บทที่ ๖

บทที่ ๖

ฐานะแฟน

                กว่าชายหนุ่มจะยอมปล่อยให้พัทธ์ธีราออกจากห้องน้ำ ร่างเล็กบางที่ต้องอาบน้ำใหม่อีกรอบก็แดงเรื่อไปทั้งตัวราวกับกุ้งต้ม แข้งขาอ่อนแรงแทบพยุงตัวไม่ไหว ในขณะที่อีกฝ่ายมีสีหน้าราวกับแมวหนุ่มที่ได้กินอาหารจนอิ่มแปล้

                หญิงสาวหันขวับไปมองคนที่เดินตามเข้ามาในห้องนอนตาโต

                “พัทธ์ไม่ไหวแล้วนะคะ!”

                “อะไรไม่ไหว” คนตัวสูงตีหน้าตายขณะถามยายกระต่ายขี้ตกใจด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ทว่าแววตาฉายประกายขบขัน “โตป่านนี้แล้วแค่แต่งตัวเองก็ไม่ไหวเหรอ”

                คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตีตนไปก่อนไข้ยิ่งหน้าแดงหนัก

                “หรือคิดว่าผมจะตามเข้ามาชวนคุณทำต่อ ลามกนะเราน่ะ”

                ถ้าเป็นคนอื่นเจอธันวาพูดจาน่าหมั่นไส้แบบนี้คงอยากกระโดดกัดคอหรือไม่ก็ฟาดให้สักป้าบ แต่สัตว์กินพืชอย่างพัทธ์ธีราทำได้แค่ยืนหน้าแดงตัวแดงด้วยความเขิน ถ้าไม่ติดว่าสงสาร ชายหนุ่มก็อยากจะลองแซวต่ออีกนิด เผื่ออีกฝ่ายจะม้วนตัวเป็นก้อนกลมๆ

                ร่างสูงเปิดประตูตู้เสื้อผ้าฝั่งที่เจ้าของห้องเว้นที่ไว้ให้เขา ตาคมเหลือบมองสีหน้ากระเง้ากระงอดของคนที่พยายามแต่งตัวโดยไม่ทำให้ผ้าขนหนูที่พันไว้หลุดออกจากตัวด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก

                “พัทธ์” เสียงทุ้มดังขึ้นหลังจากทั้งคู่แต่งตัวเสร็จ

เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย รู้จักกันมาสองปี ธันวาเรียกชื่อเธอตรงๆ แทบนับครั้งได้

“ขอคุยด้วยหน่อยสิ” ธันวามองเรือนผมเปียกชื้นของคนตัวเล็กแล้วเอ่ยต่ออย่างคนที่รู้กิจวัตรประจำวันของอีกฝ่ายดี “เป่าผมก่อนก็ได้ ไปรอที่ห้องนั่งเล่นนะ”

พัทธ์ธีราหัวใจกระตุกวูบ ระหว่างพวกเขาสองคนแทบไม่เคยมีเรื่องจริงจังให้คุยกันมาก่อน ถ้าไม่นับครั้งที่เขาโมโหเพราะหญิงสาวเผลอหลับในห้องของเขาโดยมีรูปคู่ของชายหนุ่มกับแฟนเก่าอยู่ในมือ ก็คงเป็นตอนที่เธอกับเขาตกลงกันเรื่องความสัมพันธ์

หรือว่า...

