
8
ใต้พระจันทร์เผือดสี แสงอ่อนจากจันทร์เสี้ยวเรียวเล็กส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานยาวเข้ามาในห้อง ผ่านการกรองของผ้าม่านลายลูกไม้ละเอียดบางเบา ก่อให้เกิดเงาละมุนละไมทาบเสี้ยวหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียง
ดวงหน้าสวยหวานของต้องรักที่แม้ดวงตายังบวมช้ำจากการร้องไห้ติดต่อกันยาวนาน แต่ตอนนี้น้ำตาเหือดหายไปจากแพขนตาหนาที่ทาบทับพวงแก้มใสแล้ว มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากอิ่มเหมือนเจ้าตัวกำลังหลับฝันดี
และต้นเหตุแห่งฝันดีนั้น...คือปึกเอกสารที่ยังคงถูกกอดไว้ในอ้อมแขน เอกสารเดินทางท่องเที่ยวที่เธอได้รับมาจากดนตร์ปึกนั้นนั่นแหละ...
แค่ได้ไปเที่ยวก็มีความสุขขนาดนี้แล้ว?
คนอย่างเธอนี่มันเป็นคนที่ซื้อความสุขให้ได้ง่ายมากจริงๆ
เจ้าของดวงตาคมที่กวาดมองเอกสารในมือของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของห้องคิด ก่อนทำปากเบ้ สีหน้าเคืองขุ่น
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กแบบหนุ่มออฟฟิศ กำลังยืนอยู่ข้างเตียงพลางชะโงกตัวอยู่เหนือร่างหญิงสาวบนเตียง แล้วอ่านเอกสารในมือเธอช้าๆ สีหน้าหมกมุ่นวุ่นวายใจ ใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่เขาจะอ่านอักษรเหล่านั้นจนหมด ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น รักษาระยะห่าง ไม่ได้แตะต้องสัมผัสสิ่งใด จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซ็นต์ ดวงหน้าใต้แสงจันทร์นั้นเรียว จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากบางแบบคนเจ้าอารมณ์
จัดว่าเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง หากผิวเขาจะไม่เผือดสีขนาดนี้...
ไม่สิ...ไม่ได้เผือดสี
‘โปร่งแสง’ คงเป็นคำจำกัดความที่ใกล้เคียงผู้ชายคนนั้นที่สุด เมื่อเขาเดินไปหยุดตรงหน้าต่าง แสงจันทร์ที่ทอเข้ามาก็ทะลุผ่านจนไม่มีเงาของเขาทาบลงบนพื้นห้อง!
ผู้ชายร่างโปร่งแสงคนนั้นยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง พิงหลังกับบานกระจกโดยทะลุผ่านผ้าม่านบางเบาเหมือนครึ่งหนึ่งของตัวเขาหลอมอยู่ในเนื้อผ้าม่าน เพราะความโปร่งแสง ร่างของเขาจึงไม่ถูกซ่อนอยู่ในเงาห้องที่ไร้แสงไฟ แถมยังดูเรืองแสงขึ้นจางๆ ด้วยซ้ำจนเห็นรายละเอียดบนร่างนั้นได้อย่างน่าประหลาด แม้จะดูเลือนราง เลื่อนลอย โปร่งบางคล้ายภาพลวงตา
สิ่งเดียวที่ชัดเจนบนร่างคล้ายหมอกควันนั้นคือ ดวงตาทอประกายเจิดจ้าที่เพ่งมองร่างหลับใหลบนเตียงเล็กนิ่งนาน
...
ใต้แสงจันทร์เดียวกัน แต่มุมที่แตกต่างก็ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จันทร์เสี้ยวดวงนั้นแขวนเด่นกลางท้องฟ้าท่ามกลางดวงดาวทอประกายนับล้าน เมื่อมองจากยอดตึกสูงที่เหมือนพุ่งผ่านหมอกควันมลพิษของเมืองหลวงขึ้นมา ฟ้าก็กระจ่างขึ้นกว่าเดิม เมื่อก้มลงมองเบื้องล่างแสงสีในเมืองก็ระยิบพริบพราวแข่งกันราวเป็นกระจกสะท้อนแสงระยิบระยับของเบื้องเวหา ราวกับลวงตาว่าที่พื้นดินก็มีดวงดาวไม่ต่างกัน สิ่งเดียวที่ยืนยันว่าฟากฟ้าสูงเกินฝันคือจันทร์เสี้ยวดวงนั้นเพียงดวงเดียว
