11

บทที่ 11


           

 ๑๑

เมี้ยว!

            แมวเบงกอลลายเสือร้องทักทายพร้อมกับกระโดดขึ้นมานอนบนอก ทำให้สุคนธวาลืมตาขึ้นมาในที่สุด หน้าตาหยิ่งๆ ของเจ้าฮิตเลอร์ทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย พอตั้งสติได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในห้องนอนของเชสก์ ทั้งยังมีแมวของเชสก์ตะกายอกเล่นอีกต่างหาก ทำให้สาวเจ้าลุกขึ้นทันทีพร้อมกับโยนเจ้าฮิตเลอร์ไปห่างๆ

            แค่เลี้ยงลูกเธอก็เหนื่อยจะแย่แล้ว เธอไม่ใช่คนใจดีรักเด็กและรักสัตว์พร้อมๆ กันหรอกนะ...

            สุคนธวาคิดอย่างฉุนๆ เธอหันไปมองข้างตัวก็พบว่านอนอยู่ตามลำพังในห้อง จึงลุกจากที่นอน เดินโผเผไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วเดินออกไปข้างนอก

            เสียงหัวเราะของหนุ่มสองวัยดังเคล้าคลอกลิ่นหอมของอาหารเช้า สุคนธวาขมวดคิ้ว แล้วเดินตามเสียงหัวเราะของอเล็กซานโดรไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงห้องอาหาร สาวร่างบางหยุดชะงัก แอบมองลูกชายที่หัวเราะเอิ๊กมีความสุข ส่วนเชสก์กำลังหน้าบูด เสื้อสูทสุดเนี้ยบมีรอยนมสดเปื้อนเป็นด่างดวง

            “ฉันเลยต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบเลยไอ้ตัวแสบ” หนุ่มเจ้าของบ้านบ่นคล้ายไม่พอใจ แต่สายตาที่มองมายังอเล็กซานโดรนั้นอ่อนลงมากเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่เจอกัน

            สุคนธวาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปขวาง แต่อีกใจก็สงสารอเล็กซานโดร นานแล้วที่ลูกชายเธอไม่ได้หัวเราะเต็มเสียงอย่างนี้

            เมี้ยว!

            เสียงเจ้าฮิตเลอร์ที่ตามหญิงสาวมาด้วยทำให้สองหนุ่มต่างวัยหยุดทุกอย่างแล้วหันมามองที่ประตู เชสก์ยิ้มมุมปากท่าทางเจ้าเล่ห์ ทำเอาคนแอบมองได้แต่หน้าม้าน แล้วกระแอมเบาๆ แก้เก้อ

            “มามี้ตื่นแล้ว” อเล็กซานโดรร้องเสียงใส แล้วฉีกยิ้มจนเห็นฟันแทบทุกซี่ ทำให้คนเป็นแม่ต้องยิ้มตอบแล้วเดินเข้าไปหา

            “ตื่นแล้วทำไมไม่เรียกแม่” ถามพลางหยิกแก้มเจ้าตัวแสบเบาๆ อย่างมันเขี้ยว

            “จะเรียกแล้วฮะ แต่ลุงยักษ์ห้ามไว้ บอกว่ามามี้นอนดึก” เด็กชายตอบเจื้อยแจ้ว แล้วหันไปสนใจซีเรียลและเบอร์รีต่างๆ ที่อยู่บนโต๊ะตามประสาเด็กกินเก่ง ทิ้งให้ผู้ใหญ่ทั้งสองได้คุยกันตามลำพัง

            คำตอบของลูกทำให้คนเป็นแม่อดมองไปทางลุงยักษ์ไม่ได้ แล้วก็พบว่าเขากำลังจ้องเธอด้วยตาคมกริบเช่นกัน

            “นั่งสิ...ฉันให้แม่บ้านเตรียมอาหารเช้าของเธอไว้ด้วย”

            หญิงสาวนั่งลงแต่โดยดี แล้วเข้าเรื่องทันที “แล้วที่พักฉันล่ะคะ”

            “ตอนเย็นจะพาไป วันนี้เธอก็เข้าไปทำงานเหมือนเดิมก่อน”

            “แต่ลูก...” สุคนธวาหลุบตามองเด็กน้อยแล้วขมวดคิ้ว ด้วยเพิ่งสังเกตว่าเจ้าหนูแต่งตัวด้วยชุดใหม่เสียหล่อเฟี้ยวราวกับกำลังเตรียมตัวไปข้างนอก และยังมีทั้งกระเป๋าและเครื่องเขียนชุดใหม่อีกต่างหาก

            “ฉันให้เดรโกพาไปส่งอะคาเดมี”

            “แต่...”

