4
คนรักกำมะลอ
เมลิสสาคือพี่สาวแท้ๆ และญาติคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของอนินทิตา
ในวัยเด็ก...สองพี่น้องเป็นเด็กสาวอัจฉริยะไอคิวสูงทั้งคู่ โดดเด่นจนเป็นที่จับตามอง และได้รับการทาบทามให้มาทำงานให้รัฐตั้งแต่ตอนที่เรียนไฮสกูลด้วยกันทั้งสองคน ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในประเทศ ทว่าเมลิสสาไม่สนใจทำงานให้รัฐ แต่ชอบเรื่องภาษามากกว่า ทั้งยังเป็นแฟชันนิสตาตัวแม่ อัปเดตคอลเล็กชันใหม่แทบทุกแบรนด์ในโลก รักการชอปปิงพอๆ กับที่ชอบการกินและการนอน เมลิสสาจึงตัดสินใจเลือกอาชีพแอร์โฮสเตสสายการบินหนึ่งในตะวันออกกลาง และได้พบรักกับ แดเนียล โรเจอร์ส ผู้เป็นสามี ที่ตอนนั้นก็ทำงานเป็นหน่วยรบพิเศษ และกำลังเดินทางกลับจากไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่ตะวันออกกลางเช่นกัน
ทุกอย่างฟังดูโรแมนติกมาก...ถ้าบนเครื่องบินที่ทั้งคู่เจอกันไม่ได้ถูกไฮแจ็ก
หลังจากนั้นก็เกิดเป็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย แม้แดเนียลและเพื่อนๆ จะช่วยไม่ให้คนร้ายจี้เครื่องบินได้สำเร็จ แต่ก็ยังมีเรื่องตามมาไม่หยุด ทำให้หนุ่มสาวที่ไม่ค่อยชอบหน้ากันมากนักต้องพัวพันใกล้ชิดกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเกิดเป็นความรักในที่สุด
และนั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่เปลี่ยนผู้หญิงล้นๆ อย่างเมลิสสาให้กลายเป็นคน (เกือบ) ปกติอย่างคนอื่นเขาเสียที แต่ก็ได้ไม่นาน เพราะเมื่อตกลงแต่งงานกันอย่างจริงจัง แดเนียลก็กลายเป็นทาสเมียที่ตามใจเมลิสสาทุกอย่างจนเมลิสสาเสียคน และเอาแต่ใจตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ ข่มผัวอย่างเดียวไม่พอ ตอนนี้ลามมาถึงเริ่มเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตเธอแล้วด้วย
แค่คิดไปถึงพี่สาว พี่เขย และบรรดาลูกๆ หน้าขนจอมหยิ่งอีกสี่ตัว อนินทิตาก็ขนลุกซู่ อยากจะย้ายบ้านหนี แต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็จำต้องเดินกะโผลกกะเผลกไปเปิดประตูให้ ก่อนที่ข้างบ้านจะด่าเพราะเสียงกดกริ่งหน้าประตูแบบไร้มารยาทของพี่สาว
“อนินน้องรัก” ใบหน้าสวยหวานของอดีตแอร์โฮสเตสสาวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สองแขนกางออกก่อนโผเข้าหาน้องสาว
“ไงเม” อนินทิตายิ้มเจื่อนๆ แล้วเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้พี่สาวและพี่เขยเข้ามาในบ้าน
“นี่เป็นอะไร” เมลิสสาจ้องขาข้างที่เป็นแผลของน้องสาว แล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าเจ้าตัวด้วยสายตาดุๆ “ไปซุ่มซ่ามอะไรอีก”
“ข้ามถนนไม่ทันระวังน่ะ”