“นี่...พระจันทร์สิบหกค่ำมันมีจริงๆ น่ะเหรอ” น้อยหน่าถามขึ้นใต้ฟากฟ้ามืดมิดแสงดาวระยิบเหมือนกำลังกะพริบตาให้อย่างยั่วเย้าราวกับประกายตาคนรัก
...คนรักของเธอที่นอนแน่นิ่ง ทิ้งศีรษะหนักๆ หนุนตักกันอยู่นี่ไง
ใต้แสงดาวบนดาดฟ้าของยอดตึกสูงที่มีเพนต์เฮาส์ของอาคเนย์ คนคู่หนึ่งเสาะหาสถานที่ลับตามานั่งชมดาวด้วยกัน ร่างผอมเพรียวของน้อยหน่านั่งเหยียดขายาวออกไป ปล่อยให้ร่างสูงใหญ่ของอัคนีนอนหนุนตักเธอมาเกือบจะครบชั่วโมงแล้ว นิ่งอยู่ท่านั้นจนหญิงสาวรู้สึกตะคริวกินขา ถ้านานมากกว่านี้อีกนิดก็คงน่าจะได้ยินเสียงกรนแล้ว
“คุณอัค...อย่ามาแกล้งตายนะ ตอบมา นี่แกล้งฉันอีกแล้วใช่ไหมฮะ?” เมื่อเขาไม่ตอบคำถามมือเล็กที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลก็หยิกหมับเข้าหูของคนที่ชอบแกล้งทำหูทวนลมนั้น
“โอ๊ะๆๆๆ หูหลุดแล้วๆ เมียจ๋าโอย...” คนโดนประทุษร้ายต้องรีบลุกขึ้นมาร้องขอชีวิตพลางแงะมือน้อยออกจากใบหูที่แดงก่ำของตัวเอง
น้อยหน่า...แม่เจ้าประคุณของเขาไม่ใช่คนที่จะลงมือแบบเล่นๆ แบบ...จิกตีเบาๆ ร้องว่า ‘ข่นบ้า’ แล้วหัวเราะคิกคักแบบผู้หญิงทั่วไปอะไรแบบนั้น...ไม่มีทาง
ผู้หญิงคนนี้คืออาวุธสงครามที่เต็มไปด้วยความอันตราย แต่เซ็กซี่ และมีผลสั่นสะเทือนระดับร้ายแรงต่อหัวใจ
อัคนีคิดขณะประสานมือตนเองกับร่องนิ้วเล็ก ล็อกไว้แน่นก่อนยกขึ้นจดจุมพิตบนหลังมือเล็กแต่แกร่งเกินใคร ซึ่งมีแหวนแต่งงานสวมอยู่นิ้วนางข้างซ้าย แหวน...ที่ประดับอยู่ตรงนั้นมาหกปีแล้ว เป็นช่วงเวลาหกปีที่...
“บอกมา เอาเรื่องในนิทานมาหลอกกันอีกแล้วใช่ไหม” น้อยหน่าหรี่ตาถาม สีหน้าเอาเรื่อง ไม่สนใจลมหายใจร้อนแผ่วที่ให้สัมผัสคล้ายโดนไฟชอร์ตมือเธอ ไม่สนใจด้วยว่าอัคนีจะดึงมือเธอมาแนบแก้มเขาแล้วถูไถใบหน้าใส่อุ้งมือนั้นด้วยกิริยาราวกับแมวยักษ์จอมเกียจคร้าน แต่แฝงความออดอ้อนเอาใจกันล้นปรี่
“คุณยังมีอยู่จริง...พระจันทร์สิบหกค่ำดวงนั้นก็ต้องมีจริงสิ”
น้อยหน่าตะลึงค้างไป มองหน้าอีกฝ่ายอยู่ชั่วพักก่อนจะขมวดคิ้วพลางยกอีกมือแนบแก้มเขาคล้ายประคองสองแก้มของชายหนุ่มเอาไว้ก่อนค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วลงต่ำ
“อัคนี...”
“ครับ” เสียงรับคำนุ่มนวลมากับตาหวานฉ่ำพร้อมรอยยิ้มฮอตฉ่าอย่างจะให้หัวใจหญิงสาวละลาย กลายเป็นเจลลีเหลวๆ กันไปข้าง
แต่...อัคนีลืมไปแค่อย่าง...นี่คือ...น้อยหน่า
“ช่วย...พูดจาภาษามนุษย์หน่อย ฉันไม่ได้จบสถาบันอายุเป็นพันปีจากอังกฤษแบบคุณ ฉันฟังไม่รู้เรื่องพูดอะไรอย่าให้ต้องตีความ แค่งานที่คุณใช้ให้ฉันทำแทนนี่ก็จะเครียดตายอยู่แล้ว...ตกลงไอ้พระจันทร์ที่คุณหลอกให้ฉันหามาตั้งหกปีนั้นมันมีจริงไหม พูดมาแค่มีหรือไม่มี อย่าเยอะ”
เธอคือผู้หญิงที่...ทำให้ผู้ชายที่พยายามโรแมนติกใส่ต้องเหลือกตามองบน
ถ้าเชกสเปียร์ได้คนแบบเธอเป็นเมีย หมอนั่นจะไม่มีวันแต่งเรื่องแบบ โรมิโอและจูเลียต ได้เด็ดขาด!
“มี” อัคนีทำปากเบ้ ตอบสั้นๆ พลางดึงมือน้อยหน่าที่กดเส้นเลือดใหญ่ออกจากคอของเขา
หญิงสาวใช้ปลายนิ้วแตะจุดชีพจรเพื่อสังเกตอาการว่าเขาโกหกเธอหรือเปล่า!
