12

สิ่งที่ซ่อนเร้น


 

12

สิ่งที่ซ่อนเร้น

 

แม้จะได้อยู่ตามลำพังในห้องนอนกว้างใหญ่ที่ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกเห็นวิวสวยของอ่าววิกตอเรียยามค่ำคืน แสงไฟบนตึกสูงและแสงดาวเต็มฟ้า ก็ไม่ทำให้อนินทิตารู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย เธอจะสบายใจได้อย่างไรในเมื่อต้องมาติดแหง็กอยู่กับรามโดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักอย่าง เธอมองข้าวของในห้องด้วยสายตาพิจารณา ห้องนี้หรูหราไม่น้อย และบ้านนี้ก็เช่นกัน ดูจากไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านหรือแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ ดูอย่างไรก็ไม่ใช่รามแน่นอน

            แต่...เธอรู้จักเขาจริงๆ หรือ

            อนินทิตาได้แต่ถามตัวเอง เมื่อคราวอยู่ร่วมกันที่บ้านของเธอ เธอคิดว่าอย่างน้อยก็ได้รู้จักนิสัยบางอย่างของเขา รามเป็นคนช่างแกล้ง แต่บางครั้งก็เหมือนมีปมบางอย่างในใจ แต่กลบเกลื่อนด้วยความกวนประสาท แม้จะลึกลับ แต่ก็ไม่ดูอันตรายเหมือนอย่างตอนนี้ ทำเอาเธอคิดไม่ตกว่าแบบไหนกันแน่ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา

            สาวร่างบอบบางลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาต้องขังเธอไว้แน่ๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลองผลักประตูออกไปเบาๆ...ปรากฏว่าไม่ได้ล็อกไว้!

            ความหวังอันริบหรี่ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตากลมโตของหญิงสาวเบิกกว้าง หัวใจเต้นเป็นจังหวะเร็วรี่ขึ้นเรื่อยๆ ยามบิดลูกบิดประตูแล้วเปิดออกไปอย่างช้าๆ และ...

            “จะไปหาผมหรือ” เสียงเข้มคุ้นหูดังขึ้นตรงหน้า ทำเอาสาวที่กำลังก้มตัวเล็กน้อยเตรียม ‘ย่องเบา’ ออกไปจากห้องถึงกับสะดุ้ง เธอเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาตระหนก

            รามทำหน้ารำคาญแล้วเดินอาดๆ เข้ามาในห้อง เขาสวมเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขายาวเอวต่ำ ผมยาวหยักศกยังชื้นอยู่นิดๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

            “คุณมาทำไม” อนินทิตาอดหวั่นใจไม่ได้ ตอนอยู่บ้านเธอเขายังทำตัวเอาแต่ใจราวกับเป็นเจ้าของบ้านขนาดนั้น แล้วนี่เธอมาอยู่ในถิ่นเขา ไม่รู้ว่ารามจะออกฤทธิ์ออกเดชอะไรบ้าง

            รามยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนเตียงกลางห้องด้วยท่าทีสบายๆ แล้วเงยหน้ามองสาวตรงหน้าด้วยตาเป็นประกาย “มาดูว่าคุณนอนสบายดีไหม”

            “ฉันยังไม่หลับ แล้วก็คงหลับไม่ลงด้วย”

            “อยากได้คนนอนกอดหรือเปล่าล่ะ” เขาถามทีเล่นทีจริง แต่คนถูกถามหน้าบูดสนิท

            “ไม่ตลก!” เธอแหวเสียงฉิว แล้วเดินเลี่ยงกลับไปที่โซฟาเบดริมผนังกรุกระจก

            ท่าทีห่างเหินไว้ตัวของเธอไม่ทำให้รามแปลกใจ เพราะคิดไว้แล้วว่าเธอต้องมึนตึงใส่เขาแน่ แต่มันจะไม่นานแน่นอน...เขามั่นใจ

            “พอลกับฆวนฟรานกำลังเอาของคุณมาให้”

            “ชื่อสองคนนั้นหรือคะ”

            “ใช่”

            “คนขับรถผมทองนั่นชื่อพอลใช่ไหม” อนินทิตานึกไปถึงหนุ่มผิวขาวจัดที่ดูเหมือนคนยุโรปเหนือ เท่าที่สังเกต เธอจำได้ว่าเขาหลุดยิ้มมาบ้างเล็กน้อย แม้จะเป็นเวลาแค่เสี้ยววินาทีก็เถอะ

            “ใช่” อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มมองท่าทางครุ่นคิดของสาวตรงหน้าด้วยตาเป็นประกาย “คุณว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”

            “ก็...น่าจะคบได้มั้ง” อนินทิตาตอบเลี่ยงๆ ไม่อยากให้รามรู้ว่าเธอกำลังเก็บข้อมูลทุกอย่างที่เห็น

            “อย่าไปคบพวกมันเลย พวกมันไม่น่าคบหรอก คบผมดีกว่า”

            “คนอย่างคุณนี่นะน่าคบ” นักจิตวิทยาสาวแค่นยิ้ม ก็ว่าจะไม่โกรธ ว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ ไม่ให้เพริดไปกับการยั่วยุอย่างมีประสิทธิภาพของเขา แต่ก็อดไม่ไหวจริงๆ

            “ผมเคยบอกแล้วนี่ว่าผมเป็นคนดีนะ”

