5

ชื่อของนายคือ ‘แคสเปอร์’


ชื่อของนายคือ ‘แคสเปอร์’

“เปลี่ยนทรงผมเหรอ”

คำทักทายจากคนที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นจับหัวตัวเองอย่างเร็ว เวรกรรมจริงๆ! เมื่อเช้ามัวแต่รีบเพราะเรื่องเจ้าเด็กผีคนนี้ เลยลืมทำผมทรงปกติของตัวเอง จากที่ต้องเป็นทรงเรียบแปล้ตามฉบับเด็กเรียน จึงกลายเป็นฟูฟ่องดูไม่เรียบร้อยไปเลย

กลับบ้านไปทำผมตอนนี้ทันไหมฟะ!

“ปละ…ปละ…เปล่านะ  ไม่ใช่…”

ทำไมต้องเสียงสั่นด้วยเล่า! สายตาคมคายที่มองมาเหมือนจะมองลึกเข้าไปถึงในหัวใจของผมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง…

“คราวหลังก็ระวังหน่อยแล้วกัน ฉันไม่ว่างพอจะมาช่วยชีวิตนายได้บ่อยๆ หรอกนะ”

มือหนาปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระ ก่อนจะเดินเอากระเป๋าเป้พาดบ่าเข้าไปในมหาวิทยาลัย คำพูดของเขาทำให้ต้องฉุกคิดว่ามันหมายความว่ายังไง…

ไม่ว่างพอที่จะมาช่วยชีวิตผมบ่อยๆ? ทำไมพูดเหมือนว่า ที่ช่วยผมเอาไว้เมื่อกี้ไม่ใช่ครั้งแรกเลยล่ะ

“ลินลิน…ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”

เสียงเรียกของอีกหนึ่งตัวตนที่มีแค่ผมเท่านั้นมองเห็น ปลุกให้ผมตื่นออกจากภวังค์ ละสายตาจากการมองไล่หลังคราม หันมามองผีข้างตัวซึ่งยืนก้มหน้าเป็นหมาหงอย

“ขอโทษนะครับ ถ้าหากเราสัมผัสกันได้ ผมคงเป็นฝ่ายที่ช่วยลินลิน…”

ไม่พูดเปล่า เขายังทิ้งตัวลงนั่งยองๆ สองแขนห้อยอยู่กลางหว่างขาและก้มหน้าลงแบบจ๋อยๆ ยิ่งมองยิ่งเอ็นดู จนอยากจะวิ่งไปซื้อกระดูกไก่มาให้มันแทะเล่น…

“ถึงจะไม่ได้ช่วยฉันด้วยการสัมผัสกัน แต่เสียงของนายก็ดังมาถึงฉันนะ ฉันหยุดเดินและหันกลับมาทันก่อนจะก้าวออกไปให้รถชนก็เพราะเสียงของนายช่วยฉันไว้ ส่วนที่ได้ครามมาช่วยในตอนหลัง เป็นเพราะฉันก้าวพลาด เลยจะล้มลงไปเองต่างหาก”

“ลินลิน…”

“อย่ากังวลไปเลย ครั้งแรกที่ช่วยฉันน่ะ…ขอบใจนะ”

ผมยิ้มกว้างขณะลงมานั่งยองๆ ตรงหน้าเขาเพื่อจะได้เห็นกันชัดๆ ถ้าเป็นผีในแบบที่เคยดูจากหนังหรือละคร ผมคงไม่มีความกล้าพอจะมาเสวนาด้วยแบบนี้ แต่พอเป็นเจ้าเด็กน้อยนิสัยลูกหมาอย่างหมอนี่แล้ว ความกลัวก็หดหายไปหมดเลย มองภายนอกเขาไม่มีอะไรที่เหมือนผีเลยด้วยซ้ำ ถ้าตัดเรื่องสัมผัสกันไม่ได้ออกไป เขาเหมือนพวก…วิญญาณหลุดออกจากร่างที่รอวันกลับเข้าร่างมากกว่า

อ่า…กูชักจะแฟนตาซีเกินไปละ แค่เห็นผีมันยังแฟนตาซีไม่พออีกเรอะ!

