวมรองเท้าส้นสูงปรี๊ดอย่างไม่แคร์มวลกระดูกของอายุตัวเองเลย ทำให้การเดินบนทางเดินอิฐในสวนเป็นไปด้วยความทุลักทุเลเกือบหน้าคว่ำ

พรำพรรษมองเลยไปแล้วกวาดตามองโดยรอบ เห็นว่ามีคนของอาคเนย์ เป็นบอดีการ์ดในชุดสูทยืนแฝงตัวอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้เต็มไปหมด ที่คุณภัสตราภรณ์ผ่านด่านรักษาความปลอดภัยนี้เข้ามาได้นั่นน่าจะเพราะ...

หญิงสาวหันไปส่งสายตาอาฆาตให้คนร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆ ลุกยืนขึ้น พร้อมด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายสุดๆ

เขาปล่อยให้คุณภัสตราภรณ์เข้ามาเพื่อที่จะได้กดดันเธอ!

"ไม่ค่อยสบายนิดหน่อยค่ะ เลยมาหาหมอแล้วตรวจสุขภาพด้วยเลย ไม่ได้ตรวจนานแล้ว" พรำพรรษกัดฟันตอบว่าที่ 'อดีตว่าที่แม่สามี'

"โถแม่คุณ" เสียงอุทานหวานหยดนั้นเล่นเอาคนฟังขนลุก ก่อนจะสยองจนต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อคุณภัสตราภรณ์พูดต่อ "ทำงานหนักมากจนป่วยขนาดนี้ เจ้ากรนี่ยังไงไม่ดูแลน้องเลย แล้วหมอว่าไงบ้างจ๊ะ คงไม่ป่วยหนักจนเข้าพิธีอาทิตย์หน้าไม่ไหวใช่ไหมลูก"

"คุณภัสตราภรณ์คะ จะไม่มีพิธีแต่งงานอาทิตย์หน้าแน่ๆ ค่ะ ดิฉันสั่งยกเลิกงานทั้งหมดนั้นแล้ว" พรำพรรษทนไม่ไหวต้องบอกไปตรงๆ ด้วยเสียงเรียบ สรรพนามที่ใช้แทนตัวก็ห่างเหินแบบคนที่แทบหมดความอดทนแล้ว

"ยกเลิกไม่ได้! หนูพลัม! แค่เรื่องเข้าใจผิดกันนิดๆ หน่อยๆ หนูไม่ควรทำแบบนี้ ตากรมันก็เหลวไหลไปบ้างตามประสาผู้ชายแถม แม่ก็ให้มันมาขอโทษหนูแล้วไง จะผูกใจเจ็บอะไรนักหนา" เสียงของคุณภัสตราภรณ์เริ่มสูงด้วยความไม่พอใจ เพราะเธอบังคับแทบตายกว่าลูกชายตัวดีจะยอมไปหาพรำพรรษ แต่นังผู้หญิงนี่ยังใจร้ายเอาของขว้างจนภาสกรหัวแตกต้องเย็บไปตั้งแปดเข็ม

"ไม่ได้ผูกใจเจ็บและไม่ได้เข้าใจผิดค่ะ ไอ้คลิปเวรตะไลที่ลูกชายคุณทำไว้ทำให้ฉันต้องถูกบอร์ดบริหารเรียกไปด่ารัวๆ เป็นอาทิตย์ ฝ่ายภาพลักษณ์องค์กรต้องวิ่งไปปิดข่าวและจ่ายใต้โต๊ะจำนวนไม่น้อยเพื่อให้เรื่องเงียบ จะไม่ให้โมโหยังไงไหว" วะ...คะ...ฮะ! พรำพรรษอดต่อหางเสียงในใจไม่ได้

"แหม...แต่ถึงโกรธงอนกันแค่ไหนก็ไม่ควรประชดกันแบบนี้นะ เล่นไปบอกยกเลิกงานแต่งแบบนี้ ตากรจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"

มาถึงจุดนี้พรำพรรษชักไม่แน่ใจแล้วว่า ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายเสียหาย ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไร้ความรับผิดชอบ หรือฝ่ายไหนเป็นฝ่ายที่ควรต้องเสียหน้ากันแน่ แต่ที่แน่ๆ เธอชักเหลืออดแล้ว

"ดิฉันไม่ได้โกรธ งอน หรือประชดอะไร ที่จริงคือดิฉันไม่รู้สึกอะไรกับภาสกรด้วยซ้ำและไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับลูกชายคุณมาตั้งแต่แรกแล้ว" พรำพรรษพูดอย่างอดทน...ซึ่งเริ่มไม่ไหวแล้วนะ

"ไม่จริง! ไม่งั้นทำไมเธอไม่เคยปฏิเสธเลย ปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้" คุณภัสตราภรณ์แว้ด ความอ่อนหวานปานน้ำเชื่อมอาบยาพิษเมื่อกี้หายไปแล้ว แทนที่ด้วยโหมดว่าที่แม่ผัวที่น่ากลัวไม่แพ้ตัวละครในละครหลังข่าวภาคค่ำ

