5

5

 

5

 

หากจะพูดถึงเรื่องนี้ จริงๆ แล้วคงต้องย้อนไปตั้งแต่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน

ตอนที่เจ้านายสาวของพวกเธอเปลี่ยนสถานะจากนางสาวกลายมาเป็นนางพรำพรรษ อรรคนีย์พิทักษ์ นายหญิงคนใหม่ของบ้านอรรคนีย์พิทักษ์ ภรรยาของอาคเนย์ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน และต้องเข้ามาฟาดฟันกับปัญหาวุ่นๆ แทบจะทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในตระกูลนี้ ซึ่งมีเงื่อนงำหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องดูแลคลี่คลาย

เริ่มจากคุณอกนิษฐ์ แม่สามี พอทราบข่าวของลูกชายคนรองแต่งงานจดทะเบียนสมรสแบบสายฟ้าแลบโดยไม่ปรึกษาใคร เธอก็รีบบินตรงจากต่างประเทศเพื่อมาดูลูกสะใภ้คนรอง...

ถูกแล้ว พรำพรรษเป็นสะใภ้รองของคุณอกนิษฐ์ อาคเนย์ยังมีพี่ชายอีกคนคือ อัคนีและพี่สะใภ้คือ ณัฐนาราหรือน้อยหน่า ที่จริงแล้วตำแหน่งผู้นำตระกูลนั้นควรต้องเป็นอัคนี ทายาทสายตรงที่คุณอัคคี คุณตาของพวกเขาซึ่งเป็นผู้นำตระกูลคนก่อนวางตัวเอาไว้

แต่ไม่รู้ด้วยความอินดี...ความกวนประสาท หรือความไร้ความรับผิดชอบที่ติดตัวมาแต่กำเนิดกันแน่ ทำให้ ‘ไอ้คุณอัคนี’ อดีตทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลอรรคนีย์พิทักษ์หนีหายไป สละตำแหน่งตัวเองให้อาคเนย์ผู้เป็นน้องชายต้องมารับผิดชอบความวุ่นวายภายในตระกูลแทน

และอาคเนย์ก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง เขามีความสามารถและศักยภาพพอที่จะประคองบริษัทที่กำลังซวนเซด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเกิดจากผลพวงของสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และยังพ่วงด้วยสงครามช่วงชิงพลังงานซึ่งปักหมุดในตำแหน่งสำคัญของโลกอีกหลายจุด ที่ยิ่งซ้ำเติมให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง แถมทั้งยังมีสงครามชิงอำนาจจากญาติสายรองภายในครอบครัว และความเชื่อมั่นอันสั่นคลอนจากความวุ่นวายของการเปลี่ยนตัวผู้บริหารที่กระทบกับความเชื่อมั่นจากสายตาคนภายนอกอีก ทำให้การรับตำแหน่งผู้นำตระกูลของอาคเนย์ครั้งนี้สุดแสนสาหัสยิ่งกว่าที่ใครจะคาดคิด

แต่อาคเนย์ก็ทำในสิ่งที่เหนือกว่าใครจะคาดเดาได้เข้าไปอีก ด้วยการใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็ผ่านจุดนั้นมาได้ จนทำให้ตระกูลอรรคนีย์พิทักษ์ผงาดกลับขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ของกลุ่มทุนที่มีทรัพย์สินรวมกันติดอันดับท็อปเทนของประเทศ

พูดถึงแล้ว...ระหว่างอาคเนย์กับพรำพรรษก็เหมือนมีจุดเชื่อมโยงบางอย่างที่คล้ายกันอยู่บ้าง

พรำพรรษนั้นเป็นผู้บริหารของบริษัทพีเคกรุ๊ปมาเป็นเวลาถึงเจ็ดปี...เป็นประธานบริหาร...ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีหุ้นส่วนอยู่ในนั้นเลยด้วยซ้ำ!

หญิงสาวเข้าไปเป็นผู้บริหารบริษัทที่กำลังซวดเซนั้นจนผ่านพ้นวิกฤติ กลายเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการเฉียดพันล้านได้...แทบจะด้วยมือเปล่าด้วยซ้ำไป

สิ่งเดียวที่เกี่ยวพันระหว่างพรำพรรษกับบริษัทพีเคกรุ๊ปคือ ภาสกร เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นไม่เคยเกินเลยไปกว่าคำว่า เพื่อน หรือที่จริงมันแค่ความผูกพันของคนรับจ้างทำรายงานกับลูกค้ากระเป๋าหนักที่ยัดเยียดงานเรียนทุกอย่างให้ ภาสกรผูกปิ่นโตการทำรายงานด้วยค่าจ้างก้อนโตเพื่อให้พรำพรรษตั้งใจทำงานให้ตัวเอง ตั้งแต่รายงานวิชาต่างๆ ไปถึงการติวและเก็งข้อสอบ จวบจนการทำทีสิสและช่วยบรีฟการพูดพรีเซนต์ต่อหน้าคณะอาจารย์เพื่อเรียนจบออกมาได้ด้วยคะแนนค่อนข้างดี