มือเรียวบางสั่นนิดๆ ตอนผลักประตูตู้เสื้อผ้าปิด ดวงตากลมโตหลุบต่ำซ่อนความหวาดกลัวไว้ใต้แพขนตาหนา

“ทำไมไม่เป่าผมก่อนล่ะ ผมไม่ได้รีบนะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้น” ธันวาเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นร่างเล็กเดินตามออกมาหลังผ่านไปไม่กี่นาทีทั้งศีรษะที่เปียกชื้น

“ไม่เป็นไรค่ะ” สำหรับเธอ เรื่องของเขาไม่ว่าเรื่องใดก็สำคัญทั้งนั้น อีกอย่าง พัทธ์ธีราใจไม่แข็งมากพอที่จะเป่าผมไปพร้อมกับความระแวงว่าธันวากำลังจะบอกเลิก ถึงแม้จะปล่อยให้ตัวเองอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้มาเนิ่นนาน แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องเจ็บ หญิงสาวก็ไม่อยากยื้อ

ร่างเล็กที่ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับชายหนุ่มถึงกับเกร็งตัวรอราวกับนักโทษที่เฝ้ารอคำพิพากษา 

“พัทธ์ เสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้มีธุระอะไรหรือเปล่า พอจะไปเชียงรายกับผมได้มั้ย” ทว่าสิ่งที่ออกจากปากของธันวาไม่ใช่สิ่งที่พัทธ์ธีราคาดไว้

“ไปไหนนะคะ”

“ไปเจอแม่ผมให้หน่อยได้มั้ย...ในฐานะแฟน”

คนฟังถึงกับสำลักลมหายใจ ทั้งร่างกายแข็งค้าง ก้อนเนื้อในช่องอกถึงกับเต้นผิดจังหวะ ก่อนจะตอบสนองต่ออารมณ์เจ้าของร่างเล็กด้วยการเต้นถี่กระชั้น สูบฉีดความยินดีไปทั่วร่างกาย

“คือ...แฟนเก่าผมกลับมาจากต่างประเทศ” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกันที่เธอได้ยินธันวาพูดจาตะกุกตะกัก “ผมไม่ได้บอกแม่ว่าเราเลิกกันเพราะอะไร แม่เลยมีความหวังว่าจะทำให้เราสองคนกลับไปคบกันได้อีกครั้ง ผมเลยบอกแม่ไปว่าผมมีแฟนใหม่แล้วเพื่อให้แม่เลิกหวัง”

“อ้อ” หัวใจที่เต้นรัวเร็วของพัทธ์ธีราค่อยๆ ลดความเร็วลง หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกโป่งที่ถูกเป่าด้วยความหวังจนพองโต ก่อนจะถูกทำลายด้วยการเจาะให้แตกดังโพละ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านอยู่ในโพรงอก เป็นความผิดของเธอเองที่คาดหวัง ดังนั้นเมื่อผิดหวังแล้วก็ควรเป็นเธอเองที่ต้องจัดการกับความรู้สึกนั้น พัทธ์ธีราพยายามเก็บงำความรู้สึกแล้วเอ่ยคำถามต่อไป “คุณดีนจะให้พัทธ์แกล้งเป็นแฟนถูกมั้ยคะ ไปเจอคุณแม่คุณดีนเพื่อให้ท่านเลิกจับคู่คุณกับแฟนเก่า”

“ผม...”

“ได้สิคะ อาทิตย์หน้าพัทธ์ไม่ได้มีธุระอะไร” คนที่ยอมกระโจนลงไปในหลุมรักแม้จะรู้ว่าต้องเจ็บปวดอย่างเธอทำไมจะทำเรื่องแค่นี้ไม่ได้ “เรื่องแค่นี้เอง”

“อืม ขอบคุณนะ” แววตาของธันวาเหมือนมีเรื่องอยากพูด ทว่าสุดท้ายก็เปลี่ยนใจ 

ถ้าธันวาย้อนเวลากลับมาได้ เขาคงไม่รั้งรอที่จะเอ่ยทุกสิ่งที่อยู่ในใจให้พัทธ์ธีรารับรู้

                ผู้ช่วยส่วนตัวของธันวาติดต่อเพื่อขอข้อมูลส่วนตัวของพัทธ์ธีราและจองตั๋วเครื่องบินให้เธอในวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่เดินทางไปยังจังหวัดบ้านเกิดของชายหนุ่มกันสองคนโดยไม่มีผู้ร่วมทางคนอื่น เนื่องจากพวกเขาล่วงหน้ากันไปก่อนตั้งแต่วันพฤหัส

