10

แหล่งข่าวคนสำคัญ


 

เดิมทีแผนการการเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาคดีเดอะดาร์กแฟนทอมถูกเก็บเป็นความลับ เลือกใช้เวลาเช้าวันหยุดเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนพลุกพล่าน มองจากภายนอกก็เหมือนแค่รถเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาทั่วไป เพียงแต่มีการคุ้มกันที่แน่นหนากว่า ทว่าเมื่อเกิดเหตุ ‘ดักปล้น’ ผู้ต้องหาทั้งที่เพิ่งออกจากสถานที่คุมขังได้ไม่นานก็กลายเป็นข่าวใหญ่ในวันถัดมา

            ไกลออกไปอีกซีกโลก...

            ภายในห้องเล็กๆ ที่เปรียบดังแหล่งกบดาน ชายมาดเข้มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าแลปทอปพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ ผลงานของเขาทำให้เข้าใกล้ ‘เป้าหมาย’ ขึ้นอีกนิดแล้ว เมื่อได้ความคืบหน้า เขาก็รีบรายงานผล และตัดขาดการติดต่อทันที

            ทุกอย่างเป็นไปตามแผน แม้ว่า ‘ฝ่ายนั้น’ จะยังไม่เชื่อใจเขาถึงขนาดยอมมาให้เจอตัว แต่เขามั่นใจว่าอีกไม่นานแน่นอน

            ตอนนี้ก็เหลือ ‘เหยื่อ’ อีกแค่หนึ่งคน

            รามยิ้มเจ้าเล่ห์...ได้เวลาวางกับดักเสียที

 

เสียงรายงานข่าวดังมาจากโทรทัศน์ภายในห้องผู้ป่วย ส่งผลให้หญิงสาวร่างแบบบางสะดุ้งเล็กน้อย แม้จะยังรู้สึกหนักอึ้งที่ศีรษะราวกับมีใครเอาก้อนหินมาแทนที่สมองของเธอไปแล้ว แต่ก็ฝืนลืมตาขึ้น และพบพี่สาวกำลังยืนกอดอกอยู่หน้าโทรทัศน์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

            “เม...” อนินทิตาเปล่งเสียงเรียกทั้งที่ลำคอแห้งผาก

            “อนิน” เมลิสสาละสายตาจากผู้ประกาศหนุ่มใหญ่จากช่องข่าวดังแล้วปราดมาหาน้องสาว จากนั้นจึงกดสัญญาณเรียกเจ้าหน้าที่

            “มาตั้งแต่เมื่อไหร่” คนเจ็บเค้นเสียงอย่างยากลำบาก จนเมลิสสานิ่วหน้ามองน้องสาวด้วยสายตาดุๆ

            ถ้าเป็นเวลาอื่นอนินทิตาคงยิ้มไปแล้ว นานเหลือเกินที่ไม่เคยเห็นพี่สาวมีท่าทีดุๆ แบบนี้ แต่ในสถานการณ์เสี่ยงตายอย่างนี้ เธอยิ้มไม่ออก

            “ฉันมาตั้งแต่วันแรกที่เธอถูกส่งมาที่โรงพยาบาล จนถึงวันนี้ก็...สามวัน”

            “สามวันเลยหรือ” คนเป็นน้องหน้าเผือดสีลงทันที

            “เธอช็อกน่ะ ร่างกายก็โหมงานหนักมาหลายวัน แต่ตรวจละเอียดแล้วไม่มีอะไรกระทบกระเทือน”

            “แล้ว...” ถามพลางนึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายก่อนที่จะหมดสติ รถเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาคว่ำ คนร้ายยิงปลดล็อกที่ท้ายประตูรถและเปิดเข้ามา เธอพยายามเพ่งมองชายคนนั้น มันคุ้นมาก คุ้น...แต่นึกไม่ออก

            “พอก่อนอนิน อย่าเพิ่งพยายามคิดอะไร หมอมาแล้ว” เมลิสสาหลีกทางให้หมอและพยาบาลเข้ามาดูอาการของอนินทิตา

 

หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว อนินทิตาก็กลับมาทำงานตามปกติในเช้าวันถัดมา แน่นอนว่าเมลิสสาไม่เห็นด้วย แต่ทัดทานน้องสาวไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจให้แดเนียลกลับไปก่อน ส่วนตัวเองอยู่กับน้องสาวไปก่อน จนกว่าจะแน่ใจว่าอนินทิตาไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ถึงจะตามกลับไปทำงาน

            ทันทีที่ก้าวเข้ามาในสถาบันจิตวิทยา หลายคนก็เข้ามาทักด้วยความเป็นห่วงเพราะภาพข่าวการปล้นรถผู้ต้องหาค่อนข้างน่ากลัว แต่อนินทิตายืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้ว จึงผ่านด่านเพื่อนร่วมงานเข้ามาถึงห้องทำงานของหัวหน้าแผนกตรงเวลานัดหมาย

            “มาพอดี” มาเรียเงยหน้าจากแฟ้มงาน แล้วพยักหน้าอนุญาตให้อนินทิตาเข้ามาในห้อง “เห็นข่าวแล้วใช่ไหม”

            “คนอื่นๆ เป็นยังไงบ้างคะ”

            “แม็กซ์อยู่โรงพยาบาล เดี๋ยวหัวหน้าของเขาคงมารับเธอไปดูอาการ ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นตายเจ็ด บาดเจ็บสิบ”

            “แล้วผู้ต้องหา...” อนินทิตาเลียบๆ เคียงๆ ถาม หลังออกจากโรงพยาบาลเธอก็ยังไม่เจอทีมที่ทำคดีเดอะดาร์กแฟนทอมเลยสักคน ข่าวที่รายงานก็ยังกำกวม ไม่ให้ความกระจ่างใดๆ ทั้งสิ้น

            “หนีไปได้สองคน”

            คนฟังหัวใจกระตุก คนร้ายไม่คิดมาฆ่าปิดปาก แต่กลับพาผู้ต้องหาหนีไป...นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!

