1

1

1

 

ปีพุทธศักราช 2311 ยังมีการกรำศึกกันอยู่เนืองๆ ระหว่างทัพไทยกับทัพพม่า บ้านเมืองเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง จึงมีกลุ่มโจรชุกชุมคอยดักปล้นชาวบ้าน 

ณ เมืองแม่กลองท่ามกลางสายฝน สามพี่น้องโดยสารวัวเทียมเกวียนที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง หมายจะหนีโจรที่ขี่ม้าตามมาประกบ ทาสผู้ซึ่งทำหน้าที่ขับเกวียนเร่งวัวให้ควบเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เขาต้องระวังทั้งเส้นทางที่เปียกชุ่มจนเป็นโคลนทำให้บังคับเกวียนได้ยากขึ้น อีกทั้งยังต้องระวังโจรไม่ให้มาทำร้ายนายทั้งสามที่นั่งอยู่ในเกวียนซึ่งมีหลังคาปิดทึบได้

สายฝนกระหน่ำอย่างไม่ปรานี   บรรยากาศรอบข้างขาวโพลนไปด้วยเม็ดฝน และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อโจรป่าขี่ม้ามาประกบจนประชิดตัว มันกระโดดขึ้นมาบนที่นั่งบังคับวัว แล้วฆ่าทาสที่ขับเกวียนด้วยการใช้ดาบปาดคอ ก่อนจะถีบให้หล่นจากเกวียนไปอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต โจรป่าผู้นั้นกลายมาเป็นคนบังคับเกวียนเสียเอง ทำให้หนึ่งในผู้โดยสารที่อยู่ในเกวียนซึ่งเป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียวนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ เขาหยิบมีดสั้นที่พกติดกายต่างอาวุธออกไปต่อสู้กับโจรผู้นั้น 

การยื้อแย่งติดพันจนไม่มีใครมองทางเบื้องหน้า โจรป่าจ้วงแทงคู่ต่อสู้บริเวณช่องท้องได้หนึ่งแผล ในขณะที่อีกฝ่ายนั้นทำได้เพียงสร้างรอยแผลเพียงเล็กน้อยที่แขนของโจรป่าเท่านั้น 

ชายหนุ่มข่มกลั้นความเจ็บปวด เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายถีบโจรป่าจนกระเด็นตกจากเกวียนได้สำเร็จ ทำให้เหลือเพียงผู้โดยสารสามคนซึ่งพยายามคุมวัวที่ขณะนี้ตื่นตระหนกจากเสียงฟ้าผ่าจนวิ่งสะเปะสะปะ สุดท้ายเกวียนก็เสียหลักตรงบริเวณทางโค้งไถลพุ่งเข้าชนต้นไม้ ทั้งสามกระเด็นออกจากเกวียนไปคนละทิศละทาง ตกกระแทกกับต้นไม้สามต้นที่ยืนต้นอยู่บริเวณใกล้กัน 

ชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวกระเด็นไปกระแทกกับต้นพฤกษ์ขนาดใหญ่อย่างแรงจนเสียชีวิตคาที่ เขาผู้นี้เป็นพี่ชายคนโต หญิงสาวอีกคนกระเด็นออกจากเกวียนไปกระแทกกับต้นตะเคียนทองแล้วเสียชีวิตเช่นกัน เธอผู้นี้เป็นน้องคนกลาง ส่วนหญิงสาวอีกคนนั้นตกเกวียนกระแทกพื้นก่อนจะกลิ้งไปสิ้นใจใต้ต้นกล้วยตานี 

ทันทีที่วิญญาณของทั้งสามออกจากร่าง ดวงวิญญาณของหญิงสาวสองนางก็ถูกจองจำโดยผู้ที่รอตัวตายตัวแทนมานานแสนนาน ในขณะที่หนึ่งดวงวิญญาณซึ่งเป็นชายหนุ่มมีบุญอันเกิดจากการบวชเรียนมาเป็นพรรษา จึงไม่มีภูตผีตนใดจองจำเขาได้ แต่น้องสาวของเขาทั้งสองคนได้กลายเป็นนางตะเคียนทองและนางตานีไปเสียแล้ว ส่วนเขากลายเป็นดวงวิญญาณที่มีแสงสุกสกาวของพลังแห่งบุญ