                “น้องสาวผมกำลังจะแต่งงาน คุณแม่เลยชวนบ้านน้องเขยไปเที่ยวบ้านที่เชียงราย เพราะฉะนั้นคนอาจจะเยอะหน่อย” ธันวากล่าวระหว่างนั่งรออยู่ในเลานจ์ด้วยกัน

                “คุณมาเรียนที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ชั้นไหนเหรอคะ” เรื่องของคนอื่นไม่ได้อยู่ในความสนใจของพัทธ์ธีรา หญิงสาวอาศัยจังหวะนี้ถามเรื่องส่วนตัวของเขา โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อความสมจริงในการตบตามารดาของอีกฝ่าย

                “ตั้งแต่ประถมน่ะ จริงๆ ผมอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ มากกว่านะ พ่อผมเป็นคนกรุงเทพฯ”

                “แล้วรอบนี้เราจะเจอคุณพ่อคุณด้วยมั้ยคะ”

                “ไม่เจอ” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ดวงตาของธันวามีรอยขุ่นขึ้ง “พ่อกับแม่ผมเลิกกันไปนานแล้ว”

                เป็นเด็กไม่ถูกกับพ่อสินะ...

                “คุณเป็นลูกคนโตเหรอคะ”

                “เปล่า มีพี่ชายอีกคน แต่เขาเลือกอยู่กับพ่อ”

                “อ้อ” พัทธ์ธีราพึมพำ 

ธันวาเหลือบมองเธอแวบหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ

                “ผมบอกคนที่บ้านว่าเราเจอกันบ่อยๆ ที่ส่วนกลางของคอนโด ดูใจกันมาสักพัก แต่เพิ่งคบหากันจริงจังไม่นานนี้ ถ้ามีคนถามก็บอกว่าคบกันได้สามเดือนแล้วกัน”

                “ใครเป็นคนขอใครคบคะ” หญิงสาวถามอย่างนึกสนุก เห็นดวงตาคมมองมาดุๆ ก็รีบเอ่ย “เอ้า เผื่อมีคนถามไงคะ”

                “คุณ”

                “ทำไมล่ะ!”

                “ก็คุณเป็นคนเริ่มก่อนจริงๆ นี่”

                “ใช่ที่ไหนกัน” คนตัวเล็กทำตาโต

                “คุณชวนผมเข้าห้องก่อน เข้าหาผมก่อน เรื่องสถานะคู่นอนก็เป็นคุณที่เสนอขึ้นมาก่อน” ธันวาเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า เล่นเอาอีกคนเถียงไม่ออก

                ชายหนุ่มทอดตามองใบหน้าเรียวที่ขึ้นสีระเรื่อ ดวงตากลมโตเสมองไปทางอื่น ฟันกระต่ายซี่เล็กๆ ขบหลอดจนเสียรูปด้วยความเก้อเขิน

                “คุณเล่าเรื่องของคุณมาด้วยสิ เรื่องที่ผมควรจะรู้”

                “อ๊ะ” พัทธ์ธีราทำเสียงเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “พัทธ์อายุยี่สิบห้า มีน้องสาว แต่เสียไปแล้วพร้อมพ่อ ตอนนี้เหลือแต่แม่ เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด”

                “เอาเรื่องที่ผมยังไม่รู้สิ”

                “เรื่องอะไรล่ะคะ”

                “คณะที่จบ งานที่ทำ อาหารที่ชอบ”

                “พัทธ์จบฟูดไซน์๑ทั้งตรีทั้งโทค่ะ ตอนนี้ทำงานอยู่แผนกอาร์แอนด์ดี๒ที่...เอ๊ะ!” พัทธ์ธีราหยุดพูด ก้มมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ “ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้วค่ะ”