            “อยากรู้ไหมว่าใคร” หัวหน้าสาวใหญ่ถามเสียงเครียด

            อนินทิตานึกถึงก่อนขึ้นรถ ตอนที่มิโรสลาฟและเวสส่งยิ้มแปลกๆ มาให้ และเมื่อออกรถมาได้ไม่ไกลก็เกิดเรื่อง ทำเอาหญิงสาวหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที

            “พวกเงาใช่ไหมคะ”

            “ใช่”

            “แล้วสตีเวน...” มีหนึ่งในคนร้ายเปิดประตูรถผู้ต้องหาคันที่เธอนั่งอยู่ แต่เธอหมดสติไปก่อนที่จะรู้ว่าเกิดอะไรต่อจากนั้นจึงอดห่วงสตีเวนไม่ได้ เพราะแค่ถูกลอบฆ่าก็ทำให้เขาดูซึมเศร้าหดหู่มากพอแล้ว

            “ถูกพาไปขังไว้ที่เดิมแล้ว แต่เพิ่มเวรยามเป็นสามเท่า...และนี่ก็เป็นเคสที่เธอต้องรับผิดชอบโดยตรงแล้วคุณโรซาเลส”

            “หมายความว่ายังไงคะ” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวขมวดคิ้ว

            “เขาไม่พูดไม่จาอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง” มาเรียส่งแฟ้มเอกสารให้ลูกน้องสาว “อีกสิบนาทีหัวหน้าของแม็กซ์จะมาถึง เตรียมตัวด้วย”

            “โอเคค่ะ ฉันจะไปพบเขา” อนินทิตาพยักหน้า เก็บแฟ้มเอกสารบันทึกอาการของสตีเวนมาถือไว้แล้วเดินออกไป

            ...

            อนินทิตามาถึงสถานที่คุมขังสตีเวนแล้ว ตั้งใจจะคุยกับเขาเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทว่ากลับไม่เป็นอย่างที่คิดเลย สตีเวนไม่ให้ความร่วมมือใดๆ อีกแล้ว เขาเงียบเฉย ไม่ว่าจะพูดจะถามอะไรก็ไม่มีการตอบกลับ ทำเอาอนินทิตาได้แต่กุมขมับกลัดกลุ้ม ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป

            “คุณคิดว่ายังไง” หัวหน้าของแม็กซ์ถามทันทีที่เธอออกมาจากห้องสอบสวน

            “ฉันคิดว่าเขากำลังเครียดมาก ต้องให้เวลาอีกสักหน่อย”

            “ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” หนุ่มใหญ่ส่ายหน้า “ผมหมายถึงคดี แม็กซ์เคยบอกว่าคุณเสนอทฤษฎีเรื่องการลอบฆ่านั่นเป็นแค่แรงกระตุ้นให้เรากลัวจนต้องเคลื่อนย้ายผู้ต้องหา เพื่อที่มันจะโจมตีเราอย่างนั้นหรือ

            “ค่ะ”

            “คุณคิดถูกเชียวละ”

            “ฉันคิดผิดต่างหาก” หญิงสาวส่ายหน้าจนใจ “ฉันคิดว่าใครก็ตามที่อยู่ข้างนอกนั่นคงจะอยากเล่นงานสตีเวน ไม่คิดว่าเป็นพวกเงา”

            “เขาเคยบอกว่ามีแฟนทอมอยู่ข้างนอกใช่ไหม” หนุ่มใหญ่ถามพลางพยักพเยิดไปยังสตีเวนที่ยังนั่งอยู่ในห้องสอบสวน

            “เขาเคยบอกค่ะ และฉันก็เชื่อเขามาตลอด”

            “คุณพอจะช่วยหาตัวได้ไหม”

            “แล้วคนอื่นล่ะคะ” เธอหมายถึงแม็กซ์และเจ้าหน้าที่สืบสวนคนอื่นๆ

            “แม็กซ์ยังเจ็บ คนอื่นกำลังเร่งล่าตัวคนร้ายกับพวกเงาที่หนีไป และอีกอย่าง...เพราะสตีเวนเชื่อใจคุณ ผมก็จะเชื่อ”

            “แต่ฉันเป็นแค่นักจิตวิทยานะ” สาวคนเก่งแย้ง

            “ผมพร้อมซัปพอร์ตเสมอ ไม่ว่าจะคน เครื่องมือ อยากได้อะไรบ้าง อยากให้ใครไปช่วย คุณเลือกไปได้เลย”

            “ก็ได้ค่ะ”

            “ขอบคุณ” หนุ่มใหญ่พยักหน้า แววตาเต็มไปด้วยความจริงใจอย่างที่นานๆ จะได้เห็นจากคนอีโก้สูงขนาดนี้

อนินทิตาได้แต่พยักหน้ารับ และเริ่มงานใหม่อย่างจริงจัง

 

การแถลงข่าวคนร้ายบุกปล้นผู้ต้องหาคดีดังเกิดเป็นกระแสมากมายในสังคม หนึ่งคือต่อว่าการทำงานที่หละหลวม ทั้งปล่อยให้ผู้ต้องหาคดีร้ายแรงอย่างเดอะดาร์กแฟนทอมถูกวางยาได้ทั้งที่ถูกควบคุมอยู่ในส่วนที่ลับและปลอดภัยที่สุด และสองคือมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่เรื่องลวงโลก เกิดเป็นกระแสต่อต้าน ล้อเลียนเชิงสัญลักษณ์

เด็กวัยรุ่นวัยคะนองมากมายรวมทั้งพวกแฮกเกอร์มือสมัครเล่นล้วนแต่ทำตัวเป็นเดอะดาร์กแฟนทอมล้อเลียนทางการ ที่หนักหน่อยก็ถึงขั้นสวมหน้ากากส่งวิดีโอคลิปมาก่อกวนไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งความจริงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ให้ตำรวจแต่ละรัฐจัดการไปก็ได้ แต่เพราะเป็นคดีใหญ่เกี่ยวพันกับความมั่นคงในหลายส่วน ทุกคลิปและทุกคนที่จับได้จึงถูกส่งมายังแผนกวิเคราะห์ข้อมูล

            เพราะได้รับมอบหมายให้หาตัวแฟนทอมคนที่เหลือ นักจิตวิทยาอาชญากรคนเก่งจึงมาถึงแผนกวิเคราะห์ภัยคุกคามข่าวกรองที่ทุกคนต่างก็มีงานล้นมือ ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมองเธอเลยแม้แต่คนเดียว เธอจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วก้าวเข้าไปในห้อง หวังจะหาใครสักคนที่ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมามองหน้าเธอบ้าง ทว่า...

