1

บทที่ 1


 

ห้าชั่วโมงก่อนหน้านั้น...

            นาฬิกาในห้องทำงานบอกเวลาเลิกงาน แต่หญิงสาวชาวเอเชียคนหนึ่งยังนั่งคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ คิ้วสวยขมวดมุ่น ดวงตากลมโตหลังเลนส์แว่นสายตาฉายแววมุ่งมั่น อย่างที่คนทั่วไปมองว่าเธอเป็นคนตั้งใจทำงานเป็นอย่างยิ่ง แต่ใครเลยจะรู้ว่า งาน ของเธอไม่เกี่ยวกับที่ตรงนี้เลยสักนิด

            หญิงสาวหรี่ตาลงนิดๆ จับจ้องที่หน้าจอแน่วแน่ นิ้วเรียวยาวพรมลงบนคีย์บอร์ดรัวเร็ว จนกระทั่งเสียงเรียกจากเพื่อนร่วมงานดังขึ้นจากทางด้านหลัง

            “ได้เวลาเลิกงานแล้วนะ ยังไม่กลับอีกหรือ”

            “ขอเวลาเดี๋ยว ฉันกำลังจะไป” เธอตอบทั้งที่ไม่มองหน้าคนถาม เพราะเอาแต่สนใจหน้าจอ

            “แต่สามีเธอมารอแล้วนะ”

            “จริงหรือ...” คราวนี้ได้ผล...สาวเอเชียร่างเล็กหันกลับมาในที่สุด

            “จริงสิ มารอเธอที่หน้าสำนักงานแล้ว”

            “ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้” หญิงสาวจำต้องปิดคอมพิวเตอร์และเก็บของลงกระเป๋าสะพาย การที่ สามีมารับถึงที่สำนักงาน นั่นหมายความว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่แน่นอน

            “เจอกันวันจันทร์จ้ะ” เจ้าของเสียงหวานหันไปบอกลาเพื่อนร่วมงานคนสวย แล้วจึงลุกขึ้นเก็บของออกจากที่ทำงาน

            “เอส!

สาวเอเชียร่างบอบบางสะดุ้งแล้วหันไปหาต้นเสียง “มีอะไรหรือเมย์” ศศินาคลี่ยิ้ม คนที่นี่มักเรียกเธอว่า ซีซีตลอดเพราะออกเสียงศศินาลำบาก ฟังทีไรนึกถึงสาวงามไซซีตามประวัติศาสตร์จีนทุกทีไป เธอไม่ชอบ จึงให้ทุกคนเรียกเธอว่า เอสแทน

            “เธอลืมของ” เมย์ชี้ไปยังถุงกระดาษใต้โต๊ะทำงานของศศินา

            “จริงด้วย...ขอบใจจ้ะเมย์”

            “เจอกันวันจันทร์จ้ะเอส”

            “แล้วเจอกัน” เธอยิ้มและโบกมือลาเพื่อนร่วมงานอีกครั้ง แล้วจึงเดินออกจากห้องทำงานที่อยู่บนชั้นเก้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย

 

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแลกส์สีดำรออยู่ที่หน้าตึกแล้ว เขาสวมแว่นสายตาเสริมบุคลิกให้น่าเชื่อถือ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายไว้หนวดเคราจางๆ ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้ดูน่าค้นหากว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก

            ศศินาจำวันแรกที่เขามาส่งเธอที่สำนักงานได้ สาวๆ ที่ทำงานที่นี่ให้ความสนใจเขามาก ทั้งยังบอกว่าอิจฉาที่เธอมีสามีหน้าตาดี ดูสุภาพและเซ็กซี่ได้ในเวลาเดียวกัน ยิ่งมองยิ่งน่าค้นหา แต่ไม่เลย...เธอไม่เคยคิดแบบนั้นสักครั้งเมื่ออยู่ด้วยกัน

            ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาแล้วโอบเอวเธอไว้อย่างรวดเร็วพร้อมกับก้มลงมากระซิบถาม “เรียบร้อยไหม”

            “ค่ะ” ศศินาพยักหน้าเบาๆ

เขาจูบลงกลางเรือนผมนุ่ม จากนั้นจึงเดินโอบเอวหญิงสาวกลับไปยังรถที่จอดอยู่อีกฝั่ง เป็นภาพที่หวานชื่นสำหรับคนนอก แต่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงในความรู้สึกของศศินา เธอทั้งเกลียด ทั้งกลัว และขยะแขยงเหลือจะกล่าว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อเขามีคนที่เธอรักที่สุดในชีวิตอยู่ในกำมือ

            “ปล่อยฉันได้แล้ว” ศศินาบอกเสียงลอดไรฟัน พยายามเบี่ยงตัวให้พ้นจากชายหนุ่ม แต่เขากลับกอดเอวเธอไว้แน่น แล้วกระซิบเสียงดุ

            “เธอไม่อยากเจอลูกแล้วหรือ”

            “อย่าได้เอาอเล็กซ์มาขู่ฉันนะอับราฮัม” คนถูกขู่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้อาละวาดใส่เขา ไม่อย่างนั้น ลูก ของเธอจะต้องตกอยู่ในอันตราย

            อับราฮัมแสยะยิ้ม ไม่สนใจเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของหญิงสาวที่พยายามขัดขืน และพาเธอไปขึ้นรถได้ในที่สุด

            “ลูกฉันอยู่ที่ไหน” ศศินาถามทันทีที่ขึ้นมานั่งในรถ เธอต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดอดทนไม่ให้ทำร้ายชายตรงหน้าทั้งที่อยากฆ่าเขาที่สุด

            “ฉันจะบอกเมื่อเธอทำงานให้ฉันอีกชิ้น...และต้องสำเร็จ”

            “ฉันไม่ทำอะไรอีกแล้ว ถ้าคุณไม่บอก...ฉันจะแจ้งความ”

            “เธอไม่ทำหรอก” เมื่ออยู่กันตามลำพัง ชายหนุ่มก็ถอดแว่นสายตาออกเพราะไม่จำเป็นต้องสร้างภาพใดๆ อีก จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นแว่นกันแดดสีดำ ปกปิดสายตาชั่วร้ายของตัวเอง