                ธันวาผุดลุกตามร่างเล็ก ยื่นมือไปช่วยเธอถือของที่ซื้อไปฝากมารดาของเขาตามธรรมเนียม กลายเป็นคนที่รับปากว่าจะช่วยอย่างพัทธ์ธีราเสียอีกที่ดูใส่ใจมากกว่า ชายหนุ่มมองท่าทางเหมือนเด็กกำลังดีใจที่ได้ไปเที่ยวด้วยสีหน้ายิ้มๆ ลืมไปเสียสนิทว่าถามอะไรหญิงสาวไปก่อนหน้านี้

                พัทธ์ธีราไม่อาจอธิบายความรู้สึกในใจของตนออกมาเป็นคำพูดได้ 

                หวาดกลัว คาดหวัง ตื่นเต้น...ความรู้สึกทั้งหมดผสมปนเป ความวิตกกังวลของพัทธ์ธีราอยู่ในระดับที่อาจทำให้เธอสติแตกต่อหน้าผู้ให้กำเนิดของคนที่นั่งอยู่ข้างกายบนรถที่กำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านของเขาซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินประมาณหนึ่งชั่วโมง

                พัทธ์ธีรารู้ดีว่าเธอควรทำใจไว้ส่วนหนึ่งว่ามารดาของเขาอาจจะไม่ได้ชื่นชอบเธอตั้งแต่แรกพบ ซึ่งจากเรื่องที่ธันวาเล่าให้ฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองครอบครัวและความคาดหวังที่จะให้ลูกชายกลับไปคบหากับคนรักเก่า ก็พอจะเข้าใจได้หากลภัศราจะแสดงอาการเมินเฉยใส่คนที่ถือว่ามาทีหลังอย่างเธอ

                ทว่าสายตาเป็นปฏิปักษ์จากหญิงสูงวัยที่ปรากฏขึ้นแทบจะทันทีหลังจากที่พบหน้ากันเป็นครั้งแรกเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของพัทธ์ธีรา

                ตั้งแต่เล็กจนโต พัทธ์ธีราไม่เคยได้สัมผัสความเกลียดชังอย่างรุนแรงเช่นนี้จากใครมาก่อน จนกระทั่งได้พบกับลภัศรา ดวงตาคมกริบของหญิงสูงวัยจับจ้องใบหน้าเนียนใสของคนที่ยืนอยู่ข้างลูกชายด้วยแววตาที่ทำให้เจ้าของร่างเล็กบางได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ก้าวเท้าแทบไม่ออก

                “แม่...นี่พัทธ์ครับ แฟนผม” 

ประโยคที่ธันวาเอ่ยออกมาควรจะทำให้คนที่หลงรักเขาข้างเดียวมาเนิ่นนานอย่างพัทธ์ธีราปลาบปลื้มจนตัวลอย ทว่าความเป็นจริงที่คอยย้ำเตือนอยู่เสมอมาว่าตนเป็นแค่แฟนตัวปลอมทำให้อกข้างซ้ายปวดแปลบอย่างห้ามไม่ได้

“นี่คุณแม่ผม ส่วนนั่นเดียร์...คุณเคยเจอแล้วที่คอนโด อายุมากกว่าคุณสองปี กับแฟนเขาชื่อคุณปภพ แล้วก็พ่อแม่ของคุณปภพ...คุณลุงสุวิทย์กับคุณป้าดาว” ธันวาแนะนำคนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกจนครบรอบวง

“สวัสดีค่ะ” คนตัวเล็กทำความเคารพผู้สูงวัยกว่าอย่างมีมารยาท รู้สึกอึดอัดกับสายตาที่จับจ้องตนเป็นตาเดียว

                “เอาของไปเก็บกันก่อนก็ได้ ให้คนจัดห้องพักแขกที่ติดกับห้องยายเดียร์ไว้ให้แฟนเรา” ลภัศรามองอีกฝ่ายครู่หนึ่งด้วยสายตาเย็นชาก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

                ธันวาขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะแย้ง แต่พอเหลือบไปเห็นท่ายืนตัวลีบของคนข้างกายจึงเลือกที่จะปล่อยไป

                ก็แค่คืนเดียว...

