12

บทที่ 12


 

           

๑๒
 

เมื่อแลปทอปของสุคนธวามาถึง เธอก็เอาแต่สนใจแลปทอปทั้งสี่เครื่องของตัวเอง ราวกับแม่ลูกที่พลัดพรากเพิ่งได้กลับมาเจอกันก็ไม่ปาน เชสก์ลอบมองกิริยานั้นแล้วก็ขัดใจไม่น้อย ที่เห็นสุคนธวาเอาใจใส่ทุกอย่างในโลก ตั้งแต่ที่นอน หมอน ผ้าห่ม แมว จาน ชาม ผู้ชายจากดาวอังคารอย่างราม หรือแม้แต่บอดีการ์ดของเขา ลามมาถึงสิ่งไม่มีชีวิตอย่างแลปทอป แต่กลับไม่เคยสนใจเขาเลยสักครั้ง

            ชายหนุ่มร่างสูงก้าวมายืนด้านหลังหญิงสาว ดวงตาคมดุมองไปยังหน้าจอร์แลปทอปแล้วก็ต้องชะงัก ใจที่เคยร้อนรนอย่างพาลๆ เมื่อครู่ค่อยๆ สงบลงทันทีเมื่อเห็นรูปหน้าจอเดสก์ทอปของสุคนธวา

            เชสก์บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร แต่การได้เห็นรูปที่สองแม่ลูกถ่ายด้วยกันที่ริมชายหาดแห่งหนึ่งทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว ในรูปอเล็กซานโดรน่าจะอายุราวๆ หนึ่งขวบ ตัวกลมป้อม ผมสีน้ำตาลเข้มตั้งโด่เด่ แต่ฉีกยิ้มโชว์ฟันที่เพิ่งขึ้นเพียงสี่ซี่ กำลังพยายามก้าวเดินบนพื้นทราย สองมือกางออกไปหาสุคนธวาที่นั่งรอห่างออกไปราวๆ หกฟุต ภาพนั้นทำให้ชายหนุ่มยิ้มโดยไม่รู้ตัว

            “ไหนงานที่ว่าล่ะคะคุณเชสก์” หญิงสาวกระตุ้น

ชายหนุ่มเอาแต่จ้องภาพหน้าเดสก์ทอปของเธอตาไม่กะพริบ แล้วถามไปอย่างที่ใจคิด “ตอนนั้นอเล็กซ์อายุเท่าไหร่”

            สุคนธวาทำหน้าเหลอ ไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆ มาถามถึงอเล็กซานโดรทำไม แต่ก็ตอบเขาแต่โดยดี “สิบเอ็ดเดือนค่ะ”

            “ที่ไหน”

            “ลองบีชค่ะ” คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนสวยส่ายหน้าแล้วถามถึงงานต่อ “ไหนล่ะคะงาน”

            “ใครถ่ายรูปให้” เสียงเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย เช่นเดียวกับตาเป็นประกายกร้าวของเขา

            “พี่ชายค่ะ”

            “เธอมีพี่ชายที่นี่ด้วยหรือ” เชสก์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ทำให้สุคนธวารู้ตัวว่าเผลอตัวพูดถึงอดีตของตัวเองอีกแล้ว

            หญิงสาวนิ่งไปทันที เธอหลุบตาลงต่ำ ปิดหน้าจอลงแล้วแสร้งทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ไม่สนใจท่าทีของเขา

            “ทำไมเธอถึงมีพี่ชายที่นี่ได้” พอเห็นว่าสาวตรงหน้าไม่สนใจ เขาก็ปิดพับหน้าจอแลปทอปไปเสีย แล้วใช้ปลายนิ้วแตะที่ปลายคางมน บังคับให้เธอหันหน้ากลับมาหาและสบตากับเขา

            “ว่ายังไง” เจ้าของเสียงเข้มถามด้วยสายตาคาดคั้น

            “อย่าสนใจเรื่องของฉันเลยค่ะ” สาวร่างเล็กถอยหายใจ เธอพยายามบอกเขาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เหมือนจะไม่เข้าหัวเชสก์เลยสักนิด

            “จะไม่ให้สนใจได้ยังไง เด็กนั่นอาจจะเป็นลูกฉันก็ได้!”

            “คุณห่วงแค่นี้ใช่ไหมคะ” เธอถามเสียงแข็ง ดวงตากลมโตฉายแววมั่นใจ “ฉันบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่าอเล็กซ์เป็นลูกฉัน”

            “กับใคร”

            “ลูกฉันแค่คนเดียว” สุคนธวาบอกเสียงกร้าวแล้วสะบัดหน้าหนีทันที เธอเปิดแลปทอปขึ้นมาอีกครั้ง และไม่สนใจเขาอีก แต่คำพูดต่อมาของชายหนุ่มนี่สิ...

            “เธอคนเดียวทำลูกออกมาได้หรือไง”

            สาวเจ้าหน้าแดงก่ำ จากที่จะทำไม่สนใจก็เผลอเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายสนุกสนานราวกับชอบใจที่ทำให้เธอโกรธได้ของเขาทำให้หญิงสาวนึกอยากจะจิ้มตาคู่นั้นเสียให้บอด ทำไมเขาต้องทำให้เธอนึกถึงเรื่องในวันคืนเก่าๆ ด้วย

            “รีบส่งงานมาให้ฉันเถอะค่ะ...คุณเชสก์” เธอเน้นชื่อเขาด้วยคำพูดเป็นทางการ ให้เขารู้เสียทีว่าระหว่างเขากับเธอไม่มีอะไรอีกแล้ว อดีตคือสิ่งที่ควรลืม และปัจจุบันเขากับเธอเป็นแค่เจ้านายกับพนักงานเท่านั้น

            “ก็ได้ๆ” ผู้บริหารหนุ่มยอมถอย “เธอไปนั่งที่โต๊ะทำงานฉันดีกว่า นั่งตรงชุดรับแขกนี่ทำงานไม่ถนัดหรอก”

            สุคนธวาลังเลเล็กน้อย แต่ก็ย้ายแลปทอปไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเชสก์แต่โดยดี แล้วรับแฟลชไดรฟ์จากชายหนุ่มมาเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และเปิดโปรแกรมสืบค้นขึ้นมา

            “นั่นโปรแกรมอะไร” เสียงเข้มดังขึ้นข้างใบหู ไหนจะลมหายใจอุ่นๆ ที่กระทบผิวแก้มนี่ก็อีก ทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง

            สุคนธวาหันขวับไปทันทีแล้วก็พบว่าเขาก้มลงมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ซ้ำร้ายยังใกล้เสียจนปลายจมูกของเธอชนกับข้างแก้มตอบที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเขา!

