แล้วนะโมก็พาเธอไปถีบเรือเป็ด
ศศรัณย์บอกว่าอยากถีบคนเดียว แต่นะโมไม่ยอม มาด้วยกันจะถีบเรือสองลำไปทำไม เปลืองเงินจะตาย เขาบอกเธอแบบนั้น
“ฉันไม่อยากถีบเรือกับนะโม”
“ทำไมล่ะ ผมอยากถีบเรือกับพี่ยุ่นนะ”
ศศรัณย์ไม่ตอบ เธอมองเขา รู้สึกหวั่นใจแปลกๆ ที่จะต้องถีบเรือร่วมกัน นะโมมองเธอแล้วถอนหายใจ ใบหน้าที่ยียวนกวนประสาทเสมอตอนนี้กลับดูเคร่งขรึม เขาจ้องเธอนิ่ง ดวงตาที่ดูเหมือนส่องทะลุใจกำลังมองเธออยู่
“ไม่ไว้ใจผมขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แล้วที่ผ่านๆ มาทำตัวน่าไว้ใจนักหรือไง” ศศรัณย์แว้ดกลับไปอย่างอดไม่ได้
“นั่นสินะ”
นะโมยอมรับอย่างง่ายดายจนศศรัณย์งง เธอแอบหลุดยิ้มออกมาหน่อยด้วย แต่นะโมไม่เห็น เขาหันมาหาเธออีกครั้งแล้วถอนหายใจ
“ขอพิสูจน์ คราวนี้จะทำให้ไว้ใจให้ได้เลย ผมไม่ทำเรือจมหรอก” เขาว่า สีหน้าจริงจังแบบนั้นทำให้เธอลังเลใจขึ้นมา
ใช่ เธอยอมรับว่าที่ไม่อยากถีบเรือร่วมกับเขาเพราะกลัวเขานึกคึกทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมาจนเรือจม แต่เหตุผลหลักๆ คือเธอไม่เคยถีบเรือร่วมกับใคร
ศศรัณย์ทำตัวไม่ถูก การอยู่ในที่แคบอย่างบนเรือถีบร่วมกับใครสักคนมันจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าต้องออกแรงถีบเรือไปพร้อมๆ กันมันจะเป็นอย่างไร หรือถ้าอีกคนไม่ยอมออกแรง ให้เธอถีบเรืออยู่คนเดียวล่ะ มันจะหนักมากไหม ถ้าเธอไม่ใช่คนบังคับทิศทางเรือจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าเธอนึกอยากเลี้ยวไปทางแล้วอีกคนอยากเลี้ยวไปอีกทางล่ะ จะทำอย่างไร ถ้าต่างคนต่างยื้อจะไปทางที่ตัวเองต้องการไปให้ได้ เรือจะล่มไหม คำถามร้อยแปดประเดประดังขึ้นมาในหัว
นะโมจ่ายเงินค่าเช่าเรือแล้ว เขาให้เธอลงเรือก่อน ศศรัณย์ลังเล เห็นสายตาจริงจังของเขาซึ่งปกติไม่เคยเห็น
“ไม่ต้องกลัว ผมจะทำตัวดีๆ สัญญาเลย” เขาบอก ศศรัณย์มองเขา ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง นะโมไม่ได้หลบสายตา ศศรัณย์เลยถอนหายใจแล้วลงเรือไป
นะโมลงเรือตามมา เขาสำรวจสักพักว่าการถีบเรือทำอย่างไร พอรู้แล้วก็ออกแรงถีบไปพร้อมกับเธอ
“เจ๋งแฮะ”
นะโมพูดออกมา ปล่อยให้ศศรัณย์กุมคันบังคับเพราะเธอไม่ยอมปล่อย ยังไม่ไว้ใจเขา นะโมมองท้องน้ำเบื้องหน้ากับอีกฟากฝั่งที่มีต้นไม้ใหญ่ ท้องฟ้าวันนี้แจ่มใส ดวงตาของเขาเป็นประกายวิบวับอีกแล้ว
“ไม่เคยลองถีบเรือเหรอ” ศศรัณย์ถามเขา
“เคยครับ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ นู่น โตมาก็ไม่ได้ถีบอีกเลย นี่ครั้งแรกในรอบยี่สิบปีเลยมั้ง” เขาว่า มองเธอหน่อยหนึ่งแล้วบอก
“ไปทางนู้นกันดีกว่า” เขาว่า แล้วศศรัณย์ก็บังคับเรือไปตามทางที่เขาต้องการ
ศศรัณย์รู้สึกว่า พอมีคนมานั่งถีบเรือด้วยแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน เรือไม่โคลง ไม่เอียง และนะโมก็ช่วยถีบเรือด้วย มันเบาแรงเธอดีเมื่อมีคนช่วยออกแรง
นะโมทำตัวดีจริงๆ เขาไม่ดิ้นดุ๊กดิ๊กหรือเขย่าเรือให้เธอกลัวอย่างที่เธอวาดภาพไว้ ไม่ได้พยายามปั่นเข้าหา “พี่เห้” เวลาเห็นพี่เห้ว่ายน้ำผ่านมา เขาแค่ร้องทักทายพี่เห้ราวกับเป็นเพื่อนเก่า
“ฮัลโหล สตีฟ!”
