14

14

14

 

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของลูกจันลอยกรุ่นไปถึงวิมานที่ลอยอยู่เหนือต้นพฤกษ์ พาให้หัวใจของรุกขเทวดาหนุ่มหวั่นไหวจนข่มตาให้หลับลงไม่ได้ ในรอบสองร้อยปีมานี้ พฤกษ์ไม่เคยมีความรู้สึกต่อกลิ่นลูกจันเท่าครั้งนี้มาก่อน อาจเพราะมีหญิงสาวที่กลิ่นนวลเนื้อหอมคล้ายผลลูกจันสุกมาอยู่ร่วมชายคากระมัง จึงทำให้ภาพในวันวานหวนคืนมาราวกับเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ส่งผลให้คืนนี้รุกขเทวดาหนุ่มผู้เยือกเย็นและสุขุมอยู่เสมอดูว้าวุ่นกว่าทุกคืน 

พฤกษ์ไม่อาจต้านทานความหอมยั่วยวนของกลิ่นลูกจันได้อีกแล้ว เขาออกจากห้องนอนภายในวิมาน เหาะลงมาเดินเล่นอย่างเดียวดายอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าเรือนรับรองกลางดึก ที่นั่นมีตะกร้าลูกจันขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงระเบียง ลูกจันตะกร้านี้คงจะเป็นลูกจันที่เคียนนี่นำมาฝากเป็นแน่ และนี่คือที่มาของกลิ่นหอมรัญจวนจนรุกขเทวดาหนุ่มทนไม่ไหว ต้องลงมาจากวิมานเพื่อหยิบลูกจันขึ้นมาดอมดมให้ชื่นใจ 

พฤกษ์หยิบผลไม้ที่มีเปลือกสีเหลืองนวลอย่างเบามือ แล้วยกขึ้นมาสูดดมความหอมอย่างทะนุถนอม ด้วยรู้ว่าแม้ผิวด้านนอกของผลลูกจันจะเต่งตึง แต่ก็ช่างบอบบางยิ่งนัก ไม่ต่างกับเนื้อนางที่ต้องถนอมโลมไล้ไม่ให้บอบช้ำ

เสียงฝีเท้าทำให้คนที่กำลังหลับตาเพื่อดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของลูกจันหันไปตามเสียงนั้น ชายหนุ่มเห็นชายสไบพลิ้วไหว พาให้หัวใจสั่นสะท้านไปหมด ขาของเขาก้าวตามไปด้วยหัวใจสั่งการ แม้สมองจะพยายามต่อต้าน แต่ก็ไม่อาจทัดทานความปรารถนาที่ถูกเก็บซ่อนมานานหลายร้อยปีได้

“ศรีแพร” 

เสียงเรียกแห่งความโหยหาพาให้คนที่กำลังเดินหนีหยุดชะงัก หญิงสาวในชุดไทยโบราณ สวมผ้านุ่งทอมือฝีมือประณีต ห่มสไบสีตองอ่อนตัดกับผิวขาวนวลผ่อง ผมดำขลับปล่อยยาวสลวย ที่ข้างหูทัดดอกชบาสีแดงสด เธอหันมายิ้มให้ชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มเอียงอายไร้เดียงสา พร้อมกันนั้นก็เดินมาใกล้ราวกับจะรู้ว่า เขาอยากมีเธออยู่ใกล้ๆ

“เจ้าขา” 

คำขานรับแสนแว่วหวาน ทำให้พฤกษ์รู้สึกมึนตื้อไปหมด เขามองเธอตาไม่กะพริบ พินิจพิเคราะห์หญิงสาวที่ราวกับก้าวออกมาจากห้วงความคิดถึงของเขา แล้วมายืนอยู่ตรงหน้า ยิ่งเธอเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็ยิ่งได้กลิ่นหอมของลูกจันชัดขึ้น คงจะเป็นกลิ่นอบร่ำของสไบกระมังที่ทำให้เธอหอมเช่นนี้ หรือบางที...อาจจะเป็นกลิ่นเนื้อนวลของหญิงสาวเอง ที่หอมคล้ายลูกจันสุกเหมือนกับที่เขาเคยจูบประทับมาทั่วทั้งตัวแล้ว 