            “อุ๊ย!” สาวร่างสูงเพรียวอุทาน อยู่ๆ ก็ถูกผู้ชายคนหนึ่งเดินชนอย่างแรง จะเรียกว่าชนแล้วหนีก็ว่าได้ เพราะเขาไม่แม้จะหันมามอง แต่กลับเดินหนีความผิดไปทันที

            “คุณมาหาใคร” เสียงดุเข้มงวดของผู้ชายคนหนึ่งดังจากทางด้านหลัง

            หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย เธอรีบหันกลับไปหาแล้วมองป้ายพนักงานที่ห้อยคออีกฝ่าย ก็พบว่าเขาคือ มิคาอิล ฮาเปอร์ หัวหน้าแผนกวิเคราะห์ข้อมูล จึงรีบส่งยิ้มหวานแล้วบอกไปว่า “ฉันได้ยินว่ามีคลิปเกี่ยวกับเด็กที่แสดงตัวว่าเป็นเดอะดาร์กแฟนทอมมากมายเลยใช่ไหมคะ เลยจะมาขอไปวิเคราะห์ค่ะ”

            “คุณคือ...” ดวงตาของชายวัยกลางคนมองที่ป้ายห้อยคอของอนินทิตา แล้วก็พยักหน้าอนุญาต “เข้าไปสิ ผมมีข้อมูลที่คุณต้องการมากมายไปหมด”

            “ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวฉีกยิ้มหวาน รับเอ็กซเทอร์นัลฮาร์ดดิสก์ซึ่งบรรจุไฟล์คลิปวิดีโอของพวกที่แอบอ้างว่าเป็น เดอะดาร์กแฟนทอมมาจากชายวัยกลางคนคนนั้น แล้วรีบเดินทางกลับสถาบันจิตวิทยา

 

ช่วงเที่ยงของวันที่งานหนักจนแทบสติแตก อนินทิตาเดินออกจากห้องทำงานแล้วไปนั่งที่คาเฟ่เล็กๆ ใกล้สถาบัน แต่แล้วก็มีเสียงข้อความโทรศัพท์ดังขึ้น และพบว่า...มันคือคลิปวิดีโอจากใครก็ไม่รู้ที่ปกปิดข้อมูลปลายทาง

            อนินทิตาขมวดคิ้ว เมื่อเปิดวิดีโอและเห็นผู้ชายคนหนึ่งสวมหน้ากากสีดำปกปิดใบหน้าไว้ จนเห็นแค่ดวงตาสีเข้มล้ำลึก เธอไม่รู้เลยว่าสีผมและทรงผมเป็นอย่างไรเพราะเขาสวมหมวกฟีดอร่าสีดำ แต่จากที่ดูรอยรวบตึงที่จอนผมก็น่าจะเป็นผู้ชายผมยาว ไม่ผอม แต่ก็ไม่ตัวใหญ่กำยำ เขาอยู่ในมุมมืดเสียจนไม่เห็นอะไร นอกจากดวงตาและหน้ากาก

            “ผมเป็นคนส่งข้อมูลพวกนั้นเอง และผมอยากพบคุณ...แต่ต้องตามลำพังเท่านั้น” ชายคนนั้นบอกเสียงเรียบเรื่อย ไม่ทุกข์ร้อน พูดด้วยสำเนียงบริติชชัดเจน

            นักจิตวิทยาอาชญากรขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของเขา...

            “ผมคือเดอะดาร์กแฟนทอม!”

            ถึงจะมีข่าวว่ามีคนมากมายมองเรื่องเดอะดาร์กแฟนทอมเป็นเรื่องตลก อัดคลิปสวมหน้ากากอ้างตัวเผยแพร่คลิปไปทั่ว แต่ไม่มีใครส่งเข้ามาถึงตัวเจ้าหน้าที่ที่คำคดีได้แน่

            ใครกัน...

            อนินทิตาเม้มปากครุ่นคิด เธอวนดูคลิปจากชายคนนั้นซ้ำๆ สังเกตอวจนภาษาทั้งหมดของเขา ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของมือและแขน การใช้น้ำเสียงและนัยน์ตา และเธอพบว่า...มันไม่ปกติ เสียงเข้ม สำเนียงผู้ดี ท่าทางที่เหมือนต้องการบอกอะไรบางอย่างแก่เธอ เธอมองคลิปนั้นชัดๆ และตั้งใจฟังเสียงของเขาอีกครั้ง

            “ผมคือเดอะดาร์กแฟนทอม”

            เขา...เป็นใครกันแน่

            สาวคนเก่งลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในแผนกไอที และเดินไปหาเจฟฟ์ ทำเอาหนุ่มรุ่นน้องสะดุ้ง มองเธอเหมือนมองหายนะที่กำลังคืบคลานเข้าไปหาก็ไม่ปาน

            “ผมไม่ว่างนะอนิน” หนุ่มเนิร์ดรีบออกตัว

            “งานนี้ถูกกฎหมายน่า” อนินทิตาทำเสียงรำคาญแล้วส่งคลิปให้ทันที “หาตัวคนคนนี้ให้หน่อยได้ไหม”

            แม้จะยังหวั่นๆ กับงานแต่ละอย่างที่อนินทิตาโยนมาให้ แต่พอได้รับคำยืนยันว่าถูกกฎหมายแน่นอนแล้ว เจฟฟ์ก็อดที่จะ ‘อยากรู้อยากเห็น’ ไม่ได้อยู่ดี จึงรับไดรฟ์บรรจุคลิปดังกล่าวมาเปิดดู

            “แม่เจ้า!” หนุ่มรุ่นน้องทำเสียงตกใจเกินเหตุ “ให้หาอะไรเนี่ยอนิน ปิดหน้าจนเห็นแต่ลูกตาแบบนี้”

            “หาให้ทีว่าใคร”

            “คุณไปกระชากหน้ากากเขาออกมาสิ” เจ้าหน้าที่ไอทีหนุ่มขยับแว่นแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาประชดประชัน

            “ถ้าทำได้จะให้ช่วยไหม” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวเท้าสะเอว

            “แล้วจะหายังไง” เจฟฟ์ทำหน้าเหมือนอยากตายขณะมองภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ในห้องมืดๆ ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีแสงไฟ เข้าใจว่าเจ้าตัวคงจัดฉากไม่ให้คาดเดาได้ว่านั่งอยู่ตรงทิศไหนเวลาใด จึงไม่อาจคำนวณพิกัดได้เลย หน้าตาก็ไม่เห็น อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ให้ทำงานนี้ สู้ให้กระโดดลงไปหาสิ่งมีชีวิตในภูเขาไฟยังง่ายกว่า