"ฉันปฏิเสธทุกครั้งแหละแต่คุณไม่เคยฟัง คุณคิดว่าถ้าตีขลุมไปเรื่อยๆ แล้ว ฉันต้องยอมตามน้ำไปต่างหาก" พรำพรรษเริ่มอารมณ์ขึ้นบ้าง...สงสัยเพราะฮอร์โมนเหวี่ยง เป็นผลข้างเคียงจากการท้องแหงๆ

"มะ...แหม แม่ก็คิดว่าหนูพลัมเขิน เป็นฝ่ายหญิงมันก็ต้องบ่ายเบี่ยงนิดหน่อย ไม่ให้ใครเขาคิดว่าอยากจับผู้ชายจนตัวสั่น"

ยายนี่! จิกกัดเธอได้ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าใสซื่อสิ้นดี

นังแมงกะพรุนพิษ!

แต่ที่น่าโมโหหนักยิ่งกว่าคือ เสียงกลั้นหัวเราะขลุกขลักของคนข้างตัว

"งั้นก็ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ ว่าฉันจะอยากจับลูกชายคุณจนตัวสั่นน่ะ เพราะฉันไม่แต่งกับคนแบบภาสกรแน่" พรำพรรษกัดฟันโต้ตอบอย่างใช้ความอดทนเป็นสองเท่า...อดทนกับคุณภัสตราภรณ์ด้วย อดทนกับคนตัวโตข้างตัวด้วย

"คนอย่างภาสกร!" คุณภัสตราภรณ์ขึ้นเสียงแหลมสูงปรี๊ด "ทำไมยะ! คนอย่างลูกชายฉันมันทำไม เสียหายตรงไหน เธอถึงจะลดตัวลงมาแต่งด้วยไม่ได้"

เยี่ยม! ยายป้านี่ทำให้ความอดทนเธอขาดผึงไปเรียบร้อยแล้ว พรำพรรษสูดหายใจแรง เชิดหน้าจิกตาด้วยมาดนางพญา

"ผู้ชายไอคิวต่ำ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องที่ดีแต่สืบพันธุ์แบบไร้ความรับผิดชอบ แถมเวลาสร้างปัญหายังต้องให้คอยแก้ไขรับผิดชอบให้แบบนั้น คุณคิดว่าจะให้ฉันต้องตามล้างตามเช็ด เป็นขี้ข้าคอยรับใช้ลูกชายคุณไปชั่วชีวิตรึไง" พรำพรรษเท้าเอวเหวี่ยง ขาดเพียงชี้นิ้วใส่หน้ากันเท่านั้น

"เธอคบกับลูกชายฉันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนจบมาตากรก็ยังพาเธอตามมาทำงานด้วย ให้ตำแหน่งเสียใหญ่โต ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วว่าเธอกับตากรเป็นอะไรกัน จะมาปัดความรับผิดชอบง่ายๆ ไม่ได้นะ" คุณภัสตราภรณ์เท้าความกดดันปนทวงบุญคุณ ด้วยสีหน้าและนัยน์ตาราวกับสัตว์ล่าเนื้ออะไรสักอย่าง

"ฉันไม่เคยคบกับภาสกร เอาตรงๆ ฉันเป็นแค่คนรับจ้างทำรายงานให้เท่านั้น และที่ภาสกรเรียนจบมาได้นี่ก็เพราะรายงานที่ฉันทำให้ รวมถึงการติวพิเศษกับธีสิสที่ฉันเป็นคนทำให้ แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเหมือนธุรกิจที่ใช้เงินแลกงานดังนั้นฉันจะละไว้ไม่ถือเป็นบุญคุณหรอกนะ รวมถึงการที่เรียนจบออกมาแล้วภาสกรยังไม่มีปัญญารับผิดชอบงานของตัวเอง เรียกฉันมาเป็นที่ปรึกษา จนตอนหลังไม่ยอมทำงานตัวเอง ให้ฉันเข้ามาช่วยเต็มตัว ต้องรบราฆ่าฟันกับไอ้พวกบอร์ดผู้บริหารสันดานเสียของอดีตท่านประธานแทนคุณกับลูกชายมาตั้งเจ็ดปี

“ฉันทำงานหนักโคตรๆ เพื่อให้บริษัทที่กำลังเซเพราะสามีคุณตายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จนมันฟื้นกลับขึ้นมาได้ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ คุณกับลูกชายได้เสวยสุขอยู่สบายลอยหน้าลอยตาในสังคม นี่...ทุกอย่างฉันไม่เคยคิดว่ามันเป็นบุญคุณหรอกนะ เพราะฉันทำงานแลกเงิน และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่รับมาน่ะ ฉันทำงานหนักเกินมูลค่าของมันไปเป็นสิบเท่า คุณไม่ต้องกลัวจะเสียเปรียบเหมือนที่ทวงบุญคุณอยู่ได้ทุกครั้งที่คุยกันหรอก"

มีเสียงซี้ดปากอย่างสะใจดังมาจากข้างตัว แต่พรำพรรษไม่หันไปดูหรอกนะ เพราะเดาได้ว่าเขาต้องกำลังทำประกายตาวิบวับอย่างพออกพอใจที่ทำให้เธอสติแตกจิตหลุดขนาดนี้ได้