“นี่พวกเราตายแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะพี่พฤกษ์” มาลี หญิงสาวผู้ซึ่งกลายเป็นนางตะเคียนทองเอ่ยถามพี่ชายแท้ๆ ของตน ผู้ถูกถามทำเพียงพยักหน้าช้าๆ อย่างพยายามตั้งสติ เพราะไม่อยากทำให้น้องๆ เสียขวัญ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เขาเองก็ตื่นกลัวจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

“ไม่นะเจ้าคะ มาลาอยากกลับบ้าน มาลาอยากกลับไปหาคุณพ่อคุณแม่ ฮือๆ...” มาลา น้องคนสุดท้องร้องไห้โฮเมื่อต้องกลายมาเป็นนางตานีโดยไม่เต็มใจ ทำให้พฤกษ์ต้องรีบปลอบน้องทั้งสองให้หายจากความเศร้าโศกที่ต้องมาตายอย่างกะทันหัน

“เราตายไปแล้วจริงๆ มาลี มาลา พี่ขอโทษที่ปกป้องพวกเจ้าไม่ได้ เพลานี้ วิญญาณของพวกเราออกจากร่างแล้ว แต่ไม่ต้องกลัว พี่จะคอยปกป้องพวกเจ้าเอง” แม้จะตื่นตระหนกไม่ต่างจากน้องสาวทั้งสอง แต่พฤกษ์ก็ต้องพยายามพูดปลอบน้องๆ ด้วยท่าทางสุขุม ในสถานการณ์เช่นนี้เขาต้องตั้งสติให้ได้ เพื่อให้น้องทั้งสองมีสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

“พี่พฤกษ์เจ้าขา น้องกลัว” น้องสาวคนสุดท้องยังคงร้องไห้โฮอย่างทำใจไม่ได้ที่ต้องมาตายโดยที่ยังไม่ได้บอกลาใคร ทำให้มาลีน้องสาวคนกลางสะเทือนใจจนแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน

“มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วน้องรักทั้งสองของพี่ จงยอมรับเถิดว่าสวรรค์ให้อายุขัยของพวกเรามาเท่านี้” พฤกษ์ปลอบใจน้องสาวทั้งสองอย่างไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาทำให้มาลีและมาลายอมรับในชะตาชีวิตที่ปลิดปลิวกะทันหันแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ แม้จะสะเทือนใจกับการที่ต้องมาตายตั้งแต่อายุยังน้อยกันทั้งสามคน แต่ก็ไม่อาจฝืนโชคชะตาได้ นอกจากยอมรับว่าทั้งสามได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ

 

ช่วงสายของวันถัดมา เศรษฐีดู่แห่งเมืองแม่กลองได้รู้ข่าวการจากไปอย่างฉับพลันของลูกๆ จากชาวบ้านที่ใช้เส้นทางเกวียนเส้นเดียวกับที่ทั้งสามประสบอุบัติเหตุ ชาวบ้านคนนั้นเมื่อเห็นเกวียนและศพของทั้งสามก็จำได้ทันที จึงรีบมาแจ้งข่าวกับพ่อดู่และแม่บุปผาให้รีบไปดูศพลูกๆ 

ไม่มีใครไม่รู้จักคุณหนูทั้งสามซึ่งเป็นทายาทเศรษฐีช่างทำเรือนไทยที่มีฝีมือที่สุดในเมืองแม่กลอง เนื่องด้วยทั้งสามคนนี้เป็นที่เลื่องลือทั้งในด้านรูปทรัพย์ สติปัญญา และฐานะ การเสียชีวิตพร้อมกันทั้งสามคนในครั้งนี้ จึงเป็นที่สะเทือนขวัญ และแสนเสียดายของผู้คนที่เคยรู้จักพฤกษ์ มาลี และมาลาอย่างมาก 

พ่อดู่นิมนต์พระไปรับศพลูกๆ รวมทั้งเชิญดวงวิญญาณให้กลับบ้าน ในระหว่างที่พระเชิญดวงวิญญาณนั้นเอง พฤกษ์ มาลี และมาลาก็ได้แต่กอดกันร้องไห้

“คุณพ่อคุณแม่เจ้าขา ลูกอยากกลับบ้านเหลือเกิน แต่ลูกกลับไปไม่ได้” มาลีร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ใกล้กับศพของตัวเอง โดยมีผู้เป็นแม่ที่ขณะนี้เป็นลมล้มพับอยู่ข้างศพลูกๆ มาลีอยากจะเข้าไปกอด แต่ก็เหมือนกับมีแรงอะไรบางอย่างมาฉุดรั้งเอาไว้จนเดินไปหาผู้เป็นพ่อและแม่ไม่ได้

