12
วันที่สามแห่งการรอคอยได้ล่วงมาถึง ค่ำวันนี้หญิงสาวอาบน้ำแต่หัววัน หยิบผ้านุ่งและสไบผืนใหม่มาสวม เธอกำชับพ่อมิ่งว่าอย่าออกไปไหน ให้อยู่แต่ที่เรือน เพราะเกรงว่าหากพฤกษ์พาพ่อแม่ของเขามาหาที่เรือนแล้วจะคลาดกัน แต่รอแล้วรอเล่า รอจนฟ้ามืดก็ไม่เห็นแม้เงาของชายหนุ่ม
“นี่มันเรื่องอะไรกันหนอ เพียงแค่สามวันพี่พฤกษ์ก็เปลี่ยนใจเสียแล้วรึ หรือว่า...จะไปถูกตาต้องใจแม่หญิงเมืองไกลเสียแล้ว จึงทิ้งให้เรารอเก้อ”
ศรีแพรคิดไปสารพัด แต่ก็ยังคงนั่งรอชายหนุ่มที่ท่าน้ำต่อไป ทว่ายิ่งรอก็ยิ่งไร้วี่แวว น้ำตาของหญิงสาวไหลพราก เมื่อเริ่มรับรู้แล้วว่าการรอคอยของเธอนั้นไร้ความหมาย
“เหตุใดจึงยังนั่งอยู่ตรงนี้อีกเล่าลูก ข้าวปลาก็ไม่ยอมไปกิน” พ่อมิ่งเดินมาตามลูกสาวที่ท่าน้ำด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากเห็นว่าจนป่านนี้แล้ว ศรีแพรก็ยังไม่มีข้าวสักเม็ดตกถึงท้อง
“คือว่าลูกรอ...รอ...เอ่อ...” ศรีแพรได้แต่อึกอักอย่างไม่รู้ว่าจะบอกผู้เป็นพ่ออย่างไรดี
“รอใคร มืดค่ำจนป่านนี้จะมีใครมาอย่างนั้นรึ”
“เปล่าจ้ะพ่อ ลูกไม่ได้รอใคร จะขึ้นเรือนเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ” ศรีแพรลอบปาดน้ำตา ลุกขึ้นยืนอย่างไร้เรี่ยวแรงแล้วตั้งท่าจะไปจากท่าน้ำ ก่อนจะเดินออกไป เธอยังหันไปมองตรงโค้งน้ำด้วยหวังว่าพฤกษ์จะมาสู่ขอเธอตามคำสัญญา แต่แล้วก็ได้พบแต่ความว่างเปล่า
คำสัญญาที่พฤกษ์ให้ไว้ก็คงจะเป็นเพียงการให้ความหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น เธอผิดเองที่หลงเชื่อ ยอมหลงมอบกายมอบใจให้ชายผู้นั้นด้วยความใจง่าย จนสุดท้ายก็ถูกเขาทอดทิ้งอย่างไร้คุณค่าเช่นนี้
ค่ำคืนแห่งความอ้างว้าง ศรีแพรได้แต่ร้องไห้ที่ชายอันเป็นที่รักไม่รักษาสัญญา เมื่อตอนค่ำเธอกินน้ำตาต่างข้าว จากนั้นก็เข้ามานอนร้องไห้ต่อในห้องจนอ่อนเพลียแล้วหลับไปในที่สุด
...