            “คุณ!” สาวร่างเล็กผงะ แต่ก็หลบไม่ได้เพราะเชสก์กางแขนเท้ากับโต๊ะคร่อมร่างเธอไว้ ทั้งยังยิ้มตาเป็นประกาย

            “ตกใจอะไรขนาดนั้น ทำงานได้แล้ว”

            “คุณออกไปห่างๆ สิ”

            “ฉันมองไม่เห็น” เขาบอกหน้าตาเฉย ลอบมองแก้มเนียนที่ขึ้นสีระเรื่อด้วยสายตาชอบใจ

            “ส่งภาพเข้าระบบปฏิบัติการนานาสิคะ” เธอย้อนเข้าให้ ก็เคยเห็นเชสก์โอนข้อมูลผ่านนานาตลอด แล้วนึกบ้าอะไรอยากเกาะติดด้านหลังเธอเป็นเด็กไปได้

            เชสก์ทำหน้ามึน ไม่สนใจท่าทางขัดใจของสาวในอ้อมกอดเลยสักนิด ทั้งยังหน้าด้านทู่ซี้ให้เธอทำงานต่อไปโดยมีเขาคอยดูไม่ห่าง

            “เธอสร้างโปรแกรมขึ้นมาเองหรือ” เสียงเขาดังอยู่เหนือศีรษะนี่เอง ไหนจะลมหายใจที่รดอยู่กลางกระหม่อมอีก

            “ค่ะ” หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ นึกขยาดความเจ้าเล่ห์ของเขาเสียเหลือเกิน

            “เก่งนี่” เชสก์พูดแค่นั้นแล้วก็เงียบไปอีก ปล่อยให้หญิงสาวทำงานต่อไปเรื่อยๆ

            โปรแกรมสืบค้นที่สุคนธวาใช้นั้นมาจากงานตอนที่เธอเรียนเขียนโปรแกรมครั้งแรก เธอลองเขียนโครงสร้างต่อจากเดิมและพัฒนาไปเรื่อยๆ เรียกว่าเป็นโปรแกรมแรกและโปรแกรมเดียวที่เธอใช้ทุกครั้งที่ทำงาน เพราะเธอเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องมีค่าตั้งต้นเสมอ แม้ว่าจะถูกลบหรือดัดแปลงอย่างไรก็จะมีร่องรอยของมัน และโปรแกรมนี้ก็ทำหน้าที่สืบค้นข้อมูลดังกล่าวได้

            “ยังไม่มีชื่อเรียกหรือ” ผู้บริหารหนุ่มชวนคุย เมื่อเห็นว่าสุคนธวาปล่อยให้โปรแกรมประมวลผลด้วยตัวเอง

            “ยังค่ะ...แต่ฉันเรียกมันว่าอเล็กซ์”

            “เธอหายใจเข้าออกเป็นเด็กนั่นเสมอนะ”

            หญิงสาวไม่เถียง เธอนั่งเงียบๆ มองโปรแกรมประมวลผลไปเรื่อยๆ เมื่อเชสก์เงียบ เธอก็ไม่รู้จะชวนเขาคุยอะไร ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนเริ่มเมื่อย แต่พอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เท่านั้น ศีรษะเธอก็ชนกับปลายคางของเขาเต็มแรง

            “โอ๊ย!” เจ้าของเสียงเข้มแสร้งร้องลั่น ทำเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา

            “ยังไม่ไปไหนอีกหรือคะ” เธอถามไปอย่างที่ใจคิด ไม่สนใจประกายสนุกสนานในดวงตาของเขา

            “ทำผิดแล้วยังไม่สำนึกอีกนะผักหวาน” เชสก์ถามเสียงดุ ทำเอาคนฟังกลอกตา คิดในใจว่าเธอผิดอย่างนั้นหรือ...ไม่ใช่เสียหน่อย เขาต่างหากที่มารยาจนเกินเหตุ!

            เชสก์หัวเราะหึๆ มองท่าทางปั้นปึ่งของหญิงสาวแล้วก็ยอมถอย ปล่อยให้สุคนธวานั่งทำงานของเธอไป ส่วนตัวเองก็เดินอ้อมโต๊ะกลับมานั่งทำงานที่ค้างไว้หลายวันเพราะไปรับอเล็กซานโดร

เขานั่งสะสางเอกสารและติดต่อกับคู่ค้าต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่วายลอบสังเกตคนที่นั่งตรงข้ามตลอดเวลา

            ผู้หญิงของเขานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ป้อนคำสั่งเป็นระยะๆ รอคอยผลลัพธ์ที่โปรแกรมจะประมวลผลออกมา โดยหารู้สักนิดไม่ว่ามันจะมีได้อย่างไร ในเมื่อที่เขาให้เธอไปน่ะของปลอม แต่ของจริงอยู่ที่รามแล้วต่างหาก!

            “คุณเชสก์คะ” คนเสียงหวานเรียกอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอพูดเสียงเบาจนเชสก์นึกอยากแกล้ง จึงทำหูทวนลมเสีย

            สุคนธวาเม้มปากแล้วลองเรียกชื่อเขาอีกครั้ง “เชสก์คะ”

            “ว่าไง”

            “แน่ใจนะคะว่าใช่แฟลชไดรฟ์อันนี้”

            “ก็เธอเป็นคนเอามาเองไม่ใช่หรือ” เชสก์เลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

            หญิงสาวนิ่วหน้าครุ่นคิดแล้วพยักหน้าเบาๆ แน่นอนว่ามันคือแฟลชไดรฟ์แบบเดียวกับที่เธอใช้เป็นตัวรบกวนสัญญาณระบบปฏิบัติการภายในของอะลอนโซ ทาวเวอร์ แต่ทำไมมันกลับไม่มีอะไรเลย

            “ถ้าแกะรอยจากแฟลชไดรฟ์ไม่เจอ ก็ลองสืบค้นสัญญาณโครงข่ายทั้งหมดที่ติดต่อกับอะลอนโซ ทาวเวอร์ในวันเกิดเหตุสิ” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ

            “ฉันจะลองดูค่ะ”

            “ค่อยๆ ทำไป ไม่ต้องรีบ”

            “ค่ะ” เธอรับคำแล้วก้มหน้าทำงานต่อ

            ผู้บริหารหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย รอดูว่าเธอจะสงสัยอะไรอีกหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่าสุคนธวายังนั่งทำงาน เขาก็ทำงานของตัวเองต่อไป

หนุ่มสาวต่างก็นั่งทำงานของตนเองจนบ่ายคล้อย ถึงเวลาอาหารกลางวันเสียที เชสก์ละสายตาจากหน้าจอแลปทอปแล้วมองสาวตรงหน้าที่ผล็อยหลับไปแล้วเรียบร้อย จึงสั่งผ่านระบบปฏิบัติการนานาให้เดรโกจัดการอาหารกลางวันสำหรับเขาและเธอ รอจนกระทั่งแม่บ้านตั้งโต๊ะให้ในมุมรับประทานอาหารในห้องเล็กติดกับห้องทำงานของเขาแล้ว จึงเดินมาเรียกหญิงสาว

            “ผักหวาน”  

สาวร่างเล็กยังนิ่ง สองแขนวางพาดบนโต๊ะแล้วนอนทับแขนตัวเองแบบนี้คงไม่สบายตัวเท่าไร

            เชสก์ยิ้มพราย ประกายตาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แผนการบางอย่างแวบเข้ามาในสมอง เขาขยับตัวไปก้มลงกระซิบที่ริมหูข้างซ้ายของเธอพร้อมๆ กับเอื้อมมือข้ามไปสะกิดไหล่ข้างขวาของหญิงสาว แล้วเรียกสาวเจ้าเสียงดัง

            “ผักหวาน...ตื่น!”

            “อุ๊ย!” สาวร่างเล็กสะดุ้งแล้วหันไปทางด้านขวาที่โดนสะกิด แต่พอไม่เห็นใครก็หันมาทางซ้ายอย่างรวดเร็ว ผลคือปลายจมูกชนกับแก้มของเขาอีกแล้ว

            “ก็คุณเข้ามาใกล้ฉัน” แทนที่เธอจะโวยวาย กลับกลายเป็นเขาเสียได้ที่ทำท่ามากทั้งที่ตัวเองเป็นผู้ชาย ไม่มีอะไรต้องเสียสักหน่อย ผิดกับเธอที่มีแต่เสียแต่เสีย

            “เธอก็เลยหอมแก้มฉันหรือ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ทำเอาหญิงสาวตาลุกวาว เขาหาเรื่องแกล้งเธอแท้ๆ แต่มีหน้ามาบอกว่าเธออยากหอมแก้มเขา คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ให้หอมแก้มเขา เธอยอมจูบเจ้าฮิตเลอร์ยังดีเสียกว่า!