เวลาโกหก...ชีพจรคนทั่วไปจะกระตุกผิดจากปกติให้จับสัญญาณได้ เป็นการจับเท็จแบบง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือ แต่ให้ผลกดดันกันจนคนทั่วไป...ต่อให้ไม่โกหกก็อาจรักษาความนิ่งของชีพจรไว้ไม่อยู่
‘เมียใครก็ไม่รู้โหดฉิบหาย!’ อัคนีอดสบถอยู่ในใจไม่ได้
“ลูกพี่ คุณน้อยหน่าครับ คุณอาร์คเชิญให้ไปหา” ลูกทีมคนหนึ่งของเขาร้องเรียกอยู่ใกล้ๆ ทำเอาอัคนีต้องกลอกตามองบนซ้ำอีกรอบ
‘ไอ้อาร์ค! ไอ้น้องเวรตะไล! คนจะโรแมนติกกับเมีย เอ็งก็ช่วยละเว้นกันสักหลายๆ ชั่วโมงหน่อยไม่ได้หรือไงวะ’ ขณะที่เขาจะปฏิเสธ ไอ้ลูกน้องเวรก็ย้ำมาอีกประโยค
“คุณอาร์คฝากบอกคุณน้อยหน่าว่า...เกี่ยวกับของที่ฝากไว้ที่บ้านพ่อครับ”
ประโยคนั้นทำเอาร่างโปร่งบางเด้งตัวขึ้นทันที ไม่ลืมกระชากคอเสื้อคนข้างๆ ให้ต้องพลอยลุกตามไปด้วย
“ไปเหอะ น้องชายคุณอยากเจอ พวกคุณไม่ได้คุยกันนานแล้วไม่ใช่เหรอ” น้อยหน่าหันมาชวนด้วยดวงตาเป็นประกายและความกระตือรือร้นที่...แปลกๆ
แต่อัคนีไม่ทันได้หยุดคิดนาน เพราะโดนลากให้ตามไปด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลของหญิงสาวร่างบาง แต่แรงเยอะพอจะทุ่มเขาลงจากชั้นดาดฟ้าได้ หากไปขัดใจจนแม่เจ้าประคุณจนอารมณ์ปะทุเดือดขึ้นมา
อัคนีเดินตามภรรยาเข้าไปในประตูกระจก อันเป็นทางเข้าสู่ห้องโถงกว้างพลางเหลือบมองนาฬิกาไปด้วย...อีกไม่กี่นาทีจะเที่ยงคืนแล้ว ไอ้อาร์คจะเรียกเขามาทำบ้าอะไร ทำไมไม่ไปพักผ่อนกับเมียมัน
และคำตอบก็ชัดเจนอยู่ในห้องกว้างที่ไฟสว่างจ้า กลุ่มคนยังคงเดินวนเวียนไปมาอยู่หลายทีม นอกจากทีมของอัคนีที่สลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาทำงานหามรุ่งหามค่ำแล้ว ตอนนี้คนจำนวนมากก็เพิ่มเข้ามายืนล้อมโต๊ะตัวใหญ่ที่พรำพรรษใช้ทำงานต่างโต๊ะประชุม ด้วยอัตราเหวี่ยงวีนที่เสมอต้นเสมอปลายดีแท้
ก่อนเขาออกไปนั่งเล่นกับน้อยหน่าที่ข้างนอก พรำพรรษเข่นเขี้ยวลูกน้องอย่างไร หลายชั่วโมงผ่านไปจนกลับกันเข้ามา หญิงสาวก็ยังคงความกดดัน เอาแต่ใจ และเฆี่ยนตีทีมงานอยู่อย่างนั้น ผิดแต่หน้าตาแต่ละคนและหน้าที่แต่ละทีมนั้นต่างกันออกไป นอกนั้นคือความหวาดกลัวกันตัวสั่นเกือบทั้งนั้น
ดวงตาหลายคู่พยายามเหลือบมองไปทางอาคเนย์อย่างวิงวอนเหมือนขอที่พึ่ง แต่ขอโทษทีเถอะ สีหน้าอาคเนย์นั้นเหมือนอยากกินหัวคนยิ่งกว่าพรำพรรษอีก ทำเอาคนเหล่านั้นรีบเบือนหน้าหนี หลบตากันวูบ
“เฮ้ย! ดึกแล้ว ไม่หลับไม่นอนอีก” อัคนีเดินมาเขี่ยน้องชายที่นั่งอยู่บนโซฟาให้ขยับ แล้วเบียดตัวลงนั่งใกล้ๆ คว้าแก้วเหล้าในมืออีกฝ่ายมากรอกปากก่อนทำหน้าเบ้
“วิสกีจืดเป็นน้ำเลย มีอะไรแรงกว่านี้มะ” บ่นไปงั้นแหละ ที่จริงแค่อยากหาอะไรคุยเพื่อให้อาคเนย์เลิกจดสายตาไปทางนัง...เอ่อ...น้องสะใภ้เขาเสียที
เรียกหาพี่แต่เอาแต่มองเมียตัวเองไม่เลิก แบบนี้หมายความว่าไงวะ
คิดแล้วคนเป็นพี่ชายก็โฉบมือจะตบกบาลน้องทันที ยังดีหรอกที่คนที่...‘ไม่ค่อยสนิทกัน’ ยังจำความกวนประสาทและฝ่ามือพิฆาตที่ชอบโฉบมาแกล้งกันเมื่อสมัยเด็กๆ ได้อยู่ จึงโยกหลบได้ทัน แถมยังปรายสายตาหยามหยันใส่พี่ชายขณะถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจ
“เอาเบลูกาวอดคาไหมล่ะ”
“เออ เอามาดิ” อัคนีบอกเซ็งๆ ที่เดี๋ยวนี้น้องชายชักทำตัวไม่น่ารักเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สมัยก่อนมันยังยอมให้แกล้งรังแกดีๆ แท้ๆ
เดี๋ยวพี่เดี๋ยว...น้องไม่ได้ยอม แต่แกเองที่นิสัยไม่ดีรังแกน้องหรือเปล่ายะ อีตาอัคนี!