“พี่พฤกษ์เจ้าขา ทำไมน้องไปหาคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้” มาลาเองก็เช่นกัน เธออยากจะเดินตามพี่ชายซึ่งไปยืนอยู่เคียงข้างพระที่สวดเชิญวิญญาณแล้ว แต่มาลีและมาลานั้นเดินออกห่างจากต้นตะเคียนทองและต้นกล้วยตานีที่ตนเองถูกจองจำได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็ถูกแรงอะไรบางอย่างดึงให้กลับไปอยู่ที่เดิม

“พวกเจ้าไปไหนไม่ได้หรอก” 

เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายชราที่นุ่งขาวห่มขาว ผมยาวขาวโพลนทั้งศีรษะรวบขมวดอยู่ตรงท้ายทอย มือข้างหนึ่งถือไม้เท้าที่ทำจากเถาวัลย์ มืออีกข้างหนึ่งไพล่หลังขณะยืนมองสามพี่น้องที่กำลังช่วยกันฉุดตัวเองให้ออกไปจากบริเวณต้นตะเคียนทองและต้นกล้วยตานี ไม่มีใครเห็นชายชราผู้นี้เนื่องจากพ่อดู่และคนงานที่มาช่วยเข็นศพต่างเดินทะลุร่างของชายชราไปราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ

“ท่านเป็นใคร” พฤกษ์ถามหลังจากเดินแยกตัวออกมาจากพ่อและแม่ที่รอทำพิธีเชิญวิญญาณ เพื่อกลับมาหาน้องสาวทั้งสองซึ่งกำลังหวาดผวาที่ถูกชายชราจ้องเขม็ง ชายหนุ่มใช้ตัวเองยืนกำบังน้องสาวทั้งสองเอาไว้ เนื่องจากกลัวว่าทั้งคู่จะถูกทำร้าย

“ข้าเป็นเจ้าป่าเจ้าเขา และการที่เจ้าทั้งสองไปไหนไม่ได้ ก็เพราะว่าได้กลายเป็นตัวตายตัวแทนของผีนางตะเคียนกับผีนางตานีตนเดิมไปเสียแล้ว ทางเดียวที่เจ้าจะหลุดพ้นไปจากการจองจำนี้ได้ คือการหาตัวตายตัวแทนมาสิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นี้แทน หรือไม่ก็บำเพ็ญตบะจนมีฤทธิ์ที่สามารถหลุดออกจากการจองจำไปได้”

“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ พวกเราทั้งหมดนี้จะกลับไปกับคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ” มาลีถามขึ้น

“ไม่ใช่ทั้งหมดดอก เว้นแต่พี่ชายของเจ้าที่มีบุญมากพอที่จะได้กลับไป ส่วนแม่นางทั้งสอง ต้องอยู่เป็นนางตะเคียนกับนางตานีอย่างนี้จนกว่าจะมีคนมาตายที่นี่เหมือนพวกเจ้า” ชายนุ่งขาวห่มขาวอธิบาย

“ไม่นะเจ้าคะ น้องอยากกลับบ้าน น้องอยากกลับไปกับพี่พฤกษ์” มาลาร้องไห้คร่ำครวญเสียงสั่น

“แต่เราไปไหนไม่ได้แล้วมาลา เราสองคนต้องอยู่ที่นี่” มาลีผู้ซึ่งเริ่มทำใจได้แล้วพูดกับน้องสาว

“แต่ว่าน้องกลัว”

“หยุดร้องไห้แล้วตั้งสติหน่อยสิมาลา เจ้าไม่ได้ยินที่ท่านเจ้าป่าเจ้าเขาพูดรึ ว่าถ้าหากเราบำเพ็ญตบะ เราก็จะไปจากที่นี่ได้เหมือนกัน จริงหรือไม่เจ้าคะ” 

มาลีหันไปถาม เจ้าป่าเจ้าเขาจึงพยักหน้า

“เห็นไหมเล่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเสียหน่อย ว่าแต่ บำเพ็ญตบะนี่ต้องบำเพ็ญกี่วันหรือเจ้าคะ”

“ก็สักร้อยถึงสองร้อยปีเห็นจะได้”

“ฮือๆๆ!” 