                พัทธ์ธีราถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กเดินตามคนตัวสูงต้อยๆ รีบเอาของเข้าไปเก็บในห้องพัก แล้วรีบเดินออกมารอชายหนุ่มที่ทางเดิน เมื่อเห็นร่างสูงแบมือตรงหน้าตอนที่เดินเข้ามาใกล้ เธอก็ยื่นมือไปวางบนนั้นโดยไม่ทันคิดราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ถูกขอมือ

                มีรอยยิ้มจางๆ อยู่ในดวงตาคมกล้า เจ้าของมือใหญ่กุมมือเล็กไว้ก่อนจะเอ่ย

                “มือเย็นจัง”

                “ตื่นเต้น” เธอตอบ เก็บบางประโยคไว้ในใจ ‘แม่คุณน่าจะไม่ชอบพัทธ์’

                ธันวาทำท่าจะจูงมือคนตัวเล็กเดินลงบันได แต่พัทธ์ธีรารีบดึงมือกลับ

                “อย่าเดินจูงมือค่ะ มันดูไม่ดี” 

                คนตัวสูงอยากจะเถียงว่าทีปภพยังเดินโอบไหล่หรือแม้แต่กอดคอธัญวรินทร์ได้ ไม่เห็นมีใครว่าอะไร แต่พอนึกถึงมือบางที่เย็นเฉียบกับท่าทางราวกับกระต่ายขี้ตื่นของอีกฝ่ายก็ไม่อยากทำให้เธอยิ่งอึดอัดใจ

                ตอนกลับไปที่ห้องรับแขก ใบหน้าของลภัศราที่กำลังพูดคุยกับบิดาและมารดาของปภพอย่างยิ้มแย้มพลันขึงตึงจนเกือบจะบึ้ง เมื่อหันมาสบตาคนที่ลูกชายแนะนำว่าเป็นคนรักของตนเอง

                ลมหายใจของพัทธ์ธีราสะดุด ไหล่ลู่จนคนข้างกายสัมผัสได้ถึงความใจเสีย ทว่าเขาไม่ควรทะเลาะกับมารดาต่อหน้าบุพการีของคนที่กำลังจะแต่งงานกับน้องสาวของเขา

                ธันวาตัดสินใจโอบไหล่บอบบางพาไปนั่งบนอาร์มแชร์ตัวหนึ่งในชุดรับแขก มารดาของปภพซึ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติรีบเอ่ยขึ้นเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียด

                “แม่เราบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปไหว้พระแถวตัวเมือง แล้วก็ไปกินอาหารเที่ยงที่ร้านเฮือนแก้วสาขาแรก ป้าก็ว่าดีเลย เพราะดีนกับหนูพัทธ์อยู่ถึงแค่พรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปทำงานใช่มั้ย”

                “ครับ ป้าดาว” ธันวาส่งรอยยิ้มขอบคุณให้มารดาของปภพ ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนที่เท้าแขนอาร์มแชร์ตัวที่พัทธ์ธีรานั่งอยู่ ถือโอกาสลูบปลายผมนุ่มลื่นของอีกฝ่ายอย่างปลอบโยนด้วยท่าทีสนิทสนม สบตากับลภัศราที่มองมาอย่างไม่พอใจ

                บทสนทนาถูกดึงกลับไปที่ผู้ใหญ่ทั้งสามอีกครั้ง จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือของลภัศราดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุย

                “พัทธ์เป็นคนจังหวัดอะไรคะลูก” มารดาของปภพอาศัยจังหวะที่ลภัศรากำลังสนทนากับคนในสายหันมาหาพัทธ์ธีราที่เงียบสนิทตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง แล้วชวนอีกฝ่ายพูดคุย