            “งั้นก็เชิญไปเป็นคนดีต่อที่ห้องของคุณเถอะ” ตอบพลางลุกพรวดแล้วเดินจ้ำไปถึงประตูภายในเวลาไม่ถึงสองวินาที แล้วเปิดประตู ‘เชิญ’ เขาออกไป “ออกไปได้แล้ว”

            “ไม่เอาน่าอนิน เราไม่เจอกันตั้งนาน จะไม่คุยกันหน่อยหรือ” คนกะล่อนทำเสียงเล็กเสียงน้อยราวกับว่าน้อยใจเธอเสียเต็มประดา

            อนินทิตามองเขาด้วยสายตาดุๆ ทั้งที่เตรียมตั้งรับความกวนโทสะของรามแล้วแท้ๆ แต่พอเอาเข้าจริง เธอต้องยอมรับเลยว่าสู้ไม่ได้ เธอจะสู้ได้อย่างไรในเมื่อเขาถนัดเรื่องยั่วประสาทคนเสียขนาดนี้

            “ไม่คิดถึงผมสักนิดเหรอ ผมเสียใจนะ” น้ำเสียงแสดงถึงความ ‘เสแสร้ง’ ทำเป็นตัดพ้อของเขา ทำเอาความอดทนของเธอสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้

            อนินทิตาตวัดตามองรามด้วยสายตาอาฆาตแล้วกล่าวอย่างเหลืออด “ยังจะมีหน้ามาพูดอีก ลืมไปหรือเปล่าว่าฉันเคยช่วยชีวิตคุณ แต่คุณตอบแทนด้วยการลักพาตัวฉันมาไว้ที่นี่น่ะหรือ”

            “ใช่” รามตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนแล้วลุกขึ้นมานั่งยิ้ม มองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

            “คำว่าบุญคุณน่ะรู้จักไหม เขาทำกันแบบนี้หรือ”

            “บุญคุณหรือ...” คนกะล่อนแสร้งทำหน้าครุ่นคิด แต่แววตาทอประกายแพรวพราว สีหน้ากวนประสาท “สะกดยังไงล่ะ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

            คำตอบของเขาทำเอาหญิงสาวผงะ จากที่เป็นฝ่ายตั้งใจเล่นงานเขาแท้ๆ แต่เจอคำตอบแบบฉบับของ ‘ราม รามิเรซ’ เข้าไป เธอก็ได้แต่ยืนตะลึงอยู่กับที่ จนสุดท้าย ‘ผู้ชายบ้า’ ก็เป็นฝ่ายเข้ามาหาเธอเสียเอง เขายืนสองมือไพล่หลัง แล้วก้มลงมาเล็กน้อยเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน

            “ผมออกไปก็ได้ ห้องนอนผมอยู่ข้างๆ นี่เอง ถ้ามีอะไรก็เรียกได้ตลอดเวลา แล้วก็...อาหารเช้าเจ็ดโมงตรงนะอนิน อย่าสายล่ะ” เขาบอกพร้อมกับจูบแก้มเธอเร็วๆ แล้วผละออกไป

            รามไปแล้ว แต่อนินทิตายังนั่งนิ่ง ทั้งตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก สัมผัสเมื่อครู่ยังตราตรึงเช่นเดียวกับความรู้สึกคุ้นเคย

            หญิงสาวสะบัดหน้าแรงๆ หวังจะสลัดความรู้สึกพวกนี้ออกไปเสีย พร่ำบอกตัวเองให้มีสติมากกว่านี้ เธอจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้เมลิสสาจะเป็นห่วงหรือไม่ ที่ทำงานเธออีกเล่า พวกเขาจะรู้ไหมว่าเธอหายตัวไป แล้วคดีเดอะดาร์กแฟนทอมเล่าจะทำอย่างไรต่อ ในเมื่อตอนนี้สตีเวนไว้ใจเธอแล้ว เธอต้องกลับไป

            คิดได้ดังนั้นแล้วอนินทิตาก็ลุกขึ้นกลับมานอนบนเตียง เธอต้องพักผ่อน ต้องหาทางออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และเธอจะไม่หวั่นไหวกับผู้ชายบ้าคนนั้นอีกแล้ว

 

เสียงกุกกักที่หน้าประตูห้องทำเอาคนที่หลับไม่สนิทนักสะดุ้งแล้วดีดตัวลุกขึ้นทันที อนินทิตาหันรีหันขวางมองหานาฬิกา แล้วก็พบว่าตอนนี้เจ็ดโมงครึ่งแล้ว จึงรีบลุกจากเตียงอย่างรวดเร็วก่อนที่รามจะมาตามเธอ เธอตั้งใจไว้แล้วว่าจะอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุด

            “คุณช้าไปครึ่งชั่วโมง” รามบอกเสียงเรียบเรื่อย วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับแขนมาถึงข้อศอกกับกางเกงยีนสีดำ ดูแปลกตาไม่น้อย จนอนินทิตาอดหรี่ตามองด้วยความสงสัยไม่ได้

            “วันนี้ผมจะออกไปข้างนอก”

            ดวงตาของคนฟังทอประกายวาววามทันที แต่ก็กลบเกลื่อนไปได้อย่างรวดเร็ว แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ แล้วไปนั่งที่โต๊ะอาหารตรงข้ามกับเขา

            “ผมเห็นนะว่าคุณดีใจที่ผมจะไม่อยู่”

            “งั้นเรอะ” อนินทิตากอดอกแล้วยักไหล่เบาๆ ต่อให้จับได้แล้วยังไงล่ะ...เธอไม่ยอมรับเสียอย่าง

            “ปากแข็งไปเถอะ” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มมุมปาก สายตาบ่งบอกว่ารู้ทันเธอเช่นกัน

            “ฉัน...”