            “ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่”

            “ใครว่าล่ะ...” เขาแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ “อย่าลืมสิว่าเธอน่ะขี่หลังเสือตัวเดียวกับฉันแล้ว เธอลงมาไม่ได้หรอก ถ้าเธอตายหรือถูกจับ...แล้วเด็กล่ะ”

            คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวชะงัก คำว่า ลูกระงับเพลิงอารมณ์ที่โหมกระหน่ำอย่างได้ผล เธอพยักหน้ายอมจำนน

            “ขอฉันคุยกับอเล็กซ์ก่อน”

            “ได้สิ” เขาต่อโทรศัพท์หาลูกชายของเธอพร้อมทั้งเปิดวิดีโอให้แม่ลูกได้คุยกัน

หญิงสาวเอื้อมมือหมายจะคว้าโทรศัพท์จากเขา แต่เขาก็เอาหนีไปเสียก่อน ทั้งยังมองด้วยสายตาดุๆ บังคับให้เธอทำตามที่เขาต้องการโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง

            “มามี้!

            เสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจของเด็กชายอายุสี่ขวบผิวขาวแก้มยุ้ยดังขึ้น ทั้งยังกำลังส่งยิ้มผ่านวิดีโอคอลมาให้ ทำให้ศศินาเม้มปากแน่น เก็บความโกรธเกลียดชิงชังที่มีต่อผู้ชายตรงหน้า แล้วยิ้มให้เด็กชาย

            “อเล็กซ์...”

            “มามี้ไปทำงานเมื่อไหร่จะกลับ”

คำถามของลูกทำเอาคนเป็นแม่เงยหน้ามองชายหนุ่มที่กำลังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์น่าเกลียดมาให้อีกแล้ว จึงจำต้องโกหกต่อไป

            “แม่มาทำงาน อีกเดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว อเล็กซ์เป็นเด็กดีนะลูก”

            “ผมรอที่บ้านนะฮะมามี้” เด็กชายยิ้มกว้าง พยักหน้าแข็งขันแล้วส่งจูบให้ “ผมต้องขึ้นรถแล้วฮะมามี้”

            “แล้วเจอกันตอนแม่กลับบ้านนะลูก”

            “รักมามี้ฮะ”

            “แม่ก็รักลูก” คุณแม่ยังสาวกดวางสาย ส่งโทรศัพท์คืนให้ชายหนุ่มแล้วมองออกไปนอกรถ เห็นรถโรงเรียนสีเหลืองจอดอยู่ไม่ไกล เด็กๆ หลายคนขึ้นรถเตรียมกลับบ้าน เห็นแล้วก็อดคิดถึงลูกชายไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้อเล็กซานโดรจะเป็นอย่างไรบ้าง อยู่สุขสบายดีหรือว่าถูกคนของอับราฮัมรังแกหรือไม่ แล้วจะไม่ให้เธอเป็นกังวลได้อย่างไร

            “เธอจะได้เจอลูกก็ต่อเมื่อทำงานให้ฉันให้เสร็จ” เสียงเข้มสำทับ

หญิงสาวหันกลับมาหาแล้วขมวดคิ้วทันทีพลางถามต่อไปว่า

            “จะให้ฉันทำอะไร” ศศินาทำเสียงแข็ง ลำคอตั้งตรงอย่างคนถือดี

            “นี่งานเธอ” เขาบอกแล้วส่งแฟลชไดรฟ์มาให้

ศศินารับมาไว้ในมือแล้วพลิกดู ในขณะที่เขาพูดต่อไปว่า

“และนี่ตั๋วเที่ยวบินไปนิวยอร์กพร้อมกุญแจที่พักและเอกสารเข้าทำงานของเธอ...ทั้งหมดถูกทำขึ้นมาใหม่”

            “คุณจะให้ฉันไปทำอะไร”

            “ฉันจะสั่งเธออีกที”

            “แต่ลูก...”

            “ฉันจะดูแลให้...อย่าลืมสิว่านี่ลูกฉัน ใช่ลูกเธอคนเดียวเสียเมื่อไหร่” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่เธอเกลียดที่สุด เกลียดจนไม่อาจทนมองได้ด้วยซ้ำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

            “คุณจะให้ฉันไปทำงานที่ไหน”

            “เปิดดูสิ”

            ศศินาไม่ไว้ใจคนตรงหน้าเลยสักนิด แต่ก็เปิดซองเอกสารทำงานแต่โดยดี ดวงตากลมโตกวาดมองชื่อสถานที่ทำงานอย่างรวดเร็ว ทำเอาหญิงสาวใจหายวาบ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาตื่นตระหนก

            “คุณจะให้ฉันไปทำงานที่อะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์หรือ!

            หญิงสาวเม้มปาก หัวใจหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินก้อนมหึมาถ่วงไว้ ใจเธอไม่อยากไปที่นั่น แต่ไม่มีทางเลือกใดๆ ให้เธอเลย สุดท้ายศศินาก็ต้องเก็บกระเป๋าและเดินทางไปนิวยอร์กตามคำสั่งที่ได้รับมา เพื่อแลกกับอิสรภาพของตัวเองและลูกชายผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกคน

 

หลังจากเหตุการณ์มีผู้บุกรุกระบบคอมพิวเตอร์เมนเฟรมของอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ผ่านมาห้าวันแล้ว แต่ยังหาตัวการไม่ได้ ทำให้ชายหนุ่มหวนคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อเกือบหกปีก่อน เมื่อคราวที่บริษัทคู่แข่งส่งคนเข้ามาทำงานในอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ แต่สุดท้ายเธอคนนั้นก็เป็นนักจารกรรมข้อมูลฝีมือร้ายกาจพอตัว หรือว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้งเสียแล้ว

            “เชสก์” เสียงหวานทว่าหนักแน่นบ่งบอกถึงความเข้มแข็งของคนพูดดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากแลปทอปของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

