บทที่ ๔

บทที่ ๔

ข้อตกลงใหม่

 

                ธันวามีประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับการนอกใจ...

                ไม่ใช่แค่กับรสิตา เพราะแม้แต่พ่อกับแม่ของเขาก็หย่าร้างกันด้วยปัญหาเรื่องมือที่สาม 

                ย้อนกลับไปหลายปีก่อนหน้านี้ แม้ทุกคนจะรู้ดีว่าการแต่งงานของธงชัยกับลภัศราส่วนหนึ่งเป็นการเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทว่าคนภายนอกมักจะมองว่าชีวิตรักของทั้งคู่สวยงามราวกับเทพนิยายที่เจ้าหญิงได้คู่กับเจ้าชาย ไม่ใช่เพียงเพราะหน้าตาและฐานะ แต่เป็นเพราะ ‘การแสดง’ ของทั้งคู่ มีเพียงลูกๆ ทั้งสามคนเท่านั้นที่รู้ว่ามารดามักฟูมฟายถึง ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ของบิดาเสมอมา และสุดท้ายธงชัยก็ตอกย้ำว่าทุกสิ่งที่ลภัศราพูดเป็นความจริง ด้วยการหย่าร้างกับเธอเมื่อสามีของ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ เสียชีวิตลง

                ด้วยเหตุนี้ธันวาจึงบอกตัวเองว่า เป็นเพราะแผลใจที่เกิดขึ้นถึงสองครั้งสองครา ทำให้เขารู้สึกผิดหวังกับพัทธ์ธีราอย่างรุนแรงเมื่อหญิงสาวเลือกใช้วิธีนี้ในการเอาคืนเรื่องเมื่อเช้าวันก่อน ที่เขาเดินออกมาจากห้องพร้อมธัญวรินทร์แล้วทำราวกับเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้า

                ไม่ใช่ความหึงหวงแต่อย่างใด

                ทว่าขณะที่ยืนรอหญิงสาวอยู่หน้าห้องของเธอได้เกือบสิบห้านาที และกำลังครุ่นคิดถึงท่าทีระหว่างคนทั้งคู่ว่าน่าจะมีความสัมพันธ์แบบไหนต่อกัน จู่ๆ ธันวาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนฝนตก ความจริงบางอย่างพุ่งเข้ากระแทกกลางแสกหน้าว่า เขาเป็นคนบอกพัทธ์ธีราเองว่าระหว่างพวกเขาไม่มีการผูกมัด และก็เป็นเขาอีกนั่นละ...ที่ทำให้เธอเข้าใจว่าเขาเองก็มีคนอื่น

                แล้วทำไมเธอจะมีคนอื่นบ้างไม่ได้ ธันวามีสิทธิ์อะไรไปโกรธพัทธ์ธีรากัน

                เสียงประตูลิฟต์ดังขึ้น พร้อมกับที่เสียงฝีเท้าของคนที่ชอบใส่ชุดนอนเดินออกไปไหนต่อไหนดังเข้ามาใกล้ ริมฝีปากบางของชายหนุ่มเม้มเข้าหากัน เปลือกตาหลุบลงเล็กน้อยเพื่อเก็บซ่อนอารมณ์อันซับซ้อนที่อาจฉายชัดผ่านแววตา ก่อนที่เขาจะหันไปสบตาเจ้าของร่างเล็กที่มองตรงมาด้วยแววตาประหลาดใจ 

                จังหวะการก้าวเดินของพัทธ์ธีราชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงประตูห้องของตนอยู่เงียบๆ แต่แล้วก็ก้าวขาต่อด้วยสีหน้าราวกับไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติของคนตรงหน้า

                ราวกับไม่ได้มีเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน และไม่ได้เดินสวนกันไปอย่างเฉยชาเช่นคนแปลกหน้าเมื่อครู่นี้

                “กลับเร็วจังเลยนะคะวันนี้” ใบหน้าของหญิงสาวยังคงมีรอยยิ้มเช่นเคย

                เป็นอีกครั้งที่ธันวาพบว่าตนไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

                “อืม ไปไหนมา” แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ ห้วนๆ ทว่าเสียงทุ้มของชายหนุ่มอ่อนกว่าปกติเล็กน้อยด้วยอารมณ์ที่ไม่มั่นคงภายในจิตใจ

                “เมื่อกี้ก็เห็น...ไม่ใช่เหรอคะ”

                “คุณ...นอนกับเขาเหรอ”

                นัยน์ตาของพัทธ์ธีรามีอารมณ์อันซับซ้อนแวบผ่าน ธันวาตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกผิดหวังขึ้นมา

                “จริงสินะ...” 