เมื่อได้ยินระยะเวลาบำเพ็ญตบะ น้องคนสุดท้องก็ยิ่งร้องไห้โฮ มาลีไม่รู้จะปลอบน้องอย่างไร จึงได้แต่โผเข้ากอดในขณะที่ตัวเธอเองก็น้ำตาไหลไม่หยุดเช่นกัน

 “พี่จะอยู่กับพวกเจ้าเอง”

“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะพี่พฤกษ์” มาลีถามพี่ชาย ในขณะที่มาลาหยุดร้องไห้แล้วปาดน้ำตาเพื่อมองหน้าพี่ชายอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“พี่บอกว่า พี่จะไม่กลับไปกับคุณพ่อคุณแม่ พี่จะอยู่ที่นี่ อยู่ดูแลพวกเจ้าทั้งสอง”

“ไม่ได้นะเจ้าคะพี่พฤกษ์ พี่ไม่ได้ถูกจองจำเหมือนอย่างพวกน้อง พี่จะอยู่ที่นี่ทำไม กลับไปกับคุณพ่อคุณแม่เถิดเจ้าค่ะ” แม้จะรู้สึกเคว้งคว้างเพียงใด แต่มาลีก็ไม่อาจรั้งดวงวิญญาณของพี่ชายให้อยู่กับพวกเธอที่ถูกจองจำได้

“พี่ทิ้งพวกเจ้าไม่ได้ หากถูกพวกผีตนอื่นรังแกขึ้นมาจะทำอย่างไร ดูเอาเถิด ตายได้แค่วันเดียวก็ถูกจองจำจนไปไหนไม่ได้เสียแล้ว พี่เป็นพี่ชายของพวกเจ้า จะทิ้งพวกเจ้าได้อย่างไร”

“โธ่ พี่พฤกษ์เจ้าขา” มาลีและมาลาโผเข้ากอดพี่ชายด้วยความซาบซึ้งใจ

“พวกเราเป็นพี่น้องกัน แม้จะเกิดไม่พร้อมกัน แต่พวกเราตายพร้อมกัน จากนี้ไปพวกเราจะไม่ทิ้งกันไปไหน” พฤกษ์ให้คำมั่นแก่น้องๆ ก่อนจะยืนมองพ่อและแม่พาร่างไร้วิญญาณของทั้งสามจากไป

ชายนุ่งขาวห่มขาวยังคงปรากฏตัวอยู่ตรงนั้น เขาหันไปมองพฤกษ์พร้อมกับจับจ้องชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรับรู้ได้ถึงพลังบุญของอีกฝ่าย

“โอ...ท่านไม่ใช่ดวงวิญญาณธรรมดา ท่านคือรุกขเทวดาองค์ใหม่ ท่านจงเลือกสร้างวิมานอยู่บนต้นไม้ที่ท่านต้องการเถิด ขาดเหลือสิ่งใดก็อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้า” 

บุญเก่าของพฤกษ์ทำให้เขามีแสงแห่งเทพปรากฏขึ้นรอบดวงวิญญาณของชายหนุ่ม เจ้าป่าเจ้าเขาซึ่งเป็นหนึ่งในเทพเช่นกันจึงให้คำแนะนำแก่พฤกษ์ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทพมือใหม่

“ข้าอยากอยู่ใกล้ๆ น้องสาวของข้า ถ้าอย่างนั้น ข้าขอสร้างวิมานอยู่เหนือต้นจามจุรีสีทองที่ข้าตกจากเกวียนมากระแทกตายก็แล้วกัน” 

แค่คิด วิมานสีทองอันแสนงดงามก็ปรากฏอยู่เหนือต้นไม้ต้นนั้น พฤกษ์ล่องลอยเข้าไปอยู่ในวิมานของตน อีกทั้งยังอนุญาตให้น้องสาวทั้งสองเข้าไปอยู่ร่วมวิมานด้วยกันได้

ภายในวิมานลอยฟ้าเหนือต้นจามจุรีสีทองของพฤกษ์นั้นกว้างขวางโอ่อ่า มีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอที่จะให้ทั้งสามพักอาศัยได้อย่างสะดวกสบาย พฤกษ์เนรมิตให้วิมานมีห้องนอนสามห้องสำหรับตัวเขาเองและน้องสาวทั้งสอง เมื่อถึงเวลาเข้านอน สามพี่น้องก็แยกย้ายกันเข้าไปนอนในห้องนอนของตน