            “ว่าไงยูริ”

            ผู้มาเยือนคือหญิงสาวชาวเอเชียคนหนึ่ง ใบหน้าเล็กหวานละมุน ทว่าดวงตาฉายแววหนักแน่นมั่นใจ เธอคือ มยุรฉัตร ยามากูชิ อดีตนักจารกรรมสาวที่เคยบุกเข้าถึงห้องเมนเฟรมของเชสก์มาแล้ว จับพลัดจับผลูมาทำงานให้เอฟบีไอและลงเอยกับ ไทร์ ธีรวัฒน์ แมคอีเซอร์ เพื่อนและญาติสนิทของเชสก์ และทุกวันนี้เธอก็เป็นพนักงานของอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ด้วย

            “ฉันเอางานชิ้นสุดท้ายมาส่งค่ะ” อดีตนักจารกรรมสาวนั่งลงตรงข้ามกับเชสก์ แล้วส่งไดรฟ์บรรจุงานชิ้นสุดท้ายให้เจ้านาย

            “ผมเสียใจนะยูริ” หนุ่มหน้าคมแสร้งทำเสียงเศร้าแล้วพูดต่อไปว่า “ไอ้ไทร์ย้าย คุณก็ย้ายตามมันไปอีก ผมจะหาพนักงานเก่งๆ อย่างคุณได้ที่ไหนล่ะ”

            “มีรอสมัครเยอะแยะไปค่ะ” หญิงสาวยิ้มเย็น ดวงตาคู่หวานจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างทะลุปรุโปร่ง “คุณไม่ได้เสียดายขนาดนั้นหรอกค่ะเชสก์ ปากบอกว่าเสียดาย แต่สายตาคุณมันแสดงถึงความโล่งใจ...ฉันพูดถูกไหมคะ”

            เชสก์ไม่ตอบ เขายิ้มมุมปาก ดวงตาพราวระยับ

            “งานที่คุณสั่งน่ะสำเร็จแล้ว แต่เชสก์คะ...ฉันอยากจะเตือนคุณในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง สิ่งที่คุณทำ...สักวันมันจะย้อนกลับมาเล่นงานคุณเอง”

            “ผมทำอะไร” คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมเลิกขึ้นเล็กน้อย ราวกับท้าให้อีกฝ่ายพูดออกมา

            “คุณรู้ดีแก่ใจค่ะเชสก์”

            “ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” เชสก์ยักไหล่ เอนตัวพิงพนักพิงสบายๆ สีหน้าไม่ทุกข์ร้อนแม้จะถูกตาคมกริบของอดีตนักจารกรรมสาวจับจ้องตลอดเวลา

            เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด คนอย่างเจ้านายเธอน่ะหรือจะยอมรับง่ายๆ  มยุรฉัตรคลี่ยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา “คุณปิดฉันไม่ได้หรอกค่ะเชสก์ อย่าลืมสิว่าฉันเคยเป็นใครและเคยทำอะไรมาบ้าง ฉันจะไม่สนเลยถ้าหากคุณไม่ใช่ เชสก์ อะลอนโซ เพื่อนของไทร์ ญาติสนิทของบ้านแมคอีเซอร์ และเป็นพี่ชายแท้ๆ ของแบลร์ ถ้าหากว่านอร์ดรู้...”

            “หยุดเถอะยูริ ผมไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” คำปฏิเสธของเขาทำให้หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าเบาๆ

            “เอาเถอะค่ะ ถือว่าฉันเตือนคุณแล้ว” มยุรฉัตรลุกขึ้น ยิ้มให้เชสก์เล็กน้อยแล้วเดินออกไป แต่เจ้าของห้องรั้งไว้เสียก่อน

            “คุณจะบอกไทร์หรือเปล่ายูริ”

            คนถูกถามยิ้มมุมปาก แต่ไม่ยอมหันกลับไปหาเจ้านาย “ฉันไม่บอกหรอกค่ะ แต่ถ้าเขาจะรู้เอง...นั่นก็ปัญหาของคุณ ในเมื่อคุณตัดสินใจทำ...คุณก็ต้องรับผลที่จะตามมา”

            “คุณได้ข่าวผักหวานบ้างไหมยูริ”

            คำถามง่ายๆ ของเจ้านายทำให้อดีตนักจารกรรมสาวชะงัก รู้ดีแก่ใจว่าเจ้านายของเขาตามหาสาวรุ่นน้องที่เธอรักปานน้องสาวแท้ๆ มาตลอดหลายปีมานี้ และสิ่งที่เขาทำ...ก็เพื่อสิ่งนี้ทั้งนั้น

            มยุรฉัตรหันกลับมาสบตาเจ้านายพร้อมกับส่งยิ้มเย็นชา แล้วตอบว่า “ผักหวานหายสาบสูญไปตั้งแต่ห้าปีก่อน จำไม่ได้หรือคะ”

            “ผมไม่เชื่อว่าคุณจะไม่รู้”

            “ก็แล้วแต่คุณสิคะ” มยุรฉัตรยิ้มส่งท้ายอีกครั้ง และก้าวเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย เธอคงเดินทางออกจากนิวยอร์กย้ายไปอยู่ลอสแอนเจลิสกับ ธีรวัฒน์ แมคอีเซอร์ ผู้เป็นสามีที่ย้ายไปสำนักงานของเอฟบีไอที่นั่น ความลับของเขา...จะยังเป็นความลับต่อไป

            มยุรฉัตรออกไปแล้วนานแล้ว เชสก์จึงเบนสายตากลับมาที่ไดรฟ์งานชิ้นสุดท้ายของอดีตนักจารกรรมสาวบนโต๊ะทำงานของตัวเอง ใจก็คิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน หลังจากที่มยุรฉัตรผันตัวไปทำงานให้เอฟบีไอ และเขาก็รับเธอเข้ามาทำงานในอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์แห่งนี้ เขาก็พยายามตามหาหญิงสาวคนหนึ่งมาโดยตลอด