แม้พรำพรรษจะเป็นคนแรงและไม่เกรงกลัวใคร แต่หญิงสาวก็มีมารยาทและรู้กาลเทศะเป็นอย่างยิ่ง เธอคอยเก็บงำความรู้สึกไว้ ไม่เคยอาละวาดหรือพูดจาล่วงเกินผู้ใหญ่อย่างคุณภัสตราภรณ์ ที่เธอคิดซะว่าเป็นแม่ของเพื่อนอย่างภาสกร และยังกึ่งๆ มีบุญคุณในฐานะที่เป็นภรรยาคุณปกรณ์ อดีตประธานบริษัทซึ่งสร้างบริษัทพีเคกรุ๊ปขึ้นมา ทำให้เธอได้เข้ามาบริหารสั่งสมประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจอยู่ได้ถึงเจ็ดปี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายทวงบุญคุณไม่เลิกขนาดนี้ ร่วมด้วยอารมณ์ที่กำลังขึ้นกับผู้ชายเหลืออดข้างตัว หญิงสาวเลยระเบิดคำพูดเผ็ดร้อนทะลุจุดเดือดใส่คุณภัสตราภรณ์ไปเต็มๆ

"กะ...แก...แก นังพลัม" คุณภัสตราภรณ์กรีดร้องเสียงหอบ ความโมโหแทบทะลุหน้าตาแดงก่ำที่ฉีดโบทอกซ์ออกมา

"เรียกฉันว่าพรำพรรษก็ได้ เพราะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น" นางมารร้ายยิ้มยะเยือกใส่ความแรงได้อีก

"แก...นังคนไม่รู้จักบุญคุณคน ไม่สำนึกบุญคุณที่ให้ข้าวให้น้ำให้ที่ทำงานมาตั้งหลายปี"

"ไม่ครีเอตเลย มีอะไรที่ฉันไม่รู้อีกไหม" พรำพรรษถามกลับท่าทางเบื่อๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำด่านั้น

"นังสาวแก่ไม่มีใครเอา! คอยดูซิว่าพลาดจากตากรของฉันแล้วคนอย่างแกจะมีใครเอา!"

โหย...แรงส์ ไม่มีคำแก้ตัวด้วย...เอ๊ะ! หรือมี

"มีครับ ผมคงยอมให้ลูกชายคุณเอาตัวพลัมไปแต่งงานด้วยไม่ได้หรอกนะ"

หมี่เหลืองแล้ว! (มีเรื่องแล้ววว!)

พรำพรรษถอนใจกลอกตามองบนที่อยู่ๆ งานก็เข้าเธอ คนข้างตัวก้าวออกมาพูดยิ้มๆ กับคุณภัสตราภรณ์ที่หน้าเหลอหลา อ้าปากค้าง จ้องเขาเหมือนเพิ่งเห็นว่าพรำพรรษไม่ได้อยู่คนเดียว

"หมอนี่มันใครกัน ยายพลัม" คุณภัสตราภรณ์ถามเสียงแหลม หลังจากกวาดตาดูแล้วเห็นว่าท่าทางของเขาไม่ธรรมดา แถมหน้าตาก็คุ้นๆ

"พ่อของลู...อุก!" อาคเนย์พูดไม่ทันจบ เพราะคนที่เหมือนรอจังหวะอยู่แล้วสับศอกแหลมๆ เข้าเต็มท้องด้วยท่วงท่าที่เหมือนไม่ตั้งใจ แต่คนโดนเข้าไปรู้เลยว่าเธอต้องเคยเรียนมวยไทยมาแหงๆ ถึงศอกได้เจ็บจุกตรงเป้าขนาดนี้

"เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยหรอกค่ะ เอาเป็นว่าเราเข้าใจตรงกันดีกว่าว่า ฉันจะไม่เข้าพิธีแต่งงานกับภาสกรไม่ว่าวันนี้ อาทิตย์หน้า หรือแม้แต่ชาติหน้า คุณกับลูกชายคงต้องตัดใจ และหาผู้หญิงที่บริหารงานได้เก่งๆ คนใหม่มาแทนแล้วเพราะฉันขอลาออก" พรำพรรษกัดฟันถอยสุดๆ เธอรีบตัดจบสถานการณ์นี้ก่อนจะมีใครฉวยโอกาส แล้วเรื่องจะยิ่งบานปลาย

"ไม่ได้! พวกบอร์ดผู้บริหารไม่ยอม พวกเขาเชื่อมั่นตัวเธอ ดังนั้นเธอจะลาออกไม่ได้หรอกนะ ไม่งั้นฉันจะลงทุนยอมให้ภาสกรแต่งงานกับเธอทำไม"