                “กรุงเทพฯ ค่ะ”

                “อ้อ แล้วนี่ทำงานเกี่ยวกับอะไรเหรอคะ”

                “พัทธ์ทำเกี่ยวกับพัฒนาอาหารค่ะ” สีหน้าจืดเจื่อนของพัทธ์ธีราเริ่มดีขึ้น ทว่าคนตัวสูงที่นั่งเบียดอยู่ข้างกายกลับทำหน้าตึงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาคุยกับปลายสาย

                “รถชนเหรอคะ! แล้วโรสเป็นอะไรหรือเปล่า...อ๋อ ปลอดภัยก็ดีแล้วลูก รถพังช่างมันเถอะ เรียกประกันหรือยังคะ เดี๋ยวแม่ให้พี่ดีนไปรับ...”

                “ผมไม่ไปนะ” ธันวาหันไปปฏิเสธด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่ลภัศรากลับทำหูทวนลม

                “ไม่เป็นไรลูก ไม่ลำบากเลย จะมืดแล้วด้วย ทิ้งรถไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยให้คนไปจัดการ” หญิงสูงวัยเอ่ยปลอบคู่สนทนาอีกสองสามคำ ก่อนวางสายแล้วหันมาสั่งลูกชายเสียงแข็ง “รถโรสโดนชนสามคันซ้อน โรสเป็นคันตรงกลาง แล้วเหมือนรถจะแล่นต่อไม่ได้ ต้องรอรถลาก ดีนออกไปรับน้อง”

                “ให้คนอื่นไป”

                “ไม่ได้! แม่เป็นคนชวนโรสมากินข้าวบ้านเรา พ่อแม่เขารู้จะว่ายังไง แล้วนี่จะมืดแล้ว คนอื่นไปแม่ไม่ไว้ใจ”

                “ผม...”

                ระหว่างฟังสองแม่ลูกเถียงกัน พัทธ์ธีราก็ตัวสั่นขึ้นมา ใจกระหวัดถึงเหตุการณ์ในอดีต รอยแผลที่ฝังลึกในใจผลักดันให้หญิงสาวเอ่ยออกไปแม้หัวใจจะบีบรัดจนเจ็บหนึบ

                “คุณดีน” ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะท่อนแขนแข็งแรงเบาๆ “ไปรับคุณโรสเถอะค่ะ”

                ริมฝีปากบางของธันวาเม้มเป็นเส้นตรง นัยน์ตามีรอยโกรธขึ้งแวบผ่าน 

                “งั้นคุณไปกับผม”

                “ก็แค่ออกไปรับโรสเข้ามาใกล้ๆ แค่นี้ มันจะห่างกันไม่ได้เลยหรือไง” ลภัศราแหว

                “ก็แล้วทำไมถึงไปด้วยกันไม่ได้” คนเป็นลูกถามกลับอย่างเอาแต่ใจด้วยสีหน้าพร้อมอาละวาด

                “คุณ...” เสียงเล็กๆ ของพัทธ์ธีราเบาหวิว ทว่ากลับเรียกให้ทั้งแม่ทั้งลูกหันขวับมามองเป็นตาเดียว หญิงสาวเหลือบมองหญิงสูงวัยที่ทำตาดุแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยกับธันวาเสียงอ่อย “คุณดีนไปรับคุณโรสเถอะค่ะ พัทธ์รออยู่ที่นี่”

                ชายหนุ่มจ้องหน้าคนตัวเล็กด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ สุดท้ายก็ได้แต่ผลุนผลันออกไปด้วยความโมโห พัทธ์ธีรามองแผ่นหลังของคนอารมณ์ร้อน ก่อนจะตัดสินใจหันไปเอ่ยขอโทษคนที่นั่งตะลึงอยู่ในห้องรับแขกเพื่อขอตัว จากนั้นจึงวิ่งตามเขาออกไป