            เชสก์ยอมรับว่าเสียหน้าทุกครั้งที่โดนเพื่อนล้อเลียนเรื่องกินเด็ก...เป็นเรื่องบังเอิญที่ได้พบกันตั้งแต่เธออายุแค่สิบเจ็ด เด็กสาวคนนั้นเป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือมยุรฉัตรตอนที่เธอจารกรรมข้อมูลลับของอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์แล้วหนีจากการจับกุมไปกบดานอยู่ในเมืองไทย เชสก์ตาม ธีรวัฒน์ แมคอีเซอร์ ไปทีหลังจึงไม่รู้เรื่องอะไร คิดว่าสุคนธวาหรือ ผักหวานเป็นโจรน้อยร่วมก๊วนกับมยุรฉัตร ผลคือเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ถูกเข้าใจผิดว่า พรากผู้เยาว์จนกระทั่งจบเรื่องราวยุ่งๆ เขาและเธอจึงได้รู้จักและสานสัมพันธ์กันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

            แต่ใครจะคิดว่าซีอีโอหนุ่มเจ้าของกิจการใหญ่โตระดับโลกจะถูกเด็กสาวอายุแค่สิบแปดทิ้ง ทั้งยังหายไปจากชีวิตเขาราวกับไม่เคยมีตัวตน

            เชสก์ปล่อยให้เรื่องผ่านไปอีกหลายปี จนกระทั่งได้รับ งานชิ้นใหม่เขาจึงลองค้นหาเธออีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามตามหา ส่งคนของเขาไปถึงที่บ้านของเธอ แต่ไม่มีแล้ว ไม่มีคนชื่อสุคนธวาอีกต่อไป

            ถ้างานชิ้นสุดท้ายจากสุดยอดอดีตนักจารกรรมของมยุรฉัตรจะทำให้เขาหาตัวเด็กคนนั้นเจอ มันก็น่าลอง...

            ชายหนุ่มตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงสั่งงานผ่านระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ ผลงานการผลิตจากบริษัทผลิตอาวุธสงครามของพี่ชาย

            “นานา...สั่งล็อกชั้นของฉัน อย่าให้ใครมารบกวน ยกเว้นเดรโก” เชสก์หมายถึงคนสนิทที่เป็นทั้งผู้ช่วยและเป็นบอดีการ์ดของเขา

            รับทราบค่ะคุณอะลอนโซระบบปฏิบัติการที่ชื่อนานาตอบ

            เชสก์เชื่อมต่อไดรฟ์เข้ากับระบบปฏิบัติการ รอเพียงไม่นาน งาน ที่เขาต้องการก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ยอมรับเลยว่าแม้มยุรฉัตรจะวางมือจากงานจารกรรมและวงการอาชญากรไปนานแล้ว แต่ฝีมือของเธอไม่มีตกเลยจริงๆ

            หนุ่มหน้าเข้มยิ้มมุมปาก พรมปลายนิ้วลงบนคีย์บอร์ดสั่งการให้ระบบปฏิบัติการนานาทำตามคำสั่งที่ต้องการ จริงอยู่ที่ปกติจะสั่งการผ่านเสียงได้ แต่สิ่งที่เขาต้องการคราวนี้คือ ความลับที่ไม่ควรมีใครรู้ และรอคอยว่าระบบปฏิบัติการจะประมวลผลเสร็จเมื่อไร

            เดรโกขอพบค่ะคุณอะลอนโซเสียงไร้ตัวตนของระบบปฏิบัติการสุดอัจฉริยะดังเตือนขึ้นอีกครั้ง

            “ให้เข้ามาได้เลยนานา”

            ปิดหน้าจอด้วยหรือไม่คะ

            “ไม่ต้อง...เปิดระบบป้องกันข้อมูลก็พอ”

            รับทราบ

            เชสก์สั่งการผ่านคำสั่งเสียงทั้งหมด ซึ่งระบบปฏิบัติการของเขาก็ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม และเปิดประตูให้เดรโกเข้ามา

            “ว่าไงเดรโก”

            “ที่คุณเชสก์ให้ตรวจสอบข้อมูลพนักงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ผมเจอน่าสงสัยอยู่หนึ่งคนครับ”

            “ใคร” คิ้วเข้มขมวดเป็นปมทันที ปกติแล้วเชสก์ไม่สนใจเรื่องรับพนักงานสักเท่าไรเพราะมีฝ่ายบุคคลทำอยู่แล้ว แต่ก็คอยตรวจสอบบ้าง ซึ่งปกติก็ไม่มีใครน่าสงสัย

            “ชื่อ อนินทิตา โรซาเลส ครับ” บอดีการ์ดหนุ่มหน้าเข้มตอบแล้วส่งประวัติของพนักงานคนใหม่ให้เจ้านายผ่านระบบปฏิบัติการนานาให้แสดงผลขึ้นหน้าจอ ก็ปรากฏภาพของผู้หญิงสวยคมคนหนึ่งพร้อมประวัติคร่าวๆ ของเธอ

            “เพิ่งเข้ามาทำงานก่อนเกิดเรื่องได้แค่วันเดียวหรือ” เชสก์กวาดสายตาอ่านข้อความที่ปรากฏ ยอมรับว่าน่าสงสัย คลับคล้ายคลับคลากับเมื่อหกปีก่อนตอนที่มยุรฉัตรเข้ามาทำงานบังหน้า แต่สุดท้ายก็เพื่อจารกรรมข้อมูลงานของเขาตามใบสั่งของศัตรู

            “ครับ แต่ตอนนี้เธอก็ยังอยู่นะครับ”

            “แล้วอีกคนล่ะ”

            “ชื่อ ศศินา สไนเดอร์...แผนกบุคคลเพิ่งตกลงรับเข้ามาทำงานครับ สัปดาห์หน้าเธอถึงจะเริ่มงาน”

            “นามสกุลอะไรนะ” นามสกุลนั้นทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เพราะใกล้เคียงกับศัตรูทีเดียว แต่บางทีอาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ ในเมื่อคนนามสกุลซ้ำกันออกเกลื่อนถนน