“ดูนั่นสิ นั่นมันสตอล์กเกอร์โรคจิตที่เขาพูดถึงกันหรือเปล่า คนที่สารภาพรักกับครามว่าแอบชอบครามมาตลอดคนนั้นน่ะ”

“นั่นสิ ฉันก็ว่าใช่นะ อี๋! แหวะ! พวกจิตไม่ปกติ รักร่วมเพศไม่พอ ยังสติไม่ดีถึงขั้นนั่งพูดคนเดียวอีกเหรอ”

“น่ากลัวเนอะ”

บ้าฉิบ…

ลืมไปซะสนิทว่าไม่มีใครเห็นเขาเลยสักคน ในสายตาของทุกคน ตอนนี้ผมคงเป็นไอ้บ้านั่งคุยคนเดียวอยู่หน้ามหาวิทยาลัยแน่ๆ

“เจ๊พวกนี้ปากเสียชะมัด ลินลินของผมออกจะน่ารัก ไม่ใช่พวกโรคจิตสักหน่อย แง่งงงงงง!”

มองเจ้าลูกหมาน้อยที่ออกปากด่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและหัวร้อนแทนผมถึงขั้นหันไปแยกเขี้ยวใส่บรรดาคนที่นินทาว่าร้ายผมในระยะประชิด ทั้งที่ไม่มีใครเห็นแท้ๆ แต่กลับตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปใส่เหมือนลูกหมาตัวน้อยๆ เวลาที่คิดจะปกป้องเจ้านายของตัวเอง…

หมอนี่ทำให้ผมนึกถึง…แคสเปอร์

แคสเปอร์เป็นชื่อหมาที่ผมเคยเลี้ยงสมัยประถม เป็นลูกหมาที่หลงมาหน้าบ้านพอดี ผมเลยขอพ่อเลี้ยงไว้ แต่เลี้ยงยังไม่ทันโตดี มันก็ถูกคนใจร้ายมาวางยาเบื่อตายจากผมไปซะก่อน ตอนเด็กๆ เวลาผมโดนเด็กแถวบ้านล้อเรื่องไอ้ลูกตุ๊ดจนร้องไห้ แคสเปอร์มักจะกระโจนเอาเขี้ยวเล็กๆ ที่ไม่แหลมคมอะไรสักนิดของมันไปกัดเจ้าปากเสียพวกนั้นจนร้องไห้จ้า และสุดท้ายหนึ่งในพ่อแม่ของเด็กปากแมวพวกนั้นนั่นแหละที่มาวางยาเบื่อมัน

แคสเปอร์ตายเพื่อปกป้องผม...

ตายเพราะจัดการคนที่ทำให้เจ้านายของมันต้องร้องไห้

“ช่างเถอะ ฉันชินแล้วละ”

“ช่างได้ยังไงล่ะครับ คนพวกนี้ไม่รู้จักลินลินสักหน่อย พวกเขาไม่รู้หรอกว่าลินลินใจดีขนาดไหน!”

“ใจดี?”

“ก็…ที่ยอมคุยกับผีอย่างผมยังไงล่ะครับ ที่ผ่านมา…ตั้งแต่ผมตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าตัวเองเป็นผี มีหลายคนที่ได้แหวนวงนี้ไป แต่เมื่อพวกเขาเห็นผมก็พากันกลัวไปหมด สุดท้ายก็โยนแหวงวงนี้ทิ้ง และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดผมออกไป ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรพวกเขาเลย ผมแค่อยากมีเพื่อนคุยบ้างก็เท่านั้นเอง”

เจ้าเด็กผีเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองด้วยใบหน้าเศร้าหมอง หลังคุดคู้ลงอย่างน่าเวทนา ถ้ามีหูมีหางเหมือนหมาสักหน่อย ตอนนี้มันคงลู่ตกลงไปตามอารมณ์ของคนเล่าแล้ว

ผมได้แต่นั่งนิ่งฟังเขาเล่าต่อไปเรื่อยๆ โดยลืมเรื่องที่ตัวเองกำลังกลายเป็นจุดสนใจไปเสียสนิท…

“ผมจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าตัวเองตายยังไง ไม่รู้แม้แต่ชื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ ที่รู้ก็แค่ตัวเองตายตอนอายุสิบหกปีเท่านั้นเอง”

“แล้วนายรู้ได้ยังไง”

“ยมทูตบอกผมน่ะครับ”

“หา!!!???”