            “สวัสดิการพนักงานน่ะ” เขายักไหล่คล้ายไม่แยแส แต่ก็ยังมองสุคนธวาตาไม่กะพริบ

            ตาคมกริบของเขาทำให้หญิงสาวหลบตาวูบ แล้วนั่งกินแพนเค้กและไข่คนอย่างเงียบๆ ไม่สบตาเขา จนกระทั่งอเล็กซานโดรกินอิ่มแล้วเรอดังเอิ๊ก

            “อุ้ย!” เด็กชายยิ้มเจื่อน หัวเราะแหยๆ แล้วเอามือปิดหน้าแก้อาย

            “อิ่มแล้วใช่ไหม”

            “อิ่มแล้วฮะลุงยักษ์” อเล็กซานโดรหันไปตอบคู่อริต่างวัย

            “คุณส่งอเล็กซ์ไปเรียนที่ไหนคะ ฉันควรจะได้ไปด้วย ฉันไม่อยากรบกวนคุณ...”

            “ฉันเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้แล้วละ ตอนเช้าก็ให้เดรโกไปส่งก่อน ส่วนตอนบ่ายจะพาไปรับเอง”

            “แต่ว่า...”

            “เงียบเถอะน่า” เชสก์ตัดบทอย่างเอาแต่ใจ

            นักธุรกิจหนุ่มเรียกเดรโกผ่านระบบปฏิบัติการนานาที่กลับมาเปิดใช้อีกครั้งตามปกติ ไม่นานนักบอดีการ์ดหนุ่มก็มาถึง แล้วยืนนิ่งรอรับคำสั่ง

            “ให้เดรโกไปส่งที่อะคาเดมีนะ ตอนเย็นจะพามามี้ของนายไปรับนายด้วย” เชสก์ก้มลงกำชับเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงดุๆ “ห้ามดื้อนะ ไม่อย่างนั้นกลับมาจะให้เสือฮิตเลอร์กัด”

            “ทำไมเสือน้อยร้องเหมือนแมวเลยล่ะฮะ” เด็กน้อยทำหน้างง เริ่มสงสัยแล้วว่าฮิตเลอร์เป็นเสือหรือแมวกันแน่

            “มันเป็นเสือ แต่เสือเด็กไง มันเลยร้องเหมือนแมว”

            อเล็กซานโดรทำท่าไม่เชื่อ แต่พอหันไปหาแมวที่พยายามขู่คำรามแบบเสือ จึงหันกลับมาหาเชสก์ทันทีแล้วพยักหน้าแข็งขัน “ไม่ดื้อฮะๆ”

            “ตั้งใจเรียนด้วย”

            “ได้ฮะลุงยักษ์” เด็กแสบรีบรับปากทั้งที่ตัวสั่น มองไปยังแมวเบงกอลที่กระโดดมานั่งบนตักเชสก์ด้วยสายตาขยาด “ผมจะตั้งใจเรียนฮะ”

            “ดีมาก” ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายพราวระยับ บ่งบอกว่ากำลังจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้อีกต่อไป จึงเงยหน้าแล้วสั่งกับคนสนิท “พาอเล็กซ์ไปส่งด้วย”

            “ครับคุณเชสก์”

            อเล็กซานโดรกระโดดลงจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดและหอมแม่อย่างที่เคยทำ “ผมไปโรงเรียนนะฮะ มามี้ตั้งใจทำงานนะ เดี๋ยวตอนเย็นผมมารับ”

            “นี่แน่ะตัวแสบ” คุณแม่คนสวยหัวเราะแล้วขยี้ผมลูกชายอย่างมันเขี้ยว “แม่ต่างหากที่ต้องบอกให้ลูกตั้งใจเรียน แล้วแม่จะไปรับ”

            “ผมรักมามี้ที่สุด” เจ้าตัวแสบอ้อน กอดแล้วหอมแก้มแม่อีกฟอดใหญ่ ก่อนจะผละออกมาโบกมือหยอยๆ แล้วเดินตามเดรโกไปอย่างว่าง่าย

            เมื่ออเล็กซานโดรออกไปแล้ว ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

            สุคนธวารีบกินแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเชสก์ตรงๆ ยอมรับว่าอึดอัดเหลือเกินที่ต้องอยู่ในสายตาคมกริบของเขาที่มองมาราวกับต้องการค้นให้ลึกถึงก้นบึ้งในจิตใจของเธอ

            “คุณจะรับฉันทำงานทั้งที่ฉันเคยเจาะเข้าระบบของคุณหรือคะ” คนเสียงหวานถามด้วยถ้อยคำสุภาพ พยายามให้เป็นทางการมากที่สุด หวังจะเพิ่มระยะห่างระหว่างเธอกับเขา

            “ก็อย่างที่บอก ฉันช่วยเธอกับลูก ส่วนเธอก็ต้องช่วยฉันสาวให้ถึงตัวคนที่จ้างเธอ”

            “พูดง่ายๆ คือให้ฉันทำงานให้คุณ”

            “ใช่” เชสก์บอกเสียงเรียบ มือลูบหลังเจ้าฮิตเลอร์ไปพลาง

            “ไม่กลัวฉันจะทรยศหรือคะ”

            “เธอไม่ทำหรอก” พูดแล้วหันไปหยิบเอกสารที่เตรียมไว้มายื่นให้สาวตรงหน้า

            สุคนธวารับเอกสารมาไว้ในมือแล้วกวาดสายตาอ่านข้อความในนั้นอย่างรวดเร็ว ก็พบว่าเป็นสัญญาจ้างงาน ซึ่งเธอจะไม่บ่นเลยถ้าไม่เห็นว่าในสัญญามีถ้อยคำที่ออกจะเกินเลยไปสักหน่อย ตรงที่ต้องอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา และต้องเป็นผู้ช่วยของเขาอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าเขาจะพอใจ

            “นี่มันอะไรกันคะ!”