            “ผมไม่อยู่ก็จริง แต่พอลอยู่ ผมไม่ขังคุณให้อยู่แต่ในห้องหรอก คุณอยากไปไหนก็ไป แค่ไม่ออกไปจากที่นี่ก็พอ”

            “นั่นแหละที่ฉันอยากไป”

            “เด็กเอ๋ย...” หนุ่มหน้าเข้มมองเธอด้วยสายตาเจือความเยาะเย้ย “เกรงว่าคุณจะไปไหนไม่ได้จนกว่าผมจะกลับ เพราะถ้าผมกลับมาแล้วไม่เห็นคุณ...ไอ้พอลตายแน่!”

            ฉึก! รามปักมีดในมือลงบนเนื้ออบเป็นเชิงขู่ เช่นเดียวกับดวงตาคู่คมดุที่วาววับเอาเรื่องจนหญิงสาวหน้าเจื่อน แล้วรีบออกปาก

            “รู้แล้วๆ”

            “แล้วเจอกันตอนเย็น” รามยิ้มเล็กน้อย แต่สายตารู้ทันของเขาทำเอาสาวเจ้าไปไม่เป็น

            อนินทิตาทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รับปาก เธอรอจนรามออกไปแล้วจึงแลบลิ้นอย่างอาฆาต คิดว่าจะให้เธอรออยู่ที่นี่อย่างนั้นน่ะหรือ...ไม่เอาน่า

            แต่จะหนีตอนนี้เลยก็จะดูโง่ไปหน่อย เพราะตามหลักแล้วคนถูกจับตัวมามักจะหนีทันทีที่สบโอกาส และรามเองก็ไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย เขาต้องรู้ทันแน่ ถึงได้ออกปากว่าเธอจะไปไหนในบ้านนี้ก็ได้ ไม่มีการควบคุมเข้มงวด ไม่มีการกักขัง เขาจงใจใช้เกมจิตวิทยากับเธอชัดๆ แต่ก็ดี ถ้าตั้งใจเล่นมา เธอก็จะเล่นตอบเหมือนกัน

            สาวร่างเล็กคิดขณะกินมื้อเช้าต่อไปอย่างเงียบๆ รอจนกระทั่งกินหมดจึงเดินออกจากห้องอาหาร และพบพอลยืนรออยู่แล้ว

            “คุณรามให้ถามว่าคุณอยากได้อะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทั้งยังสวมสูทสีดำ ยืนกุมมือท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

            “อยู่บ้านคุณก็สวมสูทด้วยหรือ” เธอเลิกคิ้วเล็กน้อย มองชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าแล้วถามต่อ  “ตอนนอนนี่ต้องใส่สูทนอนด้วยไหม”

            เจอคำถามแบบนี้เข้าไป พอลก็ถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหว เขาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่หรอกครับ”

            “ฉันแค่ถามเพราะสงสัย ไม่ได้ตั้งใจจะกวนคุณเลยนะ ไม่ต้องหัวเราะขนาดนั้นก็ได้”

            “คุณเป็นคนแรกที่ถาม”

            “ก็แน่ละ” นักจิตวิทยาสาวยักไหล่ อย่างน้อยขั้นตอนการผูกมิตรก็ก้าวไปอีกก้าว “กระเป๋าฉันล่ะ”

            “ผมเอาไปไว้ในห้องให้แล้วครับ ทุกอย่างอยู่ครบ ยกเว้น...”

            “พาสปอร์ต กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ แมคบุ๊ก แล้วก็กล้องถ่ายรูปใช่ไหม” อนินทิตาดักคอ

            “ครับ”

            “ก็ยังดี” หญิงสาวยักไหล่แล้วเดินผ่านหน้าพอลไป

            “อยากได้อะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามขึ้น

            “ไม่ละ ถ้าอยากได้อะไรเดี๋ยวเดินลงมาบอกเอง”

            “หวังว่าจะไม่กระโดดระเบียงหนีนะครับ” หนุ่มผมทองเอ่ยดักคอ

            คนตั้งใจหนีหันกลับมามองค้อนชายหนุ่ม แต่พอเห็นประกายขบขันในดวงตาของเขาก็ยิ่งทำให้เธอสงสัยมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก ว่า สรุปแล้วเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนแรกก็ดูเหมือนเป็นบอดีการ์ดมาดขรึม สวมสูทสีดำ พกอาวุธพร้อมมือ แต่พออย่างนี้กลับดูขี้เล่น ทั้งยังเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่

            แปลก...แปลกมาก แปลกทั้งเจ้านายและลูกน้องนั่นแหละ

            แม้จะสงสัย แต่อนินทิตาก็ยังเก็บอาการไว้ ทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินกลับไปบนห้องนอนที่อยู่ชั้นสอง แต่ตั้งใจไว้ว่าได้ทีเมื่อไหร่...เธอไปแน่!