“เรามีกฎว่าห้ามนอนกับคนอื่นเหรอคะ” เจ้าของร่างเล็กย้อนถามพลางเอียงศีรษะเล็กน้อย 

“ก็ไม่” ธันวาเกือบสะอึก

“อ้อ” พัทธ์ธีราพยักหน้าช้าๆ ด้วยรอยยิ้มประหลาด พร้อมทำเสียงตอบรับประหนึ่งว่าเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว

“ตกลงว่านอนด้วยกันจริงๆ เหรอ” คนตัวสูงถามซ้ำ ราวกับถ้าไม่ได้รับการยืนยันจากริมฝีปากเล็กๆ ของเธอก็จะไม่ปล่อยวาง

“นอนแล้วยังไง ไม่นอนแล้วยังไงเหรอคะ” หญิงสาวยังยิ้มเหมือนเคย แม้น้ำเสียงจะรวนจัดจนคนฟังเผลอกัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิด

‘ผมไม่ชอบ’ ธันวาเกือบหลุดปากออกไปแบบนั้น ทว่าสุดท้ายชายหนุ่มก็รั้งสิ่งที่ติดอยู่เพียงปลายลิ้นเก็บไว้ในใจ ใบหน้าขาวจัดหันไปทางอื่นที่ไม่มีหน้าเธออยู่ขณะเอ่ย “ถ้าผมไม่นอนกับใครอีก คุณจะไม่นอนกับคนอื่นด้วยมั้ย”

“ข้อตกลงในฐานะคู่นอนเหรอคะ”

“อืม”

“งั้นก็ตกลงค่ะ” 

                คนตัวสูงหันขวับมามองร่างเล็กราวกับคาดไม่ถึง ในขณะที่อีกฝ่ายมองตอบด้วยดวงตากลมโตใสแจ๋วเหมือนกระต่ายขาวขนนุ่มฟูหูตก

                “แล้วทำไมไม่เข้าไปรอในห้องล่ะคะ กลัวเจอรอยรักของคนอื่นเหรอ” นิ้วเรียวเล็กของพัทธ์ธีรากดรหัสที่เคยบอกเขาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนหลังจากโดนธันวาบ่นว่าเปิดประตูช้า เธอเหลือบมองริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เม้มเป็นเส้นตรงทันทีที่ได้ยินคำถาม แล้วเผลอหลุดเสียงหัวเราะออกมา 

                เจ้าของร่างสูงปรายตามองคนพูดด้วยดวงตาคมดุ

                “ไม่มีหรอกค่ะ” หญิงสาวยังคงพูดกลั้วหัวเราะ ดวงตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “พัทธ์ไม่ได้นอนกับใครนอกจากคุณ คนเมื่อกี้เป็นเลขาฯ ของคุณลุงที่รู้จัก ช่วยขนอาหารที่คนที่บ้านคุณลุงทำให้ขึ้นมาไว้บนห้องเฉยๆ”

                ประโยคที่ว่า ‘พัทธ์ไม่ได้นอนกับใครนอกจากคุณ’ ทำให้คนฟังอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น แม้สีหน้าของเจ้าตัวจะยังเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม

                ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขายาวที่เธอมักใส่นอนเดินไปที่เคาน์เตอร์ครัวซึ่งมีถุงผ้าใส่ของวางอยู่หลายใบ มือเรียวหยิบของที่อยู่ข้างในออกมาวางพลางจ้อไม่หยุด ริมฝีปากที่ขยับขึ้นลงเผยให้เห็นฟันจอบซี่เล็กๆ จนคนมองยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนกระต่ายฮอลแลนด์ล็อปตัวน้อยๆ ที่กระโดดไปมาอย่างร่าเริง

                “เยอะมากเลย พัทธ์กินคนเดียวไม่หมดแน่ๆ คุณดีนแบ่งไปบ้างมั้ย...เอ๊ะ ทำอะไรคะ”

หญิงสาวหันมามองเขาตาโต เมื่อจู่ๆ คนที่เดินตามเข้ามาในครัวเงียบๆ ยื่นมือใหญ่ออกมาจับใบหูเธอไว้ ธันวาถูท้องนิ้วสากระคายกับใบหูนุ่มลื่นขาวสะอาดของพัทธ์ธีราอย่างเบามือราวกับยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีขนสีขาวนุ่มฟูปกคลุมใบหู รอยยิ้มจางๆ ที่หายไปในช่วงหลายเดือนมานี้ผุดขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม เล่นเอาคนตัวเล็กมองตาค้าง

                “ดูเหมือนฝนกำลังจะตกนะ” สิ่งที่ออกมาจากปากของธันวาอยู่เหนือความคาดหมาย

                “คะ?” พัทธ์ธีราย่อมงง

                “ทำกันมั้ย”

                “...”