            “ไม่รู้” อนินทิตาเองก็ส่ายหน้าจนใจ แต่ผู้ชายในคลิปดูลึกลับน่าสงสัยเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปได้

            “ผมจะลองแล้วกัน แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่านะ”

            “วันนี้ได้ไหม”

            “ชาตินี้จะได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย” หนุ่มแว่นทำหน้าบูดแล้วไล่ ‘หายนะ’ ออกจากแผนกเขาไปเสีย ก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ ส่วนอนินทิตาก็แยกไปทำงานของตน

 

วันหยุดสุดสัปดาห์มาถึง แต่งานของอนินทิตายังไม่ก้าวหน้าไปทางไหนเลยสักนิด เธอจึงหอบงานกลับมาที่บ้าน เมลิสสากลับไปตั้งแต่สองวันก่อน เธอจึงอยู่บ้านตามลำพัง

            และการพักผ่อนของอนินทิตา...ก็คือการนั่งกอดตุ๊กตาคิตตี้ นั่งดูวิดีโอคลิปของพวกมือดีที่อ้างตัวว่าเป็นเดอะดาร์กแฟนทอม พร้อมกับกินป็อปคอร์นไปด้วย ดูไปนานๆ ก็เริ่มหาว เผลอหลับไปบ้าง แล้วก็ตื่นมาดูต่อ

            หญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความง่วงงุนออกไป แล้วก้มลงมองป็อปคอร์นที่หมดไปแล้วเรียบร้อย จึงลุกขึ้นเอาชามไปเก็บ ล้างหน้าล้างตาแล้วชงกาแฟแก้วใหม่ กลับมานั่งดูวิดีโอคลิปพวกนั้นอีกครั้งอย่างตั้งอกตั้งใจ ก็พบว่าส่วนมากเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคึกคะนองที่ล้วนก็เห็นว่าเรื่องของเดอะดาร์กแฟนทอมคือเรื่องตลก เรื่องลวงโลก และเป็นเรื่องน่าขายหน้าเพราะบรรดาสื่อต่างประเทศล้วนโจมตีโพรเจกต์นี้ นำไปสู่พฤติกรรมล้อเลียน แต่ไม่มีใครน่าเชื่อถือได้เลยว่าจะเป็นแฟนทอมคนสุดท้ายจริงๆ

            คิดแล้วก็ได้แต่ท้อ สาวคนเก่งส่ายหน้าเบาๆ ใช้วันลาหยุดพักทั้งหมดไปกับการนั่งดูคลิปวิดีโอพวกนี้ราวกับว่าดูซีรีส์เรื่องโปรดก็ไม่ปาน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังมืดแปดด้าน มองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย

            เธอกำลังจะปิดโทรทัศน์อยู่แล้ว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคลิปถัดมา มันคือคลิปเดียวกับที่ถูกส่งมาในมือถือของเธอ ผู้ชายที่สวมหน้ากากสีดำคลุมทั้งหน้า จนเห็นเพียงแค่ดวงตาสีน้ำตาลทอง สวมหมวกฟีดอร่าสีดำ นั่งอยู่หน้าฉากหลังสีดำสนิทจนไม่เห็นแสงเงาใดๆ ไม่อาจประเมินได้เลยว่าช่วงเวลาที่อัดคลิปนี้คือช่วงเวลาใด และวันเดือนปีไหนกันแน่

            อนินทิตากดหยุดวิดีโอ ติดต่อไปหาเจฟฟ์ แต่ยังไม่ได้คำตอบ ด้วยความร้อนใจเธอจึงถ่ายภาพผู้ชายคนนั้นส่งเข้ามาในคอมพิวเตอร์ แล้วใช้โปรแกรมจำลองใบหน้าผู้ต้องสงสัย ทั้งที่รู้ว่าอาจจะไม่ได้ผลก็เถอะ เพราะเจฟฟ์ก็ช่วยเธอมาหลายวันแล้ว แต่ยังหาประวัติผู้ชายคนนี้ไม่ได้

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวหรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องมองภาพที่ปรากฏบนหน้าจอเขม็งราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงด้านในหน้ากาก สังเกตอวจนภาษาทางกายของเขา ไม่ว่าจะเป็นเสียง ท่าทาง การวางมือ แต่ก็พบว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่มีการแสดงเชิงสัญลักษณ์ใดๆ และไม่ทิ้งข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น

            หญิงสาวกดหยุดวิดีโอ แล้วค้นข้อมูลวันเวลาที่คลิปถูกส่งมาถึง พบว่ามันแค่สองชั่วโมงก่อนหน้าที่เธอจะเข้าไปในสำนักงานนี่เอง

            เขาเป็นใครกันแน่!

            ใครกันที่ส่งคลิปมาในโทรศัพท์ของเธอได้ ทั้งยังมีคลิปแอบอ้างตัวอยู่ในแผนกวิเคราะห์ข้อมูลอีกต่างหาก ใครกันที่รู้ทุกความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ที่คำคดีเดอะดาร์กแฟนทอม

            หรือว่า...

            อนินทิตานึกทบทวนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทั้งการลอบฆ่าสตีเวนและพวกเงาทั้งที่ถูกควบคุมไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด บีบให้พวกเจ้าหน้าที่ระแวงกันเองจนต้องเคลื่อนย้ายผู้ต้องหา และก็ซ้อนแผนปล้นตัวพวกเงาไป แล้วถ้ามันเป็นพวกเดียวกันล่ะ

             เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะตอนที่อนินทิตากำลังพยายามคิดหนักและประเมินผู้ชายในคลิป แต่เธอก็กดรับสายแต่โดยดี

            “ผมอยากพบคุณ”

            “คุณเป็นใคร” อนินทิตาขมวดคิ้ว ด้วยแน่ใจว่าไม่คุ้นเสียงนี้เลยสักนิด ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานแน่ๆ เพราะปกติเธอก็ไม่สุงสิงกับใครอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นผู้ชายคนนี้คือใคร!

            ปลายสายหัวเราะเบาๆ ตอนนี้เองที่นักจิตวิทยาอาชญากรสาวนึกออกว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากไหน…มันคือเสียงหัวเราะของผู้ชายในคลิป!