“โอ๊ย เธอนะอนิน ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้ แล้วอยู่คนเดียวไม่ลำบากแย่หรือ ไปทำงานยังไง แล้ว...” พี่สาวตัวดีทำท่าจะสวดต่อ แต่กลิ่นหอมเอกลักษณ์ของอาหารไทยลอยมาเตะจมูก
แต่อนินทิตาทำอาหารเป็นที่ไหน อย่าว่าแต่อาหารไทยเลย แค่ทำมื้อเช้าให้อร่อยพอจะกลืนลงคอไปได้ก็ยากแล้ว
เมลิสสาหันไปสบตาสามีที่ต่างก็รับรู้ถึงความผิดปกติเช่นกัน อดีตหน่วยรบพิเศษหนุ่มแตะนิ้วชี้บนริมฝีปาก บอกให้ทุกคนเงียบไว้ แต่ตัวเองชักปืนออกมาปลดเซฟและเดินไปในครัวด้วยฝีเท้าเงียบกริบ
“เม! ห้ามแดนหน่อยสิ” อนินทิตาร้องเสียงหลง ให้ตายเถอะ สองผัวเมียนี่เล่นใหญ่ไปไหน
แต่มีหรือที่เมลิสสาจะห้ามสามี สองคนนี้คือคู่เวรคู่กรรมของแท้ ไม่เคยมีใครห้ามใคร ถึงได้หลุดโลกแบบนี้ไงล่ะ
คนเป็นน้องสาวได้แต่กลอกตา เหนื่อยใจเหลือเกินกับการรับมือสามีภรรยาคู่นี้ ตอนนี้เธอเริ่มห่วงรามเสียแล้ว ต่อให้เขาจะฉลาดเจ้าเล่ห์แค่ไหนก็เถอะ แต่กับแดเนียล...นั่นหน่วยรบพิเศษเชียวนะ
อนินทิตาจึงได้แต่เดินตามแดเนียลและเมลิสสาไปช้าๆ ในเมื่อห้ามไม่ได้ ก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้รามไปกวนประสาทแดเนียลเข้าแล้วกัน เธอยังไม่อยากเช็ดเลือดตอนนี้
การผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนของรามทำให้ชายหนุ่มมีประสาทสัมผัสไวกว่าปกติ ต่อให้เป็นหน่วยรบพิเศษที่ว่าฝีเท้าเบาที่สุดก็เถอะ เขาเคยทำงานกับคนพวกนี้ทั้งนั้น และรู้ดีถึงวิธีปฏิบัติอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละหน่วย ไม่ใช่แค่พวกหน่วยรบพิเศษเท่านั้นที่ทำได้ เพราะเขาก็ทำได้เช่นกัน
รามยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือน แสร้งสาละวนกับการเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะ จนกระทั่งแดเนียลมาประชิดตัว
“คุณเป็นใคร”
เสียงเข้มดังมาจากทางด้านหลังราม และไม่ได้มาแต่เสียงเท่านั้น สัมผัสเย็นเยียบจากปากกระบอกปืนด้านหลังไม่ทำให้รามกลัวสักเท่าไรแต่อยากหัวเราะละมากกว่า โจรที่ไหนจะเข้าครัวทำกับข้าวให้เจ้าของบ้านกินเล่า หรือว่าแค่หวงน้องสาว
ท่าทางโหดๆ ของแดเนียลไม่ทำให้รามรู้สึกกลัวแต่อย่างใด เขาหันกลับมาช้าๆ ไม่สนใจปืนที่จ่อหลังเลยสักนิด ทั้งยังมองอย่างพิจารณา
“ซิกซาวเออร์หรือ...คิดว่ามีแต่พวกซีลที่ชอบใช้เสียอีก” รามเอ่ยดักคอแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“บอกมาว่าคุณเป็นใคร” แดเนียลไม่ตลกด้วย ถึงเขาจะเลิกทำงานให้กองทัพมานานแล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่เคยมีใครรู้ว่าเขาทำงานอะไรมาก่อน อย่างกับผู้ชายตรงหน้า แม้จะทำเป็นถามเล่นๆ แต่ตาแพรวพราวคู่นั้นบ่งบอกว่า ‘รู้จริง’
“ผมเป็น...”