                “คุณดีน...คุณดีน...” หญิงสาวตามทันก่อนที่อีกฝ่ายจะปิดประตูรถ เธอรั้งประตูรถไว้พลางละล่ำละลัก “อย่าขับรถเร็วนะคะ”

                “ตามมาบอกแค่นี้เนี่ยนะ” ธันวาทำเสียงสูง ยิ่งโมโหหนัก เขานึกว่าพัทธ์ธีราจะคิดได้ว่าไม่ควรปล่อยให้เขาไปรับรสิตาเพียงคนเดียว แต่กลายเป็นว่ายายนี่วิ่งกระหืดกระหอบตามออกมาเพื่อบอกว่าไม่ให้เขาขับรถเร็วเสียนี่

                “พัทธ์กลัวคุณเกิดอุบัติเหตุ” เหมือนพ่อ...

                “ขึ้นรถ! ไปด้วยกัน” ธันวายื่นคำขาด

                “คุณแม่คุณจะไม่พอใจ”

                สีหน้าของคนฟังเย็นชาราวกับเคลือบด้วยหิมะบางๆ ดวงตาลุกวาบด้วยความโกรธ ริมฝีปากบางเอ่ยคำพูดทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายอย่างสิ้นคิด

                “ตกลงคุณมาเพื่อกันแฟนเก่าผมออกไป หรือมาเพื่อสร้างความประทับใจให้แม่ผมกันแน่ พัทธ์ธีรา” 

                พัทธ์ธีราสะอึก มือเรียวที่จับขอบประตูตกลงข้างลำตัวช้าๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายปิดประตูรถอย่างกระแทกกระทั้นแล้วขับรถออกไป เปลือกตาร้อนผ่าวกะพริบถี่ มองไฟท้ายที่ห่างออกไปผ่านม่านน้ำตาบางๆ ที่ยากจะบังคับไม่ให้มันหยดลงมา

                ธันวาโกรธ...เพราะลภัศราทำตัวน่าโมโห พัทธ์ธีราเองก็อ่อนแออย่างน่าโมโห ทุกสิ่งทุกอย่างน่าหงุดหงิดไปหมดจนเขาเผลอระบายความโกรธใส่หญิงสาวไปโดยไม่ได้ระวังคำพูด กลายเป็นว่าสุดท้ายคนที่น่าโมโหที่สุดคือเขาเอง

                สีหน้าของธันวาคงแย่สุดๆ เพราะเมื่อเจอหน้ารสิตา อีกฝ่ายก็หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด

                “คุณแม่บังคับให้พี่ดีนออกมาสินะคะ” เธอเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ประกันของโรสมาแล้วค่ะ พี่ดีนรอแป๊บนะคะ”

                รสิตาคุยกับประกันเรียบร้อย ธันวาก็หันไปสั่งให้คนงานที่ขับรถตามมาจัดการติดต่อเรื่องรถยก จากนั้นจึงบอกให้หญิงสาวขึ้นรถของตนเพื่อกลับไปกินอาหารเย็นที่บ้านเขาตามคำสั่งของมารดา

                “ขอโทษนะคะ”

                ธันวายังคงเงียบ ในหัวปรากฏใบหน้าเนียนใสของคนที่บ้านที่หมองลงทันตาหลังจากได้ยินคำพูดของเขา

                จะงอนมากมั้ยนะ...

                “ทั้งเรื่องวันนี้ แล้วก็เรื่องตอนเราเลิกกัน”

                ชายหนุ่มปรายตามองคนพูดแวบหนึ่ง แต่ก็ยังไร้คำตอบรับ ธันวาอยากบอกว่าเรื่องแรกมันไร้สาระ ส่วนเรื่องหลังให้กองคำขอโทษไว้ตรงนั้น ทว่าหลังจากพูดก่อนใช้สมองคิดไปแล้วรอบหนึ่งกับพัทธ์ธีรา เขาก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำสอง

                ห้องโดยสารเงียบงันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงบ้านของธันวา ขณะที่รสิตากำลังถอดใจและยอมรับว่าชาตินี้คงไม่ได้รับการให้อภัย เจ้าของร่างสูงก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังจากที่ทั้งคู่ลงมาจากรถ

                “เกิดอะไรขึ้น...เธอกับคนนั้น”

                รสิตาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยให้อภัย และน้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้มีความอ่อนโยน ทว่าประโยคนั้นกลับทำให้หัวใจเต็มตื้นขึ้นมา รู้สึกเหมือนกำลังได้รับความห่วงใย ทั้งๆ ที่ความจริงการที่ธันวาถามไปก็เพียงเพราะอยากรู้จุดจบของทั้งคู่เท่านั้น

                “เขา...นอกใจโรส เรากำลังจะหย่ากัน”

                รู้แล้วสินะว่ามันเจ็บยังไง...

                แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่สุดท้ายธันวากลับทำแค่ถอนหายใจ แล้วเอ่ยเรียบๆ

                “เสียใจด้วยนะ”

                “ขอบคุณนะคะ” เบ้าตาของรสิตาร้อนผะผ่าว น้ำใสๆ ที่กลั้นไว้ไม่อยู่ร่วงพรูเป็นสาย “แล้วก็ขอโทษ...ขอโทษจริงๆ ค่ะ”

                ถึงจะไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจจนสามารถมองข้ามสิ่งที่อีกฝ่ายทำไว้ ทว่ามโนธรรมในจิตใจก็สั่งให้ชายหนุ่มตบต้นแขนบอบบางสองที นับเป็นการปลอบโยนมากที่สุดเท่าที่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างเขาจะทำได้แล้ว

‘ตกลงคุณมาเพื่อกันแฟนเก่าผมออกไป หรือมาเพื่อสร้างความประทับใจให้แม่ผมกันแน่...’ ประโยคนั้นทำให้คนที่หลงลืมไปชั่วขณะว่ามีฐานะเป็นแค่แฟนกำมะลออย่างพัทธ์ธีรากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง

หลังจากธันวาขับรถออกไป หญิงสาวก็เข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ แต่ขอบตาและปลายจมูกที่แดงก่ำก็ยังฟ้องว่าเจ้าตัวเพิ่งร้องไห้มาหมาดๆ อยู่ดี

โชคดีที่นอกจากลภัศราแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวของธันวาไม่ได้รังเกียจรังงอนเธอมากเกินไปนัก ธัญวรินทร์มองหน้าพัทธ์ธีราแวบเดียวก็รีบเดินเข้ามาจับมือเธอไว้ ชักชวนหญิงสาวเดินชมรอบบ้าน คอยพูดคุยปรับอารมณ์ให้คนที่อ่อนวัยกว่าสบายใจขึ้นอย่างอ่อนโยน

ถึงกระนั้น ความคิดของพัทธ์ธีราก็ยังวนเวียนอยู่กับประโยคนั้นของธันวาราวกับพยายามตอกย้ำมันเข้าไปในสมอง เพราะสิ่งที่เขากล่าวไม่มีคำพูดไหนที่ผิดสักคำ เธอไม่ได้กำลังจะมาเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้เสียหน่อย จะแคร์อะไรนักว่าแม่เขาจะชอบหรือไม่ชอบตน หน้าที่ของเธอที่นี่คือการทำลายความหวังของลภัศราที่อยากให้ลูกชายกลับไปคืนดีกับคนรักเก่าก็เท่านั้น

ทว่าขณะที่เดินตามธัญวรินทร์กลับเข้าไปในบ้านหลังจากอีกฝ่ายพาออกมาเดินชมสวน แล้วหันไปเห็นภาพชายหนุ่มร่างสูงเอื้อมมือแตะต้นแขนเล็กของหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ราวกับปลอบโยน พัทธ์ธีราก็ค้นพบว่าบางทีเธออาจไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่นั้นอีกต่อไปแล้ว

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น