อาคเนย์หันไปสั่งเครื่องดื่มให้พี่ชายและพี่สะใภ้ ก่อนจะหันไปคุยจริงจังกับอัคนี
“พรุ่งนี้ฉันว่าจะพาพลัมไปหาพ่อ”
“หืม? ไปไมอะ” อัคนีถามกลับมาทื่อๆ ซื่อๆ เสียจนคนฟังแทบต้องกลอกตามองบนใส่
มนุษย์โลกทั่วไปเขาพาภรรยาไปพบพ่อสามีกันทำไมเรอะ
“ไปด้วย” น้อยหน่าเอ่ยอย่างไม่ต้องรอใครเชิญ
เวลาที่สวมภาพความเป็นกุลสตรีเข้าสังคม เธอก็ทำได้ดีจนคนแทบถอนสายบัวใส่ให้ความวางตัวเลอค่า สูงส่งราวราชนิกุล กิริยามารยาทพอเหมาะพอดีไม่มีตกหล่น แต่เวลาที่อยู่กับ ‘ครอบครัว’ ซึ่งวางหน้ากากลงได้ หญิงสาวก็เผยธาตุแท้อันไม่เกรงใจใคร ไม่มีแอ๊บเก๊กท่าใดๆ ให้คนรอบข้างต้องเกร็ง
เธอให้ความเป็นกันเองถึงขนาดไม่ต้องถาม ไม่ต้องรอให้ใครเอ่ยชวนก็ยัดเยียดตัวเองไปกับเขาได้จนคนเป็นสามีแทบตาค้าง
“คุณน้อยหน่าจะไปกับมันทำไม!” อัคนีร้องออกมา
“ก็ว่าจะชวนอยู่ จะได้ให้คุณไปเอาของด้วย คุณยังไม่เคยเจอพ่อเลยใช่ไหม” อาคเนย์กลับเป็นฝ่ายชวนเสียเอง และคนโดนชวนก็รับคำโดยการส่ายหน้าไปมา
“ของอะไร!?” อัคนีสงสัยก่อนบ่นอุบ “บ้านพักอาจารย์มหา'ลัย มีอะไรให้น่าไปนักวะ”
“มันคือ...มารยาท คือสามัญสำนึกที่จะให้เกียรติเมียพาเขาไปรู้จักพ่อแม่ ไม่ใช่ทำเหมือนพาเขาหนีตามกันมา อยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าสู้หน้าคน เมียนาย เมียฉันยังต้องอยู่ในสังคมนะ ถ้าในอนาคตเขาเกิดไปเจอกับพ่อเราที่อื่น แล้วต้องบอกคนอื่นๆ ว่าไม่รู้จัก ไม่เคยเจอกัน คิดว่าคนอื่น...ไม่สิ ช่างหัวคนอื่นมันเหอะ แค่ให้เมียไม่ต้องอายคนอื่นก็พอแล้ว” อาคเนย์อบรมพี่ชายอย่างยืดยาวไปหนึ่งยก
“คุณอาร์ค...” น้อยหน่าเรียกหาน้องชายสามีด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจระดับสิบ ทำไมถึงเป็นคนที่นิสัยหล่อได้ขนาดนี้...
‘ดี๊...ดีอะ ฮือ... น่าร้ากกก แบบ...ถึงหน้าตาจะหล่อน้อยกว่าคุณอัคหน่อยนึง แต่มารยาททางสังคมและการให้เกียรติภรรยานี่...เต็มร้อยให้สองร้อยเลยเอ้า!
‘โคตร...ต่าง...กับอีตา...’ อดไม่ได้ที่จะปรายสายตาจิกๆ ใส่สามีตัวเองที่หน้าเบ้ สีหน้าอัคนีแสดงความหมั่นไส้ใส่อาคเนย์เต็มที่
“เฮอะ! เออ ไปก็ได้วะ” อัคนีแค่นเสียงด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูออกได้จากดาวอังคารว่าอิจฉาและหมั่นไส้น้องขั้นสุด
“นายจะไปทำไม” อาคเนย์กลับเป็นฝ่ายสงสัย
“ไปเล่นกับไอ้โบ้” อัคนีตอบแบบหน้ามึน ขณะที่น้อยหน่าทำหน้าสงสัยเพราะไม่เคยรู้จัก ‘ไอ้โบ้’ ที่เขาเอ่ยถึง
“ไอ้โบ้ตายแล้ว” อาคเนย์ตอบเรียบๆ ทำเอาอีกฝ่ายอึ้งไป
“ฮะ!?” หลังจากหายอึ้งอัคนีก็ตะโกนอย่างตกใจ “มัน...มันตายได้ยังไง มันเป็นอะไรตาย หรือใครทำอะไรมัน มีคนฆ่ามันเหรอ” ชายหนุ่มรัวคำถามด้วยสีหน้าซีดเผือดเสียจนน้อยหน่ายังพลอยตกใจ
“ใจเย็นค่ะคุณอัค คุณโบ้เป็นใครหรือคะคุณอาร์ค” น้อยหน่าหันไปถามผู้ที่น่าจะรู้ชะตากรรม ‘คุณโบ้’ เป็นอย่างดี ดูเหมือนเจ้าของชื่อจะเป็นคนสนิทที่การตายของเขามีผลต่อจิตใจของอัคนีอยู่ไม่น้อย
“ไอ้โบ้เป็น...บางแก้ว” อาคเนย์เอ่ย
“ไอ้โบ้เป็น...ชิวาวา” อัคนีบอกบ้าง
คำพูดของสองพี่น้องที่หลุดออกมาแทบจะพร้อมกัน แต่กลับเป็นชื่อต่างสายพันธุ์ ทำให้น้อยหน่าต้องขมวดคิ้ว กลอกตาเพื่อสรุปออกมาว่า...