            “ก็...สัญญาจ้างงานไง” ซีอีโอหนุ่มยักไหล่ไม่แยแส เอาแต่จ้องมองสาวตรงหน้านิ่งๆ ลูบขนแมวไปเรื่อยๆ ไม่สนใจท่าทางไม่พอใจของสาวเจ้าเลยแม้แต่น้อย

            “สัญญาเอาเปรียบแบบนี้ฉันไม่เซ็นหรอกนะคะ”

            “ก็ไม่ต้องเซ็นก็ได้ ฉันแค่ให้เธอรับรู้ไว้”

            “อะไร...ฉันไม่เห็นเข้าใจ” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น มองสบตาเจ้าเล่ห์แพรวพราวคู่นั้นแล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าเขามีแผนการอะไรอีก

            “พลิกหน้าต่อไปสิ”

            สุคนธวาทำตามที่เขาบอก และแล้วดวงตาคู่กลมโตก็เบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าหน้าสุดท้ายมีลายนิ้วมือของเธอประทับอยู่เรียบร้อย ทั้งยังมีลายเซ็นที่เหมือนมากราวกับเธอคือคนเซ็นกำกับไว้

            “คุณ!...”

            “สดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้านี่เอง” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มอย่างผู้ชนะแล้วส่ายหน้าเบาๆ “เธอก็นอนขี้เซาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนนะผักหวาน”

            คนขี้เซาก้มลงมองมือขวา ทำให้เพิ่งสังเกตว่ามีรอยหมึกสีน้ำเงินจางๆ อยู่ด้วย ทำเอาโกรธจนควันออกหู นี่เขาแอบทำตอนที่เธอหลับอย่างนั้นหรือ!

            “คนเจ้าเล่ห์” หญิงสาวบริภาษอย่างเหลืออด มือเล็กกำหมัดแน่นข่มอารมณ์ไม่ให้เดือดดาลไปมากกว่านี้ การจะคุยกับคนเจ้าเล่ห์รอบจัดอย่างเชสก์ต้องใช้สติเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เธอต้องการรักษาไว้มากที่สุดในเวลานี้

            “เอาเถอะน่า เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย แล้วลงไปพบฉันที่ห้องทำงานชั้นยี่สิบ...สิบโมงตรงนะ” ซีอีโอหนุ่มบอกยิ้มๆ แต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่น่าเกลียดและเจ้าเล่ห์เหลือเกินในความคิดของสุคนธวา

            เชสก์อุ้มเจ้าฮิตเลอร์และจับมันวางลงบนพื้นก่อนจะลุกขึ้นยืน สองมือจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ กลัดกระดุมชุดสูทจนเรียบร้อยโดยไม่ละสายตาจากสาวเจ้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว

            “แล้วเจอกัน” ใบหน้าคมคายก้มลงมาหาอย่างรวดเร็ว แต่สุคนธวาหลบได้ทันก่อนที่จะถูกฉวยโอกาสอีกครั้ง

            ผู้บริหารหนุ่มยิ้มมุมปาก ยิ่งส่งให้ใบหน้าคมคายดูเจ้าเล่ห์ขึ้นอีกเท่าตัว แล้วจึงเดินสองมือล้วงกระเป๋าพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดีออกไป

            หญิงสาวถอนหายใจแล้วลุกขึ้น ปะทะสายตากับเจ้าแมวเบงกอลหน้าตาเชิดหยิ่งเหมือนเจ้าของแล้วก็หมั่นไส้ ในเมื่อโกรธจนหาทางระบายไม่ได้ จึงยกเท้าตั้งใจจะเตะแมวเสียเลย แต่กลับถูกเจ้าฮิตเลอร์แยกเขี้ยวขู่ เท่านั้นเองหญิงสาวก็ผงะแล้วเดินหนีทันที เธอไม่อยากถูกแมวข่วนตอนนี้ ค่าหมอค่ายาในอเมริกาถูกเสียเมื่อไร โดนข่วนไปมีแต่เสียกับเสีย ไม่รู้ว่าแมวนี่บ้าตามเจ้าของหรือไม่ ในเมื่อท่าทางเหมือนกันเสียขนาดนั้น

หลังจากเชสก์ออกไปแล้ว สุคนธวาเก็บโต๊ะอาหารและนำจานลงเครื่องล้างจานด้วยตัวเอง จนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงทรงสอบสีดำ คลุมด้วยสูทสีน้ำเงินเข้มทะมัดทะแมงสำหรับไปทำงาน ทุกอย่างมีพร้อมอยู่ในตู้เสื้อผ้าของเชสก์แล้ว จนเธออดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเตรียมการไว้ทั้งหมดแล้วอย่างนั้นใช่หรือไม่

            ใครว่าผู้ชายไม่มีมารยา เธอเถียงขาดใจ...