“เป็นอะไรหนอตัวเรา เหตุใดจึงรู้สึกกระสับกระส่ายเช่นนี้” มาลีไม่อาจจะล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนที่บุด้วยฟูกหนานุ่มได้ แม้ว่าภายในห้องนอนที่พี่ชายแท้ๆ ของเธอเนรมิตให้นั้นจะใหญ่โตโอ่อ่า แต่เหตุใดยิ่งอยู่ในนี้แล้วยิ่งรู้สึกอึดอัด ราวกับมีแรงอะไรบางอย่างฉุดให้ออกไปจากที่นี่ หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินออกมาจากห้องนอนเพื่อมาทำใจที่ระเบียงของวิมานสักครู่ จึงได้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงแค่เธอที่รู้สึกเช่นนี้

“อ้าวมาลา เจ้าเองก็ยังไม่นอนอีกรึ”

“น้องนอนไม่หลับเจ้าค่ะ อาจเป็นเพราะแปลกที่แปลกทางจนนอนไม่ได้ แล้วพี่มาลีเล่าจ๊ะ เหตุใดจึงยังไม่นอนอีก ดึกแล้วหนา”

“พี่เองก็เหมือนกับเจ้า กระสับกระส่ายจนหลับไม่ลง” มาลีตอบน้องสาว

“หรือว่า...วิมานของพี่พฤกษ์จะไม่ใช่สถานที่ที่ถูกสร้างมาให้เราได้พักอาศัย ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกเราจะไปอยู่ที่ใดกันเล่า” มาลาเอ่ยเสียงสะอื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ แค่คืนแรกที่ต้องใช้ชีวิตเป็นผี ก็ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ยากลำบากเพียงนี้เชียวหรือ ที่ซุกหัวนอนก็ไม่มี วิมานงดงามที่พี่ชายของเธอสร้างเอาไว้ก็เข้าไปอยู่อาศัยไม่ได้

“เราเป็นนางไม้ ถ้าอย่างนั้น เราก็ไปสิงอยู่ในต้นไม้ของเรากันเถอะนะ”

“หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”

“ก็หมายความว่า หากตอนนี้พี่พฤกษ์กลายเป็นรุกขเทวดาและมีวิมานลอยฟ้าอยู่เหนือต้นไม้ได้ ดังนั้นเราสองคนก็ต้องมีที่พักอาศัยอยู่ในต้นไม้ได้เช่นกัน” ว่าแล้วมาลีก็จับมือน้องสาว จากนั้นก็พากันกระโดดลงมาจากวิมานของพี่ชายแล้วเดินไปยังต้นไม้ที่ทั้งคู่ถูกกำหนดว่าต้องถูกจองจำอยู่ในนั้น

“พี่คิดว่า ที่เราไม่สามารถนอนอยู่ในวิมานของพี่พฤกษ์ได้ อาจเป็นเพราะว่าเราถูกจองจำให้สิงสถิตอยู่ในต้นไม้สองต้นนี้ ไปสิงสถิตอยู่ที่อื่นไม่ได้ เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนหนามาลา พี่จะลองเข้าไปสิงอยู่ในต้นไม้ บางทีที่นี่อาจจะเป็นบ้านที่ดีของเราก็ได้” พูดจบมาลีก็หายวับเข้าไปภายในต้นตะเคียนทอง เพียงแค่อึดใจเดียวก็ออกมาปรากฏตัวข้างๆ น้องสาวอีกครั้ง

“น่าอยู่ทีเดียว นางตะเคียนตนเก่าดูแลรักษาต้นตะเคียนทองได้สะอาดสะอ้าน ข้างในมีห้องหับเป็นสัดส่วนน่าอยู่เชียวหนา เจ้าลองเข้าไปสิงในต้นกล้วยตานีของเจ้าดูเถิดมาลา” มาลีแนะนำน้องสาว

“จ้ะ” มาลารับคำ และลองเข้าไปอยู่ในต้นกล้วยตานีดูบ้าง ก่อนจะออกมายิ้มยิ้มแป้นด้วยสีหน้าโล่งใจ

“ในต้นกล้วยตานีก็น่าอยู่เช่นกันจ้ะ มีห้องหับเป็นสัดส่วน สะอาดสะอ้าน อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยเอาไว้ให้น้องได้ทำคลายเหงาอีกด้วย”

“ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องรบกวนพี่พฤกษ์อีกแล้ว เราไปบอกพี่พฤกษ์กันเถิดหนาว่าไม่ต้องเป็นห่วง เราเองก็มีบ้านของเราอยู่แล้ว แม้จะไม่ใช่วิมานลอยฟ้า แต่ก็อยู่ได้อย่างสบาย ไม่ได้ลำบากอันใด” 