 

เพนต์เฮาส์แห่งนี้แบ่งเป็นสองส่วน โถงกลาง ห้องครัว ห้องอาหาร และสระว่ายน้ำอยู่ชั้นล่าง ชั้นสองที่มีแค่ครึ่งเดียวของเพนต์เฮาส์เป็นส่วนของห้องนอนสี่ห้อง และระเบียงมองลงมาเห็นโถงกลาง ความหรูหราของที่นี่ทำเอาอนินทิตายิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีกว่าจะเป็นของรามไปได้อย่างไร เมื่อมีความสงสัยเป็นแรงผลักดัน เธอจึงเดินสำรวจไปทั่ว เพราะถ้าที่นี่เป็นบ้านของรามจริงก็ต้องมีหลักฐานให้เห็นบ้าง

            เมื่อไม่มีคนคอยติดตามอย่างที่คิด นักจิตวิทยาสาวก็เดินไปทั่วบ้าน  เริ่มตั้งแต่ห้องนอนของรามที่ไม่ได้ล็อกไว้เช่นกัน และเมื่อเข้าไปก็พบว่าห้องนอนของเขาก็ตกแต่งเหมือนกับของเธอ ต่างกันตรงที่ห้องเขารกกว่าเล็กน้อย มีแลปทอปสองเครื่องวางอยู่ข้างกันโดยไม่กลัวผู้บุกรุกอย่างเธอเลยสักนิด

            นี่มันท้าทายกันชัดๆ

            แต่เพื่อให้มั่นใจว่าอยู่ๆ พอลจะไม่โผล่เข้ามาแล้วเอาไปรายงานเจ้านาย เธอจึงเดินไปที่หน้าห้อง มองให้แน่ใจอีกครั้งแล้วจึงล็อกประตู

            เสร็จละ!

            อนินทิตายิ้มเจ้าเล่ห์ กดเปิดแลปทอป แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงเสียงเตือนภัยจากแลปทอปของรามดังลั่นบ้าน ตามด้วยข้อความที่ปรากฏขึ้นที่หน้าจอว่า ‘หัวขโมย!’

            เสียงสัญญาณที่ดังต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุด อยู่ๆ หน้าจอที่ดับเมื่อครู่ก็ปรากฏรูปผีหน้าเละขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำเอาอนินทิตาผงะจนแทบตกเก้าอี้

            คุณพระคุณเจ้า...นี่มันกับดักชัดๆ

            หัวขโมยสาวพยายามปิดเครื่อง แต่ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะกดปิดหรือพับจอแลปทอปลงอย่างไรก็ไม่เป็นผล อีกไม่นานพอลต้องขึ้นมาบนนี้แน่ๆ

            “คุณอนินครับ” พอลตบประตูดังถี่ๆ

            อนินทิตากลอกตาเบื่อๆ ใจหนึ่งเธอก็อยากออกไปเปิดประตูให้เขาเข้ามาจัดการแลปทอปของราม แต่นั่นก็เท่ากับว่าเธอยอมรับว่ากำลังบุกรุก และพอลต้องฟ้องเจ้านายเขาแน่ๆ

            ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้มันดังอย่างนี้ต่อไปแล้วกัน...นักจิตวิทยาสาวคิดอย่างเซ็งๆ เปิดหน้าจอแลปทอปของรามขึ้นมาอีกครั้งแล้วนั่งเท้าคางมองผีหน้าเละที่ลอยไปลอยมาพร้อมกับก่นด่าเธอว่า ‘หัวขโมย’ ดูจากระบบการป้องกันผู้บุกรุกบ่งบอกว่ารามไม่ธรรมดา เป็นคนมีฝีมือหาตัวจับยากคนหนึ่งทีเดียว

            ดวงตากลมโตมองผีหน้าเละตัวนั้น ทว่าสมองกลับครุ่นคิดไปถึงเรื่องของราม เขาเป็นคนแปลกจริงๆ นั่นละ เธอนึกไปถึงคลิปสองคลิปของชายหน้ากากดำที่ถูกส่งเข้ามา แม้ไม่เห็นหน้า แต่เธอก็มั่นใจว่าต้องใช่รามแน่ๆ แต่ทำไมในคลิปแรกที่เขาส่งมาให้เธอ เขาอ้างว่าตัวเองคือแฟนทอม ส่วนอีกคลิปกลับบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงและมีข้อมูลของอาชญากรหน้ากากจะบอกเธอ แล้วอย่างนี้เรื่องไหนคือเรื่องจริง เรื่องไหนคือเรื่องหลอกกันแน่

            นักจิตวิทยาสาวคิดไม่ตก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว จนต้องละสายตาจากผีที่หน้าจอแลปทอปของรามแล้วสะบัดหน้าแรงๆ พร้อมๆ กับที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา

            “ช่วยจัดการสัญญาณบ้าๆ นี่ทีสิพอล” เจ้าของเสียงหวานบอกเบื่อๆ สายตายังจับจ้องที่ผีบ้านั่นจนไม่ได้หันไปมองชายร่างสูงโปร่งที่ก้าวเข้ามาตรงหน้า มือหนากร้านปิดหน้าจอฉับ ผิวสีแทนของเขาทำให้อนินทิตาคิดได้ว่านี่ไม่ใช่พอล พอลขาวออกจะตายไป แต่นี่...ราม!