            นับตั้งแต่เข้ามาอยู่กับเขา เธอเจอสารพัดลูกล่อลูกชนของเขา ทั้งบังคับขู่เข็ญ กระทั่งใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ นานาจนเธอตามไม่ทัน คิดไม่ออกเลยว่าจะต้องเจออะไรอีกบ้าง

            คิดแล้วก็ได้แต่ปลงตก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เดินนำเจ้าแมวเบงกอลออกมาด้านนอกเพนต์เฮาส์ที่มีเดรโกรออยู่แล้ว

            “ส่งฮิตเลอร์มาให้ผมก็ได้ครับคุณผักหวาน”

            “ขอบคุณค่ะเดรโก” เธอส่งแมวให้เขาแล้วก้าวตามเข้าไปในลิฟต์ ลงไปชั้นยี่สิบเอ็ดที่เป็นห้องทำงานของเชสก์แต่โดยดี

            “สบายดีใช่ไหมครับ” บอดีการ์ดหนุ่มถามเสียงเรียบ

            “สภาพฉันเหมือนคนอยู่ดีมีความสุขหรือคะ” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปมองหนุ่มมาดเข้มเต็มตา จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้คุยกันจริงๆ จังๆ หลังจากได้มาเจอกันอีกครั้ง ไม่นับเจอกันครั้งแรกเมื่อคราวที่เขาตามเชสก์ไปที่เมืองไทยเมื่อหกปีก่อน เวลาผ่านเลยมานานแล้ว แต่เขาก็เหมือนเดิมทุกอย่าง

            “ทำตามที่คุณเชสก์บอกเถอะครับ แล้วคุณจะปลอดภัย” เดรโกบอกพร้อมๆ กับที่ประตูลิฟต์เปิดออก ทั้งคู่จึงก้าวออกมาพร้อมกัน

            สาวคนฟังถอนหายใจเบาๆ แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของเขาก็อดยิ้มไม่ได้ จนบอดีการ์ดหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณผักหวาน”

            “คุณน่ะสมกับที่เป็นเขาคนของเขาจริงๆ ค่ะ” สุคนธวาหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า แต่โชคไม่ดีเสียเลยเพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่เชสก์เปิดประตูออกมาพอดี

            หนุ่มลูกครึ่งสเปนนิ่วหน้า ดวงตาเป็นประกายวาววับส่งให้ใบหน้าคมเข้มดูดุขึ้นอีกเท่าตัว เจนเดรโกต้องวางเจ้าฮิตเลอร์ลงแล้วล่าถอยกลับไปทำงานของตน

            “คุยอะไรกันถึงได้ยิ้มมีความสุขขนาดนั้น” เชสก์ถามเสียงห้วน มองสาวตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ

กิริยาเหมือนเด็กถูกแย่งของเล่นของเขาทำให้หญิงสาวได้แต่กลอกตาด้วยความเหนื่อยใจ เขาน่ะดื้อกว่าลูกชายเธอเสียอีก

            “ก็คุยทั่วไป อย่าสนใจเลยค่ะ” คนเสียงหวานบอกปัด เดินตามเขาไปที่โต๊ะทำงานและนั่งลงตรงข้ามชายหนุ่ม จากนั้นจึงเปิดฉากถาม “เข้าเรื่องงานเถอะ อยากให้ฉันช่วยอะไรก็ว่ามา”

            “คุณบอกผมได้ไหมว่าปลายทางของตัวรบกวนสัญญาณนี้อยู่ที่ไหน” เชสก์ส่งแฟลชไดรฟ์อันเล็กที่สุคนธวาใช้เป็นตัวนำรบกวนสัญญาณระบบปฏิบัติการในอาคารให้เธอ ยังเหลือเวลาอีกสักพักกว่ารามจะมารับของ อย่างน้อยเธอน่าจะบอกอะไรเขาได้บ้าง

            ทว่าคนถูกถามกลับส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ฉันบอกไม่ได้หรอกค่ะ”

            “ทำไม...”

            “เพราะฉันไม่รู้” เธอบอกเขาตามความสัตย์จริงทุกอย่าง ก่อนจะรับแฟลชไดรฟ์ชิ้นนั้นมาไว้ในมือแล้วเอนตัวพิงพนักพิงด้านหลังด้วยอิริยาบถสบายๆ แต่ตาจ้องของในมือนิ่ง พลิกไปพลิกมาสองสามครั้งก็พูดต่อไปว่า “แต่ฉันคิดว่าฉันจะช่วยหาคำตอบได้”

            ดวงตาของเชสก์วาววับขึ้นมาทันที เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วถามต่อ “ทำได้แน่หรือ”

            “ต้องลองค่ะ” เธอวางแฟลชไดรฟ์คืนเขาไป ไม่อยากจับของที่ทำให้ชีวิตเธอพลิกคว่ำพังไม่เป็นท่าอีกต่อไปแล้ว

            “ต้องใช้อะไรบ้าง”