สองพี่น้องตกลงกันก่อนจะเหาะไปยังวิมานของพฤกษ์ เพื่อบอกกล่าวว่าจะขอสิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนทองและต้นกล้วยตานีที่ทั้งสองตกลงเกวียนลงมากระแทกตาย และจำเป็นจะต้องสิงสถิตอยู่ที่นั่น

“พวกเจ้าแน่ใจแล้วรึว่าจะสิงอยู่ในต้นไม้เหล่านั้นได้”

“แน่ใจเจ้าค่ะ ตอนที่น้องเข้าไปสิงอยู่ในต้นตะเคียนทอง น้องรู้สึกว่าอยู่สบายกว่าในวิมานของพี่พฤกษ์มากทีเดียว บางทีอาจจะเป็นเพราะว่านางตะเคียนตนก่อนสาปให้น้องต้องสิงอยู่แต่ในต้นตะเคียนต้นนี้กระมังเจ้าคะ” มาลีบอกพี่ชายไปตามความจริง

“มาลาเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ เห็นทีคงต้องสิงอยู่ในต้นไม้ของตนจนกว่าจะบำเพ็ญตบะสำเร็จ หรือมีตัวตายตัวแทนถึงจะไปอยู่ที่อื่น หรือไปเกิดใหม่ได้”

“เอาละ พี่เข้าใจแล้ว ถ้าพวกเจ้าสิงอยู่ในต้นไม้แล้วอยู่อย่างสุขสบายพี่ก็หมดห่วง อีกอย่าง หากพวกเจ้าหาตัวตายตัวแทนได้แล้วก็จะได้รับอิสรภาพ เมื่อนั้นพวกเราสามพี่น้องก็จะไปเกิดใหม่พร้อมกัน”

“เจ้าค่ะ” น้องสาวทั้งสองรับคำก่อนจะแยกย้ายไปสิงสถิตอยู่ในต้นไม้ของตน คืนแรกของการเป็นนางตะเคียนทองและนางตานีมือใหม่นั้นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แต่ถึงอย่างไร สองนางก็อยากจะไปเกิดใหม่เร็วๆ จึงตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้มีตัวตายตัวแทนมาแทนที่การถูกจองจำนี้โดยเร็ว...

 

คำอธิษฐานของสองนางเป็นจริงเร็วเกินคาด เมื่อเช้าตรู่ของวันถัดมามีโจรป่าปล้นฆ่าชาวบ้านที่สัญจรผ่าน เป็นหญิงสาวสองนางที่อายุไม่ห่างจากมาลีและมาลามากนัก

“ฮือๆ...ปล่อยเราสองคนไปเถิดเจ้าค่ะ พวกเราอยากกลับไปหาพ่อหาแม่” สองวิญญาณสาวร้องไห้คร่ำครวญเมื่อถูกนางตะเคียนทองและนางตานีตรึงดวงวิญญาณเอาไว้  

“ไม่ได้ พวกเจ้าตายแล้ว พวกเจ้าต้องอยู่ที่นี่แทนพวกข้า” มาลีปั้นหน้าถมึงทึงใส่สองดวงวิญญาณสาว ทั้งที่จริงๆ แล้วก็รู้สึกสะเทือนใจที่เห็นทั้งสองกอดกันกลมและร้องไห้จนตัวสั่น ดวงวิญญาณสองดวงนี้มีสภาพไม่ต่างจากเธอและน้องสาวเลย ทั้งตื่นตระหนกจากการรับรู้ว่าตัวเองตายจากโลกนี้ไปกะทันหัน ทั้งต้องมาถูกจองจำเป็นตัวตายตัวแทนโดยไม่เต็มใจ

“สงสารพวกเราเถิดนะเจ้าคะ พวกเราอยากกลับบ้าน แม้จะกลับไปได้แค่ดวงวิญญาณ พวกเราก็อยากจะกลับไปลาพ่อลาแม่ของพวกเราเป็นครั้งสุดท้าย” หนึ่งในดวงวิญญาณยังคงอ้อนวอนต่อ

“เอ่อ...มะ...ไม่ได้” น้ำเสียงของมาลีอ่อนลง ในขณะที่มาลานั้นร้องไห้ตามสองดวงวิญญาณไปด้วยอีกคน

“พี่มาลีจ๊ะ น้องว่าปล่อยดวงวิญญาณสองดวงนี้ไปก่อนเถอะจ้ะ เอาไว้หากมีใครมาตายที่นี่อีกค่อยจับมาเป็นตัวตายตัวแทนของเราก็ได้” มาลาเสนอเพราะอดสงสารสองดวงวิญญาณไม่ได้