คนหนึ่งนั้นเรียนไม่เก่ง หัวไม่ดี และไม่มีทั้งความขยันหรืออดทน มีเพียงเงินของพ่อแม่ให้ผลาญไม่มีหมด กับอีกคนที่เก่งฉลาดคล่องแคล่วไปทุกหมวดวิชา แต่ไร้เงินทุนการศึกษาโดยสิ้นเชิง มันคือการจับคู่ที่ลงตัว วิน-วินทั้งสองฝ่าย และที่ถูกต้องคือควรแยกย้ายกันไปเมื่อหมดผลประโยชน์

เพราะเมื่อพรำพรรษเรียนจบ ด้วยความสามารถระดับเธอย่อมหางานและความก้าวหน้าในอาชีพได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ส่วนภาสกร...ไอ้ลูกคุณหนูไร้สมองที่จบมาได้ด้วยเงินของพ่อกับแม่พรรค์นั้น...ย่อมต้องไม่มีความสามารถอะไรติดตัวอยู่แล้ว นอกจากระดาษแผ่นวุฒิการศึกษาที่ใช้เงินซื้อมา

แต่...พรำพรรษสนที่ไหน เพราะถึงยังไงภาสกรก็ยังมีบริษัทของพ่อตัวเองให้เกาะกินไปชั่วชีวิต และพวกนักบริหารมืออาชีพที่รายล้อมอยู่ต้องไม่ยอมให้ไอ้หมอนั่นทำจนบริษัทเจ๊งอยู่แล้วแหละน่า

แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นดังหวัง เมื่อภาสกรซึ่งชินแล้วกับการเรียกหาใช้งานพรำพรรษจนเคยตัวดึงตัวหญิงสาวมาทำงานที่บริษัทด้วย

...ทีแรกนั้นเป็นการฝึกงานช่วงก่อนจบการศึกษา

ซึ่ง...การไม่ต้องวิ่งไปหาสมัครตามบริษัทอื่นๆ เองก็สบายดี อีกอย่างพีเคกรุ๊ปในตอนนั้นนับว่าเป็นบริษัทมั่นคงที่ช่วยส่งเสริมโพรไฟล์ให้เธอได้ว่า เคยผ่านการฝึกงานในบริษัทใหญ่ๆ องค์กรดีๆ มาแล้ว

พรำพรรษคิดอย่างคนชอบวางแผนหลายต่อ เธอจึงยอมมาตามคำชวนของภาสกร ใช้ช่วงเวลาของการเป็นนักศึกษาฝึกงานที่นี่ โดยตั้งใจไม่ใช้เส้นสายอะไร เธอพยายามขออยู่ในแผนกทั่วไป และไม่ยอมบอกใครว่ารู้จักกับลูกชายท่านประธานบริษัทด้วยซ้ำ

แต่อนิจจา...กลับเป็นภาสกรที่ฝึกงานในตำแหน่งรองประธานบริษัทแต่ดันทำไม่ไหว จนต้องออกคำสั่งเรียกตัวพรำพรรษจากแผนกวิจัยทั่วไป ให้ขึ้นไปช่วยงานเขาที่แผนกบริหารซะงั้น

หลังจากเรียนจบท่านประธานที่เริ่มรู้จักมักคุ้นกันกับเธอตลอดหลายเดือนที่พรำพรรษฝึกงาน ก็เห็นเค้าลางรำไรถึงความไม่ได้เรื่องของลูกชายตัวเอง คุณปกรณ์ ประการณานนท์ จึงได้ขอให้พรำพรรษมาอยู่ช่วยภาสกรต่อ เผื่อจะสอนให้เขาเป็นงานขึ้นมาบ้าง 

ด้วยการขอร้องของคุณปกรณ์กับผู้บริหารผู้ใหญ่อีกหลายคนที่เริ่มคุ้นเคยกัน ทำให้หญิงสาวเกรงใจจนปฏิเสธไม่ลง เธอจึงเซ็นสัญญาจ้างงานชั่วคราวเป็นผู้ช่วยผู้บริหารเป็นกรณีพิเศษ ด้วยระยะจ้างงานเพียงหกเดือน และหากจะต่อสัญญาก็ไม่น่าจะเกินปีหนึ่ง ภาสกรก็น่าจะยอมจดจำการทำงานของตัวเองได้แล้ว...มั้ง!?

เปล่าเลย!

จนเกือบครึ่งปีผ่านไป ภาสกรไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นสักนิดในการทำงาน

แต่ที่เปลี่ยนแปลงกลับกลายเป็นคุณปกรณ์ที่ตรวจพบโรคร้ายซึ่งไม่มียารักษาและอาการก็ลุกลามรวดเร็วจนแทบไม่เหลือเวลาให้เตรียมการใดๆ ได้ทัน คุณปกรณ์ตัดสินใจครั้งสุดท้ายในฐานะผู้บริหาร...มอบหน้าที่ประธานบริษัทให้พรำพรรษด้วยเงื่อนไขว่าระยะเวลาคือจนกว่าภาสกรจะพร้อมรับตำแหน่งนั้น...ท่ามกลางความขัดแย้งของบอร์ดบริหาร และพิษเศรษฐกิจจากสถานการณ์เดียวกันกับที่อาคเนย์ต้องผจญนั่นแหละ