            “แลปทอปสี่เครื่องที่อะพาร์ตเมนต์เดิมของฉัน”

            “ฉันเก็บไว้ให้แล้ว”

คำตอบของเขาทำให้สาวคนฟังเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่แปลกใจนัก ถ้าเขาไม่ตามไปริบข้าวของเธอตั้งแต่แรกสิแปลก

            สุคนธวามองสำรวจห้องทำงานของเขาไปเรื่อยๆ ระหว่างรอเชสก์ให้ระบบปฏิบัติการนานาถ่ายทอดคำสั่งให้เดรโกไปเอาของมาให้ ได้ยินแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ สงสารเดรโกเหลือเกินที่ต้องทำทุกอย่างราวกับเป็นเมียทาสในเรือนเบี้ยของเชสก์ก็ไม่ปาน

            “ยิ้มอะไร” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงกระชาก “แค่ได้ยินชื่อมันนี่ยิ้มเลยหรือ”

            “คุณก็พาลไม่เข้าเรื่อง”

            “เธอ...” เขาทำเสียงไม่พอใจ

สุคนธวาไม่รอฟังให้จบ เธอลุกขึ้นไปนั่งอ่านวารสารที่มุมรับแขกในห้องทำงานเงียบๆ ไม่สนใจว่าคนบ้าอำนาจจะฟาดงวงฟาดงาอย่างไร เธอเบื่อที่จะต้องรับมือกับเขาเต็มทีแล้ว

            เชสก์ผลุนผลันตามสุคนธวาไปทันที แต่เสียงเตือนของระบบปฏิบัติการนานาทำให้ร่างสูงชะงัก และอนุญาตให้พนักงานที่ติดต่อขอพบเข้ามาได้

            “สวัสดีค่ะบอส”

น้ำเสียงสดใสของผู้มาใหม่ทำให้ทั้งเชสก์และสุคนธวาหันไปมอง แล้วสุคนธวาก็เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึงเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

            อนินทิตา! เพื่อนร่วมงานคนแรกที่เข้ามาตีสนิทเธออย่างรวดเร็วจนน่ากลัว ทั้งยังเสนอว่าจะพาเธอหนีอีกต่างหาก แต่ทำไปทำมาสุดท้ายเธอก็หนีไม่พ้นมือ เชสก์ อะลอนโซ อยู่ดี

            แต่ทำไมอนินทิตาถึงสนิทสนมกับเชสก์ถึงเพียงนี้ หรือว่า...อนินทิตาจะอยู่ข้างเชสก์มาตั้งแต่ต้น!

            “โอ๊ะ!...ไม่เจอกันนานเลยนะเอส ไม่สิ...ต้องเรียกว่าคุณผักหวานใช่ไหม...สบายดีไหมคะ” สาวสวยทักเสียงใส ยิ้มกว้างอวดฟันขาวดุจไข่มุกเรียงเป็นระเบียบสวยงามนั่นทำให้สุคนธวารู้ตัวทันทีว่า เสียรู้ให้เจ้านายลูกน้องคู่นี้เสียแล้ว

            คบไม่ได้ทั้งคู่!

            สุคนธวาสรุปแล้วเบือนหน้าหนีทันที หันมาสนใจวารสารเกี่ยวกับเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันต่างๆ ในมือยังดีเสียกว่ามานั่งมองเจ้านายลูกน้องคู่นี้ให้เสียเวลา

            “งานที่บอสสั่ง...ได้แล้วนะคะ” อนินทิตาบอกเสียงหวาน แต่นั่นไม่ทำให้สุคนธวาสนใจได้เท่ากับเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกัน ปกติแล้วก็ส่งเข้าระบบปฏิบัติการนานาไม่ใช่หรือ เชสก์ให้อนินทิตาทำงานอะไรกันแน่ถึงส่งเข้าระบบไม่ได้

            “ขอบใจมาก” เชสก์กล่าวด้วยเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย จนคนที่แอบฟังอยู่ลอบแบะปากด้วยความหมั่นไส้เมื่อจินตนาการถึงใบหน้าของเขายามสุภาพกับสุภาพสตรีเช่นนี้

            “สบายมากค่ะบอส”

            คราวนี้สุคนธวาถึงกับสำลักและไอโขลก เพราะไม่ใช่แค่เชสก์เท่านั้น อนินทิตาก็พลอยเป็นไปด้วยอีกคน อดสงสัยไม่ได้ว่าสองคนนี้เล่นอะไรกัน จึงเงยหน้าขึ้นลอบมองเจ้านายหนุ่มกับสาวสวยที่ยิ้มหวานให้กันเสียอย่างนั้น

            อา...จากบ้านเกิดมานาน ไม่ได้ดูลิเกมาก็นาน มีลิเกฝรั่งเล่นให้ดูก็ดีเหมือนกัน

            คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนสวยลอบยิ้ม ส่ายหน้าไปมาอย่างปลงตก แล้วก้มลงสนใจวารสารในมือต่อ เพราะรู้สึกว่ามองไปก็ไร้สาระ เสียเวลาเหลือเกิน