เดี๋ยวก่อนนะ ให้กูทำใจแป๊บ นอกจากผีแล้ว ยังมียมทูตด้วยเรอะ! ขออนุญาตหยุดความแฟนตาซีของเรื่องนี้ไว้ที่ผีเด็กอย่างเดียวเถอะ กราบบบ!

“นอกนั้นผมไม่รู้แล้วจริงๆ ไม่รู้ด้วยว่าทำไมถึงยังไม่ได้ไปเกิดสักที ความรู้สึกในใจผมเหมือนยังมีอะไรค้างคาอยู่ แต่ผมไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร”

“แปลว่านายจำอะไรตอนยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลยสินะ”

“ครับ…”

เงยหน้าขึ้นมาทำแก้มป่องแล้วกะพริบตาปริบๆ ใส่ผม มันกำลังจะอ้อนผมใช่ไหม อ้อนให้ผมสงสารแล้วยอมเลี้ยงดูมันเอาไว้สินะ!

“ลินลิน…”

นั่นไง! ตามมาด้วยน้ำเสียงออเซาะฉอเลาะอันน่าสะพรึง

“เลี้ยงผมไว้เถอะนะครับ นะ…”

“มะ…ไม่!”

แม้จะสงสารแค่ไหนก็ตาม แต่จะให้เลี้ยงผีนี่มันก็…

“น่านะ ลินลินจะใจร้ายทิ้งให้ผมโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวอีกเหรอ ผมน่าสงสารออกจะตาย เห็นไหมล่ะ”

“ไม่ ฉันไม่เห็น”

หลับตาลงทันใดเมื่ออีกฝ่ายเล่นไม้ตายด้วยการบีบน้ำพร้อมทำหน้าตาใสซื่อบ้องแบ๊วเรียกคะแนนความสงสารจากก้นบึ้งหัวใจของผม

มึงเป็นผีนะเฟ้ยยย! ผีมนุษย์ด้วย ไม่ใช่ผีหมา อย่ามาเล่นขี้โกงด้วยการเลียนแบบลูกหมาแบบนี้สิวะ!

หมับ!

แขนถูกจับและบีบเอาไว้เต็มแรง ก่อนจะถูกฉุดให้ลุกขึ้นไปตามแรงดึง ผมอ้าปากหวอหน้าเหวอด้วยความตกใจที่จู่โจมกะทันหัน ครามผู้เป็นเจ้าของมือนี้และเป็นคนดึงผมให้ลุกขึ้นมองหน้าผมอย่างหงุดหงิด

“แค่เกือบถูกรถชนถึงกับแข้งขาอ่อนเลยหรือไง”

“คระ…ครับ?”

ใจเย็นก่อนโยม มาถึงก็ใส่เอาๆ แบบนี้ไม่เห็นจะเข้าใจเลยเฮ้ย!

“นายติดหนี้ฉันสามครั้งแล้วนะ”

ชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว คิ้วสองข้างของเขาขมวดเข้าหากันจนจะเอาไปใช้แทนโบประดับกล่องของขวัญได้อยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากถามในสิ่งที่สงสัย ร่างกายของผมก็ถูกกระชากและยกขึ้นไปบนหลังเขาอย่างง่ายดาย!

เดี๊ยวววววว!!!

มันเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ยยย!

“คระ…คราม เดี๋ยวก่อนครับ ทำไม…”

“เงียบน่า”

เอ๊า! ถ้ากูเงียบ แล้วชาตินี้กูจะได้รู้ไหมเนี่ยว่าทำไมต้องถูกแบกขึ้นหลังอย่างนี้ด้วย!

ขวับ!