            “เด็กไม่ดีริเป็นขโมยเรอะ” หนุ่มมาดเข้มยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงตรงหน้าอนินทิตา

            ท่าทางสบายๆ ไม่มีแววโกรธเกรี้ยวของเขายิ่งทำให้อนินทิตาได้แต่มองชายตรงหน้าอย่างระแวดระวัง เธอบุกรุกห้องเขาแท้ๆ เขาควรจะโกรธไม่ใช่หรือ แต่กลับมายิ้มใส่อย่างนี้ เธอไม่ไว้ใจเลยจริงๆ

            “ไหนว่ากลับตอนเย็นไง” นอกจากไม่ตอบแล้ว อนินทิตายังตั้งคำถามกับเขาต่อ

            “ก็...ยังไม่ทันออกไปไหนเลย เสียงสัญญาณเตือนก็ดังเสียก่อน” รามยกสมาร์ตโฟนที่สั่นน้อยๆ เพราะได้รับสัญญาณจากแลปทอปให้อนินทิตาดู

            สาวคนเก่งกลอกตา...นี่ขนาดไม่อยู่ยังแสนรู้ขนาดนี้ แล้วเธอจะหนีได้ง่ายๆ หรือ

            “ดูเหมือนระหว่างเรามีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันนะอนิน” รามบอกด้วยเสียงเข้มขึ้นแล้วโน้มตัวลงเล็กน้อย แต่ส่งผลให้สองร่างแนบชิดกันยิ่งขึ้น

            “อะ...อะไร” อนินทิตาผงะไปทันที ดีที่เก้าอี้มีพนักพิง ไม่อย่างนั้นเธอคงหงายหลังไปแล้ว

            “ผมให้อิสระคุณในบ้านเต็มที่ แต่ไม่ได้หมายความว่าแขกที่ได้รับเชิญมาในบ้านจะสามารถบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของบ้านได้”

            คิ้วเรียวขมวดมุ่น “คุณเชิญฉันหรือ...” อนินทิตาแค่นยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เอาน่าราม ที่คุณทำน่ะต่างจากการลักพาตัวแค่นิดเดียวเองนะ”

            “เหรอ” คนกะล่อนทำไม่รู้ไม่ชี้ “ถึงยังไงก็เถอะ คุณไม่ควรเข้ามาในห้องผม”

            “ไล่ ‘แขก’ คนนี้ออกจากบ้านก็ได้นะ” เธอเน้นคำแล้วคลี่ยิ้มหวาน แต่ดวงตาวาววับ...เอาสิ จะเล่นสงครามจิตวิทยากันก็มาเลย

            “เป็นแขกดีๆ ไม่ชอบ สงสัยต้องเลื่อนฐานะ”

            “ฐานะอะไร” สาวแสบตวัดเสียงถาม คราวนี้เธอไม่ตลกด้วยแล้ว

            “ให้เป็นแขกมาพักอาศัยดีๆ ไม่ชอบ...ก็ต้องเป็นเชลย”

            “ฉันทำอะไรผิดล่ะ” เชลยสาวย้อนถาม “ตอนเจอกัน ฉันช่วยชีวิตคุณ ให้คุณอยู่ในบ้านฉันเพียงเพื่อให้คุณหักหลังฉันและหลอกฉันมาขังไว้ที่นี่น่ะหรือ”

            “ผิดแล้วคนสวย” รามยิ้มอย่างผู้ชนะแล้วส่ายหน้าเบาๆ อย่างขันความไม่รู้ของเธอ “หนึ่ง...คุณไม่ได้ช่วยชีวิตผม เพราะผม ‘ทำ’ ทุกอย่างเอง”

            “คุณ!” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ที่เขาบาดเจ็บมานอนหน้าบ้านของเธอ...ที่แท้มันคือแผนการหรอกหรือ!

            “คุณนี่มัน...” เธอไม่รู้จะสรรหาคำใดๆ มาด่าเขาแล้ว และรามก็ขัดคอไว้ก่อน

            “อ๊ะๆ อย่าเพิ่งด่า” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มเหมือนหมาป่าแล้วโบกมือไปมาตรงหน้าหญิงสาว “ยังมีอีกเยอะ ฟังให้จบก่อนค่อยด่าทีเดียว”

            “ว่ามาสิ” อนินทิตาบอกเสียงลอดไรฟัน นัยน์ตาวาววับ พร้อมจะพุ่งไปบีบคอเขาตลอดเวลา

            “ผมแค่อยากรู้ว่าคุณทำงานให้ใคร”

            “เลยหลอกฉันใช่ไหม”

            “ไม่ได้หลอก” รามทำเสียงตำหนิ “เรียกว่าไม่บอกความจริงจะสุภาพกว่า”

            “คุณมันบ้า”

            “เพิ่งรู้เหรอ” คนบ้าหัวเราะชอบใจแล้วสาธยายต่อ “จริงๆ แล้วผมไม่ตั้งใจนะ แต่แหม...บังเอิญว่าคุณทำงานให้เป้าหมายของผมพอดีเลยเชียว”

            “คุณคือคนที่ส่งคลิปบอกว่าเป็นแฟนทอมให้ฉันใช่ไหม”

            “บิงโก!”