            “คุณ...”

            “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง มีข้อมูลมากมายที่จะบอกคุณ แต่คุณต้องมาคนเดียว ห้ามใครรู้เรื่องนี้ ถ้าคุณบอกใคร ผมจะรู้ทันที ตอนนี้ผมอยู่ที่ฮ่องกง และจะอยู่ไปอีกอย่างน้อยสองสัปดาห์...แล้วเจอกัน” พูดจบเขาก็ตัดสายไปทันที ทิ้งให้อนินทิตาได้แต่มองโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างอึ้งๆ สองครั้งแล้วที่เขาติดต่อเข้ามาถึงเธอได้ทั้งที่ข้อมูลของเธอไม่ใช่ข้อมูลสาธารณะ...เขาเป็นใครกันแน่!

 

หลังจากได้รับโทรศัพท์จากชายคนนั้นแล้ว อนินทิตาก็หลับไม่ลงจนกระทั่งสว่าง

            วิดีโอคลิปจากผู้ชายลึกลับคนนั้นทำเอาอนินทิตาคิดไปถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เคยช่วยงานเธออย่างลับๆ ผู้ชายคนนั้นชื่อว่า สเปนเซอร์ ไวลด์ ชายหนุ่มท่าทางลึกลับที่เธอเคยช่วยชีวิตไว้ ทั้งยังเป็นคู่หูที่เคยทำงานด้วยกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

            ตอนนั้นอนินทิตาเริ่มทำคดีเดอะดาร์กแฟนทอม เธอพบเขาในสภาพใกล้ตายที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งกลางทะเลทรายเนวาดา ผู้ชายไม่มีหลักฐานยืนยันตัวใดๆ เลย ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะกลัว แต่อนินทิตาก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้หญิงแปลกประหลาดในระดับหนึ่ง เพราะอยากรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนจึงตัดสินใจช่วยเขา และเธอก็พบว่าในท่าทางสิ้นหวังนั้น สเปนเซอร์ซ่อนความแค้นไว้เต็มเปี่ยม หญิงสาวเฝ้าสังเกตชายหนุ่มตลอดเวลาที่เขารักษาตัว เห็นท่าทางหน่วยก้านใช้ได้จึงเสนอให้เขามาทำงานให้ แต่สเปนเซอร์ปฏิเสธ เขาขอบคุณเธอ และรับปากจะเป็นผู้ช่วยเธอเสมอตอบแทนที่เธอช่วยเหลือเขา แต่ขออย่างเดียวคือให้เขาเข้าถึงตัว เชสก์ อะลอนโซ

            พอดีเหลือเกินที่ตอนนั้นอนินทิตาก็กำลังตามคดีของเดอะดาร์กแฟนทอม ที่มีผู้ต้องสงสัยคือ อัลเบอร์โต อะลอนโซ และ วูล์ฟ ยัง แต่ทั้งหมดมีพยานหลักฐานพร้อมและหลุดพ้นข้อกล่าวหา จนกระทั่งเห็นบางอย่างที่เชื่อมโยงมาถึง เชสก์ อะลอนโซ จึงตอบตกลง และหลังจากนั้นสเปนเซอร์ก็เป็นเหมือนภูตผีที่แม้จะมีชีวิตอยู่ แต่ในทางเทคนิคแล้วเขาไม่มีตัวตนบนโลกด้วยซ้ำ จนเธออดห่วงไม่ได้ ถ้าจะใช้ชีวิตเร่ร่อนแบบนี้ สู้เอาฝีมือที่มีมาทำงานกับเธอให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียยังดีกว่า

            แต่หลังจากจับกุม สตีเวน เรแกน และพรรคพวกภาคีในฐานะเดอะดาร์กแฟนทอม รวมทั้งข้อหามีความเกี่ยวพันกับ เดอะชาโดว์ หรือพวกนักฆ่าเงาแล้ว สเปนเซอร์ก็หายไปจากชีวิตเธอ ทำราวกับจอมยุทธ์เร้นกายอยู่ใต้หุบเขาก็ไม่ปาน ไม่ว่าเธอพยายามติดต่อเขาอย่างไรก็ติดต่อไม่ได้เลย และตอนนี้เธอต้องการเขามากที่สุด

            อนินทิตาเม้มปากครุ่นคิด รอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ สเปนเซอร์ก็ไม่ติดต่อกลับมา

            ผู้ชายเสียงปริศนานั้นไม่ติดต่อกลับมาอีกเลยจนกระทั่งเวลาผ่านไปสามวัน และเธอไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ ถ้าผู้ชายคนนั้นใช่ หรือมีข้อมูลอะไร ก็ไม่เท่ากับว่าเธอพลาดโอกาสสำคัญหรอกหรือ แต่เธอจะใช้ข้ออ้างอะไรลางาน ในเมื่อตอนนี้เธอต้องรับผิดชอบคดีของสตีเวนและเดอะดาร์กแฟนทอม

            หญิงสาวนั่งดูคลิปนั้นต่อไปช้าๆ คิดไม่ตกว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี

 

อย่างน้อยเธอก็มีเวลาสองสัปดาห์ก่อนที่ ‘แหล่งข่าว’ คนนั้นจะออกจากฮ่องกง

            เช้าวันถัดมาอนินทิตามาไปเยี่ยมแม็กซ์แต่เช้า และพบว่าเจ้าหน้าที่หนุ่มหลับเพราะฤทธิ์ยา เขาถูกยิงสองนัด แม้จะไม่เข้าจุดสำคัญ แต่ก็ต้องใช้เวลาพักสักระยะ การตัดสินใจทั้งหมดจึงอยู่ที่ลูกทีมคนหนึ่งของแม็กซ์ รวมถึงหัวหน้าของเขาด้วย

            เมื่อไม่ได้คุยกับแม็กซ์อย่างที่ตั้งใจไว้ อนินทิตาจึงเดินทางไปยังสถานที่คุมขังสตีเวน หวังจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องแหล่งข่าวสำคัญ แต่ก็เหมือนเดิม...สตีเวนไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอด้วยซ้ำ ทำเอานักจิตวิทยาอาชญากรสาวได้แต่ถอนหายใจ แล้วตัดสินใจปิดสัญญาณบันทึกภาพและเสียง รวมทั้งตัดเสียงไม่ให้คนด้านนอกห้องสอบสวนได้ยินการสนทนาระหว่างเธอกับสตีเวน

            คราวนี้ได้ผล อดีตนักการเมืองเฒ่าเงยหน้าขึ้นมองเธอทันที นัยน์ตาคมกริบเต็มไปด้วยความสงสัย

            “เรื่องแฟนทอมที่อยู่ข้างนอก” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวกระซิบเบาๆ จนแทบไม่ขยับปาก เพราะเกรงว่าเจ้าหน้าที่ที่ดูอยู่ด้านนอกจะจับใจความได้

            “คุณ...” สีหน้าซังกะตายสตีเวนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาทันที

            “ฉันเชื่อคุณ และฉันกำลังหาแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้”

            สตีเวนมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย จนกระทั่งอนินทิตาถอดใจแล้วออกจากห้องสอบสวน

            ...