แต่ด้วยความเข้มแข็งและหลักแหลมเกินมนุษย์มนาของหญิงสาว ที่ได้รับสมญานามว่านางมารร้าย เธอเปล่งศักยภาพออกมาจนทำกำไรทะลุเพดานให้บริษัท ทำให้ไม่มีใครสามารถหาข้อโต้แย้งมาถอดถอนเธอได้ จนยอมรับกันไปโดยปริยายว่า พรำพรรษนั้นมีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง

แต่...การทำงานแทน ‘คนอื่น’ อยู่ตั้งหกเจ็ดปีนั้นก็เกินกว่าการรับปากเพราะเกรงใจกันไปมากนัก

พรำพรรษใช้เงินเก็บของตัวเองเปิดบริษัทส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับพีเคกรุ๊ปไว้ให้ตัวเองสองบริษัท จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาและคอนเนกชันที่ได้รับติดตัวมาจากตำแหน่งประธานพีเคกรุ๊ป มันก็เป็นผลพลอยได้เล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้นับว่ามากไปนัก หากจะเทียบกับที่เธอไม่เคยได้มีหุ้น หรือผลประโยชน์พิเศษใดๆ เลยจากการรับตำแหน่งประธานแทนภาสกร นอกจากเงินเดือนและโบนัสอันสมเหตุสมผล กับ...บรรดาเลขาฯ และผู้ช่วยที่เธอเรียกเอาพวกผู้เชี่ยวชาญต่างๆ มาไว้ใช้งานด้วยเงินเดือนสูงลิ่ว 

หญิงสาวเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย กล้าจ้าง กล้าซื้อตัวคน และผลตอบแทนที่ได้รับมักคุ้มค่าเกินราคาที่ลงทุนไปตั้งไม่รู้กี่เท่า ทำให้บรรดาบอร์ดบริหารที่แม้จะขุ่นเคืองเพียงใด แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธผลประกอบการที่พุ่งทะยานทะลุกราฟ จนต้องยอมปิดปาก ไม่อาจบ่นว่าวิธีทำงานของพรำพรรษได้

แต่คนเรา...ยังไงความอดทนก็มีจุดสิ้นสุด

ด้วยภาสกรที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย บ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาทำงานของตัวเองสักที

ด้วยอายุของพรำพรรษที่เฉียดๆ จะไปแตะเลขสามแล้ว

แม้ในสายตาคนภายนอกจะยกย่องว่าเธอประสบความสำเร็จแค่ไหน แต่พรำพรรษรู้ดีแก่ใจว่าความสำเร็จอันนี้มิใช่ของตน

และเธอก็ไม่ได้มีความคิดที่จะยักยอก หรือยึดเอาบริษัทพีเคกรุ๊ปมาไว้เป็นของตัวเองเสียด้วย

ดังนั้นในสายตาของหญิงสาวจึงเห็นแต่เพียงว่า...นอกจากบริษัทเล็กๆ สองบริษัทที่เปิดไว้ในชื่อตัวเองแต่ยังไม่ว่างไปดูด้วยตาตัวเองเลยด้วยซ้ำ นอกนั้นชีวิตเธอช่างว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ผู้หญิงอายุจวนสามสิบที่ยังไม่ได้เริ่มงานของตัวเอง ยังไม่ได้เริ่มสร้างหลักฐานอันมั่นคงให้ตัวเองเลย...มันไม่ใช่ความน่าสมเพชหรือไร

คนทั่วไปเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่คนอย่างพรำพรรษไม่สามารถอดทนได้ ต่อให้คุณภัสตราภรณ์ มารดาของภาสกรจะยื่นข้อเสนอเป็นการเพิ่มเงินเดือน หรือแม้แต่เปอร์เซ็นต์หุ้น...ซึ่งควรจะมอบให้ด้วยความเห็นคุณค่ากันมาตั้งหลายปีแล้วไหม ไม่ใช่นำมาใช้เป็นเงื่อนไขยื้อเวลาหลอกใช้งานกันแบบนี้

สายตาคมกริบของพรำพรรษแทบอ่านทะลุทะลวงเข้าไปในทุกขดของเซลล์สมองของคนฝั่งพีเคกรุ๊ปได้อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเสนออะไรมา ล้วนไม่ทำให้หญิงสาวหวั่นไหวสักน้อยนิด

จนคุณภัสตราภรณ์ต้องใช้มาตรการสุดท้าย...

ประกาศการหมั้นและรวบรัดเตรียมจัดงานแต่งงานระหว่างพรำพรรษกับภาสกรเสียเลย หญิงสาวจะได้ดิ้นหนีไปไหนไม่ได้ แน่นอนว่าพรำพรรษปฏิเสธ แต่คุณภัสตราภรณ์ก็ไม่ยอมรับการปฏิเสธนั้น

กับภาสกรยิ่งแล้วใหญ่ ชายหนุ่มลอยตัวหนีปัญหาโดยไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้พรำพรรษและมารดาตัวเองตกลงกันเอาเอง ถ้าคุณภัสตราภรณ์ชนะ เขาก็แต่งงานกับพรำพรรษ หากพรำพรรษชนะคุณภัสตราภรณ์ได้ เขาก็ยกเลิกงานแต่งงานอย่างไม่มีปัญหา