            “น่าหอมตายละ” สุคนธวาบ่นเป็นภาษาไทยพลางผลักคนตัวสูงด้วยแรงทั้งหมดที่มีแล้วลุกขึ้น แต่ก็มิวายถูกเชสก์รวบมือไว้แล้วกระชากร่างเล็กบางเข้าหาตัว

            “คิดว่าฉันฟังไม่รู้เรื่องหรือไง”

            “ก็เพราะรู้ว่าคุณฟังรู้เรื่องไงคะ เลยด่าให้ได้ยิน” หญิงสาวพูดอย่างเหลืออด เธอจำได้เสมอว่าเชสก์ฟังภาษาไทยรู้เรื่องเพราะเขาเป็นลูกครึ่งสเปน-ไทย ต่อให้หน้าตาจะไม่เหมือนลูกครึ่งเลยก็เถอะ แต่เขาฟังภาษาไทยออก เพียงแต่พูดได้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น

            หนุ่มสาวจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตาย คนหนึ่งกำลังสนุกที่ได้แกล้ง ส่วนอีกคนนึกโกรธที่เขาชอบทำเหมือนเมื่อก่อน ทั้งที่เธออยากจะลืมแทบตาย แต่เขาก็กลับรื้อฟื้นเสียอย่างนั้น

            “สรุปว่าเราจะยืนจ้องกันอย่างนี้หรือว่าจะไปกินกลางวันกันได้แล้ว”

            “ก็นำไปสิคะ” เสียงท้องร้องประท้วงทำให้สุคนธวาไม่คิดตั้งแง่กับเขาอีก และยอมเดินตามไปแต่โดยดี

            อาหารที่จัดขึ้นโต๊ะเป็นอาหารสเปนเสียส่วนใหญ่ มีทั้งปาเอญาหรือข้าวผัดสเปนที่มีลักษณะคล้ายข้าวผัดต้มยำ ทาปาสที่เป็นอาหารว่างเสิร์ฟหลายอย่าง มีทั้งโครเกต์ มันบดผสมแฮมฮามอน สาวร่างเล็กมองอาหารบนโต๊ะแล้วรู้สึกเลี่ยนเหลือเกิน แต่ละอย่างมีแต่ของทอด ซึ่งตั้งแต่มีอเล็กซานโดรเธอก็ไม่ชอบสักอย่าง

            “ทำไมทำหน้าแบบนั้น...ไม่ชอบหรือ” เจ้านายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของสาวตรงหน้า

            “กินได้ค่ะ แต่ว่าขอสลัดผักหรืออะไรก็ได้แกล้มได้ไหมคะ”

            “เมื่อก่อนก็ชอบกินนี่”

            หญิงสาวพยักหน้า เธอไม่เถียงว่าเคยชอบ เพราะเมื่อก่อนที่เธอไปไหนมาไหนกับเขา เชสก์มักจะพาเธอไปกินอาหารสเปน ทั้งยังหยอกเย้าเสมอว่าให้เธอชินไว้ เผื่อวันที่จะต้องย้ายไปอยู่กับเขา

            แต่วันนั้นไม่มีจริง...

            สุคนธวายิ้มเนือยๆ แล้วบอกเสียงเรียบ “พอมีอเล็กซ์ก็กินไม่ได้อีกเลยค่ะ”

            “อย่างนั้นหรือ” เชสก์ดูใส่ใจขึ้นมาทันที เขาสั่งให้แม่บ้านนำอาหารออกไปให้พนักงานคนอื่นๆ แล้วสั่งอาหารไทยมาแทน กว่าจะได้กินก็เกือบบ่ายสามเข้าไปแล้ว

            “กินเยอะๆ เธอน่ะผอมจนตัวจะปลิวตามลมอยู่แล้ว” เจ้าของเสียงเข้มสำทับเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ารวบช้อนส้อมเสียแล้ว ทั้งที่ก็เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำเท่านั้น

            “อิ่มแล้วจริงๆ ค่ะ”

            “ให้ลูกกินหมดละสิ” เขาเอ่ยอย่างรู้ทัน

            “ก็...”

            “กินอีก”

            “ฉันอิ่มแล้วจริงๆ”

            “ไม่กินฉันจะป้อนนะ” เชสก์เตือนเสียงต่ำ ท่าทางจริงจังมากบ่งบอกว่าเขาเอาจริงแน่ ไม่ได้ล้อเล่นเหมือนก่อน

            สุคนธวาจำต้องกินต่ออีกหน่อยจึงรวบช้อนส้อมอีกครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาพร้อมกับเลิกคิ้วน้อยๆ จนแน่ใจว่าเขาจะไม่หาเรื่องแกล้งเธอแล้ว จึงลอบถอนหายใจที่อย่างน้อยก็พ้นไปอีกวัน

            “ใกล้เวลาเลิกเรียนของอเล็กซ์แล้ว ฉันขอไปรับลูกได้ไหมคะ”

            “ไม่ต้องไปเองหรอก ให้เดรโกไปรับก็ได้”

            “ไม่ได้ค่ะ” คุณแม่คนสวยส่ายหน้าหวือ “ฉันเป็นแม่ก็ต้องไปรับเองสิคะ อย่างน้อยก็ต้องให้ครูรู้ไว้ เพราะว่าต่อไปฉันจะไปรับเอง”

            “ถ้าอย่างนั้นฉันไปด้วย” เชสก์ตัดสินใจและลุกขึ้นทันที แต่เสียงของระบบปฏิบัติการนานาดังขึ้นเสียก่อน

            ‘คุณ แคทเธอรีน เรแกน มารอพบแล้วค่ะคุณอะลอนโซ’

            ชื่อของผู้มาเยือนทำให้หนุ่มสาวมีปฏิกิริยาทันที เชสก์ถอนหายใจแบบเบื่อๆ แต่สุคนธวากลับนั่งตัวแข็งทื่อ เหงื่อเริ่มซึมตามใบหน้าและไรผม เธอลุกขึ้นทันทีแล้วตรงกลับไปที่แลปทอป โดยมีชายหนุ่มเดินตามไปคว้าแขนเธอไว้

            “เธอจะไปไหน”

            “คุณมีแขกนี่คะ ฉันก็จะออกไปรับลูกเลย” หญิงสาวพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพูดอย่างปกติ ทั้งที่ในใจกำลังหวาดหวั่น

            ดวงตาคมดุหรี่ลงเล็กน้อย สังเกตทุกอากัปกิริยาของเธอ “เธอเข้าใจผิดนะผักหวาน ฉันกับแคทเธอรีน...เราเป็นแค่เพื่อนกัน”

            “ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเสียหน่อย” เจ้าของเสียงหวานแย้ง แล้วดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขาอย่างนุ่มนวล “คุณไปรับแขกเถอะค่ะ ฉันจะไปรับลูก”

            “ฉันจะให้เดรโกไปด้วย”

            “แต่...”