                ข้าวของที่ดรัณ เลขาฯ ของคุณลุงที่เคารพช่วยขนขึ้นมาให้ยังวางกองอยู่ที่เดิมตรงหน้าพัทธ์ธีราที่กำลังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่ออยู่ๆ ก็ถูกจับพลิกหันหน้าเข้าหาเคาน์เตอร์ครัว มือเล็กวางทาบพื้นผิวเย็นๆ ของเคาน์เตอร์โดยสัญชาตญาณ ก่อนที่บั้นท้ายจะเย็นวาบเพราะกางเกงขาวยาวเนื้อนุ่มถูกดึงลงไปกองกับพื้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างขณะหันขวับไปมองคนที่ยืนซ้อนหลังอยู่ด้วยความตกใจ

                “ไม่ได้เหรอ” คิ้วเข้มของชายหนุ่มเลิกสูง

                “ก็...อื้ม” 

พัทธ์ธีรายังพูดไม่ทันจบประโยค ปลายนิ้วร้อนผ่าวก็แตะต้องความอ่อนไหวกึ่งกลางกายในแบบที่รู้ว่าเธอจะต้องพ่ายแพ้ หญิงสาวหันไปฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์ครัว ร่างเล็กโน้มตัวลงจนขนานกับพื้น บั้นท้ายเปลือยแอ่นเข้าหามืออุ่นจัดที่ขยับไหว ได้แต่ส่งเสียงหอบสะท้านแทนคำตอบ

                บางทีอาจเป็นเพราะประโยคนั้นของพัทธ์ธีราที่บอกว่าไม่ได้มีใครอื่นนอกจากเขา ที่ทำให้ธันวารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาจนบุ่มบ่ามจับอีกฝ่ายเปลื้องผ้าครึ่งๆ กลางๆ แล้วร่วมรักอย่างรีบร้อนในห้องครัว และคงเป็นเพราะใบหูขาวๆ เล็กๆ ของเธอที่แดงก่ำขึ้นมาทันทีหลังจากถูกปลุกเร้า ที่ทำให้ชายหนุ่มอดทนต่อความต้องการของตนเองไม่ไหว แทรกกายเข้าหาร่างนุ่มนิ่มทั้งๆ ที่ไร้การป้องกัน กลายเป็นพัทธ์ธีราเสียอีกที่มีสติมากกว่า

                “เดี๋ยว...ใส่ถุงยางแล้วเหรอ” พัทธ์ธีราหันไปมองด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายผลักดันความร้อนผ่าวเข้ามากะทันหัน

                “ผมไม่มีติดตัว” คนตัวเล็กทั้งคับแน่นและหวานล้ำจนธันวาแทบจะกัดฟันตอบ ร่างสูงใหญ่ก้มลงไปกอดรัดคนที่เริ่มดิ้นหนีไว้กับอก

                “ในห้องนอนมีนี่!”

                “ผม...” ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง อยากจะเอ่ยคำพูดเลวๆ อย่างคนเห็นแก่ตัวโดยการขอให้เธอกินยาคุมฉุกเฉิน แต่พอมองดวงตารื้นน้ำของคนตรงหน้าแล้วก็พูดไม่ออก

                “แล้วคุณเพิ่งไปนอนกับใครมา พัทธ์ไม่อยากติดโรคนะ” พัทธ์ธีราพยายามดิ้นรน สุดท้ายจึงทิ้งตัวลงกับพื้นเพื่อให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดที่ร้อนรุ่ม

                “ผมไม่ได้มีใคร”

                “ก็...” หญิงสาวเงยหน้ามองธันวาที่อยู่ในสภาพดูไม่จืดด้วยเสื้อเชิ้ตติดกายเพียงตัวเดียว ส่วนกางเกงสแล็กกองอยู่ที่ข้อเท้า ผมที่จัดทรงเรียบยุ่งเหยิงไม่เป็นทิศเป็นทางเพราะเจ้าตัวกำลังทึ้งหัวตัวเองด้วยสีหน้าหงุดหงิด

                “นั่นน้องสาว”

                พัทธ์ธีราอ้าปากค้าง หัวใจเต้นแรงด้วยความลิงโลด ในอกหวานล้ำ แม้จะรู้ดีว่าคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้มีความหมายใดลึกซึ้งไปกว่าประโยคบอกเล่า แม้จะดีใจจนอยากตามใจคนพูด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันบางเบาจนไม่อาจปล่อยให้เกิดความผิดพลาด

                “ถ้าพัทธ์ท้อง คุณจะแต่งงานกับพัทธ์เหรอ” 

                ประโยคนั้นเหมือนหมัดหนักๆ ที่ชกใต้เข็มขัดคนฟัง ธันวาอึ้ง ปั้นหน้าไม่ถูก ได้แต่กัดฟันกรอดแล้วช้อนร่างอีกฝ่ายขึ้นอุ้ม