            “เธอเข้ามาทำงานแผนกคอมพิวเตอร์ครับ” เดรโกรายงานด้วยตนเอง แม้จะมีประวัติปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ตาม

            “ถ้าเข้ามาแล้วจับตาดูไว้”

            “แล้วมิสโรซาเลสล่ะครับ”

            “ปล่อยไปก่อน เดี๋ยวให้นานาตรวจสอบ”

            “ครับ” บอดีการ์ดหนุ่มพยักหน้าแล้วล่าถอยออกไป ให้เจ้านายได้ทำงานตามลำพัง

 

การที่มีคนนามสกุล สไนเดอร์มาโผล่ที่ทำงานของเขาในช่วงที่มีผู้บุกรุกเข้ามาในคอมพิวเตอร์เมนเฟรม ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ศัตรูรายล่าสุดของพวกเขาก็คือ เวส สไนเดอร์ อดีตตำรวจสากลที่หนีรอดจากมือ วูล์ฟ ยัง เพื่อนสนิทของเขาที่เป็นเจ้าพ่อกาสิโนในฮ่องกงและมาเก๊าไปได้ ตอนนี้ยังตามตัวไม่เจอ ไหนจะพวก เงาองค์กรลึกลับที่ตามพวกเขาไม่เลิกรา ถ้าเขาเดาไม่ผิด...พวกมันต้องหาทางเล่นงานพวกเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน

            หรือว่ามันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...

            เชสก์ลูบปลายคางครุ่นคิด ตอนนี้วูล์ฟย้ายออกจากฮ่องกงมาอยู่บ้านที่เคย์แมนแล้ว เพื่อจัดการกลบร่องรอยเส้นทางการเงินของพวกเขาไม่ให้ใครจับได้ ส่วนราม...ดวงตาคู่คมดุเหลือบมองปฏิทิน แล้วก็คิดขึ้นได้ว่ารามจะมาถึงแมนฮัตตันวันนี้ไม่ใช่หรือ

            “ต่อสายหารามด้วยนานา”

            รับทราบค่ะคุณอะลอนโซระบบปฏิบัติการตอบ แต่กลับไม่ต่อสายหารามตามที่สั่งเสียที จนกระทั่งเชสก์เริ่มเฉลียวใจ

            “นานา” ดวงตาคู่คมหรี่ลงนิดๆ ด้วยความสงสัย ตั้งแต่ทำงานมา ไม่เคยเลยสักครั้งที่ระบบปฏิบัติการนานาจะไม่ตอบสนอง

            ชายหนุ่มหันความสนใจมาที่คอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้วลองกดรีบูตระบบอีกครั้ง ทว่า...ตายสนิท! เรียกว่าดับทั้งระบบปฏิบัติการและคอมพิวเตอร์ของตัวเอง

            “ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!” เชสก์สบถเสียงเข้มแล้วลุกขึ้น แต่ช้ากว่า ผู้บุกรุก ที่เข้ามาถึงห้องทำงาน

            นักธุรกิจหนุ่มเปิดลิ้นชัก คว้าปืนและปลดเซฟพร้อมกับเล็งไปตรงหน้าอย่างรวดเร็ว จนไม่น่าเชื่อว่าซีอีโอเจ้าของธุรกิจระดับโลกที่มีบอดีการ์ดตามเป็นพรวนอย่างเขาจะทำได้

            “สวัสดีคุณอะลอนโซ” เสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้นก่อนที่จะเห็นตัว เพราะผู้บุกรุกยังหลบอยู่ในเงาของความมืดที่หน้าประตู แต่กระนั้นเชสก์ก็จำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร

            ราม รามิเรซ นั่นเอง!

            “ทำไมมาไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนวะ” เจ้าถิ่นสบถ ขึ้นเซฟปืนและเก็บลงลิ้นชักโต๊ะทำงานตามเดิม

            “บอกก่อนจะได้เห็นบทบู๊ของนายเรอะ” หนุ่มลูกครึ่งหน้าคมเดินออกมาจากมุมมืด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์และสายตาวาววับหลังเลนส์แว่นสายตาคู่นั้นทำเอาคนมองเริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาทันที

            “มาถึงนานหรือยัง”

            “ตั้งแต่เมื่อวาน” รามตอบ ใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นให้เข้าที่ แล้วเดินมานั่งลงตรงหน้าเจ้าถิ่น

            “แสดงว่ามีที่พักแล้ว”

            “ไม่มี เมื่อคืนนอนแถวๆ ซับเวย์ วันนี้เลยว่าจะมาขออาศัยนายนี่ไง ก็บอกแล้วว่าค่าเช่าอะพาร์ตเมนต์ในแมนฮัตตันนี่โคตรแพง อยู่กับนายสบายกว่า เงินไม่เสียสักเซนต์เดียว”

            คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองข้ามไหล่หนุ่มแว่นจอมกวนไปด้านหลัง แล้วก็หัวเราะหึๆ เมื่อไม่เห็นกระเป๋าสัมภาระเลยสักนิด มีก็แต่กระเป๋าคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่ติดตัวไว้เสมอ

            “ว่าแต่ระบบปฏิบัติการของนายนี่ห่วยกว่าสกายของไอ้อัลเสียอีก แค่ส่งสัญญาณรบกวนนิดเดียวก็เจ๊งแล้ว”

            “เลิกแขวะฉันแล้วบอกธุระมา”

            “จะรีบไล่ฉันไปไหนวะ” รามทำเสียงขัดใจแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่อยากรู้เรื่อง เวส สไนเดอร์ เหรอ”

            ชื่อศัตรูของวูล์ฟทำให้เชสก์ฉุกคิดเรื่องของ ศศินา สไนเดอร์และ Mr. S ขึ้นมาได้ เขาว่าจะปรึกษารามเรื่องนี้พอดี

            “ถ้าอย่างนั้นออกไปข้างนอกกัน” ประกายตาของเชสก์วาววับ

            รามกระตุกยิ้มมุมปาก เห็นสายตาท่าทางของเชสก์ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้แค่ชวนออกไปข้างนอกอย่างเดียวแน่ จึงตอบยียวนกวนประสาท “นายจะชวนฉันไปเดตเรอะ”

            “ตายไปซะไอ้ราม” เชสก์หัวเราะหึๆ แล้วรีบูตระบบปฏิบัติการนานาเสียใหม่ รอจนพร้อมใช้งานแล้วจึงลุกขึ้น เดินนำรามออกมานอกห้องทำงาน ก็เห็นเดรโกลุกขึ้นเตรียมพร้อมทันที แต่เชสก์ห้ามไว้เสียก่อน

            “ไม่ต้องตาม” เขาบอกเสียงเรียบ

            “แต่ว่า...”