            สองคนนั้นไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงระบบปฏิบัติการนานาก็รายงานว่ามีคนมาขอพบเชสก์อีกแล้ว คราวนี้ชื่อ ราม รามิเรซ

            “คุณไปทำงานต่อเถอะอนิน” เชสก์บอก เสียงยังอ่อนลงเหมือนเคย

            สุคนธวาเงยหน้าขึ้นมองทั้งคู่ อนินทิตาเดินจากไปแล้ว แต่เชสก์ยังคงใช้สายตาวาววับมองเธอราวกับต้องการจับผิด

            “มีอะไรหรือเปล่าคะคุณเชสก์” คนเสียงหวานถาม เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีไม่พอใจของเขา

            “ไม่มีอะไร”

            “ฉันต้องออกไปด้วยไหมคะ” เพราะได้ยินว่ามีคนมาขอพบเขาอีกแล้ว และรายนี้เธอก็ไม่เคยได้ยินชื่อเสียด้วย เผื่อว่าเขาต้องการความเป็นส่วนตัว เธอจะได้ออกไปก่อน

            “ไม่ต้องหรอก คนนี้เธอควรรู้จัก”

            “ไหนว่ามาแล้วไงคะ ทำไมไม่เข้ามาเสียทีล่ะ”

            “ไม่รู้!” เชสก์โวยใส่จนสุคนธวาสะดุ้งแล้วจ้องเขาเขม็ง

            “คุณเป็นบ้าอะไรของคุณ!” เธอดุเขาเหมือนเวลาที่ดุอเล็กซานโดร แต่ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย เขายังทำหน้าบึ้งเหมือนเดิม แล้วเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น

            “เธอว่าอนินทิตาเป็นยังไงบ้าง สนิทกันไม่ใช่หรือ”

            “ก็อัธยาศัยดีนะคะ

            “แล้วยังไงอีก”

            “ฉันรู้แค่นี้ค่ะ ไม่ได้สนิทกับเธอมากมายสักเท่าไร” สุคนธวาตอบพลางทำหน้าครุ่นคิด เพราะที่ผ่านมาเธอก็ไม่สนิทสนมขนาดจะรู้นิสัยใจคออีกฝ่ายเสียหน่อย แค่คุยกันบ้าง ไปกินกลางวันกันบ้างตามประสาเพื่อนร่วมงาน

            “แค่นี้ก็ไม่รู้!”

            ผู้บริหารหนุ่มยังทำหน้าเครียด คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ดวงตาวาววับราวกับไม่พอใจตลอดเวลา จนสาวคนมองก็จนปัญญา ปล่อยให้คนอารมณ์แปรปรวนตามวัยฟาดงวงฟาดงาต่อไป เธอเบื่อจะสนใจเขาเต็มทีแล้ว

อนินทิตาเดินกระแทกเท้าออกจากห้องทำงานของเชสก์ ขัดใจที่ถูกไล่ออกมาจากห้องทั้งที่มีโอกาสใกล้ชิดเชสก์ และอาจได้ ‘ข้อมูล’ อย่างที่ต้องการ แต่กลับไม่สามารถทำได้

            หญิงสาวยืนถอนหายใจรอลิฟต์อย่างเซ็งๆ จนกระทั่งเสียงสัญญาณประตูลิฟต์เปิดออก

            ผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนก้มหน้าเล่นเกมจากโทรศัพท์มือถืออยู่ในลิฟต์ เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับเธอช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ผมยาวประบ่าถูกมัดรวบขึ้นเป็นจุกหลวมๆ แบบที่ผู้ชายสมัยนี้ชอบทำกัน ดวงตาหลังเลนส์แว่นทอประกายวับวาว เขายิ้มมุมปาก แล้วก้าวออกมายืนตรงหน้าเธอ

            นี่น่ะหรือ ราม รามิเรซ...

            เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายชัดๆ เต็มตา อนินทิตาก็สบถในใจ แต่งตัวได้สกปรกซกมกมาก เสื้อยืดสีทึมๆ กางเกงยีนขาดๆ มีกระเป๋าคอมพิวเตอร์หนึ่งใบ และ อา...นาฬิกาคิตตี้ที่เข้ากับแว่นตากรอบสีชมพูสดใสเสียเหลือเกิน

            แต่มันไม่เข้ากับสภาพอนาถาของเขาเลยสักนิด

            สาวสวยลอบถอนหายใจ มองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยว่า ผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าตึกอะลอนโซ ทาวเวอร์ขึ้นมาถึงชั้นผู้บริหารได้อย่างไร มองยังไงก็เหมือนพวกไร้บ้านมากกว่า

            อนินทิตาส่ายหน้าเบาๆ อย่างปลงตก ไม่สนใจผู้ชายแปลกประหลาดราวกับมาจากดาวอังคารแบบเขา จึงขยับตัวเบี่ยงซ้ายเล็กน้อย แต่ก็กลับถูกเขาขยับมาขวาง พอขยับเบี่ยงทางขวา เขาก็ยังตามมาขวางอีก

            “ขอโทษนะคะ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ “ดิฉันจะเข้าลิฟต์ค่ะ”

            “สวัสดีครับ” หนุ่มหน้าเข้มไม่สนใจที่สาวตรงหน้าพูดเลยสักนิดแล้วเอ่ยทักทายหน้าตาเฉย ทั้งยังฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่

            “หลีกทางด้วยค่ะ”

            “สวัสดีครับ” เขายังตามไม่เลิกรา จนอนินทิตานึกโมโห สรุปว่าเขามาจากดาวอังคารจริงๆ ใช่ไหม ถึงได้พูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง!