            “เดรโกรเป็นคนไปส่ง เขาจะได้ทำเรื่องรับเด็กให้เธอด้วยไง” เชสก์ตัดบทเมื่อเห็นหญิงสาวตั้งท่าปฏิเสธเขาอีกแล้ว

            สาวร่างเล็กจำต้องพยักหน้า จริงอย่างที่เขาพูดทุกอย่าง ในเมื่อเดรโกเป็นคนไปส่ง เขาก็ต้องไปด้วยเพื่อที่จะทำเรื่องให้เธอรับส่งอเล็กซานโดรได้ด้วยตัวเอง

สุคนธวาเก็บคอมพิวเตอร์แลปทอปและข้าวของส่วนตัวอันน้อยนิดลงในกระเป๋าสะพายใบเดิมที่เคยใช้ประจำ และเดินตัวลีบออกจากห้องทำงานของเชสก์ ตอนที่ออกไปสวนกับหญิงสาวร่างสูงเพรียวบางที่เธอจำได้ไม่มีวันลืม แคทเธอรีน เรแกน สบตาเธอและแย้มรอยยิ้มอ่อนหวาน แต่เธอไม่ยิ้มตอบ ได้แต่ก้มหน้าและเดินออกไปทันที ซึ่งทุกอย่างอยู่ในสายตาของ เชสก์ อะลอนโซ ทั้งหมด

            “เฮ้อ...” พอออกนอกห้องทำงานของเชสก์มาได้หญิงสาวก็ถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบสูดอากาศเข้าปอดเยอะๆ เพราะเมื่อครู่เธอกลัวจนเผลอกลั้นหายใจไปนานทีเดียว

            “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

            “อุ๊ย!” สาวร่างเล็กสะดุ้ง ไม่คิดว่าเดรโกจะยืนหลบมุมอยู่ตรงนี้ ไหนจะหน้าตาดุๆ และอาการยืนนิ่งเหมือนหุ่นของเขาอีกเล่า

            “เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณผักหวาน”

            “เรียกว่าผักหวานเหมือนก่อนก็ได้ค่ะ” สุคนธวาลูบอกเบาๆ รอให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติอีกครั้ง แล้วจึงถามเขาบ้าง “ทำไมมายืนตรงนี้คะ”

            “คุณเชสก์ให้ผมพาผักหวานไปรับคุณหนูอเล็กซ์ครับ”

            “อ้อ” เธอทำเสียงรับรู้แล้วพยักหน้าเบาๆ “นำไปเลยค่ะเดรโก”

            “เชิญทางนี้ครับ”

            แม้สุคนธวาจะบอกให้เดรโกเรียกเธอด้วยชื่อเล่นธรรมดาๆ เหมือนเมื่อก่อน แต่บอดีการ์ดหนุ่มก็ยังเว้นระยะห่างระหว่างเขากับเธอ อาจเป็นเพราะเธอโตเป็นสาวเต็มตัว ไม่ใช่เด็กสาวเหมือนก่อนแล้ว ทั้งยังมาใช้นามสกุลเดียวกับเจ้านาย เขาจึงไม่กล้าที่จะสนิทสนมด้วยเหมือนเดิม

            สุคนธวาเดินตามมาขึ้นรถที่เดรโกจัดไว้ มีผู้ชายหน้าตาคมเข้มคุ้นตาแต่ไม่รู้จักชื่อรับหน้าที่สารถี พาเธอออกจากอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ ตรงไปยังโรงเรียนของอเล็กซานโดร

            ...

            “ผู้หญิงนั่นใครหรือคะเชสก์” แคทเธอรีนถามขึ้นทันทีเมื่อเชสก์เดินออกมาจากผนังกรุกระจกริมห้องทำงาน ไม่ใช่เรื่องปกติที่ระดับผู้บริหารอย่าง เชสก์ อะลอนโซ จะเป็นห่วงพนักงานสาวตัวเล็กๆ ถึงขั้นเฝ้ามองจากริมกระจก รอให้สาวคนนั้นขึ้นรถไปกับเหล่าบอดีการ์ดของตัวเองแล้วจึงเดินกลับมาหาแขก ทั้งที่จะว่าไปแล้วแคทเธอรีนไม่ใช่แขก เธอเป็นทั้งเพื่อนและอดีตคนที่เขาคบหามาเกือบสามปี

            คนถูกถามนิ่งแทนคำตอบ เขายักไหล่นิดๆ แล้วบอกเสียงเรียบ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกเคท ว่าแต่คุณมีเรื่องอะไรหรือ”

            “พ่อให้มาเตือนคุณเรื่องงานเลี้ยงค่ะ”

            “โทร. มาก็ได้นี่”

            “ฉันไม่ได้เจอคุณมาสามเดือนได้แล้วนะเชสก์ เพื่อนกันก็ต้องอยากเจอหน้ากันทั้งนั้นแหละ” แคทเธอรีนยักไหล่ไม่แยแส แล้วนั่งลงบนโต๊ะทำงานของชายหนุ่มพร้อมกับยิ้มรู้ทัน “แต่ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ นะคะ เหมือนฉันเคยเห็นที่ไหน”

            “อย่าสนใจเลยน่า” ผู้บริหารหนุ่มบอกปัด “ว่าแต่คุณเถอะ ไหนว่ามีอะไรจะคุยกับผม”

            “เรื่องระบบปฏิบัติการน่ะ พอดีฉันเปิดสาขาใหม่ เลยอยากได้ระบบปฏิบัติการของคุณ” แคทเธอรีนบอกเสียงใส

            “ได้สิ” ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วสั่งให้ระบบปฏิบัติการนานาพรีเซนต์ระบบปฏิบัติการต่างๆ ที่มีในตอนนี้ให้หญิงสาวเลือก ระหว่างนั้นก็ลอบมองแคทเธอรีนไปด้วย ผู้หญิงเก่งตรงหน้าทำธุรกิจโรงแรมต่อจากแม่ หลังจากที่หญิงสาวมารับช่วงต่อ เธอก็กลายเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองทันที เพราะปรับปรุงโรงแรมในเครือเรแกนใหม่ทั้งหมด จากโรงแรมหรูเป็นทุนเดิมก็เพิ่มเติมความไฮเทคเข้าไปให้ผู้ใช้บริการรู้สึกราวกับก้าวเข้ามาในโลกสายลับ ที่มีเทคโนโลยีต่างๆ มากมายเข้ามาเป็นตัวช่วยในการดำเนินชีวิต ทำให้สองหนุ่มสาวที่เคยเลิกรากันไปกลับมาติดต่อกันอีกครั้ง และเป็นที่จับตามองของคนในสังคม

            แต่ในมุมมองของเชสก์นั้นเพื่อนก็คือเพื่อน เขากับแคทเธอรีนเหมือนกันมากเกินไป รู้ทันกันมากเกินไป ถ้าแต่งงานกันไปชีวิตคงไม่มีความสุขแน่ ผิดกับอีกคน...

            ดวงตาคมดุทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาอยากให้วันนี้หมดไปเร็วๆ เสียที อยากพบหน้าสุคนธวาและอเล็กซานโดรเต็มทีแล้ว

เดรโกและคนขับรถหน้าดุพาสุคนธวามาที่อะคาเดมีแห่งหนึ่งที่ได้ชื่อว่าดีและค่าเทอมแพงที่สุด ทำเอาคุณแม่คนสวยตาโต ไม่คิดว่าเชสก์จะให้ลูกเธอเข้าเรียนเกรดหนึ่งทั้งที่อเล็กซานโดรเพิ่งจะสี่ขวบเท่านั้น

            “เดรโกคะ...ไม่หนักเกินไปสำหรับเด็กอายุแค่สี่ขวบหรือคะ”

            “คุณหนูผ่านการทดสอบนะครับ...เข้าเรียนได้สบายๆ” บอดีการ์ดหนุ่มพูดทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของสุคนธวา และอีกอย่างเขาก็ขัดคำสั่งเจ้านายไม่ได้อยู่แล้ว

            คนเป็นแม่ได้แต่เม้มปากขัดใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่เดินตามเดรโกไปติดต่อกับครูเพื่อทำเรื่องมารับอเล็กซานโดรด้วยตัวเอง ใช้เวลาไม่นานมากก็ได้พบลูกชายในที่สุด

            “มามี้!” อเล็กซานโดรร้องเรียกแม่เสียงใส เด็กชายร่างกลมป้อมวิ่งเข้ามาหาโดยมีอ้อมกอดของแม่รอรับเหมือนเดิม ทั้งที่ตอนนี้อเล็กซานโดรก็สี่ขวบเข้าไปแล้ว แต่ในสายตาสุคนธวานั้นไม่ว่าจะแรกคลอด หนึ่งขวบ สามขวบ สี่ขวบ หรือจะกี่ปีผ่านไป อเล็กซานโดรก็คือลูกชายตัวน้อยๆ ของเธอเสมอ

            “ไงลูก” สุคนธวากอดและจูบลงบนเรือนผมยุ่งๆ ของลูกชาย

            “หนุกมากเลยฮะ อเล็กซ์มีเพื่อนแล้วนะมามี้” เจ้าตัวแสบเริ่มจ้อเป็นต่อยหอย ปกติก็พูดมากพออยู่แล้ว แต่พอมาโรงเรียน มีเพื่อน มีกิจกรรม อเล็กซานโดรก็พูดน้ำไหลไฟดับ

            ...