            “ไม่มีอะไรหรอก ฉันมีเรื่องหารือกับเพื่อนไม่นาน”

            “ครับ” เดรโกจำต้องรับคำและถอยไปตามคำสั่งของเจ้านาย

            “นั่นบอดีการ์ดหรือเมียนายกันแน่วะเชสก์ ยังกะตามติดชีวิตเซเลบดังเชียว” หนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-อินเดียหัวเราะเบาๆ ทั้งอัลเบอร์โต วูล์ฟ และเชสก์ล้วนมีบอดีการ์ดกันทุกคน แต่ละคนก็ตามติดยิ่งกว่าเงาตามตัว

            เชสก์ไม่ตอบ ได้แต่หันไปมองเพื่อนด้วยสายตาดุๆ แล้วเดินนำออกจากตึกสำนักงานอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ที่อยู่กลางย่านมิดทาวน์

 

เชสก์และรามเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากกว่าที่จะใช้รถส่วนตัว เพราะในช่วงเวลาเลิกงานผู้คนออกจากที่ทำงานมุ่งสู่ที่พักหรือสถานที่นัดหมายเช่นนี้ การใช้รถส่วนตัวจะยิ่งเพิ่มความแออัดให้การจราจรมากขึ้นไปอีก และอีกอย่างเชสก์ก็ไม่ต้องการเป็นจุดสนใจด้วย

            สองหนุ่มแต่งกายต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งสวมสูทผูกไทเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ส่วนอีกคนแต่งกายสบายๆ ด้วยเสื้อยืดแบบมีฮูดคลุมสีดำ กางเกงยีนสีซีด และรองเท้าผ้าใบเก่าๆ เดินปะปนกับฝูงชนลงไปยังซับเวย์สถานีที่ใกล้ที่สุด

            “มีคนตามเรามา” รามกระซิบพอให้ได้ยินแค่สองคน สีหน้ายิ้มแย้มปกติไม่ให้ใครจับสังเกตได้

            เชสก์พยักหน้าเบาๆ รู้สึกตั้งแต่ออกจากอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์แล้ว แต่ไม่แสดงอาการและยังไม่หันไปมองให้คนตามรู้ตัว

            สองหนุ่มออกจากรถไฟใต้ดินเมื่อมาถึงสถานีในย่านไชนาทาวน์ เป็นจังหวะให้มีโอกาสหันไปมอง คนตาม

            “สี่นาฬิกา” เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มกระซิบบอกอีกครั้ง

            เชสก์มีโอกาสหันไปมองผู้ติดตาม ก็พบว่าเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงเพรียวคนหนึ่ง หน้าตาสะสวยทีเดียว ใบหน้าเรียว คิ้วเข้ม ตาคม แต่งกายคล้ายสาวออฟฟิศทั่วไป เขารู้สึกว่าหน้าตาของเธอคุ้นมาก แต่ไม่มีเวลาพิจารณาเพราะต้องรีบเบนสายตาออกมาก่อน และเธอคนนั้นก็เบือนหน้าไปอีกทางพอดี

            สองหนุ่มเก็บความสงสัยไว้ แล้วออกจากสถานีตรงไปยังร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง

            “มื้อนี้นายเลี้ยงนะ” รามรีบออกตัว “เจ้าหน้าที่อย่างฉันเงินเดือนไม่พอกินด้วยซ้ำ”

            “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ” เชสก์ปรายตามองรามด้วยสายตารำคาญนิดๆ เพราะความไร้สาระเสมอต้นเสมอปลายของเพื่อน แล้วหันไปสั่งอาหาร ระหว่างนั้นสายตาก็ปะทะเข้ากับหญิงสาวร่างสูงเพรียวปานนางงามคนเดิมที่ตามมาตั้งแต่ออกจากอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ เธอนั่งหันหน้ามาทางพวกเขา พอเขามองเห็นเธอ เธอก็ยิ้มน้อยๆ แล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ

            “นายกำลังทำอะไรอยู่...” หนุ่มแว่นเข้าเรื่องทันที แต่ถูกสายตาคมดุของเชสก์ห้ามไว้เสียก่อน

            “เธอยังอยู่”

            “ใครวะ” รามถอดแว่นแล้วขยี้ตา เช็ดเลนส์แว่นจนสะอาดใสแล้วสวมแว่นกลับเข้าไปอีกครั้ง แต่ก็ยังเห็นหน้าสาวคนนั้นไม่ชัดอยู่ดี กระนั้นก็เถอะ เห็นแค่เสี้ยวหน้ายังรู้ว่า สวยมาก

            “อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้”

            “ในเมื่อเธอตามมาอย่างจงใจ เราก็ต้องทำตัวตามปกติ...ใช่ไหม”

น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของรามทำให้เชสก์เดาได้ทันทีว่าต้องการสื่อถึงอะไร ในเมื่อยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคือใคร พวกเขาไม่ควรพูดความลับอะไรทั้งนั้น ถ้าเธออยากจะได้ข้อมูลก็ให้รับข้อมูลผิดๆ ไปแทน

            เชสก์หัวเราะหึๆ เงยหน้าปรายตามองผู้หญิงคนนั้นแวบหนึ่งก็หันมาคุยกับรามอย่างออกรส ทำทีท่าว่าเป็นเพื่อนรักที่พลัดพรากกันมาแต่ชาติปางไหน แล้วสังเกตท่าทีผู้หญิงคนนั้นเงียบๆ