ปัญหาคาราคาซังนั้นดำรงอยู่จนกระทั่ง...พรำพรรษได้พบกับอาคเนย์

นาทีนี้...คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าโลกนี้มีเรื่องการชักพาของพรหมลิขิตจริงๆ 

ไม่อย่างนั้นผู้หญิงบ้างานที่ซ่อนตัวอยู่ในชุดสูทเชยๆ หนาๆ ยาวคลุมตาตุ่ม สวมแว่นหนาป้าๆ และมวยผมทรงคุณยายซึ่งหลบอยู่บนยอดตึกออฟฟิศ ไม่ยอมออกไปไหนมาตั้งเจ็ดปี จะพาตัวเองออกจากเซฟโซนไปเจอกับผู้ชายสเปกเทพตลาดบนๆ สุดของประเทศที่ในเพนต์เฮาส์สุดหรู ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาที่สุดในประเทศนี้ได้ยังไง!

แม้จะเป็นการพบกันสั้นๆ เพียงสองวัน แต่อาคเนย์ก็ไม่ยอมปล่อยให้พรำพรรษหลุดมือไปไหนได้อีก เขาใช้ทุกวิธีการ ทุกคอนเนกชัน และจะเรียกว่าทุกแผนการร้ายก็ว่าได้ โดยไม่สนใจด้วยว่ามันผิดกฎหมายหรือเปล่า

สรุปคือ...พี่แกทำทุกวิถีทางให้นางมารร้ายหนีไปไหนไม่รอด

กว่าที่พรำพรรษจะรู้สึกตัว ก็โดนจับจดทะเบียนสมรสไปแล้วเรียบร้อย ตัดหน้าแผนจับตัวพรำพรรษมาแต่งงานของคุณภัสตราภรณ์ไปแบบไม่เห็นฝุ่น

แถมเขายังบังคับให้ภาสกรต้องยอมรับบริษัทพีเคกรุ๊ปกลับไปบริหารเอง ปลดปล่อยพรำพรรษให้เป็นอิสระ...

อิสระที่ไหนกัน!?

พอเขาชิงตัวพรำพรรษมาได้ ก็ไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตาจนแทบจะตัวติดกันอยู่แล้ว 

พรำพรรษหรืออีกนัยหนึ่งคือนางมารร้ายของลูกน้อง แต่กลับกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ไปแล้วสำหรับอาคเนย์ สามีที่ร้ายกาจกว่า หญิงสาวพร้อมกับเลขาฯ ทั้งสามคนถูกอาคเนย์พาตัวมาขังไว้ข้างกายเขาที่บ้านอรรคนีย์พิทักษ์ คฤหาสน์เก่าแก่ประจำตระกูลที่ทรงอิทธิพลทั้งอำนาจและเงินตรา

แม้อาคเนย์จะดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน แต่ก็ยังมีคนที่มีอำนาจเหนือกว่าเขาขั้นหนึ่งให้ต้องรอพบเพื่อแสดงตัวพรำพรรษในฐานะลูกสะใภ้คนรอง

ข่าวการแต่งงานสายฟ้าแลบ ชิงจดทะเบียนสมรสแบบจับพรำพรรษมัดมือชกโดยไม่ได้ปรึกษาใครนั้น ถูกส่งถึงคุณอกนิษฐ์ มารดาของอาคเนย์ ทำให้คุณแม่สามีต้องทิ้งทริปทัวร์ยุโรป รีบจับเครื่องบินกลับมาในทันที เพื่อมาดูหน้าลูกสะใภ้และแสดงความเป็นแม่สามีอย่างจะให้เห็นดีกันไปเลย

แต่ในระหว่างนั้น...ต้องรักมันดันไปเห็นผีแม่ครัวในบ้านอรรคนีย์พิทักษ์เข้า จึงทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตตามมาเพราะข่าวลือเรื่องมีผีในครัวก็ไปเข้าหูคุณอกนิษฐ์เข้าอีกที

แม่สามีจึงได้โอกาสโขกสับสะใภ้ใหม่ โดยโยนภารกิจสุดหินมาให้พรำพรรษหาทางแก้ปัญหา ด้วยการกำหนดจัดการเลี้ยงพระทำบุญบ้านแบบปุบปับภายในสามวัน ซึ่งมีทั้งต้องจัดหาอาหารจัดเลี้ยงเป็นร้อยที่ และอาหารนั้นยังต้องเป็นรสชาติเดียวกันกับที่แม่ครัวเก่าที่ตายไปแล้วเป็นคนทำอีก

ถถถถ...

ก็...แม่ครัวเดียวกันกับผีแม่ครัวที่ต้องรักมันเผลอไปคุยด้วยนั่นแหละ!

คงไม่ต้องบอกแล้วมั้ง ว่ารสชาติมันจะออกมาเป็นไง ในเมื่อมีคนเห็นผีไปถามและจดสูตรมาให้จากเจ้าของสูตรออริจินัลตัวตายๆ น่ะ

ต่อจากงานครัวยังมีเรื่องที่สาหัสกว่านั้นคือ...งานดอกไม้และมาลัยลวดลายเฉพาะที่รังสรรค์ขึ้นอย่างประณีตบรรจงจากบรรพบุรุษสตรีของตระกูลที่เคยมีชีวิตอยู่ตอนสมัยรัชกาลที่ห้า!