คุณภัสตราภรณ์หลุดไม่เหลือมาดแล้ว พลั้งปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาจนหมด ไม่ว่าจะเป็นความคับแค้นใจที่ไม่อาจควบคุมบังคับบอร์ดผู้บริหารได้ตามใจ หรือแม้กระทั่งการต้องรับพรำพรรษเข้ามาเป็นสะใภ้เพื่อความมั่นคงของบริษัท ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ชอบหน้าและท่าทางแข็งกระด้างไร้ความอ่อนหวานของพรำพรรษ แต่ไม่มีวิธีไหนอีกแล้วที่จะผูกมัดหญิงสาวไว้ทำงานให้แบบถาวร...และยื้อกันมานานจนหญิงสาวอายุจวนสามสิบในอีกไม่กี่เดือน หลังจากความพยายามที่จะลาออกของพรำพรรษ ซึ่งอยู่ๆ ก็มาบอกว่าจะลาออกไปบริหารบริษัทของตัวเองที่เปิดไว้ตั้งแต่สามปีก่อน ตอนนั้นเธอหว่านล้อมสารพัด รวมทั้งขู่ว่าบริษัทที่เพิ่งเปิดนั้นไร้ความมั่นคงแค่ไหน ไม่คุ้มค่าที่จะลาออกไปหรอก เกิดมันเจ๊งขึ้นมาล่ะ...

‘หน็อย...นั่นปากเหรอยะ!’

พรำพรรษฟังแล้วก็ขึ้น หนนี้เธอไม่ยอม หญิงสาวสู้กลับด้วยผลประกอบการที่ทำกำไรต่อเนื่องกันเกินสองร้อยเปอร์เซ็นต์มาตลอดสามปีมายืนยันว่าบริษัทของเธออยู่ได้ แถมตอนนี้ยังเปิดเพิ่มอีกแห่ง และกำลังแข่งกันทำกำไรอีกต่างหาก!

ยิ่งฟังคุณภัสตราภรณ์ก็เต้นเป็นเจ้าเข้า เดือดเนื้อร้อนใจจนทนไม่ไหว เพราะคำแนะนำจากเพื่อนสามีผู้เป็นบอร์ดบริหารคนหนึ่งในบริษัทพีเคกรุ๊ปที่ว่าให้หาทางผูกมัดพรำพรรษไว้ให้ได้ ก่อนหญิงสาวจะหลุดมือลอยหายไปไม่ได้ผลแล้ว แผนการแต่งงานที่ถูกกำหนดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนกำลังจะล่มไม่เป็นท่า คุณแม่ของภาสกรได้แต่กรีดร้องในใจว่า

ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนมีประโยชน์อย่างนี้นะ น้ำหน้าอย่างหล่อนอย่าหวังเลยว่าจะได้เฉียดกรายเข้าใกล้ได้ใช้นามสกุลร่วมกับฉันน่ะ!

สองสาวปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนลืมไปว่ายังมีใครอีกคนยืนอยู่ตรงนี้

"งั้นคุณคงต้องย้ายการลงทุนไปพอร์ตอื่นแล้ว เพราะผู้หญิงคนนี้มีเจ้าของไปแล้ว" อาคเนย์ฉวยโอกาสประกาศกลางวง ไม่ลืมคว้าแขนหญิงสาวเอาไว้มั่น...ป้องกันอาการจุกเสียด

พรำพรรษหลับตาถอนใจ คำเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือ 'หายนะ'

"คุณเป็นใคร" คุณภัสตราภรณ์ชี้นิ้วถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

"อาคเนย์ อรรคนีย์พิทักษ์" คนพูดยิ้มกว้างขณะประกาศชื่ออย่างไม่ปิดบัง ขณะคนข้างตัวอยากปิดหน้าหรือไม่ก็หายตัวไปจากตรงนี้ ติดที่เขากุมมือเธอไว้แน่น

"อาคเนย์ อรรคนีย์..." คุณภัสตราภรณ์พึมพำ ขณะหัวสมองแล่นเร็วจี๋เมื่อได้ยินชื่อที่คนในแวดวงสังคมชั้นสูงและบรรดานักธุรกิจไม่มีใครไม่รู้จัก นักธุรกิจเลือดใหม่ ผู้บริหารผู้กุมอำนาจสูงสุดของอัคคีกรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มทุนที่ร่ำรวยติดอันดับประเทศ

"จะ...เจ้าของบริษัทอสังหาเอเคเรียลเอสเตต เจ้าของห้างอีสต์อาร์คานี เจ้าของ..." คุณภัสตราภรณ์พูดตะกุกตะกักแทบไม่เป็นภาษา เมื่อคิดถึงทรัพย์สินมหาศาลที่เขาครอบครองไว้

"ครับ...เจ้าของพลัมด้วย" คนพูดถือวิสาสะยกมือซ้ายของหญิงสาวที่กุมแน่นเพื่อโชว์นิ้วนางที่มีแหวนเพชรวงเขื่องประดับแน่น ทำเอาเจ้าของมือที่เพิ่งรู้ว่ามีแหวนวงมหึมาสวมแน่นติดนิ้วอ้าปากค้าง

‘ตะ...ตั้งแต่เมื่อไรวะ!’