“แต่ว่านี่เป็นโอกาสที่เราจะได้รับอิสระนะมาลา” มาลีแย้งน้องสาว

“นี่ก็เพิ่งจะวันแรกเท่านั้น น้องว่าคงจะมีคนมาตายตรงนี้ในอีกไม่ช้าหรอกจ้ะ เราเลือกคนที่ดูน่าสงสารน้อยกว่านี้อีกสักนิดเถิดหนา น้องสงสารดวงวิญญาณสองดวงนี้เหลือเกิน คงอยากกลับไปหาพ่อหาแม่แย่แล้ว” พูดแล้วก็สะอื้นไห้เพราะนึกสงสารตัวเองขึ้นมา

มาลีฟังน้องสาวพูดแล้วก็เหลือบไปมองสบตากับพี่ชายที่ยืนมองอยู่ห่างๆ อย่างขอความเห็น พฤกษ์จึงพยักหน้าช้าๆ เป็นนัยว่าเห็นด้วยกับมาลา ทำให้ทั้งสามพี่น้องต้องปล่อยดวงวิญญาณสองดวงแรกไป

การที่ได้เห็นดวงวิญญาณได้กลับบ้านนั้นสร้างความอิ่มเอมใจให้สองสาวอย่างนางตะเคียนทองและนางตานีเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนยังถูกจองจำให้สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนทองและต้นกล้วยตานี ทั้งคู่จึงต้องหาตัวตายตัวแทนมาแทนที่อยู่ตรงนี้ให้จงได้...

 

วันเวลาผันผ่าน ก็ไม่มีวิญญาณตนใดมาเป็นตัวตายตัวแทนของนางตะเคียนทองและนางตานีเสียที แม้ว่าจะมีผู้คนที่สัญจรผ่านเส้นทางนั้นถูกปล้นฆ่า ผ่านการเกิดศึกสงคราม ภัยธรรมชาติครั้งแล้วครั้งเล่า มีดวงวิญญาณที่สามารถจับมาเป็นตัวตายตัวแทนได้อยู่หลายร้อยหลายพันครั้ง ทว่า...ไม่มีใครน่าสงสารน้อยไปกว่าใคร ทุกคนล้วนเศร้าโศกเนื่องจากต้องตายจากคนอันเป็นที่รัก ทำให้นางตะเคียนทองและนางตานีไม่อาจจะจับดวงวิญญาณเหล่านั้นมาจองจำได้ลงคอ

“พวกเราอยู่ที่นี่ คุณพ่อคุณแม่ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เราไม่เคยขาด พวกเราไม่ได้อดอยาก ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยวิญญาณพวกนี้ไปก็แล้วกัน” 

มาลีและมาลาตกลงกันโดยมีพฤกษ์ที่เห็นด้วยในทุกๆ การตัดสินใจ หากน้องสาวของเขายังไม่ไปไหน เขาก็จะใช้ชีวิตเป็นรุกขเทวดา อยู่ดูแลน้องๆ แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ 

สามพี่น้องไม่เพียงไม่จองจำใครไว้เป็นตัวตายตัวแทนตน แต่พวกเขายังเนรมิตพื้นที่บริเวณโดยรอบให้กลายเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวของเหล่าดวงวิญญาณที่ตายใหม่ๆ เพื่อรอญาติมาเชิญดวงวิญญาณกลับบ้าน หรือไม่ก็รอให้ยมทูตมารับตัวไป เพราะหากปล่อยดวงวิญญาณเหล่านี้ให้เร่ร่อนไป อาจจะถูกวิญญาณที่มีนิสัยเกเรตนอื่นๆ รังแกเอาได้ 

ฉะนั้นจึงเป็นที่รู้กันในสามภพว่า บริเวณที่มีต้นจามจุรีสีทอง ต้นตะเคียนทอง และต้นกล้วยตานีขึ้นอยู่เรียงรายเป็นจุดนัดหมายของวิญญาณที่ต้องการความช่วยเหลือมาพำนักอยู่ เหล่ายมทูตจะมารับดวงวิญญาณได้จากที่นี่โดยที่ไม่ต้องไปออกตามหาไกลๆ ในขณะเดียวกันก็มีชาวบ้านหลายคนนำของมาเซ่นไหว้ต้นไม้ทั้งสามต้นอยู่เนืองๆ เนื่องจากมีคนพบเห็นนางไม้ออกมาปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้งจนเริ่มมาบนบานศาลกล่าว สมหวังบ้าง ไม่สมหวังบ้าง แต่ก็มีของเซ่นไหว้มาตั้งบูชาเอาไว้อย่างไม่ขาดสาย