“แฟนฉันน่ะแดน” อนินทิตาตอบเสียงดังท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“อะไรนะ!” ไม่ใช่แค่แดเนียลที่ตกใจ แต่เมลิสสาที่เดินตามหลังมาถึงกับจับตัวน้องสาวให้หันกลับไปหา แล้วสวดยับ “อะไรของเธออนิน ไหนว่ายังไม่ได้เดตไง แล้วนี่ใคร ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”
“เดี๋ยวเม”
“แล้ว...คนที่ฉันให้เธอไปดูตัวล่ะ ทีแนะนำเพื่อนแดนไปก็ไม่สนใจ แล้วพาเขามาอยู่ในบ้านแต่ไม่บอกฉันสักคำเนี่ยนะ”
“เม ใจเย็น”
“โอ๊ย!” เมลิสสาแทบจะทึ้งหัวตัวเอง นี่เธอปล่อยน้องไว้ตามลำพังนานเกินไปใช่ไหม นี่เพราะเธอห่างน้องใช่ไหม อนินทิตาถึงทำอะไรไม่บอกเธอ ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่อย่างนี้
แล้วดูผู้ชายตรงหน้าสิ!
อดีตแอร์โฮสเตสสาวตวัดสายตามายังคนรักของน้องสาว ผู้ชายตัวสูงโปร่ง ผมยาว ถึงจะมัดแล้วก็เถอะ ใบหน้าคมเข้ม คิ้วหนา นัยน์ตาคมหวาน แต่กลับเป็นประกายเจ้าเล่ห์แปลกๆ ดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจ แล้ว...
“นั่นแมวของคุณหรือครับ น่ารักมากเลย ผมชอบแมว” รามบอกยิ้มๆ ล้างมือ แล้วเดินไปอุ้มแมวเปอร์เซียตัวกลมที่เดินตามเมลิสสาเข้ามาในครัว
เคยมีคำกล่าวที่ว่าคำพูดคือนายคน มหาบุรุษบางคนพลิกผืนดินเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ได้เพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น...รามก็เช่นกัน
แค่ได้ยิน ‘ว่าที่น้องเขย’ บอกว่าชอบลูกๆ ของเธอเท่านั้นละ เมลิสสาก็หยุดพูดทันที สายตาที่มองรามก็อ่อนโยนลงอย่างเหลือเชื่อ
“ผู้ชายรักสัตว์คือคนอ่อนโยนค่ะ อนินเลือกคนไม่ผิดจริงๆ” ราวกับว่าวิญญาณแม่มดถูกขับไล่ออกไปแล้ว สายตาตำหนิเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานปานนางฟ้าแทน
อนินทิตาได้แต่กลอกตาเหนื่อยหน่าย เจอคนรักสัตว์หรือบอกว่าลูกชายหน้าขนทั้งสี่ของตัวน่ารักทีไร เมลิสสาก็ลืมทุกอย่างไปในทันที
“ยัง...ยังไม่เก็บปืนอีก!” คุณแม่ลูกสี่ (ตัว) หันไปดุสามี จนแดเนียลต้องรีบเก็บปืน แล้วสบตากับอนินทิตาด้วยสายตารู้กัน
“เพิ่งมาหรือครับ กินอะไรมาหรือยัง ผมทำไว้เยอะพอสมควร กินด้วยกันสิครับ” รามกล่าวเชิญด้วยน้ำเสียงสุภาพ ผิดกับเวลาที่อยู่กับอนินทิตาลิบลับ จนสาวเจ้าของบ้านได้แต่มองแล้วอ้าปากค้าง...คนอะไรตีสองหน้าเก่งมาก เอาออสการ์สาขานำชายไปเลย!