                “งั้นก็ไปห้องนอน โอเคมั้ย”

                “อื้ม” เจ้าของร่างเล็กวาดวงแขนโอบรอบลำคอหนา แล้วแนบพวงแก้มที่ประดับด้วยรอยยิ้มสุขใจกับไหล่กว้าง ยั้งใจอย่างสุดตัวเพื่อไม่ให้ตนเองเอ่ยคำสามคำที่อยู่ในใจออกไป เพราะแม้แต่เธอเองยังรู้สึกว่ามันช่างโง่งม

                ‘พัทธ์รักคุณ’

                คำพูดที่พัทธ์ธีราเคยบอกธันวาไว้ว่าเธอเองเข้าใจขอบเขตของตนมากแค่ไหนไม่ใช่เรื่องที่พูดไปส่งๆ แต่หญิงสาวเป็นคนเช่นนั้นจริงๆ มนุษย์ที่ผ่านความเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกฉีกทึ้งมานับครั้งไม่ถ้วนเช่นเธอย่อมรู้ว่าบทลงโทษของความละโมบคือชีวิตที่ไม่ต่างจากการตายทั้งเป็น

                พัทธ์ธีราเคยมีพ่อ มีแม่ มีน้อง มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเหมือนในนิยาย แม้ว่า ‘พิมพ์ภัทรา’ น้องสาวของเธอมักจะป่วยออดๆ แอดๆ แต่สองพี่น้องก็รักใคร่กันดี แม้บางครั้งจะนึกน้อยใจที่พ่อกับแม่มักจะใส่ใจพิมพ์ภัทราที่สามวันดีสี่วันไข้มากกว่า ทว่าหญิงสาวก็ไม่เคยนึกเกลียดน้องหรือมีความคิดอยากให้อีกฝ่ายหายไปจากชีวิตเลย

                ถึงกระนั้น เพราะความเห็นแก่ตัวของเธอ พัทธ์ธีราในวัยสิบขวบที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้านกับพี่เลี้ยงเพียงลำพังอยู่บ่อยครั้งก็เกิดอาละวาดขึ้นมาช่วงกลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่พ่อกับแม่กำลังจะพาน้องออกไปโรงพยาบาล คนเป็นพี่สาวอย่างเธอกลับโกหกว่ากลัวเสียงฝนตก ทำให้คนเป็นแม่ละล้าละลัง สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยให้ลูกสาวคนเล็กไปโรงพยาบาลพร้อมกับสามี ส่วนตนเองอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวคนโตที่บ้าน

                ‘ทั้งโกหก ทั้งขี้อิจฉา คุณก็ให้ท้ายลูก ยายพิมพ์ตัวร้อนขนาดนี้แล้วยังจะทำตัววุ่นวาย อยากให้น้องตายหรือไง!’

คำพูดที่คนเป็นพ่อกล่าวอย่างฉุนเฉียวก่อนจะขับรถออกไปท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและจากไปตลอดกาลพร้อมกับน้องสาวของเธอ ยังติดอยู่ในใจเหมือนเสี้ยนหนามที่ฝังอยู่ในอก แค่หายใจเบาๆ ก็เจ็บปวด

ทว่าพัทธ์ธีรายินดีที่จะรับความเจ็บปวดนั้นไว้ เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดในคืนนั้นเป็นความผิดของเธอเอง

ตลอดเวลาสิบกว่าปีนับจากวันนั้น พัทธ์ธีราใช้ชีวิตอย่างคนที่รู้ขอบเขตของตนเองเสมอมาว่าที่ทางของตนควรจะอยู่ตรงไหน เรียกร้องได้เพียงใด เพราะฉะนั้นเรื่องสุดท้ายบนโลกนี้ที่ธันวาควรกังวลคือเรื่องที่หญิงสาวจะก้าวล้ำเส้นแบ่งความสัมพันธ์ที่เขาขีดไว้

วันเวลาผันผ่านราวกับสายน้ำที่ไม่มีวันย้อนกลับ ในขณะที่พัทธ์ธีราทำใจไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่กระโดดลงไปในความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘คู่นอน’ แล้วว่าระหว่างพวกเขาไม่มีคำว่าจีรัง แต่มันกลับคงอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาถึงสองปี แม้บางครั้งความอ่อนโยนใจดีโดยไม่รู้ตัวของธันวาจะทำให้คนที่หลงรักเขาข้างเดียวอย่างเธอเผลอเคลิ้มฝัน ทว่าความเย็นชาที่ตามมาหลังจากนั้นมักจะคอยกระชากหญิงสาวให้ตื่นขึ้นมาพบความเป็นจริงอยู่ทุกครั้งไป