“พี่พฤกษ์ เหตุใดจึงไม่มาหาน้องตามสัญญาเล่าเจ้าคะ” ศรีแพรต่อว่าชายหนุ่มทันทีที่เขาพายเรือมาหาเธอที่ท่าน้ำ
“พี่มาหาเจ้าไม่ได้อีกแล้วศรีแพร พี่ขอโทษ”
“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ หรือว่า...พี่พฤกษ์มีหญิงอื่นเสียแล้ว เพียงแค่สามวัน พี่พฤกษ์ก็เปลี่ยนใจจากน้องแล้วหรือเจ้าคะ”
“พี่เปล่า”
“เปล่าแล้วเหตุใดจึงไม่กลับมาหาน้อง รู้หรือไม่ว่าน้องรอพี่พฤกษ์อยู่จนค่ำ รอจนไม่รู้ว่าจะตอบพ่อว่าอย่างไรแล้วนะเจ้าคะ”
“พี่ไม่ได้มีหญิงอื่น พี่คิดถึงเจ้า อยากกลับมาหาเจ้าใจแทบขาด แต่พี่กลับมาไม่ได้”
“แต่ตอนนี้พี่พฤกษ์ก็กลับมาหาน้องแล้วนี่เจ้าคะ เหตุใดจึงไม่อยู่กับน้อง”
“ที่พี่มาในวันนี้ พี่ตั้งใจจะมาลาเจ้า”
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“พี่กลับมาหาเจ้าไม่ได้อีกแล้วศรีแพร ตัดใจจากพี่เสียเถิด”
“เหตุใดจึงพูดเช่นนี้เล่าเจ้าคะพี่พฤกษ์ หากพี่ไม่มีหญิงอื่น เหตุใดพี่จึงกลับมาหาน้องไม่ได้”
“ประเดี๋ยวรุ่งเช้าเจ้าจะรู้เอง”
พูดจบพฤกษ์ก็หันหัวเรือแล้วพายออกไป โดยที่ไม่หันกลับมามองคนที่ตะโกนเรียกและร้องไห้ฟูมฟายปานจะขาดใจอยู่ที่ท่าน้ำ
...
“พี่พฤกษ์!”
ศรีแพรสะดุ้งตื่นจึงได้รู้ตัวว่า ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตา และหลังจากนั้นเธอก็ไม่อาจจะข่มตาให้หลับลงได้
“เราฟุ้งซ่านจนเก็บเอามาฝันเลยหรือนี่” หญิงสาวพูดกับตัวเองพร้อมกับปาดน้ำตา ในความฝันพฤกษ์พูดอย่างชัดเจนว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่าเขาไม่ทำตามสัญญาและได้ทอดทิ้งเธอไปแน่แล้ว
เช้าตรู่ของวันใหม่ ศรีแพรลุกออกจากห้องนอนตั้งแต่ไก่โก่งคอขัน หุงหาอาหารเพื่อเตรียมไปรอใส่บาตรพระที่ท่าน้ำ หวังจะใช้ธรรมะเรียกสติให้หลุดพ้นจากความทุกข์ระทมขมขื่นใจ
“เหตุใดวันนี้หลวงพี่มาบิณฑบาตรูปเดียวเล่าเจ้าคะ หลวงพ่อรับนิมนต์ไปที่ใดรึ” หญิงสาวถามพระลูกวัด เนื่องจากโดยปกติแล้ว เธอจะได้ใส่บาตรกับเจ้าอาวาสอยู่เสมอ
“หลวงพ่อไปรับศพลูกของพ่อดู่น่ะ เห็นว่าถูกโจรฆ่าตายตั้งแต่เมื่อคืน เช้านี้พ่อดู่เลยนิมนต์ให้หลวงพ่อไปสวดเชิญวิญญาณ”
“วะ...ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ ลูกของพ่อดู่ ลูกคนไหนรึเจ้าคะ”
“ก็ทั้งสามคนนั่นแหละ ตายพร้อมกันเลยทั้งสามคน หลวงพ่อท่านเห็นใจพ่อดู่ที่ลูกต้องมาจากไปพร้อมกันถึงสามคน ก็เลยรับกิจนิมนต์ด้วยตัวเอง”
‘โครม!’