นะโมทักตะกวดที่ว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆ โบกมือให้ด้วย ศศรัณย์ขมวดคิ้วมองเขา นะโมไม่ได้สนใจเธอ เขาถามสตีฟว่า ฮาว อาร์ ยู ตอนนั้นเองที่ศศรัณย์ยกมือขึ้นปิดปาก เธอนั่งตัวสั่นด้วยอาการกลั้นหัวเราะมองเขาคุยกับตะกวด นะโมถามสารทุกข์สุขดิบสตีฟอยู่สักพัก แต่สตีฟไม่ตอบอะไร ว่ายน้ำผ่านไป
“See you later!” นะโมตะโกนบอกสตีฟไล่หลังพร้อมโบกมือให้ ศศรัณย์ทนไม่ไหวแล้วปล่อยก๊ากออกมาลั่นเรือ
นอกจากคุยกับตะกวดเป็นเรื่องเป็นราวแล้วก็ไม่มีอะไรน่าห่วง นะโมแค่นั่งถีบเรือไปเรื่อยๆ ผิวปากเป็นเพลงไปด้วย ทำให้ศศรัณย์รู้สึกสบายใจ
“ไปทางนั้นได้ไหม” ศศรัณย์ถาม ชี้ไปอีกทาง นะโมพยักหน้า
“ไปสิ ไม่เห็นต้องถามเลย”
ศศรัณย์เพิ่งรู้ ว่าการมีคนถีบเรือเป็นเพื่อนไม่ใช่เรื่องแย่ มันก็สนุกดี ตอนที่ถีบเรือไป คุยกันไป หรือตอนที่ฟังอีกฝ่ายผิวปากเป็นทำนองเพลงที่เธอเองก็ชอบ หรือตอนที่เธอบอกให้เขาเปลี่ยนเพลงเพราะเพลงนี้เธอไม่ชอบ แล้วเขาก็ยอมเปลี่ยนให้ หรือตอนที่แอบมองเขาแล้วคิดว่าขาเขาย้าวยาว น่าอิจฉาจัง ตอนที่เขายื่นน้ำกับแบ่งขนมให้ก็ด้วย จริงๆ แล้วมันไม่ได้แย่เลย
พอถึงจุดหนึ่งที่กลางน้ำ ทั้งคู่ก็หยุดถีบเรือ ปล่อยให้มันลอยเท้งเต้งอยู่ตรงนั้น วันนี้ลมเย็นมาก พัดผ่านคนทั้งคู่ทำให้ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย ศศรัณย์ไม่ได้กุมคันบังคับแล้ว เธอแค่นั่งเฉยๆ นะโมถ่ายรูปวิวอีกแล้ว เขาคงชอบ แต่สักพักเขาก็ ถ่ายรูปคู่ของเขากับเธอ ศศรัณย์ชูสองนิ้วแล้วยิ้มให้กล้อง
“ฟันกระต่าย” เขาบอก มองรูปที่เพิ่งถ่าย แบ่งให้ศศรัณย์ดูด้วย เธอโน้มตัวเข้าหาเขา ชะโงกหน้ามาดูรูปนั้นแล้วยิ้ม แทบไม่ได้มองตัวเองในรูปที่นั่งยิ้มโชว์ฟันกระต่าย มัวแต่มองอีกคน นะโมเวลาทำตัวดีๆ ก็น่ารักดี
เขาถ่ายรูปคู่กับเธออีกสองสามรูป ศศรัณย์ก็เอาบ้าง ใช้โทรศัพท์ของตัวเองถ่ายด้วย สักพักนะโมก็เลิกถ่ายรูป ตอนนี้เขาจิ้มหน้าจอโทรศัพท์อยู่ ศศรัณย์ลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขา เวลานะโมกำลังตั้งใจทำอะไรมันดูน่ามองจริงๆ เธออดไม่ได้เลยแอบถ่ายรูปเขาเสียเลย
“พี่ยุ่นน่ารักนะเนี่ย” เขาบอกออกมา ศศรัณย์วูบในอก เบิกตากว้างมองเขาที่ยังคงมองหน้าจออยู่
“อะไร...”
“ดูรูป” เขาว่า เงยหน้ามามองเธอแล้วยิ้มให้ ศศรัณย์กระพริบตามองเขา ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“มีฟันกระต่ายด้วย” เขาว่า “ยิ้มทีตาเป็นเส้นเลย”
“เกือบละ... เกือบดีละ” ศศรัณย์บอกพลางหัวเราะ นะโมก็หัวเราะด้วย
“นี่ผมชมนะ”
“นะโมก็น่ารัก” เธอชมบ้าง เขาหันขวับมาหา พยักหน้าแรงๆ
“ผมรู้”
ขอถอนคำพูดได้ไหม ศศรัณย์เริ่มสงสัยว่าระหว่างเรือเป็ด กับนะโม อะไรน่าถีบกว่ากัน
โทรศัพท์ของศศรัณย์ส่งเสียงร้องเตือน เธอยกมันขึ้นดู เห็นว่าเป็นการแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊ค... จากนะโม เธอเหลือบมองเขา นะโมแค่ยิ้มให้ ศศรัณย์เลยเปิดแอพพลิเคชันดู
เขาอัปโหลดรูปคู่ของเขากับเธอบนเรือเป็ดลำนี้ ศศรัณย์ที่นั่งยิ้มโชว์ฟันกระต่าย และนะโมที่ยิ้มสดใสจนตาหยีลง พร้อมคำบรรยายภาพที่ทำเอาศศรัณย์สำลัก
‘เรือเป็ดลำเดิม เพิ่มเติมคือมีคนถีบด้วยแล้ว #ดีนะ #ไม่เชื่อมาลอง’
ต่อท้ายด้วยรูปหัวใจหลายดวง
นี่มันข้อความล้อข้อความที่เธอเคยโพสต์ไว้ตอนที่มาถีบเรือเป็ดคนเดียว...