“ว้าว ทำอาหารก็เก่ง อนินโชคดีจริงๆ ค่ะ”
“สามีคุณก็โชคดีที่มีภรรยาน่ารักครับ”
“แหม...รักสัตว์ ทำอาหารเก่ง ดีจริงๆ”
ในที่สุดอนินทิตาก็ทนคนบ้าสองคนที่ยอกันไปยอกันมาไม่ไหว มันจะเกินไปแล้ว ทีเมื่อกี้ละแทบจะฆ่ากันตาย เธอโพล่งเสียงดังลั่น “นี่จะยอกันอีกนานไหม”
“ลืมไปว่าคุณหิว” รามยังทำเป็นยิ้มหวาน แสร้งทำเป็นห่วงได้อย่างแนบเนียนเหลือเกิน จน ‘คนรักกำมะลอ’ แยกเขี้ยวใส่ด้วยความหมั่นไส้
“ดีเลย กำลังหิวมากพอดี” เมลิสสาตอบแล้วมองน้องสาวด้วยสายตาล้อเลียน แต่อนินทิตาไม่ตลกด้วย
“แล้วเธอมาทำไมล่ะเม”
“ก็แวะมาหาเธอน่ะสิ แล้วก็มาเจอเธอเดินเดี้ยงแบบนี้ ทีแรกว่าจะฝากปิกัสโซ่กับแพนดอร่าไว้ แต่ไม่รบกวนดีกว่า”
“ปิกัสโซ่กับแพนดอร่า” รามเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม นึกสงสัยว่านี่รหัสลับอะไรหรือเปล่า
“แมวของเมน่ะ” อนินทิตาบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ แล้วหันกลับไปหาพี่สาว “คงฝากไม่ได้หรอกเม ดูสภาพฉันสิ จะเดินยังลำบาก พาแมวเธอไปเดินเล่นไม่ได้หรอก”
“แต่ผมพาไปได้ครับ” หนุ่มลูกครึ่งหน้าเข้มเสนอตัวทันที ไม่สนใจสายตาเอาเรื่องของอนินทิตาเลยสักนิด
“จริงหรือคะ” สีหน้าห่อเหี่ยวของเมลิสสาค่อยสดชื่นขึ้นมาทันที
“ครับ ผมว่ามันน่ารักดี ชื่อก็น่ารัก”
“คุณเป็นคนแรก!” อดีตแอร์โฮสเตสสาวยิ้มดีใจเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่พลัดพรากกันมานาน แล้วเริ่มชวนรามคุยเรื่องลูกๆ แต่ละตัวทันที
“มาเถอะแดน ปล่อยคนบ้าคุยเรื่องลูกแมวกันไปเถอะ เรามันเข้าไม่ถึง” ปกติแล้วอนินทิตาก็ใช่จะถูกชะตากับพี่เขยมากนักหรอก แต่วันนี้ต้องยอมรับว่าสงสาร ไม่รู้ว่าแดเนียลทนเมลิสสากับแมวสี่ตัวได้อย่างไร ถ้าเป็นเธอ...อยู่ด้วยสักครึ่งวันก็แทบเสียสติแล้ว
มื้ออาหารภายในบ้านของอนินทิตาไม่เคยครื้นเครงเท่านี้มาก่อน เหตุเพราะเมื่อก่อนเธออยู่ตามลำพัง มักจะกินหน้าแลปทอปพร้อมกับทำงานไปด้วย ถึงเมลิสสาจะเคยมาค้างที่บ้านก็เถอะ ถ้าพี่สาวกับพี่เขยมาหาทีไรก็มักจะพากันออกไปกินข้างนอก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อยู่รวมกันในบ้าน เคล้าไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ แม้จะประดักประเดิดเล็กน้อย แต่ลึกๆ แล้วอนินทิตารู้สึกถึงความอบอุ่นที่อบอวลอยู่ภายใน
“ไว้เสร็จงานจะมาค้างด้วยนะ” เมลิสสาดึงน้องสาวเข้ามากอดแล้วลูบหลังเบาๆ
“ไม่ค้างก่อนจริงๆ หรือเม นี่ดึกแล้วนะ”
“ก็เพราะดึกนี่แหละ” อดีตแอร์โฮสเตสสาวมองตาอย่างรู้กัน “ฉันไปละ ฝากลูกๆ ด้วยแล้วกัน”
“อือ” ทีแรกก็เกือบจะซาบซึ้งดีอยู่แล้ว แต่พอพี่สาวพูดถึงบรรดาแมวก็หมดอารมณ์ทันที “ไปฝากรามโน่นสิ”
“นั่นสิ ผู้หญิงใจร้ายขวางโลกอย่างเธอไม่เมตตากรุณาสัตว์ตัวน้อยๆ เสียเลย” เมลิสสามองค้อนน้องสาว แล้วหันไปยิ้มหวานให้ราม “ฝากด้วยนะคะราม”