            “คุณรู้ใช่ไหมว่าแฟนทอมคือใคร” อนินทิตาถามตรงๆ อย่างไม่คิดสนใจไว้ท่าวางเชิงอีกแล้ว นาทีนี้สิ่งที่เธออยากรู้คือ ‘ความจริง’ ต่างหาก

            “รู้” รามยิ้ม แต่ตาไม่ยิ้มไปด้วย เขาจ้องมองสาวตรงหน้าแน่วแน่แล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ “ผมนี่แหละเดอะดาร์กแฟนทอม!”

            ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง...

            อนินทิตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเหลือเชื่อ เต็มไปด้วยความสับสน ยังไม่อยากเชื่อว่าเขาจะยอมรับง่ายๆ อย่างนี้ ทั้งที่ยังมีจุดต้องสงสัยมากมายไปหมด

            “คุณพูดจริงหรือ” สาวคนเก่งหลุบตาลงเล็กน้อย แล้วช้อนตาขึ้นมองเขาอีกครั้ง ก็พบว่ารามขยับเข้ามาใกล้มากแล้ว ทั้งยังยิ้มชั่วร้าย

            “ผมจะโกหกคุณทำไมล่ะ”

            “ฉัน...”

            “คุณรู้ความลับผมแล้ว ต่อไปนี้ผมคงปล่อยคุณไปไหนไม่ได้...น่าสงสารจริงๆ ที่ต่อให้คุณอยากหนีก็จะหนีไม่พ้น” 

            หนุ่มมาดเข้มแสร้งทำแววตาหม่นราวกับสงสารเธอเสียเต็มประดา แต่กลับยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปที่ประตู

            “รหัสปลดล็อกคือศูนย์สี่สามสามเจ็ดสองอาร์” ก่อนออกไปยังมิวายหันมาบอกแล้วยิ้มเย้ย “แต่ว่าในเครื่องมีแต่เกมนะ อินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง” พูดจบก็เดินออกไปทันที ทั้งยังปิดประตูให้อย่างมีมารยาท

            อนินทิตายังนั่งอึ้งเหมือนอย่างทุกครั้งที่คุยกับราม ผู้ชายคนนี้ทำให้เธออึ้งเสมอ เขาหลอกมาให้เธอรู้ความลับของเขาแล้วกักเธอไว้ที่นี่น่ะนะ...เพื่ออะไรล่ะ

            เรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าที่เห็นแน่!

            ปลายนิ้วเรียวยาวกดตามรหัสที่รามบอกเมื่อครู่เพื่อปลดล็อก จริงอย่างที่รามบอก เสียงสัญญาณเตือนเงียบไปทันที ผีหน้าเละก็หายไปด้วย และหน้าจอแลปทอปของรามก็มีแต่เกมเยอะแยะไปหมด ทั้งเกมยอดนิยมอย่าง Assassin เกมนักฆ่าแห่งภราดรภาพที่ต้องทำตามภารกิจ หรือจะเป็นเกมทหารอย่าง call of duty แต่ที่สะดุดตาอนินทิตาคงไม่แคล้วเกม Killer Kitty แค่ชื่อเกมก็แปลกแล้ว เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน ไหนจะไอคอนรูปคิตตี้ถือมีดนี่อีก จึงกดเข้าไปดู และพบว่าเป็นเกมที่รามสร้างขึ้นมาเอง ว่าด้วยเรื่องของนักฆ่าสวมชุดมาสคอตคิตตี้สีชมพูที่ไล่ฆ่าคนตามคำสั่งและหนีการตามล่าเข้าไปในเขาวงกต

            นี่มันจะประหลาดเกินไปแล้วนะ...

            อนินทิตาทำหน้าปั้นยาก เธอปิดเกมนักฆ่าสวมชุดคิตตี้ทิ้งทันที แล้วพยายามหาช่องทางต่ออินเทอร์เน็ต แต่ไม่เป็นผล เครื่องของรามล็อกทุกอย่างไว้ ให้เล่นได้แต่เกมเท่านั้น...แต่ใครเล่าจะอยากเล่นเกมเพี้ยนๆ นี่ สุดท้ายเธอก็ปิดแลปทอป แล้วเดินลงไปชั้นล่างแทน ขืนอยู่ตรงนี้ต่อไป เธอต้องเป็นบ้าแน่ๆ

            เชลยสาวตัดสินใจนั่งดูดีวีดีซีรีส์แก้เบื่อฆ่าเวลาไปพลางๆ ระหว่างคิดหาทางหนีทีไล่ ทั่วทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงระเบิดดังตูมตามจากซีรีส์ที่กำลังนอนดูอยู่เท่านั้น พอลก็ไม่รู้หายไปไหน จนอดไม่ได้ที่จะสอดส่ายสายตาไปทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบใคร และที่สำคัญ...เธออยากรู้เหลือเกินว่ารามไปไหนกันแน่

 

            ส่วนคนที่อนินทิตากำลังนึกถึง แท้จริงแล้ว...เขาไม่ได้ออกจากบ้านอย่างที่เข้าใจ

            เมื่อออกมาจากห้องของอนินทิตา ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็เคร่งขรึมลงทันทีเมื่อได้รับข่าวใหม่จากวูล์ฟ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดบอกเพื่อนๆ เลยว่าจะทำอะไรต่อไป ทว่ากลับมี ‘บางสิ่ง’ ที่ทำให้ผิดแผนไปหมด จนต้องให้วูล์ฟช่วย และมากบดานอยู่ที่เพนต์เฮาส์ส่วนตัวของเพื่อนสนิท