และที่ทำให้ศศรัณย์กุมขมับคือคอมเมนต์แซวรัวๆ ของบรรดาเพื่อนๆ เขาและเพื่อนๆ เธอ ศศรัณย์ถอนหายใจ หันไปหานะโมที่เริ่มผิวปากเป็นเพลงอีกครั้ง
“ทำไมชอบเรียกเรตติ้ง”
“เรตติ้งอะไร ผมแค่ลงรูปเอง”
“นั่นแหละ ลงรูปธรรมดาสามัญ ไม่ต้องโพสต์หัวจงหัวใจให้คนเข้าใจผิดได้ไหม” ศศรัณย์ถาม นะโมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“พี่ยุ่น รู้เรื่องสำนักงานใหม่ที่ญี่ปุ่นไหม” นะโมเปลี่ยนเรื่อง เธอพยักหน้าให้คำถามของเขา
“อือ ย้ายกันไปหลายคนเลยนะ แต่ก็ดีแล้ว เริ่มอินเตอร์ขึ้นมาแล้วใช่ไหม ฉันอยู่กับที่นี่ตั้งแต่ยังเป็นบริษัทเล็กๆ อยู่เลย พอเห็นบริษัทโตขึ้นแบบนี้แล้วชื่นใจ”
“พี่ยุ่นไม่สนใจจะไปทำงานที่นั่นบ้างเหรอ เทรนนิ่งมีใครไปไหม”
“ไม่ล่ะ อยู่เมืองไทยดีกว่า ทีมเทรนนิ่งไม่มีใครไป ไม่มีใครอาสา ตอนแรกพี่ก้องจะให้เมษไปปูทางให้เทรนเนอร์ใหม่ที่นั่น ทำไปทำมาเมษไม่ได้ไปแล้ว พี่ก้องจะไปเอง”
“ผู้จัดการไปเองเลยเหรอ”
“อือ แต่พี่ก้องเคยเป็นเทรนเนอร์มาก่อน เขารู้ว่าต้องทำยังไง ให้พี่ก้องไปก็ดีเหมือนกัน แล้วไอทีล่ะ มีใครไปไหม”
“มีสิ สามสี่คน”
นะโมผิวปากอีกแล้ว คราวนี้เป็นเพลงที่เธอชอบ ศศรัณย์ฮัมเพลงตามไปด้วย ศศรัณย์คิดว่าควรจะปั่นต่อได้แล้ว เธอคว้าคันบังคับ นะโมก็คงคิดเหมือนกันเลยคว้ามันด้วย แต่เขาช้ากว่า เลยกลายเป็นว่าตอนนี้เขากุมมือเธออยู่ เขาเลื่อนสายตาจากมือตัวเองมามองหน้าเธอ นะโมปล่อยมือออก ถามเธอออกมา
“พี่ยุ่นจะไปทางไหน”
“นะโมล่ะ จะไปทางไหน” เธอลองถาม นะโมชี้ไปทางหนึ่ง คนละทางกับที่ศศรัณย์จะไป
“ว่าจะไปอีกทาง” ศศรัณย์บอกเขา
“ตรงนั้นมีอะไรครับ”
“ก็ไม่มีอะไร แค่คิดว่าอยากไปทางนั้น”
“งั้นฝั่งที่ผมอยากไปมีอะไร” เขาถาม ศศรัณย์เอียงคอมอง