“ไอ้คุณโบ้คือ...สุนัขหมา!”
“ใช่ สีขาวลายน้ำตาล หูตั้งตัวเล็กๆ น่ารักเหมือนหมากระเป๋า” อัคนีพูดพลางทำไม้ทำมือเป็นขนาดให้จินตนาการถึงสุนัขพันธุ์เล็กๆ น่ารักสักตัวหนึ่ง
“ถ้าไอ้โบ้มันเป็นหมากระเป๋า...ก็คงต้องเป็นกระเป๋าเดินทางแบบมีล้อลากไซซ์เอกซ์แอลแล้วละ บางแก้วตัวขนาดนั้นน่ะ” อาคเนย์ค้าน น้ำเสียงอ่อนใจ
สีหน้าคนฟังงุนงงจนมองซ้ายทีขวาทีอย่างไม่รู้จะเชื่อใครดี แต่จากประสบการณ์นั้น...ฝั่งน้องชายสามีมีแววที่จะเป็นความจริงกว่ากันหลายส่วน
“แล้ว...ตกลงมันเป็นหมาของใครคะ” น้อยหน่าถาม พยายามหาข้อมูลเพิ่ม
“มันเป็น...ลูกหมาที่นักศึกษาที่อยู่หอในมหาวิทยาลัยแอบซื้อมาเลี้ยงไว้ คนขายบอกว่ามันเป็นชิวาวาขนยาว ตัวเล็ก น่ารัก เชื่อง ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่ชอบเห่า” อาคเนย์อธิบาย
“แล้ว...” น้อยหน่ากลอกตา เริ่มจับได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว
“มันโตวันโตคืน กัดเจ้าของเดิมเย็บไปหลายเข็มและเห่าเสียงดังจนคนดูแลหอจับได้ มันหนักราวยี่สิบกว่าโล ตอนที่เจ้าของเอามันไปปล่อยไว้ในมหา’ลัยจนเที่ยวไล่กัดคนไปทั่ว คุณพ่อผมเลยต้องเอามันมาเลี้ยงไว้ที่บ้านพักอาจารย์” อาคเนย์เล่าเนิบๆ
“เอ่อ...นั่นมัน...” น้อยหน่าอึ้งตะลึงไปนิดหนึ่ง เธออยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่เด็กจนโตจึงใกล้ชิดสุนัขหลายชนิด ทั้งสุนัขทหารที่ใช้หาระเบิด สุนัขมีเจ้าของหลากหลายสายพันธุ์ไปจนสุนัขจรจัดที่วิ่งเล่นอยู่ทั่วไป ทำให้หญิงสาวพอรู้หรอกว่าหมาน้ำหนักยี่สิบกว่ากิโลกรัมนั้น...ไม่ใช่หมาเล็กน่ะ
“มันเป็นชิวาวา น่ารักจะตาย” อัคนียังไม่เลิกสับสนอีก ทำเอาน้อยหน่าต้องหันไปถลึงตาใส่ แทบอยากประชดประชันอยู่แล้วว่าชิวาวาโลกไหนหนักยี่สิบกว่าโล ดุเหมือนบางแก้ว ชิวาวาบ้าน...เอ่อ...ก็ชิวาวาบ้านพ่อเขานั่นแหละ แต่เธอแน่ใจว่ามันไม่ใช่ชิวาวาแหงๆ
“คุณอัค หมาชิวาวาน่ะ ตัวมันหนักประมาณสามโลเองค่ะ หนักสุดไม่น่าจะเกินห้ากิโล” น้อยหน่าพยายามทำความเข้าใจกับอัคนีที่ท่าทางจะหลงผิดเรื่องสายพันธุ์และน้ำหนักสุนัขไปไกล
“มันตัวใหญ่แล้วคุณพ่อก็เลี้ยงดี ขุนจนมันอ้วนกว่าชิวาวาทั่วไปไง เราถึงตั้งชื่อมันว่าจัมโบ้” อัคนียังไม่ยอมรับ แม้จะยังคาใจจนต้องหันไปถามอาคเนย์ “แล้ว...มันเป็นอะไรตายวะ”
“ตอนที่เราเอามันมาเลี้ยง โบ้ก็อายุขวบกว่าเข้าไปแล้ว นายคิดว่ายี่สิบกว่าปีผ่านไป หมาที่ไหนมันจะไม่แก่ตายมั่งวะ” อาคเนย์บอกปลงๆ ไม่ได้สนใจสีหน้าปวดร้าวหัวใจของพี่ชายเลยสักนิด มีแต่น้อยหน่าเท่านั้นที่ทนเห็นสีหน้าสะเทือนใจของสามีตัวเองไม่ได้ ต้องยื่นมือไปกุมมือเขา ตบหลังมือเบาๆ แบบปลอบประโลม
“ใจเย็นๆ นะคะคุณอัค หมามันก็มีอายุขัยของมัน เราเป็นเจ้าของก็ต้องทำใจ คุณอย่าทำเหมือนคนไม่เคยเลี้ยงหมามาก่อน” น้อยหน่าปลอบ
แต่เป็นการปลอบที่เหมือนไม่ค่อยได้ปลอบเท่าไรเลยเนอะ
“ไม่...ผมไม่เคยเลี้ยงหมา” อัคนีส่ายหัว ท่าทางจริงจัง ซ้ำยังมีความสะเทือนใจในสีหน้าเหมือนคนที่เพื่อนตายกะทันหันไม่ทันทำใจ ทำเอาน้อยหน่าแทบถลึงตาใส่
คนบ้าอะไรไม่เคยเลี้ยงหมา!