            สาวสวยคนนั้นสั่งไวน์ระหว่างรออาหาร เธอทำทีเป็นเล่นโทรศัพท์บ้าง รับโทรศัพท์บ้างราวกับกำลังนัดกับใครบางคน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครตามมาสมทบเสียที จนเชสก์อดยิ้มไม่ได้

            “ยังเนียนไม่พอ” เขาหัวเราะแล้วส่ายหน้าไปมา ตลอดชีวิตการทำงานของเขาเจอคนมาหลายรูปแบบ ไหนจะศัตรูอีกมากมาย แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นมืออาชีพ ผิดกับสาวสวยตรงหน้าลิบลับ

            “แต่สวยโคตรๆ” รามยิ้มเคลิ้มแล้วหันมาหาเชสก์อย่างรวดเร็ว “ฉันจอง!

            “อะไรของนายวะราม”

            “ไม่รู้ละ คนนี้นายห้ามยุ่ง ฉันจองแล้ว”

            “ตามสบาย” เชสก์หัวเราะลงคอ ยอมรับว่าสาวตรงหน้าสวยมาก แต่ไม่ใช่สเปกเขาสักนิด เธอสวยเกินไป แม้ว่าฝีมือจะดูอ่อนหัดเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่เคยถูกส่งมาเล่นงานเขาก็เถอะ

            “วันนี้ไม่เหมาะที่จะคุย ไว้พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปหานายที่สำนักงาน”

            “ไม่ต้องมา” เจ้าถิ่นรีบห้าม “ยิ่งนายมาป้วนเปี้ยนกับฉันจะยิ่งน่าสงสัย มีอะไรฉันจะติดต่อนายเอง นายก็ทำงานของนายไปเถอะ” พูดพลางส่งคีย์การ์ดและกุญแจอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในย่านบรุกลินไฮต์ให้ ทำให้รามสงบปากสงบคำได้ในทันที

            “ทำเหมือนฉันเป็นอีหนูของนายไปได้ ให้กุญแจห้องไว้ มีอะไรนายจะมาหาเอง” รามหัวเราะลั่นชนิดที่ว่าทำให้คนทั้งร้านหันมามองเป็นจุดเดียว รวมทั้ง สาวสวย คนนั้นด้วย

            เชสก์ทำท่าขนลุก เขาไม่พูดอะไร แต่กลับเงยหน้าสบตาสาวสวยคนนั้นอีกครั้ง และคราวนี้ชัดกว่าทุกครั้งตั้งแต่ที่เธอลอบตามเขามา ทำให้เขาจำได้ทันทีว่าเธอคือใคร

            อนินทิตา โรซาเลส...พนักงานใหม่ของเขานี่เอง

            ผู้บริหารหนุ่มยิ้มมุมปาก ในเมื่อยังตามหาตัว Mr. S ไม่เจอ และเธอก็กลับมาปรากฏตัวในช่วงสถานการณ์นี้ เกรงว่าจะปล่อยผ่านไปไม่ได้เสียแล้ว

            รอยยิ้มและนัยน์ตาวาววับที่แสดงออกถึงการ รู้ทันของเขาทำให้สาวสวยรายนั้นหุบยิ้มทันที แต่เธอก็เฉไฉด้วยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโวยวายใส่ว่าเพื่อนไม่มาตามนัด ก่อนจะวางเงินและเดินออกจากร้านไปทันที

            “ไปเถอะ” เชสก์วางเงินและลุกเดินตามอนินทิตาไปขึ้นทันที ไม่สนใจว่ารามจะกินเสร็จแล้วหรือไม่

            “รอด้วยสิวะ” รามพยายามเรียกเพื่อน แต่ไม่ทันแล้ว เชสก์ไม่สน จนรามต้องรีบเคี้ยวรีบกลืน แล้วเดินตามเชสก์ออกไป

            ซีอีโอหนุ่มรีบตามออกมาจนถึงหน้าร้านแต่ก็ไม่เจอใคร ทั้งที่จับตามองและตามเธอมาติดๆ แล้ว คลาดสายตาแค่เดี๋ยวเดียวคือตอนที่เดินออกมา แต่ตอนนี้เธอหายไปไหน

            เชสก์ถอนหายใจแล้วหันหลัง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับคว้าข้อมือหญิงสาวที่กำลังเอื้อมมาหมายจะแตะบ่าเขาได้สำเร็จ ทั้งยังผลักร่างเพรียวบางนั้นแนบชิดกับผนังตึกหน้าร้าน

            “บอกมาว่าเธอตามฉันมาทำไม!” เขากระซิบขู่เสียงเข้ม ดวงตาวาววับ ส่งผลให้หญิงสาวตัวสั่น ดวงตากลมโตมีแววหวาดหวั่นเล็กน้อย

            “ฉันเป็นพนักงานของคุณไงคะ” ไม่ใช่แค่หน้าตาเท่านั้นน่ามอง แของเธอก็อ่อนหวานไพเราะ แม้ว่าจะยังสั่นอยู่น้อยๆ ก็ตาม

            ระยะใกล้กันแค่นี้เชสก์สังเกตได้ว่าหญิงสาวกำลังกลัวเขาจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด เพราะถ้าเธอแสร้ง...เขาจะจับได้

            “ตามมาทำไม” เชสก์ถาม ยอมปล่อยสาวตรงหน้า แต่ก็ยังใช้สายตาดุๆ กำราบเธอไว้

            “ก็ฉัน...” หญิงสาวก้มหน้านิดๆ พร้อมกับยิ้มเขินอาย เท่านั้นเชสก์ก็เข้าใจทันทีว่าเธอตามเขามาเพราะอะไร

            ชายหนุ่มกวาดสายตามองสาวตรงหน้า เธอสวยมากก็จริง ถ้าในยามปกติเขาคงสนองให้แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เขายังจดจ่อกับเรื่อง บางคนเกินกว่าที่จะมาสนใจใคร และอีกอย่าง...เขาไม่ไว้ใจเธอ