ศรีแพรยังไม่ทันได้ตักข้าวใส่ลงไปในบาตร ขันข้าวในมือก็ร่วงหลุดมือจนคว่ำตกน้ำไปต่อหน้าต่อตาหลวงพี่ สีหน้าของศรีแพรซีดเผือด มือไม้ก็สั่นไปหมด หลวงพี่เห็นอย่างนั้นแล้วก็ได้เรียกชื่อเธอเพื่อให้ได้สติ
“โยมศรีแพร โยมเป็นอะไรไป”
“ลูกของพ่อดู่...พี่พฤกษ์ พี่พฤกษ์ตายแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงของศรีแพรสั่นสะอื้นจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง เมื่อสิ่งที่ได้รับรู้นั้นเหมือนดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางหัวใจ
ที่แท้...พี่พฤกษ์ไม่มาหาเธอก็ด้วยเหตุนี้หรอกหรือ...
“ใช่ ตายแล้วทั้งลูกชายลูกสาว”
“ไม่จริง!”
“จริงสิ อาตมาจะโกหกทำไม เห็นหลวงพ่อบอกว่าศพน่าจะมาถึงบ้านพ่อดู่ช่วงสายๆ”
“พี่พฤกษ์...ไม่นะ ไม่จริง ต้องไม่ใช่พี่พฤกษ์ของน้อง โธ่...พี่พฤกษ์เจ้าขา”
ศรีแพรร้องไห้โฮ ทำให้หลวงพี่ที่ยังคงลอยลำเรืออยู่ที่ท่าน้ำทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากหญิงสาวร้องไห้จนตัวโยน โงนเงนจวนเจียนจะตกน้ำตกอยู่รอมร่อแล้ว
“โยมศรีแพร ทำใจดีๆ ไว้ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์”
ทว่าเรียกสติไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะศรีแพรยังร้องไห้ไม่หยุด
“โยมมิ่ง มาดูลูกสาวของโยมเร็วเข้า ร้องไห้จนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว”
สิ้นเสียงเรียก มิ่งก็มาถึงท่าน้ำพอดีเนื่องจากได้ยินลูกสาวร้องไห้เสียงดังลั่นตั้งแต่แรกแล้ว มิ่งเข้ามาประคองศรีแพรให้ลุกออกจากท่าน้ำ ส่วนหลวงพี่เมื่อเห็นว่ามีคนมาดูแลหญิงสาวแล้วก็พายเรือจากไป
“ศรีแพร เกิดอะไรขึ้นลูก”
“พ่อจ๋า...พี่พฤกษ์จ้ะ พี่พฤกษ์ตายแล้วจ้ะพ่อ”
“ว่าอย่างไรนะ! พ่อพฤกษ์ลูกเศรษฐีดู่น่ะรึ”
“จ้ะพ่อ”
“โธ่ น่าเสียดายจริงเชียว ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ ว่าแต่...เหตุใดลูกจึงร้องไห้ปานขาดใจเช่นนี้เล่า”
“คือว่าลูก...ลูกกับพี่พฤกษ์” ศรีแพรยังคงสะอึกสะอื้น เธอไม่รู้จะบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพฤกษ์กับผู้เป็นพ่ออย่างไรดี
“เอาเถอะๆ ยังไม่ต้องพูดอะไรตอนนี้ก็ได้ ลูกจะไปบ้านพ่อดู่ก็ไปเถอะ พ่ออนุญาต”
มิ่งไม่ซักไซ้ลูก เนื่องจากเห็นว่าตอนนี้ศรีแพรเองก็สะเทือนใจมากพอแล้ว ชีวิตที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็ทำให้พอจะดูออกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพฤกษ์กับศรีแพรนั้นเป็นเช่นไร
“จ้ะพ่อ” ศรีแพรปาดน้ำตาก่อนจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพายเรือไปที่เรือนของพ่อดู่