อย่างเช่นเมื่อปลายปีที่แล้วที่พัทธ์ธีราสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ธันวาซื้อกระเป๋าราคาหลักแสนให้หญิงสาวเป็นของขวัญพร้อมดินเนอร์สุดหรูอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่กลับปฏิเสธที่จะไปร่วมงานฉลองรับปริญญาซึ่งมีมารดาของเธอไปร่วมงานด้วย ทั้งๆ ที่มหาบัณฑิตสาวอ้อนขอให้มาถ่ายรูปร่วมเพียงรูปเดียวก็พอ ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นก็คงงอนไปหลายตลบแล้ว เพราะหลังจากนั้นไม่นานชายหนุ่มก็ขอให้เธอช่วยเลือกของขวัญวันเกิดสำหรับมารดาของคนรักเก่าของเขา เรียกได้ว่านอกจากจะไม่ลืมแล้วยังใส่ใจอีกต่างหาก

บางทีพัทธ์ธีราก็มีช่วงเวลาที่หมดคำจะพูดกับเขาอยู่เหมือนกัน

                หรือถ้าจะย้อนไปก่อนหน้านั้นอีกนิด ตอนที่ความสัมพันธ์ดำเนินไปได้หกเดือน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ธันวาเมาเหมือนหมา แทบคลานกลับห้อง จนเพื่อนต้องลากตัวขึ้นมาส่ง และเจอเข้ากับเธอที่กำลังจะลงไปชั้นล่างพอดี ด้วยความหวังดีของเพื่อนของเขา ซึ่งนอกจากจะอุตส่าห์ช่วยกดรหัสเข้าห้องของธันวาที่เธอเพิ่งเคยเหยียบเข้าไปเป็นครั้งแรกและลากคนตัวโตไปโยนทิ้งไว้ให้บนเตียงแล้ว ยังช่วยออกตัวแทนเพื่อนรัก หวังเคลียร์ปัญหาหัวใจ เพราะเข้าใจผิดว่าพัทธ์ธีราเป็นแฟนใหม่ของคนที่เมาหลับไปแล้วอีกด้วย

                ‘คุณพัทธ์ใช่มั้ยครับ’

                ‘คะ? อ้อ ค่ะ’ พัทธ์ธีราตอบรับงงๆ ขณะมองร่างสูงที่นอนคว่ำ แลดูหายใจไม่สะดวก อย่างไม่รู้จะพลิกเขากลับมาได้อย่างไรด้วยแรงของตนเพียงลำพัง

                ‘ดีนมันคงทำให้คุณเป็นกังวลมากเลยสินะครับ คุณพัทธ์ใจเย็นมากจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นคงทนไม่ไหวไปนานแล้ว’

                พัทธ์ธีราได้แต่ยิ้มรับ เปลือกตากะพริบถี่ด้วยความกระอักกระอ่วนกับความเข้าใจผิดของชายหนุ่ม เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับธันวามันบางเบาและผิวเผินเกินกว่าที่หญิงสาวจะมีสิทธิ์กังวลกับเรื่องส่วนตัวของเขา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากอธิบายให้คนนอกรับรู้

                ดวงตากลมโตเบนไปทางอื่นที่ไม่ใช่ใบหน้าแสดงความเห็นอกเห็นใจของอีกฝ่าย ก่อนที่กรอบรูปบนโต๊ะทำงานที่มุมห้องจะดึงดูดสายตาของพัทธ์ธีราจนไม่อาจละจาก ชายหนุ่มที่อยู่ในรูปคือธันวาอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าคมคายคือสิ่งมหัศจรรย์ที่สามารถเร่งอัตราการเต้นของหัวใจ ถ้าเพียงแต่ข้างกายเขาจะไม่ใช่หญิงสาวแสนสวยงามสะพรั่งอย่างที่เธอไม่อาจเทียบติด 

                พัทธ์ธีราแทบไม่ต้องเดาความสัมพันธ์ระหว่างธันวากับผู้หญิงในรูป โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนของเขามองตามสายตาเธอไปยังรูปใบนั้น แล้วรีบเดินไปคว่ำกรอบรูปลงกับโต๊ะด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

                ‘เอ่อ มันคงเพิ่งเอาออกมาเพราะเพิ่งรู้ข่าวว่าโรสกำลังจะแต่งงานน่ะครับ’

                พัทธ์ธีราก็ได้รู้เอาตอนนั้นเองว่าแฟนเก่าเขาชื่อโรส ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือผู้หญิงคนนั้นช่างสวยสมชื่อ

                ‘อย่าคิดมากเลยนะครับ เรื่องระหว่างโรสกับดีนมันจบไปแล้ว คงเป็นเพราะคบกันมานาน เลยผูกพันมากกว่าปกติ อ่า คือ...’ คนที่พยายามจะช่วยเพื่อนเริ่มพูดตะกุกตะกัก เพราะรู้สึกว่ายิ่งพูดก็ยิ่งแย่ ทว่าคนฟังกลับกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ 

                ‘พัทธ์เข้าใจค่ะ แต่พัทธ์ไม่ได้อยู่ในสถานะที่มีสิทธิ์จะรู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ พัทธ์ไม่ใช่คนรักของเขาหรอกค่ะ’

                ‘เอ๊ะ!’ เพื่อนของธันวาอุทานด้วยสีหน้าสับสน ‘ขอโทษครับ ผมนึกว่า...’