หันกลับไปมองทางเจ้าผีเด็กทันทีที่นึกขึ้นได้ว่ายังคุยกันค้างไว้ หมอนั่นนั่งจ๋องอยู่ที่เดิมและกำลังมองตามผมด้วยสายตาละห้อย ใบหน้าหล่อน่ารักแบบเด็กน้อยนั่นทำเอาใจแป้วไปเลย รู้สึกเหมือนทำตัวเป็นผู้ใหญ่นิสัยไม่ดี ทำให้เด็กร้องไห้เลยอะ

ซุบซิบๆๆ ซุบซิบๆ

สนใจผีลูกหมาได้ไม่เท่าไหร่ เสียงระงมที่ดังขึ้นรอบกายในตอนนี้ก็เรียกความสนใจจากผมได้มากกว่า บรรดานักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างพากันหยุดมองเราสองคน แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะมองไปที่ครามละนะ

หล่อโดดเด่นตั้งแต่ใบหน้ายันหุ่นขนาดนี้ ไม่แปลกที่จะกลายเป็นจุดสนใจ เพียงแต่…

กูเกี่ยวอะไรด้วย หา!

“ครามครับ ทำแบบนี้ทำไมเหรอ…”

“ฉันบอกให้เงียบไง”

ก็ที่กูไม่เงียบเพราะกูสงสัยยังไงล่ะโว้ยยย!

ดูท่าว่าถามไปก็คงไม่ตอบ ผมจึงปล่อยให้ร่างสูงแบกผมเดินดุ่มๆ ไปทางตึกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ของพวกเรา สองแขนวางนาบไปกับแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อดูแข็งแรง อาจเพราะเขาเล่นบาสและกีฬาอื่นๆ อีกหลากหลายชนิดด้วยละมั้ง เลยทำให้มีหุ่นที่เพอร์เฟ็กต์ขนาดนี้ไว้ในครอบครอง

“ไอ้ลิน!!!”

เสียงไอ้หนุงหนิงตะโกนมาจากใต้อาคารเรียนพร้อมร่างสมส่วนที่รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความตกใจ ทันทีที่เห็นว่าผมถูกแบกมา มันก็ตาลีตาเหลือก ส่งคำถามมากมายมาทางสายตา

‘ฉันไม่รู้!’

และนั่นคือคำตอบที่ผมส่งกลับไป

“เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนฉันฮะ! ไอ้คราม”

มึงก็ลดๆ ความห้าวลงมาบ้างเหอะ เดี๋ยวจะหาผัวไม่ได้เอา

“เพื่อนเธออาจจะขาเจ็บหรือไม่ก็ช็อกจนหมดแรง เพราะเมื่อกี้เกือบโดนรถชน”

“ว่าไงนะ!”

เอิ่ม…อะ…อะไรนะ เมื่อกี้ครามบอกว่าผมอาจจะขาเจ็บหรือแข้งขาหมดแรงเพราะช็อกที่จะถูกรถชนเรอะ! เข้าใจผิดไปถึงสุไงโก-ลกแล้วครับพี่น้อง ไอ้ที่นั่งจ๋องอยู่เมื่อกี้คือนั่งคุยกับผีเหอะ! ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ

คนตัวโตค่อยๆ ปล่อยผมลงจากหลังอย่างระมัดระวัง คงคิดว่าผมกำลังเจ็บขาหรือไม่ก็ช็อกอยู่จริงๆ สินะ ถึงได้เบามือแบบนี้ การกระทำที่ใจดีลึกๆ อ่อนโยนแบบไม่แสดงออกของเขา เรียกอาการใจเต้นให้กลับมาอีกครั้ง คนอุตส่าห์ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเลิกชอบแล้วเชียวนะ กลับมาทำแบบนี้เสียได้...

ขี้โกงชะมัด…

มาทำใจดีตอนคนคิดจะตัดใจทำไมกัน

“ดูแลต่อด้วยแล้วกัน”

ดึงเอากระเป๋าสะพายจากข้างหน้ามาไว้ข้างหลังดังเดิม เมื่อกี้เขาเลื่อนมันไปเพื่อให้ผมอาศัยหลังเขามาได้ ร่างสูงเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก ไอ้หนุงหนิงรีบเข้ามาพยุงผมต่อจากคราม

“เจ็บตรงไหนวะแก”

“อ๊ะ! โทษที ลืมบอกความจริง ฉันไม่ได้เจ็บอะไรหรอก รถยังไม่ทันได้ชนด้วย”

“อ้าว! แล้วไอ้ครามบอก…”

“เข้าใจผิดน่ะ ไม่มีอะไรจริงๆ เรารีบไปเข้าเรียนกันดีกว่า”

ผมตัดบทเพราะไม่อยากลงรายละเอียดลึกๆ ไปมากกว่านี้ ยังไงซะเรื่องของเด็กผีคนนั้นผมก็บอกใครไม่ได้อยู่แล้ว และคิดว่าถึงบอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อด้วย

‘ลินลิน อย่าทิ้งผมนะครับ…’

ขวับ!!!