หญิงสาวหันไปมองหน้าอาคเนย์คล้ายขอคำปรึกษาว่าอัคนีแค่กวนประสาทใส่เธอ หรือว่าเขาไม่เคยเลี้ยงหมาจริงๆ
“อัคเคยขอเลี้ยงหมาแล้ว แต่คุณแม่ไม่ยอม” อาคเนย์เล่าความหลัง
ในสมัยเด็กอัคนีเห็นเพื่อนๆ อวดรูปภาพสัตว์เลี้ยงหลากหลายชนิด ล้วนแล้วแต่น่ารักน่าเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็น หมา แมว กระต่าย หนูแฮมสเตอร์ งู เต่า เม่นแคระ ชูการ์ไกลเดอร์ แฟรีดอก เฟนเนคฟอกซ์ และอีกสารพัดสารพันสัตว์ที่เพื่อนๆ ที่โรงเรียนเอามาอวดกัน เด็กสิบขวบที่ฐานะทางบ้านดีพอจะซื้อทุกสิ่งที่อยากได้ บวกกับการเลี้ยงดูแบบสปอยล์มาตลอด จะอดทนต่อความเย้ายวนของความอยากได้นั้นอย่างไร
แต่อัคนีก็รู้ว่ามารดาตัวเองเป็นคนเข้มงวดขนาดไหน เรื่องจะขอเลี้ยงหนู งู เต่า หรือสัตว์แปลกๆ นั้นน่าจะเลิกหวังได้ เขาจึงเลือกเอาสัตว์เลี้ยงพื้นๆ ที่มีความเป็นมิตรสูงอย่างสุนัข เอาไปคุยเรื่องขอเลี้ยงสัตว์กับคุณอกนิษฐ์ แน่นอนว่ามารดาปฏิเสธ
“ทำไมล่ะ” น้อยหน่าสงสัย จากที่เคยไปเยือนบ้านอรรคนีย์พิทักษ์นั้น การจะเลี้ยงหมาสักฝูงหรือหลายๆ ฝูงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะมีคนใช้เป็นร้อยคอยดูแลให้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องพื้นที่...จะเอาแค่ไหนล่ะ บ้านนั้นกว้างใหญ่ราวกับวัง พอจะหาที่ทำสนามเลี้ยงม้าได้ทั้งคอกด้วยซ้ำไป
“คุณแม่เราไม่ชอบหมาแมว ท่านอ้างว่าแพ้ขนสัตว์ และจะไม่ยอมให้อัคเอาตัวอะไรเข้าบ้านเด็ดขาด” อาคเนย์อธิบายเพิ่มเติม
“แล้ว...แล้วคุณอัคยอมเหรอ” น้อยหน่าสงสัย คนเอาแต่ใจนิสัยรวยที่อยู่กับเธอมาตั้งหกปีมีหรือจะยอมรับการขัดใจไหว
“มันอาละวาดซะบ้านแทบพัง ถึงขั้นลงไปนอนดิ้นที่พื้น” อาคเนย์เล่าต่อ คราวนี้มีรอยขำขันพราวอยู่ในดวงตายามนึกย้อนไปถึงท่าที่ทิ้งตัวลงนอนงอแงของพี่ชายสมัยเด็ก
“หา!?”
น้อยหน่าอุทานหันไปมองหน้าบูดบึ้งของสามี และก็ต้องเอามือปิดปากตัวเองไว้แน่น...จำเป็นต้องอุดเอาไว้ ไม่งั้นคงเสียกิริยาหลุดหัวเราะก๊ากออกมาเมื่ออดใจไม่ให้คิดไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว...