                ‘ไม่เป็นไรค่ะ เพียงแต่พัทธ์กลัวคุณดีนจะไม่พอใจถ้ารู้ว่าพัทธ์ทำให้เพื่อนเขาเข้าใจผิด’

                อีกฝ่ายยกมือขึ้นเกาหัวอย่างงุนงง ท่าทางเขาดูเหมือนจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก พัทธ์ธีราจึงบอกให้เขากลับบ้าน เธอจะดูแลธันวาให้เอง และนั่นทำให้เพื่อนของเจ้าของห้องยิ่งดูสับสนหนักขึ้นไปอีก ทว่าหญิงสาวทำเป็นมองไม่เห็น หลังจากชายหนุ่มผู้นั้นกลับไปแล้วก็หันกลับไปจัดการให้คนที่เมาหลับไม่รู้เรื่องได้นอนสบายๆ

                ขณะกำลังจะออกจากห้องนอนของธันวา กรอบรูปที่วางไว้บนโต๊ะทำงานของคนตัวสูงก็ดึงดูดสายตาของพัทธ์ธีราไว้ได้อีกครั้ง เจ้าของเรือนร่างบอบบางหันไปมองคนที่ยังตกอยู่ในห้วงนิทราแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งเก้าอี้ทำงานหลังโต๊ะตัวนั้นเมื่อมั่นใจว่าเจ้าของรูปไม่น่าจะตื่นขึ้นมาเร็วๆ นี้ เพราะพัทธ์ธีรารู้ดีว่าชายหนุ่มคงจะโมโหสุดๆ ถ้ารู้ว่าถูกล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว

                พัทธ์ธีราหยิบกรอบรูปที่วางคว่ำไว้ตรงขอบโต๊ะขึ้นมาพิจารณา ใบหน้าของชายหนุ่มที่อยู่ในชุดลำลองดูอ่อนเยาว์กว่าในเวลานี้มากนัก ความผูกพันอันยาวนานของทั้งคู่ช่างน่าอิจฉา ถึงเวลาจะผ่านมานานหลายเดือน แต่ดูเหมือนว่าธันวาจะยังลืมอีกฝ่ายไม่ได้

                คนที่มาทีหลังอย่างเธอยอมรับว่าอยากได้รับความรักจากเขา แต่พัทธ์ธีรารู้ขอบเขตของตนดีว่าฝันได้แค่ไหน ยิ่งเห็นภาพรอยยิ้มอ่อนโยนอันยากจะละสายตาของธันวาที่มอบให้แก่ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายด้วยแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่าความปรารถนาของเธอเกิดขึ้นได้เพียงในฝันจริงๆ

                พัทธ์ธีราคิดแค่อยากจะมองรอยยิ้มของธันวาอีกแวบเดียวเท่านั้นแล้วค่อยออกไปเงียบๆ โดยไม่ให้เจ้าของห้องรู้ ทว่าสุดท้ายกลับผล็อยหลับบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายเสียได้ หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้งตอนสิ่งที่กำไว้ถูกกระชากออกไปอย่างแรงจนฝ่ามือเจ็บแปลบ 

                ใบหน้าขาวจัดของธันวาก้มมองกรอบรูปที่อยู่ในมือ ก่อนจะโยนมันไปบนเตียงส่งๆ

                หญิงสาวที่เพิ่งผวาตื่นมองตามกรอบรูปอันนั้น แล้วก็สะท้อนอยู่ในอกว่าขนาดเป็นแค่รูปเขายังไม่กล้าทำรุนแรง แม้จะโมโหจนอยากทำลายข้าวของก็ยังอุตส่าห์โยนบนที่นอนนุ่มๆ ดวงตากลมโตหลุบมองมือที่มีรอยครูดของตนแล้วกำแน่น

                ‘คุณรู้รหัสเข้าห้องผมได้ยังไง’ ธันวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่คิดจะปิดบังความกราดเกรี้ยว 