               

               ในวันที่ไม่มีพลังบุญแผ่มาถึง ซึ่งนั่นหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ของทั้งสามได้หมดบุญลงเสียแล้ว ทั้งสามจึงเริ่มประกอบสัมมาอาชีพโดยที่ไม่แสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อให้คนหาของเซ่นไหว้ แล้วกลายเป็นกรรมเนื่องจากสร้างความงมงายให้คนอื่นๆ อีกทั้งบุญที่ได้สะสมมาจากการช่วยเหลือดวงวิญญาณดวงอื่นๆ ไม่ให้ถูกจองจำทำให้หญิงสาวทั้งสองไม่ต้องถูกตรึงไว้กับต้นไม้ที่สิงสถิตอีกแล้ว 

พวกเธอแปลงกายเป็นมนุษย์ออกไปใช้ชีวิตปะปนกับคนธรรมดาทั่วไปได้อย่างแนบเนียน โดยมีข้อแม้เพียงแค่ว่า หลังพระอาทิตย์ตกดินจะต้องกลับมายังต้นไม้อันเป็นที่สิงสถิตของตน ไม่อย่างนั้นจะแปลงกายเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ได้ 

มาลีผู้เป็นหญิงสาวที่มีความรู้ด้านการสร้างบ้านเรือนไทยได้แปลงกายเป็นมนุษย์ เข้าทำงานกับช่างสร้างเรือนไทย และด้วยความรู้ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม มาลีจึงได้เป็นหัวหน้านายช่างหญิงที่ได้คุมงานสร้างบ้านเรือนอย่างไม่ขาดมือ

ส่วนมาลา เธอเป็นคนชอบเย็บปักถักร้อยมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งนางตานีตนก่อนได้ทิ้งอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยเอาไว้ให้เธอได้นำมาประกอบสัมมาอาชีพ นางตานีสาวจึงได้ออกแบบและเย็บย่ามออกมาขาย โดยย่ามอัดจีบเป็นลอนคล้ายใบกล้วยตานี เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในหมู่ลูกสาวเศรษฐีแห่งเมืองแม่กลอง 

แม่หญิงหลายคนต่างเป็นเจ้าของย่ามอัดจีบนี้ เมื่อคนหนึ่งมีอีกคนก็ต้องมี แล้วก็ต้องมีให้ครบทุกสี สะพายไม่ซ้ำกันและที่สำคัญสีย่ามต้องเข้ากับสีสไบที่ห่ม

ในขณะที่พฤกษ์เป็นผู้มีความรู้ด้านเครื่องดื่มแบบฝรั่ง เมื่อครั้งยังมีชีวิต พฤกษ์เคยมีโอกาสได้ติดตามเจ้าเมืองแม่กลองไปว่าราชการต่างเมืองอยู่บ่อยๆ ได้มีโอกาสชิมเครื่องดื่มที่เรียกว่า ‘ข้าวแฟ’ หรือ ‘กาแฟ’ และได้ศึกษาค้นคว้าการคั่วและการชงกาแฟมานับแต่นั้น หลังจากตายแล้วกลายมาเป็นรุกขเทวดา ชายหนุ่มก็มีเวลาเหลือเฟือที่จะตามหาสายพันธุ์เมล็ดกาแฟต่างๆ คิดค้นวิธีการคั่ว บด และสกัดกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน 

ความเป็นรุกขเทวดาทำให้พฤกษ์ได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวป่าหิมพานต์อยู่บ่อยครั้ง และได้พบเมล็ดพันธุ์กาแฟจากป่าหิมพานต์ที่เมื่อนำมาคั่ว บด และชงแล้ว ได้รสชาติหอมล้ำเลิศกว่าเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ใดๆ ที่รุกขเทวดาหนุ่มเคยลิ้มลอง 

เมื่อค้นพบแหล่งกำเนิดเมล็ดกาแฟที่ชื่นชอบแล้ว รุกขเทวดาหนุ่มจึงเปิดร้านขายกาแฟ โดยมีเหล่าลูกค้าเป็นรุกขเทวดา คนธรรพ์ เทวดาและนางฟ้าจากบนสวรรค์มาอุดหนุนอยู่เป็นประจำ ร้านกาแฟของพฤกษ์ ชื่อว่าร้าน ‘รุกขอะโรมา’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น