“คนหรือแมวล่ะครับ”
“ทั้งคู่เลยค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับเม” รามตอบยิ้มๆ ตีสนิทพี่สาวของอนินทิตาเป็นที่เรียบร้อยด้วยการอุ้มปิกัสโซ่ไว้ มีแพนดอร่านัวเนียอยู่ที่ขา ส่วนโซเครติสกับนอสตราดามุสเล่นกันอยู่ตรงเดย์เบด
หลังจากเมลิสสาและแดเนียลกลับไปแล้ว อนินทิตาก็ได้แต่ครุ่นคิด มองไม่ออกเลยว่าสามวันที่ต้องอยู่ร่วมกับแมวสี่ตัว เธอจะใช้ชีวิตอย่างไร ในเมื่อเธอเกลียดแมวเข้าไส้ ดีไม่ดีจะไล่ให้ขึ้นไปอยู่ชั้นสองทั้งคนทั้งแมวนั่นละ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมลิสสาเอาลูกๆ มาฝากที่บ้าน เพราะเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัย และตัวแดเนียลเองก็รับงานบอดีการ์ดและงานอารักขาบุคคลสำคัญ ทั้งนักการเมือง สมาชิกวุฒิสภา หรือแม้กระทั่งทูตจากประเทศต่างๆ เวลามีประชุมหรือการเดินทางมาเยือนทางการทูตจึงมักเอาแมวมาฝากไว้เสมอ เหตุผลสั้นๆ เพราะไม่อยากฝากในโรงแรมแมว กลัวว่าคนอื่นจะดูแลลูกๆ หน้าขนของเมลิสสาได้ไม่ดีเท่า ‘น้าอนิน’ ตำแหน่งที่เมลิสสายัดเยียดให้อนินทิตามาตลอดหลายปี
แน่นอน...น้าอนินคนนี้เลี้ยงดีอยู่แล้ว
บรรดาแมวทั้งสี่เล่นกันบ้าง ตีกันบ้าง พยายามเรียกร้องความสนใจบ้าง หนักหน่อยก็ถึงขั้นทำร้ายร่างกายเธอ ซึ่ง น้าอนินผลักมันออกเต็มแรงจนแทบกระเด็นไปติดฝา
“เบามือหน่อยอนิน นั่นหลานคุณนะ” รามหัวเราะหึๆ เขาเดินออกจากห้องน้ำด้วยสภาพเปลือยท่อนบน อวดกล้ามเนื้อกำยำและรอยแผลเป็นบนแผ่นหลังที่ยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์เหลือเกิน
นี่เธอเมาขนแมวจนบ้าไปแล้วหรือเปล่า...
อนินทิตาฉุกคิด ละสายตาจากแผ่นหลังกว้างแล้วก้มหน้าทำงานต่อ แต่แพนดอร่าก็ยังตามมาพันขาอีกจนได้ เธอเงื้อขาจะดันมันออกไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่รามปราดมาอุ้มมันไว้ทันก่อนจะโดนน้าสาวทำร้ายร่างกาย
“คุณเอามันไปนอนทีสิ ฉันไม่มีสมาธิเลย”
“คุณทำงานไปเถอะ ผมจะดูมันไม่ให้ไปยุ่งกับคุณเอง...ใช่ไหมลูก” ประโยคสุดท้ายเขาหันไปคุยกับแมวสี่ตัวที่มาล้อมหน้าล้อมหลังราวกับนกรู้ว่าอยู่กับใครแล้วจะปลอดภัย
อนินทิตาละสายตาจากแลปทอป ปรายตามองคนประหลาดที่พูดกับแมวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผิดกับเวลาขู่เธอลิบลับ ทำตัวเป็นคนสองเสียงไม่น่าคบไปได้
“แล้วนี่คุณทายาหรือยัง”
“เดี๋ยวค่อยทา” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวบอกปัด ตายังเพ่งมองหน้าจอ เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาการทางจิตเวชของ สตีเวน เรแกน ต่อไป
“งานยุ่งมากหรือ” เสียงเข้มดังในระยะใกล้ ทำเอาอนินทิตาผงะ แล้วก็จามออกมาทันทีเพราะขนของแพนดอร่า
“ไม่เชิง...ฮัดชิ้ว!”