            ราม รามิเรซ นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานของวูล์ฟ ซึ่งมีเพียงเขาคนเดียวที่เข้านอกออกในได้ และตั้งค่าระบบป้องกันการ ‘สอดแนม’ ทั้งหมดทั้งจากศัตรูและจากเพื่อนของตัวเอง เขาเชื่อว่าไม่เชสก์ก็อัลเบอร์โต ใครคนใดคนหนึ่งต้องพยายามทำแน่ แต่สองพี่น้องนั่นจะไม่มีวันทำสำเร็จหากเขาไม่อนุญาต

            ปลายนิ้วกร้านของอดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มพรมไปบนคีย์บอร์ดอย่างคล่องแคล่ว เขาเปิดเข้าไปในบอร์ดแฮกเกอร์มือสมัครเล่นที่ชื่อว่า Hacker young blood ที่เขาเป็นคนสร้างไว้ตั้งแต่สมัยเรียน และใช้ล็อกอินว่า I’m No.4 ปัจจุบันกลายเป็นบอร์ดสาธารณะสำหรับแฮกเกอร์มือใหม่ที่มักมีเรื่องเกี่ยวกับไอทีมาแลกเปลี่ยนกันเสมอ โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนสร้างไว้

            แน่นอนว่าข่าวดังที่สุดของโลกในรอบสัปดาห์คือการปล้นขบวนเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาคดีอาชญากรหน้ากากดำ ไม่มีข่าวว่ามิโรสลาฟและเวสหายไปไหน ไม่มีข่าวของพวกนักฆ่าเงาออกมาเลย แต่รามค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเงาต้องเกี่ยวข้องกับ โรมัน วู้ด แน่ๆ เพราะโรมันทำทุกอย่างเพื่อช่วยพวกเงาออกมา...แต่ติดตรงที่เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร

            แม้จะอยู่ไกลกันเป็นครึ่งโลก แต่ยุคนี้เชื่อมต่อกันด้วยโครงข่ายอินเทอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์กเสมอ ต่อให้ตัวเขาจะอยู่ฮ่องกง แต่แค่มีแลปทอปที่ดัดแปลงมาเพื่อ ‘งาน’ โดยเฉพาะ ไม่ว่าอยู่ตรงไหนของมุมโลก รามก็เจาะข้อมูลที่ต้องการได้เสมอ

            คราวนี้ก็เช่นกัน...

            รามใช้โปรแกรมแฮ็กเข้าระบบกล้องทุกตัวบนโลกใบนี้ที่ ‘ขโมย’ ออกมาจากสำนักงาน ดัดแปลงเข้ากับระบบสแกนใบหน้าเทียบกับทะเบียนประวัติอาชญากร และตามหาตัวทั้งมิโรสลาฟและเวส หลังจากภารกิจปล้นตัวผู้ต้องหาผ่านไปทำให้รามมั่นใจในระดับหนึ่งว่าโรมัน วู้ด ต้องมีนอกมีในกับพวกเงาแน่ๆ เพียงแต่ยังหาหลักฐานความเชื่อมโยงไม่ได้ รามพยายามตามหาตัวพวกเงา เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ แต่ไม่เคยเจอตัว ทว่าอยู่ๆ โปรแกรมก็รันผลได้ว่าที่สุดท้ายที่เจอสองคนนั้นคือใกล้กับบ้านเก่าของเขาที่แมรีแลนด์...บ้านที่เขาแทบลืมไปแล้วว่าเคยอยู่ที่นั่น

            บ้านเก่าที่ซึ่งไม่เคยระบุไว้ในประวัติไม่ว่าจะของหน่วยงานใดๆ ก็ตาม...แต่พวกเงากลับสงสัยระแคะระคาย นั่นหมายความว่า...โรมัน วู้ด ยังไม่ไว้ใจเขา ทั้งที่แผนการก็ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงตัวโรมันได้สักที เพราะตอนนี้ก็ยังหาตัวโรมันไม่ได้ เขาถึงยังต้องทำตามคำสั่งอยู่อย่างนี้

            อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มรวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งให้สเปนเซอร์ที่เปรียบดังตัวช่วยที่เขามีในตอนนี้ เขาต้องการใครสักคนที่ไว้ใจได้ ซึ่งแม้แรกๆ จะยังกังขาเพราะนิสัยเงียบขรึมพูดน้อยของอีกฝ่าย แต่เพราะต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกัน เขาจึงไว้ใจให้สเปนเซอร์ไปติดตามร่องรอยของพวกเงา แต่กลับไปพบ ‘บางคน’ เข้าเสียก่อน

            “ฉันเจอตัวเด็กแล้ว” เสียงเข้มของหนุ่มพูดน้อยดังมาตามสาย “เมื่อสองวันก่อนฉันเจอเวสอยู่แถวๆ บ้านเก่านายด้วย เขาไปทุกที่ ทั้งโรงเรียนนาย แล้วก็ที่ทำงานเก่าแม่นาย”