พรำพรรษหูอื้อตาลายคล้ายจะเป็นลม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเก็บรายละเอียดได้ว่าเพชรที่นิ้วนางมือซ้ายของเธอนั้นไม่ต่ำกว่าสิบกะรัต เป็นเพชรเนื้อบริสุทธิ์ขาวสว่างน้ำดีสุดๆ เจียระไนทรงเหลี่ยมมรกตด้วยช่างฝีมือดี ทำให้หน้าเพชรทอประกายระยับวิ้งบาดตาแทบบอด

"นะ...นี่มันอะไรกัน" พรำพรรษกับคุณภัสตราภรณ์ถามขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน

"แหวนหมั้นไง ผมเห็นนิ้วมือคุณยังโล่งๆ เลยเอาแหวนวงที่คุณตาใช้หมั้นคุณยายมาให้คุณแน่ะ" คนพูดอธิบายพลางยิ้มใส่ตาที่จ้องแบบจะกินเลือดกินเนื้อ พรำพรรษก็ขยับมือขยุกขยิกเหมือนพยายามจะถอดมันออก แต่เจ้าของแหวนรู้ทันจึงกุมมือเธอไว้แน่นด้วยมืออุ่นร้อน ก่อนจะหันไปหาคุณภัสตราภรณ์

"ถ้าคุณอ้างว่าลูกชายหมั้นกับพลัมแล้วจริงๆ ไหนล่ะแหวนหมั้น ขอผมดูหน่อยได้ไหม ถ้ากะรัตสูงกว่าของผม ผมจะยอมถอยให้ก็ได้"

พรำพรรษโคตรเกลียดรอยยิ้มอวดดีและสีหน้าเสแสร้งที่แฝงความมั่นใจเต็มเปี่ยมของเขาเลย เพราะของแบบนั้นมันจะมีได้ไง ในเมื่อคุณภัสตราภรณ์ไม่ได้เต็มใจที่จะรับเธอเป็นลูกสะใภ้ นอกจากการสร้างภาพจัดพิธีแต่งงานฉาบฉวยเพื่ออวดรวยแล้ว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรสักอย่าง ซึ่งเขาย่อมรู้ดีอยู่แล้ว

คนแบบนี้...ถ้าข้อมูลไม่แน่นพอ และถ้าไม่มั่นใจเปี่ยมล้นว่าคู่ต่อสู้ไม่มีทางสู้ตัวเองได้ ไม่มีทางเอ่ยปากท้าออกไปหรอก

ทำไมพรำพรรษถึงรู้ได้น่ะเหรอ

เพราะเธอก็เป็นคนประเภทเดียวกันไง!

ไม่บ่อยนักที่คนบ้าอำนาจ เจ้าอารมณ์ และไม่เคยเห็นหัวคนอื่นอย่างคุณภัสตราภรณ์จะอ้าปากค้าง พูดไม่ออก ไม่อาจวางอำนาจใดๆ ใส่คนอื่น เพราะคนตรงหน้าเหนือกว่าในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นฐานะ ทรัพย์สิน หรือแม้กระทั่งแหวนเพชรเม็ดยักษ์ที่นิ้วนางของพรำพรรษที่ราคาน่าจะไม่ต่ำกว่าหลายสิบล้าน ใครมันจะไปหาแหวนที่ใหญ่กว่านี้มาเกทับได้ ถ้าไม่อยากหมดเนื้อหมดตัวเพื่อรักษาหน้าเอาไว้

"คะ...คุณ...คุณอาคเนย์ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" คุณภัสตราภรณ์เปลี่ยนเรื่องในทันทีที่รู้ว่า ประเด็นนี้ตัวเองไม่มีทางเทียบอีกฝ่ายได้

"มาตามตัวลูกสะใภ้กลับไปให้แม่ครับ คุณแม่อยากเจอคุณนะ" ประโยคหลังเขาหันมายิ้มกว้างใส่ตาคนที่ถลึงตาใส่อย่างโมโห แต่จะพูดอะไรก็น้ำท่วมปาก

ในนาทีนี้หากว่าเธอสลัดมือเขาออกแล้วทำอย่างใจคิดคือ หันหลังวิ่งหนีเต็มฝีเท้าอย่างสุดชีวิต คิดว่านอกจากจะไม่พ้นแล้ว ดีไม่ดีคุณภัสตราภรณ์ยังอาจพลิกสถานการณ์ลงทุนวิ่งตาม กลายเป็นเปิดศึกยื้อแย่งตัวเธอแน่ แม้ว่าคุณภัสตราภรณ์จะไม่มีทางสู้ความร้ายกาจของเขาและบอดีการ์ดของเขาที่มีเต็มไปหมดได้ แต่ภาพที่ออกมาคง...

หญิงสาวสูดลมหายใจอย่างเหน็บหนาว ยามคิดว่าถ้ามีใครสักคนในที่นี้แกล้งปล่อยข่าวนี้ลงในสื่อขึ้นมานะ...