“คุณแพ้ขนแมวด้วยหรือ”
“เปล่า...ฮัดชิ้ว!” คราวนี้ไม่แค่จามแล้ว แม้แต่น้ำมูกก็ไหลย้อยออกมาทีเดียว
รามหัวเราะลั่น ก่อนจะอุ้มแพนดอร่าลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาส่งให้
“ขอบคุณ”
“ผมทายาให้แล้วกัน”
“ไม่ต้องๆ” เรื่องอะไรจะให้เขามาใกล้ชิดให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีก อนินทิตาส่ายหน้ารัว หันไปสนใจเขียนบันทึกรายงานประเมินอาการทางจิตเวชต่อ
ในห้องเงียบไปเล็กน้อยเมื่อไม่มีเสียงสนทนาของหนุ่มสาว มีแต่เสียงแมวที่ยังเล่นกันไม่เลิกระคนเสียงหัวเราะของราม ฟังๆ ไปก็เพลินดี จะว่าไปมีเขาอยู่ตอนนี้ก็ถือเป็นโชคดีของเธอ จะได้ยกหน้าที่ไปให้เขาทั้งหมด ไว้เมลิสสากลับมาพาลูกๆ ไปเมื่อไร เธอค่อยไล่เขาไปก็ยังไม่สาย
เธอส่ายหน้าน้อยๆ แล้วตั้งสมาธิจมจ่อมกับงานตรงหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน กว่าจะเขียนรายงานส่งทั้งหัวหน้าของเธอและหัวหน้าฝ่ายสอบสวนของแม็กซ์เสร็จก็คงดึกพอตัว และเริ่มง่วงนอนเสียแล้ว
“นี่” เสียงเข้มดังขึ้นจากทางด้านหลังมาพร้อมสัมผัสอ่อนโยนที่ข้อเท้า
“อะไร” อนินทิตาสะดุ้ง จากที่ง่วงๆ ก็ได้สติขึ้นมาทันที เธอพยายามชักเท้าหนีมือหนากร้าน แต่รามไม่ยอมปล่อย
“คุณยังไม่ได้ทายา”
“เดี๋ยวจัดการเองน่า”
“แต่คุณจะหลับอยู่แล้วนี่” เขายังยึดข้อเท้าเธอไว้ ไม่สนใจแรงขัดขืนของเธอเลยแม้แต่น้อย
“ฉัน...”
“อย่าดื้อน่า หรือจะให้ใส่กุญแจมือเหมือนคืนแรก”
“นี่!” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวขึงตาใส่ นึกในใจว่าจะขู่ทั้งทีก็เลือกคำขู่ให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง แบบนี้มันอีโรติก ได้ยินแล้วจิตหลุดทุกที
“ผมทาให้” รามนั่งลงตรงปลายขาหญิงสาว
อนินทิตารู้สึกว่าใบหน้าของเธอกำลังร้อนวาบ ไม่บอกก็รู้ว่าสองแก้มต้องแดงจัดแน่ๆ เธอจึงเอาแต่นอนก้มหน้า แสร้งทำเป็นสนใจทำงาน ซ่อนความเขินอายไว้ไม่ให้เขาเห็น แต่พอปลายนิ้วกร้านแตะลงมาตามรอยฟกช้ำบนขาเท่านั้นละ มันไม่เจ็บเลยสักนิด แต่กลับทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ แทน
ให้ตายเถอะ...มันจะเกินไปแล้ว
อนินทิตาซุกหน้าลงกับหมอน อยากจะกรีดร้องออกไปเหลือเกินว่าปล่อยขาเธอได้แล้ว เธอจะหายใจไม่ออกแล้ว แค่เขาทายาให้ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนมีฟีโรโมนลอยฟุ้งแบบนี้เล่า...นี่เขาคิดจะมอมเมาเธอหรือไง!