            “หลีกทางด้วยค่ะคุณ!” อนินทิตาเริ่มโมโหคนที่ยังทำหน้าด้านหน้าทน ไม่ยอมหลีกทางให้เธอเสียที

            “ผมเคยเจอคุณที่ไหนนะ...” ในที่สุดรามก็พูดคำอื่นที่ไม่ใช่ ‘สวัสดีครับ’ แล้ว แต่เธอไม่มีอารมณ์ตอบ

            หญิงสาวยังยืนนิ่ง วัดใจกันไปเลยว่าเขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่ ไม่ยอมขยับเปิดทางให้เสียที ทั้งยังตามขวางทางเธอตลอดเวลา ท่าทางเขามีความสุขมากที่เห็นเธออารมณ์เสีย จนเธอนึกอยากกรีดร้องใส่หน้าเขาเหลือเกิน

            “พนักงานที่นี่สวยๆ ทั้งนั้น...ผมมาสมัครงานกับคุณอะลอนโซบ้างดีกว่า” หนุ่มหน้าเข้มยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาทำท่าทางสบายๆ แต่คนมองกลับรู้สึกว่าสายตาวาววับคู่นั้นซ่อนเร้นอะไรบางอย่างไว้มากมายเหลือเกิน

            อนินทิตาถอนหายใจแล้วขยับไปอีกทาง พอรามตามมาขวาง เธอก็ผลักเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนหนุ่มร่างผอมสูงกระเด็นไปอีกทาง

            “ไม่คิดจะคุยกับผมสักหน่อยหรือครับ” น้ำเสียงยียวนดังไล่หลัง แต่อนินทิตาไม่สน พอเข้าลิฟต์มาได้เธอก็ระบุชั้นที่ต้องการกับระบบปฏิบัติการนานา แล้วเบนสายตากลับมาที่หนุ่มจอมกวนที่ยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์พร้อมกับชูนิ้วกลางให้เขาอย่างมั่นใจ!

            ...

            ผู้หญิงบ้านั่นชูนิ้วกลางใส่หน้าเขา!

            ราม รามิเรซ สบถแล้วกัดฟันกรอด ยายตัวแสบนี่ใครกันถึงได้ทำให้ความมั่นใจที่เขาเคยสั่งสมมาทั้งชีวิตทลายลงไม่เหลือด้วยเวลาไม่กี่นาทีที่เจอกัน

            อย่าให้เจออีกรอบนะ พ่อจับทำเมียจริงๆ!

            เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มสบถสาบานในใจ แล้วเดินปึงปังเข้าไปในห้องทำงานของเชสก์ด้วยอารมณ์กรุ่นๆ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่ได้อยู่ตามลำพัง

            “ไอ้เชสก์...” น้ำเสียงเจือความเจ้าเล่ห์ทอดลงเล็กน้อย เมื่อรามเบนสายตากลับมายังหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่ตรงหน้าเชสก์

            รามกระแอมเบาๆ แล้วยืดตัวขึ้นเล็กน้อย บ่ากว้างตั้งตรงแล้วปรับน้ำเสียงเสียใหม่ “คิดว่าไม่มีใครอยู่”

            ผู้บริหารหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย มองสภาพเหมือนเพิ่งไปกัดกับหมามาสักสิบตัวของเพื่อนด้วยสีหน้าปลงตก แล้วถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “นายผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยของฉันขึ้นมาถึงนี่ได้ยังไง”

            คนถูกถามกลอกตา “ถามเหมือนยายนั่นเชียว”

            “ใคร” เชสก์หรี่ตาถามด้วยความสงสัย

            “ก็ยายผู้หญิงตัวสูง สวย แต่นิสัยออกถ่อยๆ หน่อยไง” รามสวนทันควัน

            “ก่อนจะว่าคนอื่นถ่อย...มองตัวเองก่อนไหมราม”

            “เฮอะ” ราม รามิเรซ เดาะลิ้น ปรายตามองมาทางสุคนธวาเล็กน้อย แล้วหันกลับมามองเชสก์ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “พอฉันหมดประโยชน์นี่ด่าเอาๆ เลยนะ”

            “หุบปากเถอะ” ผู้บริหารหนุ่มบอกเสียงเรียบแล้วโยนแฟลชไดรฟ์ให้ราม อีกฝ่ายก็รับได้อย่างรวดเร็ว

            “ขอยืมสูทด้วย” พูดแล้วก้มมองตัวเอง “ฉันแต่งตัวแบบนี้เข้าออฟฟิศไม่ได้หรอก”

            “นายไม่น่าใส่ของฉันได้นะ”

            “เอามาเถอะน่า”

            “เออ...จะให้แม่บ้านจัดการให้” เชสก์บอกปัด

            “มี ฮ.สักลำไหม ขอยืมพร้อมคนขับด้วยนะ ถึงที่ทำงานเร็วดี”

            “ไอ้ราม!”