                คนตัวเล็กมองแววตากล่าวหาของอีกฝ่ายแล้วก็ถึงกับนิ่งงันไป ขณะพยายามข่มความน้อยใจที่ผุดขึ้นมาและตามหาเสียงของตัวเองเพื่อตอบคำถามเขา ชายหนุ่มก็เบือนหน้าหนีแล้วกล่าวต่อเสียก่อน

                ‘ช่างเถอะ รู้แล้วก็แล้วไป อย่าเข้ามาห้องนี้อีกก็พอ’

                ขอบตาของพัทธ์ธีราร้อนผ่าว เธอกลืนก้อนแข็งๆ ในคอลงไปอย่างยากลำบาก ร่างบอบบางผุดลุกจากเก้าอี้แล้วผลุนผลันออกไปจากห้องของธันวาก่อนที่น้ำตาจะร่วงลงมาให้เขาเห็น หญิงสาวไม่อยากให้คนที่กำลังระแวงว่าเธอจะล้ำเส้นอยู่ก่อนแล้วรู้ทันว่าตนเองทั้งหวั่นไหวและอ่อนไหวกับเขามากแค่ไหน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหลังจากนี้เธอจะยังได้อยู่ในชีวิตของเขาอีกหรือไม่ก็ตาม

                เพราะเตรียมใจมาตลอดว่าไม่นานความสัมพันธ์นี้ก็ต้องจบลง พัทธ์ธีราจึงทำใจแล้วว่าหลังจากวันนั้นธันวาอาจจะไม่มาหาเธออีกต่อไป ทว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มทำเหมือนไม่มีเรื่องในวันนั้นเกิดขึ้น เธอจึงไม่พูดถึงมันอีก และจดจำเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้เป็นบทเรียนว่าอย่าได้ล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของธันวา ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม

                เวลาสองปีผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับเพียงหลับฝันแล้วตื่นขึ้นมา พวกเขาผ่านฤดูฝนด้วยกันเป็นรอบที่สามแล้ว แต่ดูเหมือนเครื่องอบผ้าของพัทธ์ธีราจะไม่ยอมผ่านวันเวลาไปกับเธอด้วย

                “ไปไหน” ธันวาเลิกคิ้วพลางถามเมื่อเห็นร่างเล็กหยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นมาสะพาย ทันทีที่เขากลับมาถึงห้องของเธอหลังจากเสร็จงานที่บริษัท

                ไม่รู้ว่าธันวารู้ตัวหรือเปล่า หลังๆ เขาใช้ชีวิตอยู่ที่ห้องของพัทธ์ธีราแทบจะทุกวันติดกันมาหลายเดือนแล้ว

                “เอาผ้าไปอบค่ะ เครื่องอบผ้าสงสัยจะพัง ปั่นเป็นชั่วโมงแต่ก็ไม่แห้ง ฝนก็ตกจนพัทธ์ไม่มีชุดทำงานจะใส่แล้ว” คนตัวเล็กบ่นพลางหันไปหยิบตะกร้าผ้ามาหอบหิ้วพะรุงพะรัง

                “ทำไมไม่เอาไปอบห้องผม” เจ้าของร่างสูงขมวดคิ้ว 

                หญิงสาวเหลือบมองหน้าคนพูดแวบหนึ่งก่อนจะเบนสายตาหนี แล้วทำท่าจะออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร

                ธันวามองตามแล้วถอนหายใจเบาๆ นับจากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เขาเข้าใจผิด คิดว่าพัทธ์ธีราแอบเข้าห้องเขาโดยพลการจนเผลอพูดจาแย่ๆ ใส่เธอไปด้วยความไม่รู้ กว่าจะรู้ว่าเพื่อนสนิทเขาที่ขับรถมาส่งเป็นคนเปิดให้ ก็ทำคนที่บอบบางราวกับกระต่ายขาวตัวเล็กๆ มีแผลใจ จนถึงแม้ชายหนุ่มจะบอกรหัสเข้าห้องให้ ทำอย่างไรหัวเด็ดตีนขาดอีกฝ่ายก็ไม่ยอมเข้าห้องเขาอีกเลย

                คนตัวโตผิวขาวจัดวางเอกสารที่หอบกลับจากบริษัทไว้บนโต๊ะกลาง แล้วเดินตามร่างเล็กออกไป ก่อนจะคว้าตะกร้าผ้าจากมืออีกฝ่ายมาถือเสียเอง

                “ทำอะไรคะ” พัทธ์ธีราหันมาทำตาโตใส่

                “เอาไปอบห้องผม”

                “ไม่เป็นไรค่ะ พัทธ์เอาไปอบที่ร้านแป๊บเดียว”

                “คุณไปรอที่ห้องก็ได้ ผมเข้าไปอบให้” ธันวาเลิกคะยั้นคะยอให้หญิงสาวไปใช้เครื่องอบผ้าที่ห้องเขา แล้วเลือกที่จะเอาเสื้อผ้าไปอบให้แทน