            “ฉิบ!” รามสบถอย่างลืมตัว ด้วยไม่คิดมาก่อนว่าโรมันจะรู้เรื่องส่วนตัวที่ไม่เคยมีใครได้รู้แม้กระทั่งเพื่อนเหล่าแฟนทอมของเขา ถ้าอย่างนั้นทำสั่งแกมบังคับเรื่อง ‘ภารกิจ’ แลกกับการปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือคำขู่จริง โรมันรู้จักเขามากเกินไปแล้วจริงๆ

            “ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องของนายหรอกนะ แต่...ฉันมีลางสังหรณ์ไม่ดี” สเปนเซอร์เป็นอีกคนที่รู้เรื่องของราม แต่ที่รู้...เพราะรามยอมเปิดเผย และอีกอย่าง เขาสัมผัสได้ว่าสเปนเซอร์เองก็เป็นคนแบบเขา คนมีอดีต และผ่านอะไรมาเยอะพอกัน

            “ฉันจะติดต่อไปอีกที”

            “ราม” เสียงเข้มจากปลายสายเรียกไว้ก่อนที่รามจะตัดสายทิ้ง

            “อะไร”

            “เด็กคนนี้น่าสงสารมาก...และเหมือนนายมากกว่าที่นายคิดเสียอีก”

คำพูดของสเปนเซอร์ทำให้รามชะงักไปทันที

            ก่อนหน้านี้รามให้สเปนเซอร์แกะรอยเบาะแสของเวสและมิโรสลาฟเพราะมั่นใจว่าผู้ต้องหาหลบหนีทั้งสองคนต้องพยายามไปพบโรมันแน่ เขาจะได้ตามหาตัวโรมันเจอเสียที แต่ผิดคาด เมื่อสเปนเซอร์ตามรอยไปถึงบ้านเก่าของรามก็พบว่าเวสและมิโรสลาฟกำลังให้ความสนใจเด็กชายคนหนึ่ง สเปนเซอร์ตามสืบอยู่นานจึงได้รู้ความจริงว่าเด็กคนนั้นมีเชื้อสายเดียวกับราม!

            “ฟังอยู่หรือเปล่าราม” สเปนเซอร์ถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปนาน

            “ยังอยู่ๆ” นึกไปถึงตอนที่รู้เรื่อง รามทั้งช็อก ทั้งตั้งตัวไม่ติด เขาไม่เคยเห็นเด็กคนนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนั้นมีตัวตนอยู่บนโลก ทำเอาทำอะไรไม่ถูก อยากไปเจอด้วยตัวเองก็ไม่ได้เพราะลี้ภัยมาอยู่ฮ่องกงแล้ว

            “นายจะเอายังไงกับเด็กคนนี้ ให้ฉันเอาไปอยู่ด้วยไหม”

            “อย่าเพิ่ง” เพราะสเปนเซอร์กำลังเดินตามแผนการที่วางไว้ต่อ ถ้าเอาตัวเด็กไปตอนนี้ พวกเงาจับได้แน่นอน

            “แล้วจะเอายังไง”

            “ฉันจะส่งคนไปรับเด็กมาหาฉันเอง”

            “ไว้ใจได้ใช่ไหม”

            “ได้” เพื่อนคนเดียวที่เขากล้าพอที่จะบอกทุกอย่างคือ วูล์ฟ ยัง รามยิ้มเล็กน้อย จะได้ใช้งานเจ้าพ่อมาเฟียก็ตอนนี้เอง

            “แล้ว...อนินล่ะ”

            “เธอสบายดี แต่ยังหาทางหนีอยู่” รามยิ้มเล็กน้อยยามนึกถึงสาวแสบที่พยายามหาทางติดต่อโลกภายนอก ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็จะทำ

            “ดูแลเธอดีๆ”

            “แน่นอน ส่วนนาย...รีบทำตามที่เราตกลงกันได้แล้ว”

            “นายแน่ใจหรือราม” พอพูดถึงแผนการที่วางไว้ สเปนเซอร์ก็เคร่งเครียดจนรามจับกระแสความกังวลผ่านทางน้ำเสียงได้

            “แน่ใจ” อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มตอบชัดถ้อยชัดคำ เขาตัดสินใจดีแล้ว และจะไม่ถอยหลัง แม้จะเกิดเรื่องไม่คาดคิดมากมายก็ตาม

            สเปนเซอร์พยักหน้าแล้วตัดการติดต่อไป

            หลังวางสายจากสเปนเซอร์แล้ว รามก็พยายามติดต่อโรมันอีกครั้ง แต่ยังไม่เป็นผล โรมันยังคงเก็บสถานที่กบดานไว้เป็นความลับ หาตัวก็ไม่ได้ ไม่มีคำสั่งใหม่และยังไม่ยอมให้เขาไปหา ช่างเถอะ...เขาจะต้องควานหาตัวอดีตหัวหน้าผู้ลึกลับคนนี้ให้ได้

            รามยังคงนั่งอยู่ในห้องทำงานมืดๆ ของวูล์ฟต่อไปเงียบๆ เขาต้องการใช้สมาธิ และอีกอย่างก็เพื่อดึงตัวเองจากอดีตเลวทรามไม่น่าจดจำ ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ลืมความหลังดำมืดไว้เบื้องหลัง สวมหน้ากากคนประหลาดเจ้าเล่ห์คนเดิมก่อนออกไปสู่ภายนอก...

            ...ซุกซ่อนโลกลึกลับดำมืดไว้ให้ลึกที่สุดจนไม่มีใครหาเจอ...

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น