            “เฮ้! นี่งานนายนะเพื่อน ฉันช่วยก็ดีแล้ว ดังนั้น...อย่าบ่น” หนุ่มแว่นยิ้มอย่างเป็นต่อ ทั้งยังเบนสายตามาทางสุคนธวาอีกด้วย

            หญิงสาวนั่งมองชายหนุ่มทั้งสองเงียบๆ เฝ้าสังเกตบทสนทนาลับลมคมในของทั้งคู่ ยอมรับว่ารามเป็นคนน่าสนใจคนหนึ่งที่อย่างน้อยก็ต้อนคนบ้าอำนาจอย่างเชสก์ให้จนมุมได้

            “มองอะไร” เชสก์ถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ดวงตาคมดุวาววับเอาเรื่อง แล้วหันไปไล่รามออกจากห้องทันที

            “นายก็ออกไปได้แล้ว”

            “อ้าว!” คนถูกไล่ทำหน้าตาใสซื่อได้น่าถีบเหลือเกิน แต่ก็เดินออกไปแต่โดยดี แต่ก่อนออกไปยังมิวายยิ้มและขยิบตาให้สุคนธวา

            หญิงสาวมองผู้ชายที่ชื่อรามอย่างงงๆ แต่ก็ยิ้มตอบแต่โดยดี รอจนกระทั่งรามออกไปแล้ว จึงหันกลับมาสนใจวารสารในมือ

            เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จังหวะก้าวเดินกระชั้นถี่พอๆ กับแรงอารมณ์ของเจ้าตัว ไม่บอกก็รู้ว่าใคร แต่สุคนธวาเบื่อที่จะคอยรับรู้อารมณ์แปรปรวนของเขา จึงนิ่งเสีย แต่ก็กลายเป็นว่ายิ่งนิ่งเฉยเท่าไรก็เหมือนไปจุดไฟโทสะของเชสก์มากเท่านั้น

            “ผักหวาน” เสียงเขาดังอยู่เหนือศีรษะนี่เอง

            หญิงสาวก็ยังเลือกที่จะทำเฉย แต่ก็ขานรับแต่โดยดี “คะ?”

            “ไม่ได้แอบฟังใช่ไหม”

            “ไม่ได้แอบฟังหรอกค่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เพราะคุณกับเพื่อนน่ะตะเบ็งเสียงแข่งกันราวกับอยู่คนละฟากสนามฟุตบอล ทั้งที่ก็ยืนตรงหน้ากันแท้ๆ”

            “ไอ้รามมันกวนประสาท”

            สุคนธวาพยักหน้า ข้อนี้เธอเห็นด้วยอย่างที่สุด แล้วเปรยเบาๆ “เพื่อนคุณประหลาดดีนะคะ เขาเป็นใครมาจากไหนคะ”

            “มันบ้า...และมาจากดาวอังคาร” เชสก์ตอบรวนๆ สีหน้าไม่พอใจหนักกว่าเดิมขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าสาวเจ้าสนใจเพื่อนของเขามากกว่าเสียแล้ว

            ท่าทางของหนุ่มใจร้อนทำให้สุคนธวาถอนหายใจ แล้วก้มลงสนใจวารสารในมือต่อ พยายามข่มใจนับหนึ่งถึงร้อยไม่ให้ถือคนบ้าเจ้าอารมณ์ทั้งยังเอาแต่ใจเป็นที่ตั้งอย่างเชสก์ โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ายิ่งเธอละเลยไม่สนใจเขามากเท่าไร เชสก์ก็จะบ้ามากขึ้นเท่านั้น

            “สนใจฉันหน่อย” เสียงเข้มห้วนกระชากพร้อมกับที่เขาดึงวารสารในมือหญิงสาวโยนข้ามห้องทิ้งไป

            “คุณเชสก์!” สาวใจเย็นชักเหลืออด แต่ก็พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แม่เธอสอนเสมอว่าน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง ตอนนี้กระแสอารมณ์ของเชสก์กำลังเชี่ยวกรากไม่ต่างจากน้ำป่า ถ้าไปขวางตอนนี้ก็เหมือนฆ่าตัวตายดีๆ นี่เอง

            หนุ่มสาวสบตากันชั่วอึดใจ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

            “ใคร!” เชสก์สบถหัวเสีย เขาต้องการอยู่กับสุคนธวาตามลำพัง แต่ดูเหมือนว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่มาบ่อยเหลือเกิน

            “ผมเดรโกครับคุณเชสก์” เสียงของเดรโกที่ถ่ายทอดผ่านระบบปฏิบัติการนานาดังขึ้น

            “มีอะไร”

            “แลปทอปของคุณผักหวานมาแล้วครับ”

            “เอาเข้ามาเลย” ผู้บริหารหนุ่มออกคำสั่ง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น