“ทำไมเกร็งขนาดนี้” รามถามเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ปลายนิ้วยังอ้อยอิ่งไปตามปลีน่องขาวนวลเนียนช้าๆ ทั้งที่ตรงนั้นไม่มีรอยแผลหรือรอยฟกช้ำแต่อย่างใด
สาวคนเจ็บหันไปมองค้อนขวับ แต่พอเห็นดวงตาเป็นประกายของเขา เธอก็ต้องรีบหันกลับมาแล้วซุกหน้าลงกับหมอนต่อ
ทำไมยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งเป็นแบบนี้...เธอจะทนไม่ไหวแล้ว
อนินทิตาพยายามตั้งสติ เธอเป็นพุทธศาสนิกชนเช่นเดียวกับพี่สาวเธอ อย่างแรกที่ต้องการคือสติ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยุบหนอ พองหนอ อย่าหลงผิดคิดชั่วกับคนอย่างรามหนอ และ...ทนไม่ไหวแล้วหนอ
“พอแล้ว” เธอชักเท้าหนีมือเขาทันทีท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของราม
“ก็ได้ๆ” เขายอมปล่อยข้อเท้าเล็กบอบบางในที่สุด
อนินทิตาลุกขึ้น ชักเท้ากลับแล้วนั่งกอดเข่า เก็บขาตัวเองไว้อย่างหวงแหน มองเขาอย่างระแวงนิดๆ แล้วเอ่ยถาม “แผลคุณล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรแล้วละ” รามยักไหล่ “แค่แผลปริ เรื่องเล็กน้อย”
“ให้ฉันนอนบนเดย์เบดแล้วคุณจะนอนไหน” ภายในห้องเพลย์รูมนี้ไม่กว้างเลย ไหนจะแมวสี่ตัวที่ยึดพื้นที่บางส่วนไปอีก มีแค่เดย์เบดอย่างเดียวที่ใช้ต่างที่นอนได้ ให้เธอนอน แล้วเขาเล่า
“ใครบอกว่าจะให้คุณนอนบนเดย์เบดล่ะ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นข้างเดียว ท่าทางกวนประสาท
“ฮะ!” อนินทิตาอ้าปากค้าง สุภาพบุรุษที่ดีก็ต้องเสียสละให้สุภาพสตรีไม่ใช่หรือ
“ผมไม่ใช่สุภาพบุรุษขนาดนั้นหรอก” พูดพลางลุกขึ้น แต่เธอคว้าแขนเขาไว้
“เดี๋ยวนะ” ดวงตากลมโตฉายแววเอาเรื่อง “นี่บ้านฉัน”
“คุณไปนอนกับแมวแล้วกัน จะได้สนิทกับหลานๆ คุณเสียที”
“เฮ้! แบบนี้ไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ยิ่งเห็นสีหน้าตลกๆ ของเธอ รามก็ยิ่งอยากแกล้ง เขาลุกขึ้นช้อนร่างเล็กขึ้นมาในอ้อมแขนโดยไม่ฟังเสียงร้องลั่นของเธอเลย
“นี่! ปล่อยฉันก่อน”
“ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วนอนได้แล้ว”
“ยังไม่ได้ปิดแลปทอปเลย”
“ผมจัดการให้” บอกพลางปล่อยสาวร่างเล็กลงที่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ แล้วสั่งสำทับ “รีบเข้าล่ะ มันดึกแล้ว”
“อือ” อนินทิตารับคำสีหน้าจ๋อยๆ แล้วใช้สายตาไล่เขาออกจากห้องน้ำ
รามเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วตรงมายังแลปทอปของอนินทิตาที่ยังเปิดค้างไว้ เขาไม่แตะต้องมัน แต่ตาคมกริบไล่อ่านข้อความที่ปรากฏอย่างรวดเร็ว
แบบประเมินโรคอาการทางจิตเวชของ สตีเวน เรแกน