ข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของสามพี่น้องแห่งบ้านเศรษฐีดู่ทำให้ชาวบ้านต่างพากันมาที่บ้านของเศรษฐีกันมากมาย เพื่อแสดงความเสียใจและมาดูศพของคุณหนูทั้งสาม ศรีแพรเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อศพของพฤกษ์มาถึงที่บ้าน เธอรีบไปดูให้เห็นกับตา ว่าร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่นั้นใช่พี่พฤกษ์ของเธอหรือไม่ พอเห็นว่าเป็นเขา ศรีแพรก็แทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เธอได้แต่ตัดพ้อต่อโชคชะตาที่มาพลัดพรากคนรักไปจากเธอ ตัดพ้อต่อพฤกษ์ที่อุตส่าห์กลับมาหาเธอ แต่เขากลับไม่พาลมหายใจกลับมาด้วย
“พี่พฤกษ์...พี่พฤกษ์เจ้าขา…เหตุใดมาจากน้องไปแบบนี้ ไหนพี่พฤกษ์บอกว่าจะมาสู่ขอน้อง จะอยู่กับน้องตลอดไป แล้วเหตุใดพี่พฤกษ์ทิ้งให้น้องต้องอยู่คนเดียวแบบนี้”
ศรีแพรกอดศพของพฤกษ์พร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายราวจะขาดใจ ภาพที่เห็นนั้นสร้างความเวทนาให้ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐีดู่กับแม่บุปผาที่ต้องเข้ามาปลอบศรีแพร และแยกเธอออกจากศพของลูกชายด้วยความยากลำบาก เพื่อนำศพของพฤกษ์รวมทั้งศพของมาลีและมาลาไปทำพิธีตามประเพณี
“หนู...หนูเป็นใคร ชื่ออะไรหรือจ๊ะ เหตุใดจึงมากอดศพลูกชายของฉันร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้” พ่อดู่ถามหญิงสาว
“ฉันชื่อศรีแพรเจ้าค่ะ เป็น เอ่อ...เป็น...” ศรีแพรไม่รู้ว่าจะแนะนำตัวเองกับพ่อดูอย่างไรดี เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบพ่อของพฤกษ์
“หนูชื่อศรีแพรอย่างนั้นรึ”
“เจ้าค่ะ”
“โอ...คนนี้อย่างไรเล่า แม่บุปผา มาทางนี้สักครู่เถิด มาดูแม่หนูคนนี้ที่ชื่อศรีแพร” เศรษฐีดู่เรียกหาภรรยาที่ยังคงอยู่ในอาการหม่นเศร้า หวังจะทำให้เธอได้หยุดอาลัยอาวรณ์ได้สักครู่หนึ่ง
“นี่รึแม่ศรีแพร งามชดช้อย พ่อพฤกษ์นี่ตาถึง แต่ว่า...น่าเสียดายจริงๆ ไม่น่าเลย พ่อพฤกษ์ของแม่”
พูดได้ไม่กี่คำ แม่บุปผาก็กลับมาสะอื้นไห้อีก ทำให้พ่อดู่ต้องเรียกบ่าวมาประคองไปนั่งเพื่อโบกพัดและดมยาหอมก่อนที่จะเป็นลมไปอีกรอบ
“พ่อดู่รู้จักฉันด้วยหรือจ๊ะ”
“รู้จักแต่ชื่อ แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงดอก พ่อพฤกษ์กำชับนักหนาว่าหากพ่อพฤกษ์กลับมาแล้วให้รีบไปสู่ขอหนูทันที วันนี้พ่อพฤกษ์ก็กลับมาแล้ว แต่ว่า...” พ่อดู่พูดแล้วก็น้ำตารื้น ก้อนสะอื้นจุกอกจนพูดอะไรไม่ออก
“โธ่ พี่พฤกษ์ของน้อง” ยิ่งได้รู้ว่าพฤกษ์เตรียมการทุกอย่างไว้อย่างที่พูดจริงๆ ศรีแพรก็ยิ่งสะเทือนใจ พฤกษ์ได้จากไปแล้ว จากไปโดยที่ยังไม่ได้ล่ำลา ไปโดยที่ศรีแพรยังรัก ยังหวัง และยังรอเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