ภาพ...คนตัวโตอาละวาด ลงไปทิ้งตัวนอนกลิ้งที่พื้นแบบเด็กๆ นั้น...มัน...น่า...เอ็นดู๊ (ววว์) เอ็นดู ฮ่าๆๆ “ตอนนั้นพวกคุณอายุเท่าไหร่กัน” น้อยหน่าถามอย่างกลั้นขำไว้ไม่ไหวแล้วจริงๆ
“หมอนี่สิบขวบ ผมเจ็ดขวบ” อาคเนย์ตอบด้วยสีหน้าที่ทำให้พอเดาได้ว่าขณะอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกันนั้น คนเป็นน้องน่าจะทำสีหน้าเหยียดหยัน กลอกตามองบนใส่ด้วยมาดคุณชายไม่ผิดไปจากตอนนี้แน่
“แล้ว...คุณแม่คุณไม่ใจอ่อนบ้างเลยเหรอ” น้อยหน่าหันไปถามอัคนีด้วยรอยยิ้มกว้างจนตายิบหยี
“ถ้าคุณอกนิษฐ์จะใจอ่อนยอมให้เลี้ยงสัตว์อะไรสักอย่าง ฉันเดาว่ามันต้องเป็นปลาทอง” พรำพรรษเอ่ยแทรกขึ้นมาหลังจากเดินผ่านมาได้ยินบทสนทนานี้มาสักพักแล้ว หญิงสาวเดินเข้ามาชิดอาคเนย์โดยมีพนักโซฟาคั่นไว้ มือนวลวางทาบบนไหล่ในชุดสูทเนี้ยบดูกลมกลืนกันราวกับเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของกันและกันและควรวางอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ต้น
“ปลาทองเนี่ยนะ” น้อยหน่าทำท่าสงสัยปนไม่อยากจะเชื่อในข้อสันนิษฐานของหญิงสาว
“รู้ได้ไง” แต่อัคนีกับอาคเนย์กลับเอ่ยประโยคนั้นขึ้นมาพร้อมกันจนน้อยหน่าสะดุ้ง
“เฮ้ย! จริงดิ? ขอเลี้ยงหมา แต่แม่ให้เลี้ยงปลาเนี่ยนะ” น้อยหน่าร้องออกมา มองหน้าหญิงสาวผู้เป็นน้องสะใภ้ซึ่งคาดเดาความคิดแม่สามีได้แม่นเป๊ะจนน่าขนลุก
“คุณพลัมรู้ได้ไง” น้อยหน่าสงสัย หรือพรำพรรษจะมีสัมผัสพิเศษ
...แหงเลยไม่งั้นจะเจรจาตกลงกับผีได้อย่างโคตรชิลแบบนั้นได้ไง แถม...บลัฟผีอีกต่างหาก!
น้อยหน่ามองอีกฝ่ายแบบทึ่งๆ ปนกลัวๆ จนต้องเขยิบหนีห่างมานิดหนึ่ง
“คุณอกนิษฐ์เป็นคนแบบบอสซี ชอบอะไรที่คอนโทรลได้ สุนัขแม้ฝึกได้ แต่คอนโทรลมันไม่ได้เป๊ะๆ เหมือนหุ่นยนต์ มีโอกาสสูงที่มันจะดื้อไม่ทำตามคำสั่ง และมันจะมาเพิ่มเงื่อนไขให้เธอควบคุมลูกยากเข้าไปอีก เพราะลูกหมาอาจก่อเรื่องเหนือความควบคุมได้” พรำพรรษเริ่มบทวิเคราะห์แม่สามีด้วยเสียงเรียบนิ่งก่อนพูดต่อ
“ดังนั้นปลาทองในโหลจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อย่างมากแค่ให้คนเปลี่ยนน้ำ ให้อาหาร ไม่มีขน ไม่มีกลิ่น ไม่ต้องเป็นภาระเรื่องอึฉี่ ไม่มีเสียง หรือถ้าทนไม่ไหวก็แค่เทลงชักโครก กดทิ้งได้ง่ายๆ ไม่เปลืองแรงให้คนต้องหาเชือกล่ามเอาไปปล่อย”
“โห...เฮ้ย...ไอ้อาร์ค เมียแกนี่...อยู่กับแม่เรามาทั้งชีวิตเลยหรือเปล่าวะเนี่ย วิเคราะห์ได้ตรงเป๊ะขนาดนี้” อัคนีอุทานอย่างทึ่งๆ
อาคเนย์ไม่ตอบคำ มีเพียงรอยยิ้มเหนือๆ ผุดมุมปากนิดเดียว สีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยประกายชัยชนะราวกับผู้ที่ได้ค้นพบและครอบครองสมบัติล้ำค่าเป็นคนแรกก่อนจะหลุดออกไปสู่สายตาชาวโลก
“เตรียมงานเสร็จแล้วหรือ” อาคเนย์ถามพลางยกมืออุ่นขึ้นเกลี่ยไล้รอบดวงหน้ารูปไข่ของภรรยา ก่อนสีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นกังวลเมื่อเห็นความอ่อนล้าบนดวงหน้าพรำพรรษ
“ฮื่อ” พรำพรรษตอบพลางยกหลังมือขึ้นขยี้ตา เริ่มรู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาแล้วจริงๆ
“รีบไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะพาไปหาคุณพ่อที่บ้าน” อาคเนย์เตือนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“บ้านคุณพ่อ...ที่พี่อาร์คบอกว่าเป็นบ้านพักอาจารย์น่ะเหรอ” พรำพรรษทวนความทรงจำ เพื่อวางแผนว่าวันพรุ่งนี้ต้องทำตัวอย่างไรบ้าง