“นะโมอยากไปทางนั้นโดยที่ไม่รู้ว่ามันมีอะไรเหรอ”
“ครับ แค่รู้สึกว่าอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว ควรเปลี่ยนไปทางอื่นบ้าง เห็นตรงนั้นเหมือนจะมีอะไรน่าสนใจ”
“ถ้าคิดว่าน่าสนใจก็ไปสิ”
“แต่พี่ยุ่นอยากไปอีกทางนี่ ไปทางนั้นก็ได้”
“แต่ตรงที่ฉันอยากไปไม่มีอะไร ไปทางที่นะโมอยากไปดูดีกว่า” เธอว่า ดันคันบังคับไปอีกทางแล้วออกแรงถีบเรือไปด้วยกัน
พอไปถึงตรงนั้นแล้ว นะโมก็พอใจ เหมือนแค่อยากเห็นว่าฟากนั้นมีอะไร ศศรัณย์เริ่มเชื่อใจเขามากขึ้นแล้ว เลยปล่อยให้เขาควบคุมเรือบ้าง เขาดันคันบังคับไปอีกทาง ไปทางฝั่งที่ศศรัณย์อยากไป
“ลงเรือลำเดียวกันแบบนี้ จะไปไหนก็ต้องไปด้วยกันเนอะ ถ้าความเห็นไม่ตรงกันก็ต้องคุยกัน ถ้าต่างคนต่างยื้อจะไปตามทางที่ตัวเองเลือก เรือก็คงไปไม่ถึงไหน ถ้าคนหนึ่งไม่ออกแรงถีบ เรือก็คงจะถ่วง ไปได้ไม่ไกล เพราะคนที่ออกแรงจะหมดแรงซะก่อน” นะโมบอกเธอ
“เจอสัจจะธรรมตอนถีบเรือหรือไง” ศศรัณย์บอกล้อๆ นะโมขำ
“ก็มันจริงนี่ คงเหมือนความรักมั้ง ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย ประคับประคองกันไป แล้วก็ต้องเชื่อใจกัน”
“เชื่อใจตอนมีความรักกับตอนถีบเรือเนี่ยนะ เกี่ยวกันตรงไหน”
“เชื่อใจว่าผมจะไม่ทำเรือล่ม เชื่อใจผมที่กำลังคุมคันบังคับนำทาง เชื่อใจว่าผมก็ออกแรงถีบเรืออยู่เหมือนกัน ไม่ได้ทิ้งให้พี่ยุ่นถีบเรืออยู่คนเดียวไง” เขาว่า หันมามองเธอด้วย ศศรัณย์อึ้งไป สุดท้ายก็พยักหน้ารับ เข้าใจในความหมายที่เขาต้องการสื่อ
“เหมือนความรักจริงๆ แฮะ” เธอยอมรับ นะโมยิ้มให้
“เอาเรือไปคืนกัน หรือว่าพี่ยุ่นอยากต่อเวลา”
“ครบเวลาแล้วเหรอ” ศศรัณย์ทำตาโตใส่เขา ยกนาฬิกาข้อมือสีส้มแป๊ดขึ้นดู เวลาผ่านไปเร็วมากจนศศรัณย์ตกใจ ปล่อยให้นะโมบังคับเรือไปคืนที่