“ตอนนี้พ่อพฤกษ์ก็ได้ตายไปแล้ว หนูเองก็ทำใจเสียเถิดหนา เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของโลก” พ่อดู่ปลอบใจหญิงสาว ในขณะที่ตัวเขาเองนั้นหัวใจก็ร้าวรานจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่แพ้กันที่ต้องสูญเสียลูกไปพร้อมกันถึงสามคน แต่ก็ต้องฝืนทนทำเป็นเข้มแข็งเพื่อไม่ให้แม่บุปผายิ่งโศกเศร้า
“ฉันจะพยายามทำใจนะเจ้าคะ ระหว่างนี้ขอให้ฉันได้ทำหน้าที่คนรักของพี่พฤกษ์ให้ดีที่สุดจนกว่าจะเผาศพพี่พฤกษ์ได้หรือไม่เจ้าคะ”
พ่อดู่พยักหน้ารับด้วยแววตาที่เอ็นดูศรีแพรเป็นอย่างยิ่ง ใจหนึ่งก็อยากจะรับศรีแพรเข้ามาเป็นสะใภ้ตามเจตนารมณ์ของพฤกษ์ แต่ด้วยเห็นว่าเธอนั้นยังสาวซึ่งคงจะมีรักใหม่ได้ไม่ยาก พ่อดู่จึงไม่ฉุดรั้งเธอเอาไว้ ปล่อยให้ศรีแพรมีชีวิตที่อิสระอย่างที่เธอควรจะเป็น
ศรีแพรยังคงช่วยดูแลงานศพอยู่ที่บ้านของเศรษฐีดู่ กระทั่งศพของทั้งสามถูกเผาจนเหลือแต่เถ้ากระดูกไปแล้ว หญิงสาวจึงยอมกลับบ้านของตน
หลังจากที่พฤกษ์และน้องทั้งสองจากไปได้ไม่นาน ทางการก็จับโจรที่ทำร้ายสามพี่น้องจนตายได้ โดยโจรผู้นั้นต้องโทษบั่นคอให้ตายตกไปตามสามพี่น้องเพื่อชดใช้ความผิด
ในขณะที่ศรีแพรนั้น เธอไม่ต่างอะไรกับคนที่มีเพียงลมหายใจไปวันๆ หญิงสาวคงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทุกเช้าค่ำ จนพ่อมิ่งทนนิ่งดูดายไม่ได้จึงจัดการหาคู่ให้ลูกสาว โดยหวังว่าความรักครั้งใหม่จะทำให้ศรีแพรหลุดพ้นจากความเศร้าโศกเสียที แต่สิ่งที่ศรีแพรทำคือการหนีออกจากบ้าน ไปจำศีลที่วัดบ้าง ไปซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมปลายนาบ้าง หลายครั้งหลายคราจนพ่อมิ่งถอดใจ และเลิกหาคู่ให้ศรีแพรไปในที่สุด
วันเวลาล่วงเลยไปนานหลายสิบปี ศรีแพรที่ขณะนี้ผิวหนังเหี่ยวย่น ผมขาวโพลนทั้งศีรษะยืนมองต้นจันที่ยังคงมีชื่อของพฤกษ์และชื่อเธอสลักอยู่บนนั้น สัญญารักของเขาและเธอไม่เคยแปรเปลี่ยน ศรีแพรยังมั่นคงต่อเขา ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านเลยมานานสักแค่ไหน เธอก็ไม่มีใครอื่นนอกจากพฤกษ์คนเดียวเท่านั้น
หลายครั้งที่เธอคิดสั้น อยากจะตายตามพฤกษ์ไป แต่ด้วยสติยั้งคิดว่ายังมีพ่อที่ชรามากแล้วให้ดูแล เธอจึงต้องกัดฟันต่อสู้กับความคิดถึง อดทนต่อความทุกข์ทรมานกับการพลัดพราก จนกระทั่งวันนี้...วันที่เธอรู้ดีว่าใกล้ถึงเวลาของเธอเต็มทีแล้ว วันที่จะได้หลุดพ้นและหวังว่าจะได้พบพฤกษ์ในสักวัน
“ข้าขอสาบาน ว่าไม่ว่าชาติภพใด ข้าก็จะรักมั่นต่อพี่พฤกษ์คนเดียวเท่านั้น ขออำนาจแห่งคุณความดีที่ข้าได้สะสมมา ช่วยให้ข้าได้พบกับพี่พฤกษ์อีกสักครั้งเถิด”
สิ้นคำอธิษฐาน ใบไม้แห่งสังขารก็ปลิดปลิว ผ่านพ้นวันเวลาวันแล้ววันเล่า นับตั้งแต่วันที่พฤกษ์บอกให้ศรีแพรรอเขาสามวัน จนปัจจุบันก็ล่วงเลยมากว่าสองร้อยปีเต็ม และในที่สุด ทั้งคู่ก็ได้มาพบกันอีกครั้ง...