คือ...ต้องทำดอกไม้โดยแกะลายจากงานโบราณสมัยที่รูปถ่ายยังเป็นขาวดำอยู่เลย

แต่...บอกแล้วไงไม่มีคำว่าทำไม่ได้ในสารบบของพรำพรรษ!

เจ้านายสาวจอมโหดใช้ให้ต้องรักไปตกลงขอความช่วยเหลือจากผีคุณทวดจนไปๆ มาๆ เลขาฯ สาวกลายเป็นถูกวิญญาณคุณทวดเข้าสิง สอนทำดอกไม้อยู่ตั้งสองวันสองคืน!

หลังจากภารกิจนั้นจบลงพรำพรรษก็ให้รางวัลต้องรักโดยการให้เลขาฯ สาวลาพักร้อนได้สองสัปดาห์ และให้ตั๋วเครื่องบินพร้อมพ็อกเกตมันนีไปเที่ยวที่ไหนก็ได้

...มันเหมือนจะดีนะ…ถ้าไม่มีคำว่าถ้าหากว่า...

ถ้าหากว่า...วันทำบุญบ้านวันนั้นจะเป็นแค่พิธีทำบุญเลี้ยงพระของบ้านอรรคนีย์พิทักษ์เพียงอย่างเดียว

ในวันงาน นอกจากบรรดาญาติๆ ในตระกูลอรรคนีย์พิทักษ์หลายสิบชีวิตที่เข้ามาร่วมงานแล้ว คุณอกนิษฐ์ยังฉวยโอกาสสร้างการพบปะลับๆ กับกลุ่มบุคคลอีกชุดหนึ่ง เนื้อหาที่พวกเขาพบปะพูดคุยกันนั้น แม้จะยังไม่ได้ลงรายละเอียดลึก แต่รายชื่อของคนฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มารวมกันนั้นอาจทำให้ฝ่ายความมั่นคงจับตามองได้เลยทีเดียว

เพราะเหตุนี้ทำให้อัคนี...พี่ชายผู้ลึกลับของอาคเนย์ที่หายหัวไปไม่ยอมติดต่อที่บ้านนานแล้วยอมเปิดเผยตัวออกมา เขายกพวกพาภรรยาและบรรดาลูกน้องเข้ามายึดพื้นที่บ้านพักชั้นเพนต์เฮาส์ของอาคเนย์เป็นฐานปฏิบัติการในภารกิจสอดแนมมารดาตัวเอง

คือ...นอกจากคิดร้ายกับแม่ตัวเองแล้ว เจ้าตัวยังเพิ่มโจทก์เข้าไปโดยไม่รู้ตัว หรือไม่งั้นก็รู้อยู่หรอก แต่โนสนโนแคร์แต่ประการใดว่า ฝ่ายเจ้าของบ้านจะมองค้อนพวกเขาจนตาคว่ำ

พี่ชายผู้ไร้ความรับผิดชอบของอาคเนย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับ ปากจัด นิสัยไม่ดี และมีวงจรชีวิตอันเหลือที่พรำพรรษจะทานทน จนต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับเขาให้ได้

อัคนีเป็นคนไร้ความรับผิดชอบที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขาเป็น ‘อดีต’ ผู้นำตระกูลอรรคนีย์พิทักษ์ที่ปัจจุบันผลักภาระให้อาคเนย์ต้องรับตำแหน่งนั้นแทนตัวเองอย่างหน้าตาเฉยที่สุด

หลังจากเรียนจบจากเมืองนอก เขาก็แอบหนีคนที่บ้านไปสมัครเข้าเป็นทหารเกณฑ์...ไม่รู้ว่าเขาไปเจอการฝึกแบบไหนถึงหลงใหลไปกับอาชีพนั้นสุดกู่ นอกจากจะได้ภรรยาเป็นลูกสาวท่านนายพลที่มีความเป็นเลือดทหารเข้มข้นแล้ว อัคนียังทำตัวลึกลับล่องหนหายตัวไปจากวงจรชีวิตคนปกติ

แต่...ก็พอจะเดาได้แหละว่า แม้เขาไม่ได้มียศทหาร แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไม่เกี่ยวพันกับหน่วยงานใดสักหน่วยหนึ่ง...อย่างลับๆ และไอ้หน่วยงานที่ใช้งานเขานั้นต้องเกี่ยวพันกันกับหน่วยงานความมั่นคงใดสักหน่วยที่น่าจะใช้ให้เขามาปฏิบัติการล้วงความลับจากแม่เขาเองอีกที...