“เร็วกว่าถีบเรือคนเดียวใช่ไหม มีผมนั่งอยู่ด้วยแบบนี้”
ศศรัณย์ไม่ตอบ เธอนั่งเงียบๆ จนถึงฝั่ง นะโมออกจากเรือก่อน เขายื่นมือให้เธอที่คราวนี้คว้าหมับอย่างไม่ลังเล เธอเห็นนะโมยิ้ม เหมือนจะดีใจที่เห็นเธอเชื่อใจเขามากขึ้นแล้ว
คุณปกรณ์โทร. มา ศศรัณย์รับสายตอนที่เดินอยู่กับนะโม ทั้งคู่กำลังเดินไปหาน้องอ่อนหวานที่จอดอยู่ใกล้ๆ เขาถามว่าวันนี้จะมาปั่นจักรยานกันได้ไหม
“รันอยู่ที่สวนค่ะ แต่วันนี้รันไม่ได้มาปั่นนะคะ มากับน้องที่ออฟฟิศ”
“อ้อ เหรอครับ ถ้าคุณรันไม่ว่างไม่เป็นไรครับ ไว้อาทิตย์หน้าก็ได้” แล้วเขาก็วางสายไป
ศศรัณย์ปั่นน้องอ่อนหวานออกจากสวนโดยมีนะโมซ้อนท้าย เธอถามเขาว่าอยากไปร้านกวินไหมและนะโมก็พยักหน้า ตอนนี้เธอเลยมุ่งหน้าไปร้านพี่กวิน
“นี่พี่ยุ่น คืบหน้าถึงขนาดมีเบอร์โทรศัพท์กันแล้วเหรอ”
“อะไร”
“พี่ยุ่นกับคุณปกรณ์ไง”
“ก็เอาไว้นัดกันปั่นจักรยานไง”
“เขาก็น่าสนใจดีนะ พี่ยุ่นไม่ลองเปิดใจให้เขาหน่อยเหรอ” นะโมถาม ศศรัณย์นิ่งไป ทำไมก็ไม่รู้ เธอรู้สึกหงุดหงิดที่นะโมพูดแบบนี้
“ไม่ล่ะ”
“ทำไมล่ะ เพราะว่ามีผมแล้วใช่ไหม” เขาว่าล้อๆ ศศรัณย์หัวเราะออกมาหน่อยหนึ่ง
“นั่นน่ะซี้ แบบนี้จะไปเปิดใจให้ใคร”
“ไม่ได้นะพี่ยุ่น ห้ามชอบผม จำได้ไหมที่ผมบอก ถ้าพี่ยุ่นชอบผมขึ้นมา ผมจะไม่คุยด้วยอีก”
ศศรัณย์นิ่งกึก เธอไม่เห็นว่าเขาทำหน้าแบบไหน น้ำเสียงแบบนี้ทำเอาเธอไม่สบายใจ อยากจะจอดรถแล้วหันมองเขาเสียเดี๋ยวนั้น
“จะหนีไปไกลๆ เลย” เขาบอกอีก และศศรัณย์ก็ใจหายวาบเมื่อได้ยิน
“ผมขอนะพี่ยุ่น ผมเสน่ห์แรงขนาดนี้ เร้าใจขนาดนี้ พี่ยุ่นห้ามเผลอใจนะ”
คราวนี้ศศรัณย์หัวเราะ เธอส่ายหน้า
“จ้า... หล่อมาก... เท่มาก... เร้าใจมาก... หลงตัวเองมากๆ ด้วย!”