"แหม...ฉันชักอยากเจอคุณแม่คุณขึ้นมาเลย" พรำพรรษเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง...น้ำผึ้งอาบยาพิษ พร้อมเงยขึ้นยิ้มหวานเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา "อยากเห็นเหลือเกินว่าคนที่มีลูกแบบคุณได้นี่ต้องเป็นผู้หญิงแบบไหน"

เออ! เสียงเธอหวาน แต่ข้อความประชดประชันปนจิกกัดบุพการีเขาเต็มๆ กะว่าใช้ความหยาบคายสุดๆ เพื่อให้เขาสำนึกได้เสียทีว่า พรำพรรษไม่ใช่ผู้หญิงที่ควรไปเป็นสะใภ้บ้านไหนทั้งนั้น

ทว่า...แทนที่เขาจะโกรธ อาคเนย์กลับหัวเราะลั่น แทบจับได้ถึงความสะใจในน้ำเสียงนั้นด้วยซ้ำเมื่อเขาคว้าเอวบางเข้าหาตัว ก่อนกดจูบแบบเร็วๆ บนหน้าผากเนียน เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

"อยากให้แม่เจอคุณจนผมแทบทนไม่ไหวแล้วเนี่ย"

กิริยา...ท่าทางของเขา...ไม่มีความโกรธแม้สักนิด แถมดวงตายังประกายวิบวับ มีทั้งรอยขำขันอยู่ในนั้นเหมือนรอดูเรื่องสนุก ทำให้พรำพรรษเสียวสันหลังวูบ วูบหนึ่งคิดจะกลับตัวกลับใจหนีกลับไปตบตีกับคุณภัสตราภรณ์ที่น่าจะรับมือได้ง่ายกว่า แต่ก็ไม่อาจหันกลับได้แล้ว เพราะแขนแข็งแรงโอบเอวเธอไว้แน่นอย่างกลัวหนี

"เดี๋ยว! เรากำลังจะไปไหนกันงั้นเรอะ" พรำพรรษที่ขืนตัวไว้กัดฟันถาม เพราะคนโอบเอวกึ่งประคองเธอไว้ใช้กำลังลากตัวเธอออกเดิน

"กลับบ้านเราไง คุณแม่รออยู่" ประกายวิบวับในดวงตาของคนที่ก้มลงมองนั้น...ไม่รู้ทำไมหญิงสาวถึงรู้สึกว่ามันน่ากลัวชะมัด

"ไม่ได้นะ คุณอาคเนย์ พรำพรรษเป็นคู่หมั้นของภาสกรลูกชายฉันที่จะเข้าพิธีกันอยู่อาทิตย์หน้านี้แล้ว คุณจะมาชิงตัวเจ้าสาวกันอย่างนี้ไม่ได้นะ" คุณภัสตราภรณ์ตั้งสติได้ และออกแรงค้านสุดตัวเพื่อลูกชายและอำนาจในบริษัทที่บอร์ดบริหารคงไม่มีทางยอม หากเธอทำพรำพรรษหลุดมือไป

"ถ้างั้น...คุณตอบผมให้ได้ก่อนว่า ในงานแต่งงานที่จะถึงในอาทิตย์หน้า คุณเตรียมอะไรไว้ให้พลัมบ้าง ไหนแหวนหมั้นของภาสกร สินสอดทองหมั้นสมฐานะหน้าตาและความสำคัญของเจ้าสาวไหม งานพิธีนอกจากเน้นหนักที่จำนวนแขกเพื่อผลประโยชน์ทางคอนเนกชันและธุรกิจแล้ว คุณเตรียมอะไรให้พลัมบ้าง รู้สึกว่าชุดแต่งงานยังเช่าเอาเลยไม่ใช่หรือ ฐานะแบบคุณนี่นะจะไม่มีปัญญาสั่งตัดชุดแต่งงานดีๆ ให้พลัม ถ้าหากว่าคุณอยากได้พลัมเป็นลูกสะใภ้จริงๆ การแต่งงานครั้งนี้มีอะไรที่คุณเต็มใจทำให้สมฐานะและความสำคัญของพลัมบ้าง"

เขามันเป็นคนเชือดเฉือนผู้คนให้ขาดใจตายด้วยรอยยิ้ม อย่างไร้ความรู้สึกผิด และไม่ต้องใช้คำด่าแม้สักคำ แถมยังคงรอยยิ้มเชือดเฉือนนั้นไว้ได้จนประโยคสุดท้าย

"ถ้าคิดได้แล้วค่อยไปหาพลัมที่บ้านผม ช่วงนี้เราจะอยู่ที่บ้านอรรคนีย์พิทักษ์ไม่ไปไหน"

คนพูดคว้าเอวเล็กแล้วก้าวยาวเร็วจนเธอแทบปลิวลม ป้องกันการขัดขืน กว่าพรำพรรษจะรู้สึกว่าถูกชิงตัวมาจากคุณภัสตราภรณ์ได้แบบนิ่มๆ ง่ายๆ เขาก็ลากตัวเธอมาถึงรถแล้ว

"ดะ...เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อน" พรำพรรษกางแขนจิกกรอบประตูรถตู้เอาไว้ ขืนตัวเต็มที่ แต่ก็สู้แรงคนตัวโตไม่ไหว โดนหิ้วตัวขึ้นมาบนรถตู้เรียบร้อยแล้ว ถึงจะเป็นรถตู้หรูที่ราคาเป็นสิบล้าน แต่...ทำไมถึงให้ความรู้สึกเหมือนโดนแก๊งรถตู้ลักพาตัวไปขนาดนี้วะเนี่ย

"คุณ ฉันไปกับคุณไม่ได้หรอกนะ ฉันนัดปรายไว้..." พูดไม่ทันจบประโยค ก็มีเสียงแผ่วหวิวดังมาจากเบาะด้านหลัง

"อยู่นี่ค่ะ..."