อเล็กซานโดรจ้อตลอดเวลาชนิดที่ว่าตั้งแต่ออกจากโรงเรียนจนกระทั่งมาถึงอะพาร์ตเมนต์ที่เชสก์เตรียมไว้ให้ที่ฝั่งบรุกลิน เจ้าตัวแสบของเธอไม่หยุดพูดเลย

            “แน่ใจนะคะว่ามาถูกที่” สาวร่างเล็กหันไปถามบอดีการ์ดหนุ่มมาดนิ่ง สลับกับมองอพาร์ตเม้นต์หลังใหญ่ตรงหน้า มันใหญ่กว่าที่อับราฮัมเคยให้เธอมาอยู่เสียอีก แม้จะอยู่ในย่านบรุกลินไฮต์เหมือนกัน แต่ก็ห่างกันหลายบล็อก และอีกอย่าง อับราฮัมไม่กล้ามาที่นี่อีกแน่หลังจากที่เธอถูกจับได้ไปแล้ว

            “ครับ”

            “แต่...”

            “เข้าไปเถอะครับผักหวาน คุณเชสก์เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว”

            “เขาจะไม่มาที่นี่ใช่ไหมคะ” หญิงสาวอดถามไม่ได้ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นที่ของเขา

            เดรโกนิ่งและยิ้มนิดๆ แทนคำตอบ สายตาของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวแก้มร้อนผ่าว ทั้งโกรธทั้งอาย เพราะความเอาแต่ใจของเชสก์ อยากได้อะไรก็สั่งๆ ไม่สนใจเสียงคัดค้านของใครเลย

            “บ้านใครฮะ” เจ้าตัวแสบแหงนหน้าจนคอตั้งบ่า มองอะพาร์ตเมนต์ตรงหน้าแล้วหันมาสบตาแม่

            “บ้านของลุงเชสก์จ้ะ”

            “ลุงยักษ์ก็มีบ้านแล้วนี่ฮะ” เจ้าหนูทำสีหน้าสับสน

            “เข้าบ้านก่อนเถอะครับ ข้างในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบแล้ว นี่กุญแจครับ” เดรโกส่งกุญแจและคีย์การ์ดให้ผู้หญิงของเจ้านาย แล้วถอยออกมาเงียบๆ เพราะถ้าไม่มีคำสั่ง เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรมากกว่านี้อยู่แล้ว

            สุคนธวารับกุญแจมาอย่างงงๆ แล้วถามต่อไปว่า “พรุ่งนี้ฉันพาอเล็กซ์ไปส่งด้วยตัวเองได้ใช่ไหมคะ”

            “ไว้รอให้คุณเชสก์โทร. มาหาดีกว่าครับ” เดรโกบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ และยื่นโทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยมให้หญิงสาว

            “ฉันไม่ชอบที่เจ้านายคุณทำแบบนี้เลย”

            “ทำไมหรือครับ”

            “ก็เขาทำเหมือนว่าฉันเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยของเขาน่ะสิ” ตั้งแต่ยกบ้านให้อยู่ เตรียมข้าวของให้พร้อม ส่งลูกเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดให้ มีงานให้ทำ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในความควบคุมของเขาตลอด แล้วมันจะต่างกับข้อเสนอที่เขาเคยยื่นให้เธอตรงไหนกัน

            “คุณเชสก์เป็นห่วงคุณมากนะครับผักหวาน”

            “แต่ฉันอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระ”

            “ทั้งที่มีอันตรายอยู่รอบตัวคุณน่ะหรือครับ” เดรโกส่ายหน้าเบาๆ “คุณเชสก์ห่วงคุณมาก ทั้งคุณ...และคุณหนู”

            “แต่ฉันไม่อยากให้เขามายุ่งกับฉันและลูกอีกแล้ว” หญิงสาวเม้มปาก ความห่วงใยของเขาไม่ต่างจากหลุมพรางที่อาจทำให้เธอถลำลึกลงไปได้ทุกเมื่อ และเธอไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนก่อนอีกแล้ว

            เดรโกมองสาวใจแข็งแล้วถอนหายใจ ดูจากสายตาของเธอแล้ว เขามั่นใจมากกว่าครึ่งว่าสุคนธวายังตัดเจ้านายของเขาไม่ขาด

            “ผมถามจริงๆ นะผักหวาน...คุณหนูเป็นลูกคุณเชสก์ใช่ไหม” แม้ไม่สนิทสนมกันเท่าไร แต่เดรโกก็เคยเห็นสุคนธวามาตั้งแต่แรก เมื่อคราวที่เธอเป็นแค่เด็กสาวน่ารัก ร่าเริง และสดใส เป็นคนเดียวที่ล้อเล่นกับเชสก์ได้โดยไม่โดนเจ้านายของเขาหักคอทิ้งไปเสียก่อน จากเด็กสาวที่ได้รับความสนใจจากผู้เป็นนายก็กลายมาเป็นนักเรียนทุนมาเรียนอเมริกา และเป็นคนแรกที่ทำให้เจ้านายของเขาแทบคลั่งเมื่อเธอหายไป จนถึงเวลาที่เธอกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะนางนกต่อของศัตรู ถ้าเป็นคนอื่นคงตายไปแล้ว แต่นี่...ทั้งที่รู้ว่าอันตราย แต่เชสก์ก็เลือกที่จะเก็บอันตรายที่แสนหวานนี้ไว้ใกล้ๆ ตัวโดยไม่กลัวสักนิดว่าจะโดนแว้งกัดได้ทุกเมื่อ

            คนถูกถามชะงักไปทันทีแล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ...แต่เดรโกไม่เชื่อ

            “เจ้านายแอบเก็บตัวอย่างเส้นผมคุณหนูไว้...ถ้าผลตรวจออก คุณก็ปฏิเสธไม่ได้หรอก”

            “คุณคิดว่ายังไงล่ะคะเดรโก...ถ้าเขามั่นใจเขาจะตรวจดีเอ็นเอไปทำไม”

            “เพราะคุณไม่ยอมบอกเขาไงครับ” บอดีการ์ดหนุ่มถอนหายใจ เขาไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรสาวตรงหน้าถึงหายไปจากชีวิตเจ้านายของเขา ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงเก็บงำเรื่องพ่อของเด็ก แต่ที่แน่ๆ เรื่องนั้นต้องใหญ่พอสมควร เธอถึงได้กลัวถึงเพียงนี้

            คำพูดของเดรโกทำให้หญิงสาวได้แต่เม้มปากแน่น เธอรู้ว่าเชสก์ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้รู้ชาติกำเนิดของอเล็กซานโดรแน่ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

            “คุณอย่าเพิ่งบอกเขาได้ไหมคะ” พูดพลางหันไปมองเด็กน้อยที่นั่งลงเอานิ้วจิ้มๆ ดอกไม้ที่ปลูกตกแต่งหน้าอะพาร์ตเมนต์แต่ละหลัง