ศศรัณย์จอดจักรยานที่หน้าร้านกวินกาแฟ นะโมไม่ได้รอเธอ เขาโดดลงจากรถแล้วก้าวเข้าร้านไปก่อน พอศศรัณย์ตามเข้าไปก็เห็นเขายิ้มหน้าเป็นให้กวินอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์แล้ว
“คู่นี้มาบ่อยนะ” กวินบอกล้อๆ ศศรัณย์ทำหน้างงใส่เขา นะโมยืนเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่มองเมนูราวกับตั้งใจเลือกว่าจะสั่งอะไรดี
พอได้เครื่องดื่มแล้ว นะโมก็คุยเรื่องที่ค้างอยู่ก่อนหน้านี้ เขาถามเธอเรื่องคุณปกรณ์ และศศรัณย์ก็เล่าให้ฟังโดยมีพี่กวินนั่งฟังอยู่ด้วย
“ล่าสุดไปปั่นด้วยกันมาที่ราชดำเนิน”
“ไปถึงนั่นเลยเหรอ” นะโมถาม ทำตาโตใส่
“อือ คุณปกรณ์เขาดีนะ ขี่รอๆ คอยดูรถให้ด้วย ปั่นด้วยแล้วสบายใจ”
“แล้วได้สานต่อไหม” พี่กวินถาม ศศรัณย์ย่นคิ้วแล้วส่ายหน้า
“บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรจริงๆ พี่กวิน”
“แล้วเขาชอบไหม เส้นนั้นน่ะ แถวนั้นวัดเยอะ ได้แวะเที่ยวด้วยเลยสิ” นะโมถามอีก ศศรัณย์พยักหน้า
“ใช่ ก็แวะไหว้พระ ให้อาหารปลากัน คุณปกรณ์เขาชอบมาก เขาอยู่เมืองนอกนาน เพิ่งได้กลับมาไหว้พระ”
“ทำบุญร่วมชาติกันไปเลยใช่ไหม” กวินล้ออีก ศศรัณย์หรี่ตามอง
“พี่กวินนี่นะ ขี้เกียจพูดแล้ว”
“สกิลการปั่นสูงขนาดนี้ พาพี่ยุ่นไปปั่นริมชายหาดได้แน่ เขาดูท่าทางเป็นคนดีออก พี่ยุ่นไม่คิดจะเปิดใจจริงเหรอ” นะโมถาม และคำถามนั้นทำให้กวินเลิกคิ้วมองเขา ศศรัณย์ถอนหายใจ
“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ก็บอกว่าเขาไม่ได้จีบ ต้องให้พูดกี่ครั้ง ขี้เกียจพูดแล้ว!”