“นิน!...ได้ยินพี่ไหม”
เสียงเรียกแสนนุ่มนวลปลุกให้ลินินลืมตาตื่น น้ำตาของเธอยังไหลอาบแก้ม ดวงตากลมโตจ้องมองคนที่มองเธอด้วยสายตาแห่งความห่วงใยอย่างสุดซึ้ง
เขาเป็นคนที่ปรากฏตัวอยู่ในความฝันตลอดเวลาที่เธอหมดสติลง เขาเป็นคนที่เธอเฝ้ารอคอยด้วยความโหยหาตลอดหลายปีที่ผ่านมา รอคอยมานานแสนนานจนไม่อาจนับได้ว่านานแค่ไหน
“พี่พฤกษ์เจ้าขา” ลินินผุดลุกขึ้นนั่งแล้วโผเข้ากอดชายหนุ่ม ซบหน้าลงกับอกกว้างพร้อมร้องไห้จนตัวสั่นราวกับเพิ่งพบเจอเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้สะเทือนใจอย่างรุนแรง
พฤกษ์พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงความรักต่อเธอ แต่ด้วยความเป็นห่วงลินินที่เพิ่งจะฟื้นจากอาการหมดสติและกำลังสะอื้นไห้ ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นมาลูบหัวปลอบขวัญ พร้อมกับจูบหนักๆ ที่กลางกระหม่อมแล้วกอดแน่นๆ ให้หายตื่นกลัว
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ คนดีของพี่ อย่าร้องไห้เลยนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว”
“พี่พฤกษ์ขา นินจำได้แล้ว นินจำทุกอย่างได้แล้ว”
ลินินเอ่ยปนเสียงสะอื้น ภาพที่ปรากฏขณะเธอหมดสตินั้นบอกถึงความทุกข์ทรมานจากการรอคอยมากเพียงใด ในวันนี้เธอได้กลับมาเจอกับคนที่เธอคิดถึงจนลมหายใจสุดท้ายอีกครั้ง หญิงสาวจึงกอดเขาเอาไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ โดยไม่อยากจะพรากจากอ้อมกอดนี้ไปไหนอีกแล้ว
“จำได้อะไรกัน นินก็แค่ฝันไปเท่านั้นแหละ”
“ไม่ค่ะ นินมั่นใจว่านั่นไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างที่นินเห็นมันคือเรื่องราวในอดีตระหว่างเรา นินคือศรีแพร เราเคยรักกัน”
“เรื่องราวในอดีตมันก็ไม่ต่างจากความฝันหรอก ทุกอย่างมันผ่านมานานมากแล้ว ลืมไปเถอะนะนิน”
“พี่พฤกษ์ให้นินลืม ทั้งที่เรายังรักกันอย่างนั้นเหรอคะ พี่รู้ไหมว่ากว่าศรีแพรจะตาย ศรีแพรต้องทุกข์ทนทรมานกับการคิดถึงพี่ในทุกๆ ลมหายใจแค่ไหน วันนี้เราอุตส่าห์ได้เจอกันแล้วแท้ๆ ทำไมพี่พฤกษ์ทำเหมือนไม่เคยรัก ไม่เคยคิดถึงศรีแพรแบบนี้ล่ะคะ”
“คิดถึงสิ พี่คิดถึงศรีแพรตั้งแต่วันที่เราจากกัน จนกระทั่งวันนี้พี่ก็ยังรักศรีแพรไม่แปรเปลี่ยน แต่ความคิดถึงของพี่มันทำร้ายนินมาสามภพสามชาติแล้ว ถึงเวลาแล้วที่พี่จะทำให้นินพ้นความทุกข์ทรมานจากการต้องยึดติดกับพี่ให้ได้ในชาตินี้”