แถมยังมีหน้ามาลอยหน้าลอยตาเอางานบ้าๆ บอๆ ของเขามาสร้างภาระให้อาคเนย์ได้อีกต่อ

พรำพรรษถึงกับมีคำสั่งพิเศษให้ดนตร์ไปสืบมาว่า ‘เบื้องบน’ ของอัคนี...สังกัดของเขาคือที่ไหนกันแน่ นางมารร้ายต้องการรู้ให้ได้ เพื่อชิงความได้เปรียบ หากมีการปะทะกับพี่ชายสามีตัวเอง จะได้หาหนทางกดดันจากต้นสังกัดที่เหนือกว่าเจ้านายเขา ให้มาบีบบังคับอัคนีอีกทีหนึ่ง

...วิธีทำงานเหนือมนุษย์มนาแบบนี้คงมีแต่ผู้หญิงเจ้าแผนการคนนี้แหละที่คิดออกมาได้

แต่...ช่างน่าประหลาดนัก แม้ว่าจะเป็นสายข่าวที่ดนตร์ใช้เส้นสายของลูกน้องคุณพ่อเธอซึ่งเป็น ผบ.ตร. ก็แล้ว แต่ไม่อาจสืบหาได้เลยว่า ‘หัวหน้า’ หน่วยงานที่อยู่เหนืออัคนีขึ้นไปนั้นเป็นใครกันแน่

แต่...มันก็เพิ่งแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ดนตร์เชื่อว่ายังไงสายข่าวของลูกน้องพ่อเธอต้องขุดคุ้ยเอาเบื้องลึกของอัคนีออกมาจนได้แหละ

‘ระหว่างนี้...’ คนคิดกรีดรอยยิ้มร้ายมุมปาก

ระหว่างนี้ก็ให้นางมารร้ายถูกรบกวนจนคลุ้มคลั่งไปก่อนละกัน จะได้ไม่มีเวลามาคิดแผนร้าย หรือหางานยากๆ มาสุมใส่ให้บรรดาเลขาฯ ต้องเหนื่อยหนักนัก ซึ่งส่วนใหญ่คนที่เหนื่อยหนักก็ไม่พ้นเธอสองคนนี่แหละ

ปราย เลขาฯ สาวอีกคนมีความสามารถเฉพาะทางในเรื่องใช้งานสาวๆ จากมอเดลลิงตัวเองในการช่วยเหลือเจ้านาย ไม่ว่าจะเป็นการหาข่าวภายใน หรือการเอนเตอร์เทนลูกค้าสายหื่น เป็นคนเอาตัวรอดเก่งเป็นที่สุด แถมวันนี้ยังหนีกลับบ้านไปแล้วด้วย 

ดังนั้นเพื่อความสบายขึ้นสักเล็กน้อยของพวกเธอ ดนตร์จึงไม่สอดมือเข้าไปอำนวยความสะดวกอื่นใดให้พรำพรรษมากเกินกว่าที่เจ้านายสาวร้องขอ

 

ย้อนกลับไปหลังจากวันทำบุญบ้านอรรคนีย์พิทักษ์ได้สามวัน ต้องรักก็ได้รับวันหยุดพิเศษสองสัปดาห์

การได้รับวันหยุดยาวจากพรำพรรษนั้นยากเย็นนักหนา แถมยังมีโบนัสพิเศษจากอาคเนย์อีก นี่มันสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลกชัดๆ

แม้จะฉุกละหุกไปบ้าง แต่ต้องรักก็รีบเก็บกระเป๋า และด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจากคนของอาคเนย์ก็หาตั๋วเครื่องบินได้ในเวลาอันรวดเร็ว 

กำหนดบินที่กระชั้นเกินไป อีกทั้งทุกคนยังยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลาไปส่ง แต่ต้องรักก็ไม่ได้น้อยใจหรือมีปัญหาอะไร หญิงสาวตรงดิ่งอย่างลิงโลดไปสนามบิน เช็กอิน และดูแลตัวเองได้อย่างเรียบร้อย การเป็นเลขาฯ ของพรำพรรษทำให้เคยไปติดต่องานที่ต่างประเทศอยู่บ้าง อีกทั้งภาษาอังกฤษของเธอก็ดีพอจะดูแลตัวเองได้ตลอดรอดฝั่ง

หญิงสาวคุ้นชินกับการเดินทางคนเดียวมานานแล้ว การทำงานกับพรำพรรษนั้น อย่าได้ฝันถึงการได้ไปเที่ยวพักผ่อนรื่นเริงเป็นหมู่คณะเลย

แม้จะมีเงินเดือนและโบนัสมากพอจะไปเที่ยวไกลๆ แต่มักต้องต่างคนต่างไปเพียงลำพัง วันลาอันเลื่อนแล้วเลื่อนอีกตามความสะดวกของตารางงานอันไร้ช่องโหว่ให้หายใจของเจ้านาย ทำให้เหล่าเลขาฯ ต้องผลัดกันลาไม่ให้ตรงกันเสมอ แน่นอนว่าการจองทัวร์นั้นเลิกคิดไปได้เลย เพราะกำหนดการอันไร้กำหนดของพรำพรรษผู้ฉวยโอกาสทางธุรกิจได้ก่อนใครเสมอนั้น มักทำให้ไม่มีใครจองทัวร์ไปเที่ยวได้สำเร็จสักครั้ง

ดังนั้นเมื่อเครื่องบินยกตัวขึ้นจากรันเวย์ อันเป็นการการันตีว่าไม่มีทางที่ใครจะทำลายเที่ยวบินนี้ลงได้แล้ว...ต้องรักก็ทิ้งตัวลงพิงเบาะอย่างวางใจ คว้าเอาที่ปิดตาลายการ์ตูนอันโปรดมาคลุมตาไว้ จากนั้นจึงเข้าสู่นิทราอันรื่นรมย์ ฝันถึงสถานที่แปลกใหม่ และการผจญภัยที่ไม่เคยพบมาก่อน

นั่นเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปของต้องรัก...