พรำพรรษหันกลับไปเพื่อพบว่าเลขาฯ สาวของตัวเองนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงเบาะหลัง...ปัญหาคือ...ถูกพาตัวมาหรือเต็มอกเต็มใจมากันแน่

"ได้ของที่สั่งครบไหม" อาคเนย์ถามปรายที่รีบพยักหน้าถี่ๆ

"ครบค่ะคุณอาคเนย์" ปรายว่าพร้อมกับชูถุงหลายใบขึ้นอวด ท่ามกลางสายตาอาฆาตของพรำพรรษที่รู้แล้วว่า...ใครขายเธอ!

"งั้นเริ่มเลย ย้ายที่มาจัดการเปลี่ยนชุดให้คุณพลัม" คนพูดสั่งการพร้อมกับรูดม่านปิดการมองเห็นจากด้านคนขับ ให้เหลือแค่คนที่นั่งอยู่ด้านหลังคือ เขา พรำพรรษ และปรายที่ย้ายที่พร้อมถุงกองพะเนินมานั่งข้างๆ พรำพรรษ หญิงสาวเปิดถุงหนึ่งออกมา หยิบชุดเดรสสีหวานชูให้อาคเนย์ดู

"ชุดนี่..." ปรายหันไปปรึกษาเขา โดยไม่ยอมสบตาเจ้านายจอมอาฆาต

"เปลี่ยนเลย" เขาสั่งเสียงเรียบ ไม่สนใจว่าปรายต้องหันไปแล้วสะดุ้งเมื่อสบสายตาที่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อของพรำพรรษ

"คะ...คุณพลัมคะ...ปะ...เปลี่ยนชุดนี้หน่อย...ค่ะ"

"ปราย...แกขายฉัน!" หญิงสาวกัดฟันเค้นเสียงใส่เลขาฯ สาว

"ปะ...เปล่านะคะ ปรายโดนบังคับค่ะ คุณพลัม ปะ...เปลี่ยนชุดเถอะค่ะ นะคะ" ปรายอ้อนวอนเสียงสั่นไหว กลัวทั้งพรำพรรษซึ่งเธอรู้ความน่ากลัวเสมอต้นเสมอปลายของนางมารร้ายเป็นอย่างดี แล้วแถมยังมีอาคเนย์เพิ่มมาให้ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก นายผู้ชายแม้จะหล่อขั้นเทพ แต่สายตาคมดุยามมองคนติดตาม หรือแม้แต่ยามปรายตาคมๆ มองเธอบ่งบอกชัดว่า ไม่ใช่คนใจดีที่เล่นด้วยได้

โอ๊ย...นี่มันนางมารร้ายแท็กทีมกับจอมมารชัดๆ!

"ฉันไม่เปลี่ยน" พรำพรรษประกาศเสียงแข็ง จนปรายต้องเหลือบมองอาคเนย์เหมือนขอความช่วยเหลือ

"คุณมีทางเลือกสองทางคือ ให้ปรายช่วยคุณแต่งตัว หรือจะให้ผมช่วยแต่งตัวให้" อาคเนย์บอกพร้อมกวาดตามองผิวขาวๆ ตั้งแต่บริเวณคอไล่ลงมาตามชุดสูทที่เป็นผ้าหนาหนัก แต่ไม่รู้ทำไมพรำพรรษรู้สึกว่ามันถูกสายตาเขามองทะลุทะลวงได้ราวกับผ้าโปร่งบาง จนเจ้าตัวแทบอยากกอดกระชับตัวเองไว้ ซ่อนร่างกายจากสายตาเขา

"ฉะ...ฉันจะ...จะเปลี่ยนได้ยังไงในเมื่อคุณนั่งอยู่ตรงนี้น่ะ" พรำพรรษพยายามต่อรอง

"หยุดรถ" อาคเนย์สั่งเสียงเรียบ และพอคนขับนำรถเข้าจอดข้างทาง เขาก็หันไปสั่งว่า

"พวกนายลงจากรถไปให้หมด ปรายด้วย" ชายหนุ่มคว้าตัวพรำพรรษไว้ เมื่อหญิงสาวผวาจะลุกพรวดตามปรายที่รีบเปิดประตูกระโดดหนีตายลงไปเป็นคนแรก ชายหนุ่มปิดประตูรถโดยไม่ลืมล็อกจากด้านใน ก่อนหันมามองคนที่ดิ้นรนขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน

"จะเปลี่ยนเอง หรือจะ..."