            “อย่าทำแบบนี้อีกถ้าไม่อยากถูกไล่ออก” เชสก์ถอยหลังออกห่างจากสาวสวยที่ได้ชื่อว่า พนักงานของตัวเอง พอดีกับที่รามเดินออกมา จึงพากันกลับไปโดยไม่สนใจสาวสวยคนนั้นอีก

 

หลังจากผู้ชายสองคนนั้นเดินออกไปแล้ว อนินทิตาก็ได้แต่ถอนหายใจโล่งอก ดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มมองตามหลังเชสก์ไป แสร้งทำสีหน้าแววตาอาลัยอาวรณ์ยามที่เขามองกลับมา ทว่าเมื่อเขาไปจนลับสายตาแล้ว ดวงตาของหญิงสาวก็เปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันที

            คิดว่าหล่อนักหรือ!

            คนหนึ่งก็ตัวใหญ่ขนดกอย่างกับกระทิงผสมควายไบซัน แถมชอบเก๊กทำหน้าบึ้ง ส่วนอีกคน...ผอมแห้งแรงน้อย หน้าตาอย่างกับโจร สายตาก็กวนประสาท เธออยากเข้าใกล้เสียที่ไหน ถ้าไม่ใช่เรื่อง งาน เธอจะไม่เฉียดกรายเข้าใกล้สองคนนั้นเด็ดขาด คิดแล้วก็ขนลุก อยู่ดีไม่ว่าดีต้องไป อ่อยคนพวกนั้น แต่จะทำอย่างไรได้ อย่างไรเสียมันก็คืองาน สุดท้ายเธอก็ต้อง ทำอยู่ดี

            อนินทิตาทำท่าสยดสยองแล้วเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินมุ่งหน้าสู่ที่พักของเธอที่อยู่ฝั่งบรุกลิน ยึดอะพาร์ตเมนต์ของพี่สาวในย่านบรุกลินไฮต์เป็นที่พัก ที่จริงเธอมีอะพาร์ตเมนต์ของตัวเองอยู่ย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์ในแมนฮัตตัน แต่ถ้าพนักงานบริษัทอาศัยอยู่ย่านนั้นก็จะดูน่าสงสัยเกินไปสักหน่อย เพราะเธอยังคงต้องอยู่ในอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ต่อจนกว่าจะได้หลักฐานทุกอย่าง

            อะพาร์ตเมนต์ของพี่สาวมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมเพราะพี่เขยตัวดีเคยเป็นทหารหน่วยเดลตา ฟอร์ซ มาก่อน และเมื่อพี่สาวและพี่เขยต้องตามอารักขาเจ้านายที่เดินทางไปประชุม เธอจึงถือโอกาสนี้ ยึดอะพาร์ตเมนต์นี้ไว้เสียเลย

            เมื่อกลับมาถึงแล้ว อย่างแรกที่อนินทิตาทำคือล้างเครื่องสำอางที่โบ๊ะไว้เสียหนากว่าคอนกรีตบนพื้นถนนออก รวบเรือนผมหนานุ่มยาวถึงกลางหลังขึ้นแล้วมัดเป็นมวยหลวมๆ ไว้กลางศีรษะ ถอดคอนแทกต์เลนส์และสวมแว่นตาแทน จากนั้นจึงเปิดคอมพิวเตอร์และเปิดภาพที่แอบถ่ายขึ้นมา

            เธอไม่ได้นั่งเล่นนั่งแชตมือถืออยู่ในบาร์เสียเมื่อไร แต่เธอแอบถ่ายรูปผู้ชายสองคนนั้นต่างหาก!

            หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่งภาพจากโทรศัพท์เข้าคอมพิวเตอร์ จากนั้นจึงเปิดโปรแกรมเทียบใบหน้าเพื่อค้นหาประวัติอาชญากรรม

            แน่นอนว่าเธอรู้จัก เชสก์ อะลอนโซ ลูกชายของฟรานซิสโก อะลอนโซ โดมิงเกส อดีตเจ้าของธุรกิจค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ติดอันดับโลกเป็นอย่างดี ประวัติของเขาขาวสะอาด ไม่ว่าจะประวัติงานหรือธุรกรรมทางการเงินก็เถอะ แต่อีกคนนี่สิ...

            ผู้ชายผอมแห้งแรงน้อย ผมหยักศกยาวเคลียบ่า หน้าตาคมเข้ม สวมแว่นตาคล้ายดูสุภาพเรียบร้อย แต่อนินทิตาไม่เชื่ออย่างนั้น เธอจำดวงตาวาววับหลังเลนส์แว่นคู่นั้นได้ เธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่าผู้ชายท่าทางแบบนี้จะคบกับซีอีโอบริษัทระดับพันล้านอย่าง เชสก์ อะลอนโซ ได้

            นิ้วเรียวยาวพรมลงบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์อย่างไม่ค่อยชำนาญนัก รออยู่นานข้อมูลของชายผู้ต้องสงสัยคนนั้นก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

            เขาชื่อราม...ราม รามิเรซ ชายหนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-อินเดีย เชื้อสายบราซิล เกิดและโตในอเมริกา มีพี่สาวหนึ่งคนชื่อว่าเปมิกาซึ่งทำงานในฟรานซิสโก อินดัสตรีส์ แต่กลับไม่ปรากฏประวัติการทำงานของเขา ระบุสถานะว่ากำลัง ตกงาน

            แต่เป็นเพื่อนกับ เชสก์ อะลอนโซ อย่างนั้นหรือ...

            อนินทิตานิ่วหน้า มองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ผู้ชายคนนี้ลึกลับเกินไปจนมองผ่านไม่ได้ เธอตัดสินใจว่าเธอจะต้อง จับตาดูสองคนนี้ต่อไปอีกสักระยะ จนกว่าจะรู้ว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่

 

  

หน่วยรบพิเศษของกองทัพบก
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น