ถ้ารู้ว่าหลังจากเครื่องบินลำนั้นบินขึ้นแค่ไม่ถึงชั่วโมงก็เกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้นเสียก่อน ต้องรักไม่มีทางปิดตาหลับไปได้อย่างสบายใจแบบนี้แน่

...

ต้นเหตุแห่งความปรี๊ดแตกจนจิตหลุดของนางมารร้าย ส่วนหนึ่งนั้นมีสาเหตุมาจากอัคนีกับน้อยหน่าและลูกน้องทั้งฝูงก็จริง แต่สาเหตุหลักที่ทำให้นางมารร้ายถึงขั้นนอตหลุดนั้น...เกิดขึ้นหลังจากต้องรักออกเดินทางไปแล้ว เครื่องบินขึ้นไปยังไม่ทันถึงชั่วโมงดี ประตูห้องพักชั้นเพนต์เฮาส์ของอาคเนย์ก็ได้ต้อนรับแขกไม่ได้รับเชิญอีกคนหนึ่ง

แขกไม่ได้รับเชิญ...นอกเหนือจากอัคนีกับน้อยหน่าและฝูงลูกน้องของพวกเขา

ผู้มาเยือนคราวนี้เป็นหญิงสาวร่างโปร่งบางในชุดแบรนด์เนมคอลเล็กชันล่าสุดที่ยังไม่มีวางขายในเมืองไทย แต่ยิ่งกว่าใบหน้าสวยเฉี่ยว หรือความแพงของเครื่องแต่งกายนั้นคือ...เด็กหญิงอายุราวสามหรือสี่ขวบที่เธออุ้มอยู่ในอ้อมแขน

ผู้มาเยือนถอดแว่นกันแดดออก กวาดตาคมกริบที่กรีดอายไลเนอร์จนคมมองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“คุณวิญญ์ สวัสดีค่ะ” ดนตร์เป็นคนเริ่มต้นการทักทายแขกแทนทุกคนที่ยังงุนงงอยู่

พื้นฐานทางบ้านของเลขาฯ สาวสองนั้นคลุกคลีอยู่กับวงสังคมไฮโซพอสมควร บวกกับการทำงานให้พรำพรรษที่ต้องเคยติดต่อผู้คนทุกระดับชั้น และจดจำบุคคลสำคัญในแวดวงธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ทำให้แวบแรกที่เห็นเธอก็จำได้ในทันทีว่า แขกไม่ได้รับเชิญตรงหน้านั้นคือ วิญญ์ วิชญ์วาโย สาวไฮโซที่ฐานะทางบ้านมีทรัพย์สินติดอันดับประเทศพอๆ กับอาคเนย์ เธอจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปรับหน้าหญิงสาวผู้มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมายนั้นก่อนใคร

วิญญ์กวาดตามองสาวสวยตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า สำหรับหญิงสาวแล้ว คนที่เธอจะจดจำไว้ในสมองและให้ความสำคัญพอจะคุยด้วยนั้นต้องเป็นคนในระดับเดียวกัน หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นคนที่ให้ผลประโยชน์มหาศาลตอบแทนมาได้เท่านั้น นอกนั้นในสายตาเธอล้วนเป็นอากาศธาตุหมด ไม่เว้นแม้แต่ลูกชายท่าน ผบ.ตร. ที่แม้จะมีทรัพย์สินหลักร้อยหรือพันล้านก็ตาม ยังต้อยต่ำเกินกว่าที่เธอจะใส่ใจบันทึกไว้ในความทรงจำ

“คุณวินนี่ ทำไมถึงมาที่นี่ได้คะ” น้อยหน่าผละจากงานตัวเอง หันตัวเดินมาหาหญิงสาวผู้เป็นหุ้นส่วนในบริษัทที่เธอเปิดไว้ร่วมกัน หลายปีมานี้สองสาวค่อนข้างใกล้ชิดกันทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว

วิญญ์ปรายตาไปทางน้อยหน่านิดหนึ่งก่อนกวาดตาไปรอบห้องอีกครั้งเหมือนมองหาอะไรหรือใครสักคน

สีหน้าคือ...เหวี่ยงมากแม่ ก่อนเธอจะอ้าปากเอ่ยออกมาเสียงห้วน

“มาตามผัว!”