“หมายความว่ายังไงคะ” ลินินผละตัวออกจากอกชายหนุ่ม มองสบตาพฤกษ์ด้วยสายตาปวดร้าว เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่มองเธอด้วยสายตาเจ็บปวดไม่แพ้กัน
“ไหนๆ นินก็ระลึกชาติได้แล้ว พี่ก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก พี่จะพานินไปถอนคำสาบานของเราสองคน นินจะได้เป็นอิสระเสียที นินจะได้มีรักครั้งใหม่ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะมีคำสาบานตามติดไปทุกภพทุกชาติแบบนี้”
“ไม่ค่ะพี่พฤกษ์ นินจะไม่ถอนคำสาบานอะไรทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะคำสาบานเราคงไม่ได้กลับมาพบกันแบบนี้”
“แต่พี่ทนเห็นนินต้องโดดเดี่ยวไร้คู่แบบนี้ทุกภพทุกชาติไม่ได้ นินควรจะมีอิสระเสียที”
“แต่นินไม่อยากได้อิสระค่ะ นินรักพี่พฤกษ์ อยากจะได้พบเจอกับพี่พฤกษ์อีก ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหน”
“โธ่ นิน” พฤกษ์ได้แต่ทอดถอนใจ เขานึกโกรธตัวเองที่ประมาท ไม่เก็บขวดโหลชาดอกปาริชาตให้ดีๆ จนทำให้ลินินสูดดมจนระลึกชาติได้
“พี่พฤกษ์ไม่รักนินแล้วเหรอคะ”
คำถามนี้ช่างเสียดแทงหัวใจพฤกษ์เหลือเกิน เขาไม่สามารถพูดโกหกได้ว่าไม่รัก เนื่องจากเป็นรุกขเทวดาต้องรักษาศีล แต่ถ้ายอมรับว่ายังรักเธอก็จะยิ่งฉุดรั้งลินินให้จมอยู่กับความรักที่ไม่อาจสมหวังได้
“มันไม่เกี่ยวกับความรัก แต่มันเกี่ยวกับความสุขของนิน พี่อยากเห็นนินมีอิสระ”
“แล้วพี่พฤกษ์คิดว่านินมีความสุขกับอิสระที่นินจะได้รับเหรอคะ ความสุขของนินคือการได้อยู่กับพี่พฤกษ์ พี่รู้ไหมคะว่านินรอเวลานี้มานานแค่ไหน กว่าเราจะได้เจอกัน กว่าจะได้พูดคุยกันแบบนี้ พี่พฤกษ์ยังผลักไสนินได้ลงคออีกเหรอคะ”
“ถึงพี่จะไม่ผลักไส เราก็อยู่ด้วยกันได้อยู่ดี นินก็รู้ว่าตอนนี้พี่เป็นรุกขเทวดา ส่วนนินเป็นวิญญาณที่ออกจากร่างชั่วคราว สักวันหนึ่งนินก็ต้องกลับไปเข้าร่างตัวเอง แล้วใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ปกติทั่วไป”
“ไม่ค่ะ นินไม่กลับ นินจะอยู่กับพี่พฤกษ์ที่นี่”