            “ทำไมล่ะครับ”

            “ฉันยังไม่พร้อม คุณก็รู้...ระหว่างฉันกับเขามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกค่ะ” ยิ่งนึกไปถึง แคทเธอรีน เรแกน นักธุรกิจสาวคนสวยที่เหมาะกับเชสก์ทุกด้าน เธอก็ยิ่งเห็นข้อด้อยของตัวเอง เขาเป็นซีอีโอหนุ่มผู้ทรงอิทธิพล มีสาวสวยและฉลาดเคียงข้างน่ะถูกแล้ว ผู้หญิงจากประเทศที่ห่างไกลด้อยพัฒนา เรียนก็ไม่จบ ซ้ำยังมีลูกติดแบบเธอ เทียบไม่ได้สักอย่าง ไหนจะเส้นทางที่เลือกเดินคนละเส้นทางก็อีก เธอกลับไปเป็นอย่างแต่ก่อนไม่ได้อีกแล้ว

            เดรโกมองสาวตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้าและแยกตัวกลับไปก่อน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าก็เพราะใจแข็งอย่างนี้ไงเล่า ไม่ยอมพูดสิ่งที่เก็บงำไว้สักที อย่างน้อยเชสก์ก็มีอิทธิพลพอที่จะช่วยได้ แค่นี้ก็เริ่มต้นใหม่ได้แล้ว แต่ทำไมกลับไม่รับความหวังดีนี้เสียที

            บอดีการ์ดหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ เรื่องของคนสองคน...ไม่สิ สามคน รวมทั้งคุณหนูด้วย เขาไม่อยากยุ่ง ปล่อยให้เจ้านายจัดการไป ส่วนเขา...ก็แค่ทำตามคำสั่งก็พอ

สุคนธวามองตามรถของเดรโกจนกระทั่งลับตาไป แล้วจึงหันมาหาลูกชายตัวแสบที่นั่งหน้าบันไดแล้วหยิบสมุดจากโรงเรียนออกมาอ่าน ท่าทางอเล็กซานโดรฉลาดเหมือนเชสก์ไม่มีผิด

            “เข้าบ้านเถอะอเล็กซ์ ไปดูในบ้านกัน”

            “ลุงยักษ์จะมาไหมฮะ” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นถามแม่

            “ไม่รู้สิ อาจจะมามั้ง...” หญิงสาวถอนหายใจ “ลูกชอบลุงเชสก์หรือ”

            คราวนี้เด็กแสบทำหน้าครุ่นคิดแล้วจึงส่ายหน้า แต่พอส่ายหน้าแล้วก็กลับพยักหน้า จนคนเป็นแม่หัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้นไขกุญแจและพาลูกเข้าบ้าน

            “สรุปว่าชอบหรือไม่ชอบ”

            “ชอบฮะ แต่ก็ไม่ชอบ...ลุงยักษ์ชอบดุมามี้”

            “โธ่อเล็กซ์” เธอดึงลูกชายเข้ามากอดอย่างแนบแน่นเสียจนเด็กน้อยสงสัย นานแล้วที่แม่ไม่มีอาการแบบนี้

            “มามี้เป็นอะไร” เจ้าหนูผละออกจากอ้อมกอดของแม่ แล้วใช้นิ้วเล็กๆ เช็ดน้ำตาให้แม่อย่างไม่เบานักตามประสาเด็กชายจอมพลัง

            “แม่ไม่เป็นไร เราออกไปหาอะไรกินกันไหมลูก ไปดูมื้อเย็นด้วย”

            “ผมอยากไปเล่น”

            “ไปสิลูก...ไปสวนสาธารณะดีไหม”

            “ดีฮะ” เด็กชายร้องเสียงใสแล้วจับมือแม่แน่น แต่ก่อนออกไปก็มิวายแอบหยิบมอเดลรถจากในบ้านติดมือไปด้วย

สุคนธวาจูงมือลูกชายตัวกลมเดินออกจากอะพาร์ตเมนต์ ตรงมาเรื่อยๆ ก็มาถึงสวนสาธารณะใต้สะพานบรุกลินริมฝั่งแม่น้ำอีสต์ สายลมเอื่อยๆ ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เธอเลือกนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวตัวหนึ่งในที่ที่คนพลุกพล่านพอสมควร ปล่อยให้อเล็กซานโดรเล่นรถบนพื้นหญ้าไปตามประสา

            ดวงตากลมโตของหญิงสาวเหม่อมองไปรอบตัว ท้องฟ้าสีเทายามเย็นยิ่งทำให้ความเหงากัดกินหัวใจ ผู้คนมากมายไม่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด มีแต่ความเหงาและความหวาดกลัวเท่านั้นที่เกาะกุมทุกพื้นที่ในหัวใจยามนึกถึงคำพูดของเดรโก

            จะให้เธอเชื่อใจเชสก์น่ะหรือ...

            หญิงสาวนึกไปถึงอดีต เมื่อตอนที่เธอมีเพียงเขาแค่คนเดียวเป็นหลักยึด แต่เขากลับทรยศความไว้ใจของเธอจนไม่เหลือดี เธอบอกเขาเรื่องท้อง...แต่เขาไม่สน ทั้งยังคิดว่าเธอล้อเขาเล่น คิดไปถึงเหตุการณ์นั้นทีไรสุคนธวาก็ได้แต่ยิ้มขื่น กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว

            ...

            ‘ฉันมีอะไรจะบอกคุณ’ สุคนธวาในวัยสิบแปดมาขอพบเชสก์ที่อะพาร์ตเมนต์หรูหลังเก่าของเขาที่อัปเปอร์อีสต์ไซด์ เธอไม่กล้าไปพบเขาที่ทำงานเพราะสถานะระหว่างเขากับเธอต่างกันมากนัก เธอเก็บเงินที่ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ซื้อตั๋วเครื่องบินข้ามมาจากฝั่งตะวันตกตั้งใจมาเซอร์ไพรส์เขา ใครจะคิดว่าคนที่ถูกเซอร์ไพรส์คือเธอเอง

            ‘ฉันคิดว่าฉันท้อง’

            สีหน้าไม่ยินดียินร้ายของเขาทำให้หญิงสาวพูดผิดๆ ถูกๆ สองมือกำแน่น กลัวไปสารพัด กลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ แต่แล้วสิ่งที่เธอกลัว...ก็เป็นจริง!

            เธอจำไม่ได้ว่าเชสก์พูดอะไรบ้าง รู้แต่ว่าใบหน้าคร้ามเข้มของเขางุนงงก่อนจะเปลี่ยนดุจัด บอกว่าไม่ตลกกับมุกฝืดๆ ในวันเมษาหน้าโง่ของเธอ พร้อมๆ กับที่เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากอะพาร์ตเมนต์ของเขา

            สุคนธวาหน้าชา เธอไม่รู้ตัวว่าเดินออกมาจากอะพาร์ตเมนต์หรูแห่งนั้นได้อย่างไร ไม่รู้ว่านั่งเครื่องบินกลับมาที่ฝั่งแคลิฟอร์เนียได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปได้อย่างไร เธอพยายามโทร. หาเขาอีกครั้งเพื่อบอกว่าเธอไม่ได้ล้อเล่น แต่เชสก์ไม่เชื่อ!