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวคนเก่งนั่งกินกาแฟระหว่างดูคลิปผู้ชายคนนั้นไปพลาง ทีมของแม็กซ์ยังยุ่งกับการควานหาตัวกลุ่มคนร้ายที่ปล้นรถผู้ต้องหาและได้ตัวมิโรสลาฟกับเวสไป ข่าวใหญ่ของเดอะดาร์กแฟนทอมกลายเป็นเรื่องตลกลวงโลกที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ยังมองไม่เห็นเบาะแสใดๆ

            หรือว่าเธอควรจะ ‘ลองเสี่ยง’ อนินทิตาคิดหนัก เธอจะไม่กลัวเลยถ้าเขาให้เธอพาใครไปสักคน อย่างน้อยก็อุ่นใจกว่าไปคนเดียว แถมยังไม่ให้เธอบอกใครอีกต่างหาก

            เอาอย่างไรดี...

            ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ สายตาจับจ้องอยู่ที่คลิปของผู้ชายสวมหน้ากากคนนั้น ในใจเธอค้านอย่างไม่ต้องสงสัย เธอไม่ใช่คนดีทุ่มเทกับงานขนาดเอาชีวิตไปเสี่ยงแน่ๆ แต่พอนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาและการเจ็บหนักของแม็กซ์ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวลาหยุดงานสามวันก่อนถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ เท่ากับว่าเธอมีเวลาห้าวันเดินทางไปฮ่องกง ให้รู้ไปว่าผู้ชายคนนั้นเป็นแหล่งข่าวจริง หรือว่าเป็นใครกันแน่

           

แม้จะฉุกละหุกไปหน่อย แต่อนินทิตาก็เดินทางมาถึงสนามบินนานาชาติฮ่องกงในอีกสองวันถัดมา เครื่องบินแลนดิงในเวลาหนึ่งนาฬิกาของวันใหม่ แต่สนามบินนานาชาติฮ่องกงก็ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายจากหลากหลายเที่ยวบินเหมือนเคย ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา อนินทิตาเฝ้าสังเกตทุกคน และยังไม่มีใครน่าสงสัย

            หญิงสาวมองซ้ายมองขวาแล้วถอนใจ คิดว่าคงหวาดระแวงไปเอง ฝ่ายนั้นบอกว่าแค่ แหล่งข่าวไม่ใช่หรือ แหล่งข่าวที่ไหนจะจับตามองเธอได้ตั้งแต่ลงจากเครื่อง นี่มันสนามบินนานาชาติเชียวนะ

            อนินทิตาสะบัดหน้าแรงๆ แล้วตรงไปเรียกแท็กซี่ มุ่งหน้าสู่โรงแรมที่พักที่จองไว้ ดึกแล้ว ตอนนี้เธออยากพักให้เต็มที่ เพราะรู้ดีว่าเธอยังต้องเจออะไรอีกมากแน่นอน

            ...

            แท้จริงแล้วอนินทิตาเข้าใจผิด...ใช่ว่าไม่มีใครสนใจการมาถึงของเธอเสียเมื่อไร

            ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีเพียงแสงไฟสลัวบนหัวเตียง ผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในความมืด เขากอดตุ๊กตาเฮลโลคิตตี้ตัวใหญ่ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือโลลีป๊อปอันใหญ่และนั่งกินไปพลางขณะดูภาพที่ปรากฏอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นภาพที่เขาเพิ่งเจาะระบบรักษาความปลอดภัยและแฮ็กมาจากกล้องวงจรปิดที่สนามบินนานาชาติ

            ‘เหยื่อ’ กำลังเดินเข้าสู่กับดักแล้ว

            ราม รามิเรซ ยิ้มในความมืด ดวงตาวาววับเป็นประกายถูกใจ เขาแทบรอเวลาที่จะได้เจอเหยื่อไม่ไหวเสียแล้ว

 

อนินทิตาเลือกพักในโรงแรมหรูในย่านที่ติดกับสวนสาธารณะและศูนย์การค้าที่ย่านเซ็นทรัล แล้วก็หลับยาวจนกระทั่งตอนบ่าย แต่แล้วก็ต้องตื่นเพราะเสียงข้อความจากพี่สาวตัวดีซึ่งบ่นเรื่องเธอไปไหนไม่ยอมบอก และขู่ว่าถ้าไม่ติดต่อมาภายในสองวันจะตัดพี่ตัดน้องไปเสีย

            เธอตอบข้อความสั้นๆ แค่ว่ามาเที่ยวพักผ่อน แต่ไม่บอกว่าที่ไหน จากนั้นจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปชงกาแฟ สั่งอาหารง่ายๆ ผ่านรูมเซอร์วิส แล้วมานั่งอยู่หน้าแลปทอป เช็กดูว่าเจฟฟ์ส่งความคืบหน้าให้เธอบ้างไหม แต่ก็ไม่เลย...นี่ไม่เท่ากับว่าเธอกำลังเล่นกับไฟเลยหรือ

            สาวคนเก่งทิ้งตัวลงกับพนักพิงแล้วคลึงขมับ พรุ่งนี้จะถึงวันนัดหมายกับเขาแล้ว เพียงเพราะแค่เขาบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงและมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเดอะดาร์กแฟนทอม เธอก็ตัดสินใจมาทั้งที่ไม่รู้จัก ไม่รู้ปูมหลังของเขามาก่อน เมื่อมาถึงแล้วจริงๆ เธอกลับไม่แน่ใจว่าเธอบ้าหรือดีที่ตัดสินใจมาหาเขาถึงที่นี่ แต่จะทำอย่างไรได้ นาทีนี้มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไปแบบไม่ประมาทเท่านั้น