การไปพบพ่อสามีไม่เคยอยู่ในแผนชีวิตเธอมาก่อนจริงๆ ช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้เขาจับเธอมาหลอกล่อบังคับจดทะเบียนสมรสกันแบบนี้ล่ะ แน่นอนว่าการแต่งงานกับใครสักคนก็ไม่เคยอยู่ในแผนการชีวิตของพรำพรรษเช่นกัน
“ใช่ บ้านพักอาจารย์ของคุณพ่อพี่เอง” อาคเนย์รับคำขณะสังเกตสีหน้าภรรยา หาริ้วรอยลำบากใจ แต่พบเพียงว่าอีกฝ่ายทำหน้าครุ่นคิดนิดหน่อยก่อนยักไหล่เบาๆ
“งั้น...” พรำพรรษกลอกตาก่อนความคิดหนึ่งจะแล่นวาบเข้ามาในหัว “เอาพวกเอกสารข้อมูลบางอย่างไปให้คุณพ่อพี่อาร์คช่วยวิเคราะห์แนวโน้มให้ได้ไหม” ก็...เขาเล่าเองว่าคุณพ่อเป็นอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ได้เจอปรมาจารย์ด้านนี้ทั้งที ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาก็ขาดทุนพอดีกันสิ
“โห...เฮ้ย! ไอ้อาร์ค เมียแกนี่คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองได้ตลอดเวลาขนาดนี้เลยเรอะ” อัคนีอุทานอย่างทึ่งๆ ก่อนหันไปหาน้อยหน่า ภรรยาตัวเองบ้างและทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ต้องชะงักค้างเพราะเจอชี้หน้าพลางขึงตาแรงใส่
“ไม่ต้องให้ฉันเที่ยวไปวิ่งหาข้อมูลมาแข่งกับเขาเลยเชียว ข้อมูลภายในทุกอย่างที่ตัวเองมีน่ะ รู้ลึก รู้ดีมากกว่าที่คุณพ่อคุณรู้ตั้งไม่รู้กี่เท่า” น้อยหน่าทนไม่ไหวต้องดักคอเสียงแข็งเข้าใส่
คนบ้าอะไรอิจฉาน้องจนไร้สติได้ขนาดนี้!
“ข้อมูลภายใน!” พรำพรรษหูผึ่ง “ของอะไรเหรอ...” คราวนี้หันไปถามอัคนีด้วยเสียงหวานจัด ดวงตาวาววับราวสัตว์นักล่าจับจ้องเหยื่ออ้วนพี แววตาแบบนั้นทำเอาอัคนีสะดุ้งจนเหงื่อตก
“ข้อมง ข้อมูลอะไร ไม่มี้...” คนพูดพึมพำขณะขยับตัวหนีมือของพรำพรรษที่เอื้อมมาทำท่าจะอยากขยุ้มคอเสื้อเขาเพื่อเขย่าถาม นอกจากน้อยหน่าแล้วก็มีเพียงผู้หญิงคนนี้เท่านั้นละมั้งที่ทำให้เขาสะดุ้ง อยากถอยหนี
นี่...เธอไม่ได้หมดพลังไปกับการอาละวาดใส่ลูกน้องไปตั้งหลายชั่วโมงระหว่างวางแผนงานนั่นแล้วหรอกเหรอ ท่าทางเหนื่อยอ่อนอยู่แท้ๆ แต่พอพูดถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจขึ้นมาแม่คุณก็กลับมาส่งประกายตาวาววามหมายมาดพร้อมขย้ำเหยื่อได้อีก เขาละนับถือจริงๆ
“อย่าไปยุ่งกับหมอนั่นเลยน่า” อาคเนย์รีบยกมือมากั้นไว้ ดึงตัวพรำพรรษมากอดล็อกไว้ในอ้อมแขนตนเอง ไม่ให้ไประรานพี่ชายเขา
ไม่ใช่ว่าอยากช่วยอัคนี แต่เขาเห็นว่ามันดึกมากแล้ว หญิงสาวก็ทั้งง่วงทั้งเพลีย แม้การไล่ต้อนอัคนีจะน่าสนุก แต่มันจะทำลายเวลาพักผ่อนอันมีค่าของทั้งคู่โดยใช่เหตุ
การโหมทำงานจนสลบน็อกคางานไม่อยู่ในแผนที่เขาวางไว้กับพรำพรรษ
ที่จริงทั้งคู่ควรได้อยู่ในทริปฮันนีมูนในสถานที่ห่างไกล ตัดขาดจากการรับสาย ตามถามงานหรือออกคำสั่งใดๆ ทั้งนั้น คำสั่งเดียวที่ควรมีคือป้ายห้ามรบกวนที่แขวนไว้หน้าประตูห้องที่ปิดตาย อนุญาตให้เข้าพบได้เพียงคนส่งอาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้าก็ไม่ต้อง...ขอแค่ฟูกนุ่มๆ ผ้านวมหนาๆ ก็พอเพียงต่อการต่อการใช้ชีวิตของพวกเขาแล้ว อ้อ...อาจจะเพิ่มจากุซซีอีกอย่าง ผิวขาวๆ ของพลัมเวลาซ่อนตัวปริ่มอยู่ในน้ำตีฟองสบู่หอมนั้นเซ็กซี่อย่างถึงที่สุดจริงๆ
“ตีหนึ่งแล้ว แยกย้ายกันไปนอนเหอะ ไป...คุณน้อยหน่าเราไปหาที่นอนกันดีกว่า” อัคนีประกาศเสียงดังพลางรีบคว้าตัวภรรยาชิ่งหนีในทันที ก่อนจะโดนวางกับดักให้ตกหลุมพรางสารพัดแผนของนางมารร้ายน้องสะใภ้ตัวแสบที่ยังมองตามมาด้วยดวงตาลุกวาว
ความคิดเห็น |
---|