หนุ่มลูกครึ่งยิ้มมุมปาก เจอสิ่งที่หามานานเสียที เป็นจริงอย่างที่เขานึกสงสัยตั้งแต่วันที่แอบขโมยแฟลชไดรฟ์ที่ผู้ชายสวมแว่นคนนั้นส่งมอบให้อนินทิตา เมื่อเอามาเปิดดูก็พบว่าข้างในคือประวัติการเดินทางเข้าออกประเทศของเขานี่เอง ตั้งแต่ตอนที่ยังทำงานในแผนกวิเคราะห์ข้อมูล ต้องตามเจ้านายไปทำงาน ‘ลับ’ ที่เจนีวาในฐานะผู้ช่วยทูต ซึ่งปกติแล้วไม่ควรมีใครเจาะถึงข้อมูลส่วนนี้ได้ ถ้าไม่ใช้ระบบฐานข้อมูลความลับระดับสูง
นั่นคือครั้งแรกที่เขาสงสัยการทำงานของอนินทิตา ทำไมนักจิตวิทยาธรรมดาๆ ถึงอยากรู้ประวัติของเขาและหาทางรู้จนได้ ทำไมเธอกับผู้ชายสวมแว่นคนนั้นถูกลอบทำร้าย ต่อให้เหมือนอุบัติเหตุอย่างไร แต่เขาเชื่อว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่
จนกระทั่งไปส่งเธอที่ทำงาน สถาบันจิตวิทยาที่ใครๆ ก็ทำงานได้ แต่ผู้ชายที่ยืนรอรับเธอด้านหน้าสถาบันต่างหากที่น่าสงสัย ตัวสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกำยำ ท่ายืนแข็งๆ ใบหน้าที่เชิดขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกถึงอัตตาและอีโก้ที่สูงลิบลิ่ว รามทำงานกับคนพวกนี้มานานพอที่จะดูออกว่าใครเป็นใคร จึงแอบถ่ายรูปเขาไว้และแอบนำมาเทียบกับฐานข้อมูล แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาดเลย ผู้ชายคนนั้นชื่อแม็กซ์ เป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนและหัวหน้าชุดปฏิบัติการในซีไอเอ
ทุกอย่างลงตัว อนินทิตาทำงานให้ซีไอเออย่างที่สงสัยจริงๆ
เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้รามผละจากแลปทอปแล้วไปประคองเธอกลับมาที่เดย์เบดทันที ใบหน้าคมเข้มยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“ไหนว่าจะปิดแลปทอปให้ไง”
“ผมเห็นงานคุณค้างอยู่หน้าจอน่ะสิ ไม่อยากยุ่งน่ะ”
“อ้อ” อนินทิตาก็เพิ่งนึกได้ เธอเดินกะเผลกไปบันทึกงานและปิดคอมพ์ไปเสีย จากนั้นจึงมานอนที่เดย์เบดกลางห้อง ส่วนรามก็แยกไปนอนที่ถุงนอนใกล้ๆ กับเบาะแมว แล้วปิดไฟ
“ส่งน้องคิตตี้ให้หน่อยสิ” เสียงของรามดังขึ้นในความมืด แต่อนินทิตาไม่ตอบ จนเขาต้องออกปากอีกครั้ง “อนิน...ได้ยินไหม ส่งน้องคิตตี้ให้หน่อย นอนไม่หลับ”
เจ้าของบ้านยังแกล้งทำเป็นหลับต่อ...ดูซิว่าเขาจะทำอย่างไร
“อนิน...ถ้าไม่ส่งน้องคิตตี้มา ผมจะไปอุ้มคุณมานอนกอดแทนน้องคิตตี้นะ”
น้ำเสียงอ้อนๆ ของเขาส่งผลกับหัวใจอนินทิตาอย่างจัง ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะนอนไม่หลับจริงๆ หรือเพราะทำกวนประสาทไปอย่างนั้นเอง
“คนบ้า” เจ้าของเสียงหวานหน้าแดงจัด ดีที่ทั้งห้องมีแต่ความมืด ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะมองหน้าเขาอย่างไรเช่นกัน เธอคว้าตุ๊กตาตัวใหญ่โยนข้ามห้องไปให้ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของราม
ความคิดเห็น |
---|