             หลังจากกินอาหารเสร็จ อนินทิตาก็ออกจากห้องพักไปเดินสำรวจรอบๆ บริเวณ ด้วยความที่ย่านเซ็นทรัลเป็นย่านธุรกิจและที่ตั้งของอาคารสำคัญ ผู้คนทำงานมากกว่าย่านอื่นๆ คนที่พบเจอส่วนมากจึงเป็นพวกสาวพนักงานออฟฟิศหรือทำงานตามห้างสรรพสินค้า

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวขึ้นรถรางที่เปรียบดังสัญลักษณ์ของฮ่องกงวนไปเรื่อยๆ เพื่อสำรวจบริเวณที่พัก หาจุดที่จะซ่อนหรืออำพรางตัวได้หากมีอะไรผิดปกติแล้วถ่ายภาพไว้ ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวได้อย่างแนบเนียน

            คงเป็นเพราะมาทำคดีเดอะดาร์กแฟนทอม ทั้งยังได้ทำงานกับเจ้าหน้าที่อย่างแม็กซ์ เธอจึงติดนิสัยการวางแผนให้รอบคอบรัดกุมไว้ก่อนเหมือนอย่างเขาไปแล้ว ต่อให้รู้ดีว่าฝีมือไม่ถึงเขา แต่อย่างน้อยก็ทำให้เธอรู้สึกดีกว่าเดินเข้าไปหาเป้าหมายเฉยๆ โดยไม่คิดหาทางหนีทีไล่ใดๆ เลย

            อนินทิตากลับมาที่ห้องพักในตอนค่ำ สั่งอาหารขึ้นมากินอีกครั้งเพราะต้องการสารอาหารเข้าไปขับเคลื่อนสมองเล็กน้อย พอดีกับที่มีเสียงข้อความเข้าโดยไม่ระบุหมายเลขปลายทางอีกตามเคย หญิงสาวขมวดคิ้ว มองสถานที่นัดหมายและการนัดแนะของแหล่งข่าวแล้วก็พบว่าเขาน่าสงสัย จนเธอเริ่มหวั่นใจว่าเธอจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว คงต้องเดินหน้าต่ออย่างเดียวเท่านั้น

            คิดได้ดังนั้นสาวคนเก่งก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วส่งภาพถ่ายจากกล้องถ่ายรูปเข้าในแลปทอป แล้วเริ่มวางแผนสำรองสำหรับการหลบหนีหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาจริงๆ...เธอต้องรอด!

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจนมือใหม่อย่างอนินทิตาเริ่มใจสั่น ต่อให้วางแผนมาดีอย่างไร แต่เมื่อต้องลงมือตามลำพังก็ทำให้อดหวั่นใจไม่ได้ว่าเธอจะรอดไหม

            หญิงสาวออกจากโรงแรมที่พักแล้วเดินทางไปยังฮาร์เบอร์ซิตี เป้าหมายบอกว่าจะสวมแจ็กเกตสีแดงเข้มและยืนถือรูบิกอยู่ตรงถนนแคนตัน เธอสอดส่ายสายตามองหาเป้าหมาย แต่ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ผู้คนเยอะมาก ทั้งคนทำงานและนักท่องเที่ยว ทำเอาอนินทิตาตาลายเล็กน้อย หาอย่างไรก็หาไม่เจอ จนกระทั่งถึงเวลานัดก็ยังไม่เห็นเขา จนเธอเริ่มถอดใจเล็กน้อยว่านี่จะเป็นเรื่องตลกลวงโลกของพวกวัยรุ่นคึกคะนองอีกหรือไม่ ถ้าใช่...ไม่เท่ากับว่าเธอข้ามน้ำข้ามทะเลมาเสียเวลาเปล่าหรอกหรือ

            มือเล็กหยิบโทรศัพท์ออกจากเสื้อโคต ดูว่าเป้าหมายติดต่อมาบ้างหรือไม่ แต่ก็ไม่เลย เธออยากส่งข้อความบอกว่าเธอแต่งกายอย่างไร ยืนอยู่ตรงไหน เผื่อว่าเขาจะเป็นฝ่ายตามหาเธออยู่ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่เขาติดต่อมาก็ล้วนเป็นการปกปิดปลายทางทั้งสิ้น ทำเอาสาวคนเก่งมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ นอกจากยืนรอและพยายามมองหาเป้าหมายต่อไป จนกระทั่งเลยเวลานัดหมายไปกว่าสองชั่วโมง จนป่านนี้ยังไม่เจอ คาดว่าเธอคงโดนหลอกแล้วแน่นอน

            หญิงสาวกดโทรศัพท์โทร. หาเจฟฟ์ บอกว่าไม่ต้องหาข้อมูลชายสวมหน้ากากคนนั้นแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นพวกวัยรุ่นคึกคะนองเหมือนอย่างเคสอื่นๆ หลังวางสายจากเจฟฟ์แล้วอนินทิตาก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอเก็บโทรศัพท์และเดินกลับที่พักในสภาพคว้าน้ำเหลว

            ...

            นาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยงคืน ฟ้ามืดสนิท ทว่าแสงไฟจากท้องถนน เสาไฟ และตึกสูงระฟ้ายังคงส่องสว่างราวกับเป็นเมืองที่ไม่มีวันหลับใหล สายลมพัดกลิ่นไอทะเลลอยฟุ้ง ผู้คนมากมายเร่งรีบเดินข้ามถนนเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว หวังจะเดินทางไปยังสถานีรถไฟใต้ดินก่อนที่จะหมดเวลาเดินรถ

            ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นชายคนหนึ่งยืนซุ่มอยู่ในมุมมืด...และเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบๆ

            สัญญาณไฟสำหรับคนข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง ผู้คนหยุดเดิน บ้างก็ยืนบ่น บ้างก็ยืนเล่นโทรศัพท์มือถือรอคอยสัญญาณไฟให้คนข้ามอย่างสงบ รถราวิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็วแม้ว่าจะเป็นเวลาดึกแล้วก็ตาม

            อนินทิตายืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางผู้คนมากมาย ดวงตากลมโตกวาดมองไปทั่ว จนกระทั่งเห็นเป้าหมาย คือผู้ชายตัวสูงโปร่ง สวมเสื้อแจ็กเกตสีแดงเลือดหมูที่มีฮูดสีดำคลุมศีรษะ สวมแว่นกรอบสีชมพูเข้ม มือข้างหนึ่งถือรูบิกและเล่นมันด้วยมือเดียว ส่วนอีกมือซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุม

            นั่นใช่เป้าหมายของเธอใช่ไหม!

            ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อย จากที่ถอดใจไปแล้ว แต่พอเห็นเขา เธอก็มั่นใจว่าเป็นเป้าหมายที่ตามหามานานแน่นอน และชายคนนั้นก็อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนกับเธอนี่เอง ทำเอาหญิงสาวเหงื่อตก ทั้งที่ค่ำคืนนี้อากาศเย็น แต่เพราะเธอแทบรอเวลาที่จะได้พบเป้าหมายไม่ไหวแล้ว

            หญิงสาวรอจนกระทั่งสัญญาณไฟเขียวสำหรับให้ผู้คนเดินข้ามถนนเริ่มอีกครั้ง แล้วรีบตรงไปยังที่เป้าหมายยืนอยู่ทันที แต่...เขากลับหายไปแล้ว!

            “บ้าจริง” เธอสบถเบาๆ แล้วหันซ้ายหันขวา พยายามมองหาว่าเขาหายไปไหน แต่ก็ยังไม่เจอ จึงต่อสายหาเจฟฟ์ เธอต้องการข้อมูลให้มากที่สุดตอนนี้เลย

            “ก็คุณผิดคำพูดนี่คนสวย”

            หญิงสาวชะงักไปในทันที เพราะเสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เพื่อนของเธอ แต่กลับเป็นเสียงยียวนกวนประสาทของผู้ชายที่เป็นเป้าหมาย

            คนถูกจับได้หันขวับ เหลียวมองไปรอบตัวแต่ไม่เจอใคร ผู้ชายที่ถือรูบิกคนนั้นหายไปแล้วท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังเร่งเดินผ่านแยกแห่งนี้ก่อนจะสิ้นสัญญาณไฟ

            “ถ้าอยากเจอแฟนทอม คุณก็จะได้เจอ แต่คงต้องมี ‘บางอย่าง’ มาแลก...” ปลายสายหัวเราะเสียงเย้ยหยัน “แล้วเจอกันคนสวย”

            เขาตัดสายทิ้งไปทันที ทำเอาหญิงสาวหัวหมุนคว้าง เป็นครั้งแรกที่เธอมองไม่เห็นใครเลย ได้แต่หันไปรอบตัวนอกจากจะคว้าน้ำเหลว ไม่ได้ตัวคนที่อ้างว่าคือเดอะดาร์กแฟนทอม ยังเท่ากับว่าเธอเผยตัวให้ศัตรูรู้อีกต่างหาก

            “นี่!” หญิงสาวพยายามเรียก แต่ชายคนนั้นตัดสายไปและไม่ติดต่อมาอีก เพื่อนของเธอก็ขาดการติดต่อไปแล้วเช่นกัน หญิงสาวได้แต่หัวเสีย เธอเก็บโทรศัพท์แล้วเร่งฝีเท้าข้ามถนนได้ทันเวลา

            สาวร่างแบบบางเดินลัดเลาะตามมุมมืดของตึกสูง ทางลาดชันในย่านนี้ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด แต่การที่ติดต่อกับใครไม่ได้ทั้งยังเปิดเผยตัวกับเป้าหมายไปแล้วทำให้เธอไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป เธอต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะโดนเล่นงานตลบหลัง ทว่า...

            “อื๊อ!” ระหว่างที่จะเดินตัดสวนสาธารณะกลับไปยังที่พักก็กลับมีมือปริศนาเอื้อมมือมาปิดปากเธอเสียก่อน ทั้งยังลากเธอเข้าไปในตรอกเล็กแคบที่ยืนได้เพียงสองคนก็เบียดกันเต็มที่แล้ว

            หญิงสาวทั้งดิ้นทั้งร้อง อารามตกใจทำให้ไม่ทันตั้งสติ มือที่ปิดปากเธอไว้ทั้งหนาและกร้าน กลิ่นอายอันตรายแผ่ซ่านจากคนที่ยืนซ้อนหลัง ไม่ว่าเธอจะดิ้นรนอย่างไรเขาก็รู้ทันเธอทุกอย่าง ทั้งยังดันเธอไปติดผนังตึกอย่างแรง ใบหน้าหวานแนบไปกับผนังปูนเย็นเฉียบ แต่นั่นไม่ทำให้หนาวไปมากกว่าน้ำเสียงเย้ยหยันของคนที่กระซิบชิดใบหู

            “คุณอยากเจอแฟนทอมคนสุดท้ายนักไม่ใช่หรือ”

            “คุณ...” ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตระหนก ไม่คิดว่าจะถูกจู่โจมเร็วถึงเพียงนี้

            “อยากเจอแฟนทอม ก็ต้องเยือนถิ่นแฟนทอมนะรู้ไหม”

            ไม่ใช่แค่ลมหายใจร้อนๆ อย่างเดียวแล้ว ผู้ชายคนนั้นกดร่างเธอไว้อย่างแรงพร้อมกับขบเม้มใบหูอ่อนนุ่มเบาๆ จนหญิงสาวขนลุกเกรียว ต้องดึงสติกระเจิดกระเจิงให้กลับมาอีกครั้ง อนินทิตารวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายศอกใส่หน้าท้องเขาเต็มแรง แต่เขากลับยึดข้อศอกไว้แล้วจัดการพลิกร่างบอบบางให้หันกลับมาเผชิญหน้า เป็นโอกาสให้เธอได้มองหน้าเขาชัดๆ เท่านั้นเองดวงตากลมโตก็เบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง ไม่คิดว่าเป้าหมายจะเป็น...เขา

            ราม รามิเรซ!

            หนุ่มหน้าเข้มมาดกวนยิ้มชั่วร้าย ดวงตาวาววับเป็นประกายเหมือนสัตว์นักล่ายามค่ำคืน สองมือหนากดไหล่เล็กทั้งสองข้างตรึงกับผนังไว้มั่นจนสาวเจ้าขยับตัวไม่ได้ จากนั้นจึงก้มลงมากระซิบชิดใบหน้าอ่อนหวานด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์

            “ยินดีต้อนรับอย่างเป็นทางการ...อนินทิตา”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น