            ความรู้สึกในตอนนั้นไม่ต่างอะไรจากโลกทั้งใบสิ้นสลาย มองไปทางไหนก็มืดไปทุกด้าน เธอไม่รู้จะบอกใคร ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร บางครั้งก็อยากกรีดร้อง แต่เธอร้องไม่ออก อยากบอกแม่ก็ไม่กล้า แม้แต่บอกเพื่อนๆ ที่มาเรียนด้วยกัน...ก็ไม่กล้า

            สุคนธวาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร เธอคิดอะไรไม่ออก อยากอยู่ตามลำพังมากขึ้น จากที่เคยร่าเริงยิ้มง่ายก็กลายเป็นเงียบขรึม เธอค่อยๆ ถอยห่างจากคนรอบตัวทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว อยากกลับบ้าน...แต่ก็กลับไปไม่ได้ ถ้ากลับไปไม่นานท้องก็ต้องโตขึ้นเรื่อยๆ เรื่องก็ต้องแดงขึ้นมา เธอไม่อยากตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ไม่อยากถูกเยาะหยันจากคนรอบตัวว่าต่อให้พยายามถีบตัวเองขึ้นไปอย่างไ รแต่สุดท้ายก็ตกต่ำเช่นเดิม ไม่อยากให้แม่ผิดหวัง ดังนั้นเธอกลับไปไม่ได้ แต่เธอจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร

            ชั่วเสี้ยววินาที ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในสมอง ถ้าเธอตายไปก็คงจะดี...

            เด็กสาวคิดอย่างเลื่อนลอยขณะกำลังจะก้าวข้ามถนน รถมัสแตงสีขาวคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง แต่ในสายตาเธอ...มันช้าเหลือเกิน ดวงตากลมโตหลับพริ้มลง สูดลมหายใจเข้าเป็นครั้งสุดท้าย แต่...

            เอี๊ยด!

            เสียงห้ามล้อดังสนั่น กลิ่นยางไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งลงมาจากรถและตรงมาหา แต่เธอไม่มีสติรับรู้อะไรอีกแล้ว สองขาไร้เรี่ยวแรงจนพูดไม่ออก สาวร่างเล็กทรุดลงกับพื้นและร้องไห้

            ‘เฮ้!’ เสียงเข้มดุจัดดังเหนือศีรษะ แต่เธอไม่มีแรงพอที่จะลืมตาขึ้นมอง และไม่รับรู้อะไรอีกเลย

            ...

            ตอนนั้นสุคนธวาคิดว่าเธอตายไปแล้ว แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด ผู้ชายคนนั้นพาเธอไปโรงพยาบาลเพราะเธออ่อนแรงเกินไป และสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า เขารู้ว่าเธอตั้งท้องจึงพยายามตะล่อมถามหลายครั้ง เริ่มจากทำความรู้จักก่อน เขาบอกว่าตัวเองชื่อ สเปนเซอร์ ไวลด์ ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง แต่น่าแปลก...ท่าทางเขาเหมือนทหารมากกว่า

            สุคนธวาไม่พูด ไม่ตอบคำถามเขา เขาจึงพาเธอกลับมาที่บ้าน ฝากเธอไว้กับพ่อแม่เพราะตัวเองต้องกลับไปทำงาน และที่นั่น...ก็เหมือนบ้านใหม่และชีวิตใหม่ของเธอ

            ความอบอุ่นของสามีภรรยาไวลด์ค่อยๆ เยียวยาจิตใจเธอขึ้นทีละนิด อยู่กับพวกเขาเธอรู้สึกเหมือนอยู่กับญาติผู้ใหญ่ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจเสียทีเดียว จนกระทั่งสเปนเซอร์กลับมาในวันหยุด เขาพาเธอไปที่โรงพยาบาลเพื่อฝากครรภ์ และทำให้เธอคิดได้ว่าไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว

            ‘เข้มแข็งหน่อย...เธอเป็นแม่คนแล้ว’ เขาวางมือลงบนบ่าเธออย่างอ่อนโยน จนเธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป

            ‘ฉันกลัว’ เธอยอมพูดกับเขาในที่สุดหลังเวลาผ่านไปถึงสามเดือนเต็มๆ

            ‘กลัวอะไร’

            ‘ทุกอย่าง’ สุคนธวาตอบตามจริง เธอกลัวความเหงา กลัวความโดดเดี่ยว กลัวคนรอบข้าง กลัวการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ กลัวว่าเธอจะอยู่ต่อไปอย่างไร

            สเปนเซอร์พยักหน้าเข้าใจ เขาโอบบ่าเล็กที่แข็งเกร็งไว้แล้วดึงเธอเข้ามากอด แรกๆ เธอยังกลัว แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงว่า เธออยากได้อ้อมแขนของใครสักคนเป็นที่พึ่งพิงในยามนี้

            เด็กสาวร้องไห้โฮแล้วกอดเขาแน่น ปลดปล่อยอารมณ์ที่เก็บกดมานานหลายเดือนจนแทบเป็นบ้าออกมาจนหมดสิ้น ปลายเล็บจิกลงบนบ่ากว้าง แต่สเปนเซอร์ไม่ท้วงเลยสักคำ เขาปล่อยให้เธอร้องไห้จนพอใจ โดยที่สองแขนยังโอบกอดเธอไว้แนบแน่น

            ‘ขอบคุณ’ สุคนธวาได้สติและผละออกห่าง แต่สเปนเซอร์รั้งไว้เสียก่อน

            ‘เธอจะไปไหน’

            เด็กสาวส่ายหน้า เธอไม่รู้จะไปไหน กลับไปเรียนคงไม่ได้แล้ว กลับบ้านก็คงยังไม่ได้ เธอยังไม่ได้บอกแม่เลยสักคำ

            ‘เธอเป็นนักเรียนทุนหรือ’

            สุคนธวาพยักหน้า เธอได้ทุนจากมูลนิธิแห่งหนึ่งที่ไม่เปิดเผยรายละเอียดมาก นอกจากชื่อมิสเตอร์สตีฟที่เป็นเจ้าของมูลนิธิเอส  ฟาวน์เดชั่น และเพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้แค่เทอมแรกเท่านั้น แต่ท้องแบบนี้...คงต้องหยุด

            ‘แล้วจะอยู่ต่อไปยังไง’ ดวงตาคมเข้มหลุบลงมองหน้าท้องที่เริ่มนูนออกมาเล็กน้อยของเด็กสาว จนเจ้าตัวต้องรีบยกมือขึ้นมากุมไว้ทันที

            เป็นอีกครั้งที่เธอได้แต่ส่ายหน้า เธอไม่รู้...แต่คงต้องหางานทำไปก่อน

            ‘ทำงานกับแม่ฉันไหม’ เขาเสนอ

            ‘งานอะไรคะ’

            ‘แม่ฉันเปิดร้านอาหาร’

            คำตอบนั้นทำให้เธอลังเล ยอมรับว่าน่าสนใจไม่น้อย แต่ยังกลัว...ว่าจะถูกหลอกหรือไม่ เพราะแม้แต่คนที่เธอรู้จักและหวังจะฝากชีวิตไว้ยังไว้ใจไม่ได้เลย แล้วเธอจะเชื่อใจใครได้

            อาการลังเลตกอยู่ในสายตาของสเปนเซอร์ตลอดเวลา เขาถอนหายใจเล็กน้อยแล้วถามเสียงเรียบ ‘เธอบอกเขาหรือยัง’

            ‘คะ?’