“ทำแบบนั้นไม่ได้นะนิน ไม่อย่างนั้นนินจะตายจริงๆ แล้วจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก นินอาจจะถูกจองจำอยู่ที่นี่ ร้อยปี พันปี หรือไม่ก็อาจจะไม่มีวันสิ้นสุด” รุกขเทวดาหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ด้วยไม่อาจทนเห็นลินินสิ้นอายุขัยไปต่อหน้าต่อตาได้
“เป็นอย่างนั้นได้ก็ยิ่งดีสิคะ เพราะนินไม่อยากกลับไปเข้าร่างอีกแล้ว นินเบื่อที่จะเป็นตัวเองเหลือเกิน อยากจะตายเสียให้พ้นๆ”
ลินินยังคงดึงดัน ทำให้พฤกษ์ถึงกับถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าอย่างคิดไม่ถึงว่า แม่ศรีแพรที่แสนว่าง่ายของเขาจะกลายมาเป็นลินินที่แสนดื้อดึงได้ถึงขนาดนี้
“อย่าคิดถึงแต่ตัวเองสินิน ลองคิดดูว่ายังมีคนที่รักนิน รอให้นินกลับไปแค่ไหน อย่างน้อยก็พ่อกับแม่ของนินเองที่ไม่อยากให้นินตาย”
พฤกษ์เตือนสติหญิงสาว ทำให้ลินินถึงกับเถียงไม่ออก เนื่องจากไม่อาจจะดื้อดึงจนทำให้พ่อกับแม่ของตัวเองเสียใจได้
“ถ้าอย่างนั้น นินขออยู่ที่นี่จนกว่าจะสบายใจได้ไหมคะ หลังจากนั้นนินก็จะไปจากที่นี่เอง”
“ก่อนไปจากที่นี่ เราจะไปถอนคำสาบานกันก่อนเพื่อให้นินมีชีวิตที่อิสระโดยสมบูรณ์ เมื่อวิญญาณกลับเข้าร่างแล้ว นินจะได้มีคู่ได้เสียที” พฤกษ์พูดย้ำ ทำให้ลินินน้ำตาคลอด้วยความน้อยใจ
“ก็ได้ค่ะ นินเข้าใจแล้วว่าพี่พฤกษ์ไม่อยากให้นินอยู่ที่นี่นานๆ ไม่อยากจะพบ ไม่อยากเกี่ยวข้องกับนินอีกในชาติหน้าหรือชาติไหนๆ หากพี่พฤกษ์อยากจะถอนคำสาบานนัก นินก็จะไม่ขัดค่ะ”
หญิงสาวปาดน้ำตาพร้อมกับมองชายหนุ่มด้วยแววตาตัดพ้อ ว่านี่น่ะหรือคนที่เธอรอคอยมานานแสนนาน นี่น่ะหรือคนที่เธอเฝ้ารัก เฝ้าคิดถึงจนลมหายใจสุดท้าย หรือว่านี่จะเป็นชาติสุดท้ายแล้วที่เธอกับเขาจะพบกัน คำสาบานอันเป็นนิรันดร์นั้นไม่มีอยู่จริง
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เราไปถอนคำสาบานกันเลยไหม”
“ไม่ค่ะ! นินยังไม่พร้อม” ลินินปฏิเสธแทบจะทันทีที่พฤกษ์นัดหมาย
“ถ้าอย่างนั้น นินพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกพี่แล้วกัน แต่จำเอาไว้ว่าต้องทำก่อนที่วิญญาณของนินจะกลับเข้าร่าง ไม่อย่างนั้นทุกอย่างมันจะสายเกินไป”
ลินินได้แต่พยักหน้ารับรู้โดยที่ไม่พูดอะไรอีก
หากพฤกษ์จะให้เวลาเธอเตรียมใจได้ถึงแค่ก่อนวิญญาณกลับร่าง เธอก็จะขอใช้สิทธิ์นั้นจนวินาทีสุดท้าย...
ความคิดเห็น |
---|