นั่งอยู่จนร้านปิด นะโมกับศศรัณย์ก็ช่วยกวินเก็บของ ทั้งๆ ที่กวินบอกว่าไม่ต้อง แต่ทั้งคู่ไม่ฟัง พอเสร็จแล้วจึงได้ออกจากร้าน และศศรัณย์ก็โดนกวินปิดไฟในร้านใส่หน้าอีกแล้ว
ศศรัณย์ปั่นน้องอ่อนหวานไปถึงคอนโดมิเนียมโดยมีนะโมซ้อนท้าย พอถึงที่หมายแล้วลากจักรยานเข้าไป เธอถึงนึกเรื่องสำคัญออก
“แล้วจะเอาน้องอ่อนหวานกลับยังไง” ศศรัณย์ถามนะโมที่ยิ้มมาให้
“ฝากไว้ที่นี่นะ” เขาว่า
ศศรัณย์คิดแล้วก็พยักหน้า จะให้นะโมจูงจักรยานกลับบ้านก็ใช่ที่ นี่เขาคงวางแผนไว้แล้วว่าจะทำแบบนี้ คราวหน้าก็คงจะมาที่นี่แล้วนั่งซ้อนท้ายให้เธอขี่พาไปไหนต่อไหนอีก แผนสูงจริง
ศศรัณย์ไล่เขากลับบ้าน แต่นะโมไม่ยอม บอกเรียบๆ ว่าวันนี้ขอเดินไปส่งถึงลิฟท์ได้ไหม ศศรัณย์เห็นท่าทางเขาแปลกๆ ก็เลยยอมตามนั้น ทั้งคู่เดินด้วยกันมาเรื่อยๆ เธอเห็นว่านะโมนิ่งไป เขาเงียบผิดปกติ ไม่มีรอยยิ้มซุกซนบนใบหน้าแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไร
“ขอบใจนะ วันนี้สนุกมากเลย” ศศรัณย์บอกเขาแล้วยิ้มให้ นะโมยิ้มตอบ แต่รอยยิ้มนั้นดูจางๆ ชอบกล ไม่เหมือนทุกที
“พี่ยุ่น พรุ่งนี้ผมจะไปแล้วนะ” เขาบอก ศศรัณย์เลิกคิ้วมอง ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“ไปไหน”
“ญี่ปุ่น”
ศศรัณย์นิ่งกึก รู้สึกเหมือนร่างชา เธอมองเขาที่มองกลับมา ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นในแววตานั้น
“ไปเที่ยวเหรอ” เธอทำใจดีสู้เสือถามไป นะโมส่ายหน้า
“ไปทำงานครับ”
“สำนักงานใหม่ที่ญี่ปุ่นน่ะเหรอ”
“ครับ”
“นานแค่ไหน” เธอถาม และเขาก็ไม่ตอบ ศศรัณย์ใจหายวาบเมื่อเห็นอย่างนั้น
“เราคุยกันในเฟสบุ๊คก็ได้”
“นานแค่ไหน” เธอถามอีก
“ก็นาน...”
“นานแค่ไหนล่ะ สามเดือน หกเดือน หรือว่านานกว่านั้น” เธอถามอีกครั้ง นะโมก้มหน้ามองพื้น เขาเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มล้อเลียนมาให้
“ยังไม่ทันไปไหนเลย เริ่มคิดถึงผมแล้วเหรอ”
“ไม่ตลกนะนะโม!” เธอบอกเสียงเครียด ผลักอกเขาด้วย เขาทำแบบนี้กับเธอได้อย่างไร มีเวลาทั้งวันทำไมไม่พูดไม่บอก ทำไมมาบอกตอนนี้
อย่างน้อยถ้ารู้ก่อนนี้สักนิด... เธอจะได้ซึมซับช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้
และที่เขาคะยั้นคะยอจะมาหาเธอวันนี้ให้ได้... เพราะแบบนี้เหรอ
...จะไม่ได้เจอกันแล้วเหรอ
นะโมเลิกคิ้วให้ท่าทางนั้นของเธอ เขาดูแปลกใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยิ้ม ยิ้มของเขาดูเศร้าเหลือเกิน และก่อนที่ศศรัณย์จะเข้าใจอะไร เขาก็โผเข้าหา โอบสองแขนไว้หลวมๆ รอบตัวเธอ
“คิดถึงผมบ้างนะ”
แล้วเขาก็ผละออก เดินจากไป
ความคิดเห็น |
---|