สรรพเสียงรายรอบตัวพลันเงียบกริบ เงียบจนเหมือนทุกคนลืมหายใจ ยกเว้นไว้แค่เสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยในอ้อมแขนของวิญญ์เท่านั้นที่เหมือนไม่รับรู้ถึงความตึงเครียดของบรรยากาศที่ปะทุขึ้น 

พรำพรรษเงยหน้าขึ้นช้าๆ จากหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ดูงานอยู่ เธอเห็นและรับรู้แล้วว่าวิญญ์มา แต่เมื่อเห็นดนตร์เข้าไปรับหน้าแล้วจึงไม่ได้ให้ความสนใจนัก

แต่ตอนนี้...หญิงสาวเริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ความสนใจของเธอ...หญิงสาวหันหน้าไปทางโซฟาที่สามีนั่งอยู่เยื้องจากโต๊ะประชุมตัวใหญ่ที่เธอกำลังนั่งทำงาน

อาคเนย์เองก็เพิ่งเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอสมาร์ตโฟนที่ดูงานอยู่ ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านกวาดสายตาคมกริบเข้าใส่แขกไม่ได้รับเชิญผู้กระเตงเด็กหญิงมาตามหา...สามี หรือที่เธอเรียก ‘ผัว’ อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่มาตามหาคนที่เอ่ยถึงที่นี่...ที่บ้านเขา มันชวนให้คิดไปได้แค่ไม่กี่ทาง และทางที่เหมือนจะเป็นไปได้สุดนั้นทำเอาพรำพรรษขึงตา จิกสายตามารร้ายใส่เขาอย่างไม่ออมรังสีอำมหิต

“มาตามหา...ใครนะ” อาคเนย์ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา จิกสายตาอำมหิตเข้าใส่หญิงสาวตรงหน้า ขณะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แผ่รังสีกดดันออกมาเต็มที่

วิญญ์ตวัดตาคมๆ ที่มีรอยเกรี้ยวกราดมองเขา ดวงหน้าสวยเฉี่ยวเชิดขึ้น ทำท่าเหมือนเตรียมจะปะทะคารมใส่แล้ว ถ้าไม่มีมือคู่หนึ่งยื่นมาจากด้านหลังเธอ ช้อนตัวเด็กหญิงในอ้อมแขนออกไป พร้อมเสียงห้าวที่ดังขึ้นข้างตัว

“ข้างนอกอันตราย พาลูกออกมานอกบ้านทำไม บอดีการ์ดก็ไม่พามา” คำถามจากชายร่างสูงที่ยื่นมือมาอุ้มเด็กหญิงออกมาจากวิญญ์ ทำให้หญิงสาวชะงักอารมณ์ที่กำลังจะปะทะใส่อาคเนย์ได้ชะงัด

พอเด็กหญิงอยู่ในอ้อมแขนเขา ก็โผเข้าโอบคอเขาไว้แน่น เรียกหาปาป๊าไม่ขาดปาก

“ลูกคิดถึง...เรียกหาแต่คุณ” วิญญ์หันมาตอบคำถามชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่อัตราการเหวี่ยงลดลงเหลือศูนย์ในทันที ท่ามกลางสายตาตะลึงงันของคนเกือบทั้งห้อง ยกเว้นไว้แค่ทีมของอัคนี เพราะชายหนุ่มที่วิญญ์มาตามหานั้นคือผู้ชายชื่อเกรย์ ลูกน้องคนหนึ่งของอัคนีที่มาทำงานเข้าออกที่นี่หลายวันแล้ว

เขาเป็นผู้ชายร่างผอมสูงสวมในชุดเชิ้ตกับกางเกงสแล็กที่เรียบง่ายเหมือนคนเดินถนนทั่วไป แต่ก็สามารถไปอยู่ในสถานที่เป็นทางการได้โดยไม่ดูขัดตา ดวงหน้าเรียบนิ่งดูไม่สะดุดตาใดๆ ยกเว้นดวงตาสีสนิมเหล็กคู่นั้นที่ทอประกายวาววับด้วยรอยอันตรายจางๆ

เว้นไว้แค่...ตอนอยู่กับวิญญ์และเด็กหญิงในอ้อมแขนเท่านั้นที่ดวงตาของเขาจะอ่อนแสงลงเป็นความนุ่มนวลจนถึงขั้นจุมพิตข้างขมับของเด็กหญิง ด้วยกิริยาอันอบอุ่นอ่อนหวาน

“ป๊าบอกแล้วไงคะ ว่างานเสร็จเมื่อไหร่จะไปหาน้องพายเองลูก” เกรย์พูดกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

เสียง...ที่ไม่ว่าจะเคยเหี้ยมโหดใส่ใครแค่ไหนกลับเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาทะนุถนอมยามพูดกับสาวน้อยที่เขาอุ้มอยู่

เด็กหญิงสั่นหน้าแรงๆ ก่อนซุกเข้าหา กอดคอเขาไว้แน่น

“ป๊าอย่าไปนะ คุณตาใจร้าย คุณตาบอกว่าจะให้คนมาไล่ยิงป๊า ถ้าโผล่หน้าไปให้เห็นอีก ฮือๆ” เจ้าของเสียงเล็กๆ เริ่มเข้าสู่โหมดงอแง แถมเนื้อหาที่พูดคุยกันนั้นมีความเป็นส่วนตัวจนวิญญ์ต้องกวาดตาไปรอบๆ อย่างเริ่มรู้สึกตัว สีหน้ามีความอึดอัดใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่บุกรุกเข้ามาเหวี่ยงวีนในบ้านคนอื่น

ถถถถถ...แม่คุณ นี่นางเพิ่งรู้สึกตัว!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น