"ปล่อยก่อนสิ จับไว้แบบนี้จะเปลี่ยนชุดได้ยังไง" พรำพรรษรีบพูด ก่อนคว้าชุดขึ้นมามือไม้สั่น ภาวนาอย่าให้คนตรงหน้าทำอะไรบ้าๆ ตรงนี้

อาคเนย์นิ่งมองคนที่ทำท่าควานถุงไปมา ยื้อเวลาไว้นั้นด้วยสีหน้ามันเขี้ยว

"รู้ไหม คุณนี่เป็นคนที่รู้จักเอาตัวรอดหลบหลีกตามสถานการณ์ได้เก่งอย่างหาตัวจับยากเลยจริงๆ"

พรำพรรษถลึงตาใส่เขา กัดฟันข่มความอาย ตัดใจปลดกระดุมออกทีละเม็ด หลังจากมองให้แน่ใจแล้วว่าไม่ได้มีกล้องอยู่ในรถ คิดเสียว่าอะไรๆ เขาก็เคยเห็นไปหมดแล้ว...และทั้งๆ ที่เคยเห็นแล้ว ยังนั่งดูตาเป็นมันราวกับไม่เคยเห็นอย่างนั้นแหละ หญิงสาวสบถอยู่ในใจชุดใหญ่ด้วยถ้อยคำชนิดที่คำพูดตอนปะทะกับคุณภัสตราภรณ์เมื่อครู่เป็นเด็กอนุบาลคุยกันไปเลย

ชุดที่เตรียมไว้ให้เป็นเดรสสีอ่อนยาวคลุมเข่า พร้อมรองเท้าเข้าชุดกัน ขณะที่พรำพรรษพยายามจัดชุดให้เข้ารูปเข้าทรงในพื้นที่จำกัด มือใหญ่ก็เอื้อมมาปลดยางรัดผมเธอออก ปล่อยผมมวยให้ทิ้งตัวสยาย แว่นตาถูกกำจัดเป็นอย่างต่อไป ก่อนเขาจะปลดล็อกประตู และเรียกปรายเข้ามาแต่งหน้า

ปรายทำตาโตเมื่อเห็นว่าเจ้านายสาวถูกแปลงโฉมเรียบร้อย สายตาที่เหลือบมองไปทางอาคเนย์มีรอยชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง เป็นคนเดียวในโลกแล้วมั้งที่จัดการนางมารร้ายได้อยู่หมัด โดยไม่มีเสียงเถียงสักแอะ ปรายยิ้มกว้างก่อนชะงักค้างเมื่อหันมาเจอสายตาอาฆาตของพรำพรรษ หญิงสาวก้มหลบตาไปงัดกล่องเครื่องสำอางออกมา ลงมือแต่งหน้าให้เจ้านายตามคำสั่งนายผู้ชาย โดยไม่สนใจสายตาแค้นเคืองของพรำพรรษ ทำเอาอาคเนย์อดชมในใจไม่ได้

ช่างสมเป็นลูกน้องนางมารร้ายจริงๆ อ่านสถานการณ์ได้ขาด รู้เลยว่าต่อไปนี้ใครคุม

ปรายสมัครลงเรียนแต่งหน้าจากช่างมืออาชีพมาหลายคอร์ส จนรับงานแต่งหน้าระดับมืออาชีพได้ บวกกับประสบการณ์ในการแต่งหน้าให้สาวๆ ในโมเดลลิงของตัวเองมาอย่างโชกโชน จึงดึงเอาความโดดเด่นของพรำพรรษออกมาจากเค้าหน้าเดิมที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว จนเจ้านายสาวสวยราวนางเอกเบอร์ต้นๆ ของประเทศได้อย่างไม่ยากเย็น

"เริดอะ!" ปรายชมฝีมือการแต่งหน้าของตัวเอง ไม่ได้สนใจเลยว่าเจ้านายสาวที่ทำหน้างอง้ำอยู่ตลอดเวลานั้นจะสวยขึ้นหรือสวยลงแค่ไหน แต่พอหันไปจะขอความเห็นจากอาคเนย์ กะว่าอย่างน้อยเขาต้องตกตะลึงในความงามที่เธออุตส่าห์ขุดออกมาจากพรำพรรษให้ได้ถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มกลับทำสีหน้าไม่พอใจเสียอย่างนั้น

ดวงตาคมกวาดมองหญิงสาวสวยจัดตรงหน้าด้วยสายตาพินิจ ก่อนสั่งเสียงห้วน

"สวยเกินไป ไม่เอา เอาใหม่"

"หา!" ปรายแทบหลุดทำหน้าเหวอค้างใส่

อย่างนี้...ก็ได้...เหรอค้า...คนบ้าอะไร แฟนสวยเกินไปไม่เอา!

แต่เลขาฯ สาวจะทำอะไรได้นอกจากกลับไปลบเครื่องสำอางออก แล้วลงมือแต่งหน้าใหม่ให้เจ้านายสาวที่จิกตาอาฆาตใส่ไม่พอปาก ยังพึมพำขมุบขมิบเหมือนกำลังท่องคำสาปแช่งใครบางคนอยู่

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น