หันขวับกลับไปทางหน้ามหาวิทยาลัยจนคอแทบหลุด เมื่อกี้นี้มัน…เหมือนว่าผมจะได้ยินเสียงของเด็กคนนั้น น้ำเสียงที่เศร้าราวกับกำลังกลัวว่าตัวเองจะถูกทิ้งจริงๆ

“เป็นอะไรวะไอ้ลิน ไหนบอกจะรีบไปเข้าเรียนไง”

“ฮะ!? อะ…อื้อ เข้า…เข้าเรียน”

ไม่เอาน่าไอ้ลิน หมอนั่นเป็นผีนะ! ผีคือสิ่งไม่มีชีวิต ไม่มีหัวใจแบบมนุษย์ ผมไม่จำเป็นต้องกังวลหรือใส่ใจอะไรทั้งนั้น…

ไม่จำเป็น

“ไปเหอะ”

ไอ้หนุงหนิงลากแขนผมไปทางตึกเรียน นั่นสินะ หน้าที่ของผมคือการมาเรียนหนังสือให้คุ้มกับความเหน็ดเหนื่อยที่พ่อต้องหาเงินมาต่างหาก ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องไร้สาระสักหน่อย!

‘เจ๊พวกนี้ปากเสียชะมัด ลินลินของผมออกจะน่ารัก ไม่ใช่พวกโรคจิตสักหน่อย แง่งงงงง!’

ตะ…ต้องเลิกคิด เลิกสนใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน!!!

‘แต่เมื่อพวกเขาเห็นผมก็พากันกลัวไปหมด สุดท้ายก็โยนแหวงวงนี้ทิ้งและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดผมออกไป ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรพวกเขาเลย’

เลิก…ละ…เลิกคิด…

‘ผมแค่อยากมีเพื่อนคุยบ้างก็เท่านั้นเอง’

‘ผมแค่อยากมีเพื่อนคุยบ้างก็เท่านั้นเอง’

‘ผมแค่อยากมีเพื่อนคุยบ้างก็เท่านั้นเอง’

โธ่ยยยยย!!!

“ไอ้หนิง แกไปเข้าเรียนก่อนเลยนะ ฉันนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วนว่ะ”

แกะมือเพื่อนรักออกแล้ววิ่งกลับออกมาทันที โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของมันที่ตะโกนไล่หลังมาเลยสักนิด ผมออกวิ่งหน้าตั้งไปทางหน้ามหาวิทยาลัย จุดที่นั่งคุยกับเจ้าผีเด็กคนนั้นเมื่อครู่ จะเพราะอะไรถึงเลือกกลับมาตรงนี้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ว่า…แต่ว่า…

เพราะเหมือนกันมาก…

เพราะเด็กคนนั้นเหมือนแคสเปอร์ของผมมาก ผมถึงคิดว่าเขาน่าจะยัง…

ตึก…! (เสียงฝีเท้า)

“ลินลิน!”

นั่งรอผมอยู่ที่เดิม

น้ำใสๆ รื้นขึ้นรอบดวงตาเมื่อวิ่งกลับมาถึงที่เดิมแล้วพบว่าเขายังนั่งจ๋องรอผมอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน แถมพอเห็นว่าคนที่วิ่งมาหยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้คือผม ก็ยังส่งเสียงเรียกชื่อและโบกมือทักทายอย่างดีใจอีก

เจ้าผีบ้าเอ๊ย!

“ลินลินมีอะไร…!”

“แคสเปอร์!”

“…”

“ชื่อของนาย…”

“…”

“คือแคสเปอร์”

สิ้นประโยคคำพูดของผมที่ดังขึ้นท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายที่มองมาอย่างสงสัยว่าผมพูดอยู่กับใคร แต่ผมไม่แคร์ ‘แคสเปอร์’ หรือก็คือเจ้าผีหลงตัวนั้น ยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ…

นี่ผม…

เลี้ยง ‘ผี’ แล้วจริงๆ สินะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น