            ‘พ่อเด็กน่ะ’ สเปนเซอร์เสียงกร้าวขึ้นเล็กน้อยยามถามต่อไปว่า ‘เขาไม่รู้หรือว่าต้องรับผิดชอบ’

            ‘เราพลาดด้วยกันทั้งคู่ค่ะ’ มันคือความผิดพลาดจริงๆ ระหว่างเธอกับเขา ต่างคนก็ต่างไม่มีสติด้วยกันทั้งคู่...คงจะมีแต่คำนี้เท่านั้นที่จะจำกัดความได้

            ‘ถ้าจะเอาเรื่องก็ได้นะ ต่อให้เธอพ้นสิบแปดแล้วก็เถอะ แต่ยังไงก็พรากผู้เยาว์ชัดๆ’

            ‘ไม่ค่ะ’ เด็กสาวส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเอาเรื่องเขา แต่เธอคิดว่าเธอไม่อยากยุ่งกับเขาอีก ที่พลาดไปแล้วก็ปล่อยให้เป็นบทเรียน ถ้าจะดีคือต่อจากนี้ขออย่าให้เจอเขาอีกเลย

            สเปนเซอร์ไม่ว่าอะไร และไม่ถามว่าใครเป็นพ่อเด็ก เขาพาสุคนธวากลับมาที่บ้าน ให้เธอทำงานที่ร้านอาหารของคุณนายไวลด์

            ทีแรกสุคนธวาจะลาออกจากมหาวิทยาลัย แต่สามีภรรยาไวลด์ห้ามไว้ก่อนเพราะเธอเรียนดีมาก เธอจึงแค่ดรอปไว้ ทั้งคู่ดูแลเธอไม่ต่างจากลูกแท้ๆ คนหนึ่งเพราะสงสารเด็กสาวที่โชคชะตาเลวร้าย ที่นั่นทำให้เธอคิดได้ว่าตอนนี้ท้องเริ่มนูนเด่นออกมาแล้ว...เธอจะทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

            เธอทำงานกับครอบครัวไวลด์จนกระทั่งคลอด สเปนเซอร์ ไวลด์ รับสุคนธวาเป็นภรรยาและรับเป็นพ่อของอเล็กซานโดร ทีแรกเธอไม่ยอม แต่สเปนเซอร์บอกว่าเขาเคยมีครอบครัว แต่ภรรยาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จึงทั้งรักและเอ็นดูเธอและลูกไม่ต่างจากน้องสาว เพราะอย่างน้อยเขาก็ไว้ใจเธอให้ดูแลพ่อแม่ระหว่างที่เขาไปทำงานที่ตะวันออกกลาง ทำให้เธอยอมตกลงในที่สุด

            แต่โชคไม่ดีเสียเลยที่สองปีหลังจากนั้นสเปนเซอร์ก็เสียชีวิตในภารกิจ ตอนนั้นอเล็กซ์เพิ่งจะขวบกว่าๆ เท่านั้น ซ้ำร้ายยังมีกลุ่มคนปริศนาตามข่มขู่สามีภรรยาไวลด์

            คนพวกนั้นคือภาคี...

            สุคนธวาไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร มีอิทธิพลแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือทำให้สองสามีภรรยาไวลด์กลัวมาก แต่เธอไม่กลัว จึงแอบไปแจ้งความ คาดไม่ถึงว่าเธอและลูกจะถูกตามล่า ชื่อถูกถอดจากมหาวิทยาลัย เรียกว่าหายไปจากสารบบราวกับไม่เคยมีตัวตน กว่าจะรู้ตัวอีกที เธอก็ต้องหนีตามครอบครัวไวลด์ไปใช้ชีวิตในรัฐอื่นเสียแล้ว

            แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น...           

            เธออยู่อย่างสงบได้แค่ปีกว่าๆ ตอนนั้นอเล็กซานโดรเพิ่งอายุเพียงสามขวบเท่านั้น พวกภาคีก็ตามครอบครัวไวลด์จนเจอและฆ่าทุกคนต่อหน้าเธอ พวกนั้นรู้ว่าสามีภรรยาไวลด์สอนอะไรเธอมากมาย เอาอเล็กซ์มาขู่ และนับตั้งแต่นั้นมา...เธอก็ต้องทำงานให้อับราฮัมและภาคีมาตลอด ทั้งที่ไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใครด้วยซ้ำ

            หญิงสาวซบหน้าลงกับฝ่ามือ อดีตคือสิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดทุกครั้ง เธอยังติดต่อแม่ได้ แต่กลับไปเรียนไม่ได้ ทำอย่างที่ใจฝันไม่ได้ เธออยากจะโทษเชสก์ ถ้าเขาไม่ทิ้งเธอ เธอคงไม่ต้องเป็นแบบนี้ แต่ลึกๆ แล้วเธอรู้ดีว่าคนที่ผิดคือเธอเอง

            ผิดที่ก้าวพลาด...

            ผิดที่ไม่รู้จักมองโลกตามความเป็นจริง...

            ผิดที่ทะเยอทะยานอยากมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่...

            ผิดที่หลงคิดเสมอมาว่าชีวิตเธอจะเป็นดังเจ้าหญิงถ้าได้ครองคู่กับเจ้าชายอย่างเชสก์...แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าไม่มีทางเป็นจริง!

            เธอจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ถ้าอยู่อย่างพอเพียงที่บ้านเกิด เธอจะมีอิสระ มีความสุข อาจมีครอบครัวเล็กๆ กับคนที่รักเธอ ไม่ใช่เฝ้าฝันถึงคนที่เธอรัก แต่เขากลับไม่เห็นค่าของเธอเลย ถึงวันนี้เขาจะกลับมาสนใจ พยายามยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่เธอจะไว้ใจเขาได้อย่างนั้นหรือ

            หญิงสาวผู้มีอดีตปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม จนลูกชายร้องด้วยความตกใจ

            “มามี้ร้องไห้อีกแล้ว” อเล็กซานโดรวิ่งกลับมากอดแล้วเช็ดน้ำตาให้แม่เหมือนอย่างที่เคยทำ ทำเอาหญิงสาวน้ำตาไหลมากกว่าเดิม สงสารลูกที่ต้องมาอยู่ในวงจรนี้ ทั้งหมดผิดที่เธอเอง...

            “แม่ไม่เป็นไรแล้ว”

            “เราไปกินหนมกันเถอะฮะ”

            “ไม่ได้” สุคนธวาเช็ดน้ำตาแล้วส่ายหน้าให้ลูก “ลูกต้องกินมื้อเย็นก่อน”

            “มามี้ยังไม่ได้ซื้อของเลย กว่าจะทำกับข้าว ผมหิวจนผอมแน่ๆ” เจ้าตัวดีลูบพุงแล้วทำหน้าละห้อย เรียกรอยยิ้มจากคนเป็นแม่ได้ทันที

            ไม่ว่าจะทุกข์ใจ เหนื่อยใจสักแค่ไหน แค่มีอเล็กซานโดร เธอก็ยิ้มได้และพร้อมจะสู้ต่อแล้ว หญิงสาวดึงเจ้าตัวกลมมานั่งตักแล้วหอมแก้มยุ้ยๆ ฟอดใหญ่

            “เราจะกินอะไรกันดี”

            “ผมอยากกินบะหมี่”

            “ไชนาทาวน์หรือ”

            “ใช่ฮะ”

            “งั้นไปกัน” สาวร่างเล็กอุ้มลูกแล้วลุกขึ้น แต่น้ำหนักของอเล็กซานโดรทำให้เซไปนิดๆ เธอคงล้มไปแล้วถ้าไม่มีอ้อมแขนของใครบางคนรับไว้เสียก่อน

            “ขอโทษค่ะ”

            “ก็ล้มมาให้พี่รับตลอดสิน่า...” น้ำเสียงอบอุ่นคุ้นเคยทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นจังหวะ ด้วยไม่ได้ยินเสียงนี้มานานแล้ว และไม่คิดว่าจะได้ยินอีกเพราะคิดว่าเขาตายไปแล้ว

            สุคนธวาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายกำลังยิ้มให้เธอและลูกทำให้หญิงสาวยิ้มตอบ หัวใจที่เคยแห้งแล้งเดียวดายค่อยอบอุ่นชุ่มชื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นเขา
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น