                “ไม่เป็นไรค่ะ” คนตัวเล็กทำหน้าดื้อ ปฏิเสธอย่างดึงดัน

                “งั้นก็ไปด้วยกัน”

                “คุณเพิ่งกลับจากที่ทำงานมาเหนื่อยๆ ทำไมไม่พักคะ”

                “คุณก็เพิ่งกลับมาเหมือนกัน แล้วนี่คุณก็ซักผ้าแล้วเอาของผมไปอบให้ด้วย ผมไปด้วยก็ถูกแล้ว”

                สุดท้ายคนดื้อก็ต้องแพ้คนดื้อกว่า พัทธ์ธีราบ่นงึมงำเพราะสู้แรงเขาไม่ได้ หลังจากที่เอาผ้าเข้าเครื่องอบแบบหยอดเหรียญที่ร้านสะดวกซักในคอมมิวนิตีมอลที่พวกเขาเคยบังเอิญมาเจอกันช่วงก่อนที่จะเริ่มความสัมพันธ์อันซับซ้อน หญิงสาวก็นั่งเท้าคางจ้องหน้าคนที่ไถโทรศัพท์เล่นระหว่างรอผ้าอบเสร็จ

                “อะไร” ธันวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับรำคาญ อีกฝ่ายจ้องจนเขารู้สึกได้

                “ทำไมช่วงนี้ใจดีจังล่ะคะ”

                ชายหนุ่มถึงกับละสายตาจากโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าเนียนใส

                “ปกติผมใจร้ายเหรอ”

                “โห...ไม่รู้ตัวเลยเหรอคะเนี่ย” พัทธ์ธีราทำตาโต ดวงหน้ารูปหัวใจส่ายไปมาด้วยสีหน้าล้อเลียน วันเวลาทำให้ความสนิทสนมระหว่างพวกเขาเพิ่มพูนจนความสัมพันธ์กลายเป็นกึ่งคู่นอนกึ่งเพื่อน

                “...”

                “ล้อเล่นค่ะ” คนตัวเล็กยิ้มตาหยี อารมณ์ดีจนหัวเราะเสียงใสอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก “คุณดีนใจดีตลอดแหละ พอรู้ว่าพัทธ์จะนอนไม่หลับถ้าต้องอยู่คนเดียวคืนที่ฝนตก ก็มาอยู่เป็นเพื่อนพัทธ์เวลาฝนตกตลอดเลย” 

สิ่งที่พูดไปไม่เกินจริงแม้แต่น้อย ถ้าไม่ได้ติดธุระอะไร เขาจะมาอยู่ด้วยทุกคืนที่ฝนตก จนพัทธ์ธีราไม่มีอาการปวดตามเนื้อตัวเวลาฝนตกมานานแล้ว

                “อยู่ด้วยเพราะอยากนอนด้วยก็นับเหรอ” 

                “นับสิคะ พัทธ์ก็ชอบนอนกับคุณเหมือนกัน” 

                มุมปากของธันวากระตุกเพราะคำพูดตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย

                “แต่ช่วงนี้คุณใจดีเป็นพิเศษ เลยรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”

                “อันนี้คือบ่นหรือชม”

                “อืม ชมมั้งคะ บวกกับระแวงหน่อยๆ ไม่ใช่ว่าดีต่อกันก่อนลาจากใช่มั้ยคะ” เจ้าของเสียงใสเอ่ยทีเล่นทีจริง ดวงตามีรอยเศร้าแวบผ่านก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่อะไรหรอกนะคะ ถ้าใช่ก็ส่งสัญญาณให้พัทธ์รู้ตัวก่อนนิดนึง จะได้มีเวลาทำใจ”

                “ชอบนอนกับผมถึงขั้นต้องทำใจก่อนเลยหรือไง”

                “ชอบหมดแหละค่ะ” พัทธ์ธีราเอ่ยด้วยรอยยิ้มราวกับไม่เห็นความสลักสำคัญของคำพูดนั้น ทั้งที่ใจรู้สึกตรงกันข้าม หญิงสาวตัดสินใจถามต่อเผื่ออนาคตข้างหน้า “ถ้าเลิกนอนด้วยกัน แต่ยังเป็นเพื่อนกันได้มั้ยคะ”

                “ไม่ได้” ธันวาปฏิเสธอย่างเย็นชา

                หัวใจคนฟังหล่นวูบ พัทธ์ธีรากะพริบตาถี่ๆ ไล่ความร้อนบนขอบตา ก่อนจะย่นจมูกใส่คนที่นั่งตรงกันข้ามอย่างแสนงอน

“ใจร้ายจัง”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น