“พี่พฤกษ์เรียกน้องทำไมรึเจ้าคะ” หญิงสาวถาม เมื่อเห็นว่าพฤกษ์เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเสียที และขณะนี้เขาเม้มริมฝีปากแน่น หลับตาแล้วสูดลมหายใจลึก ราวกับกำลังจะรวบรวมสติ

“นิน!” 

ชื่อเรียกที่เปลี่ยนไปกับการเดินถอยห่างของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวถึงกับหน้าเสีย เธอไม่กล้ามองสบตาพฤกษ์ เนื่องจากไม่อยากถูกเขามองมาด้วยสายตาเย็นชา อีกทั้งยังกระดากอายที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้เพียงเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากเขา

“คะพี่พฤกษ์” 

“ทำไมแต่งตัวแบบนี้” 

“นินเป็นแบบชุดไทยให้น้องตานี่น่ะค่ะ เห็นน้องตานี่บอกว่าจะเปิดร้านเช่าชุดไทยโบราณสำหรับเจ้าสาว นินก็เลยมาเป็นแบบให้ นี่ก็เพิ่งจะถ่ายรูปกันเสร็จ นินกำลังจะเดินกลับไปห้องนอน แต่เห็นว่าพี่พฤกษ์มาที่เรือนรับรอง ก็เลยจะเดินมาถามว่าอยากได้อะไรรึเปล่าน่ะค่ะ” ลินินตอบชายหนุ่ม

“พี่ก็แค่...อยากได้ลูกจันไปไว้ที่ห้องน่ะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับชูลูกจันที่อยู่ในมือให้ลินินดู

“พี่พฤกษ์ชอบกลิ่นลูกจันเหรอคะ”

“ใช่ พี่เคยชอบ”

“แค่เคยเหรอคะ พี่ไม่ได้รู้สึกคิดถึง หรือผูกพันกับมันบ้างสักนิดเลยเหรอคะ ในภาพความทรงจำของนิน ที่ใต้ต้นลูกจัน เราสองคน...”

“อย่าพยายามรื้อฟื้นเลยนิน ทุกอย่างมันเป็นอดีตไปหมดแล้ว พี่ไม่ต้องการให้ทุกอย่างมันก้าวถอยหลัง ไม่อย่างนั้นทั้งพี่และนินจะไม่มีวันหลุดพ้นไปจากจุดนี้ได้อีก” พฤกษ์โพล่งออกมาก่อนที่ลินินจะพูดจบ

“แต่ว่านินยินดีที่จะอยู่ตรงนี้ค่ะ นินอยากอยู่ในทุกๆ ที่ที่มีพี่อยู่ด้วย นินไม่อยากต้องแยกจากพี่อีกแล้ว”

“มันเป็นไปไม่ได้ นินก็รู้ว่าสถานะของเราสองคนต่างกัน พี่เป็นรุกขเทวดาที่ต้องอยู่แต่ที่นี่ ส่วนนินเป็นมนุษย์ที่มีอิสระ อีกไม่นานนินก็ต้องกลับไปเข้าร่างตัวเองตามเดิมแล้ว เรื่องราวของนินกับพี่ก็ต้องจบลงอีกครั้งอยู่ดี”

“ไม่ค่ะ นินจะไม่ยอมกลับเข้าร่าง นินจะอยู่กับพี่พฤกษ์ที่นี่ ขอให้นินได้อยู่กับพี่นะคะพี่พฤกษ์” 

หญิงสาวโผเข้ากอดชายหนุ่ม สะอื้นไห้อ้อนวอนจนทำให้รุกขเทวดาหนุ่มปวดร้าวไปทั้งหัวใจ

“นิน อย่าทำแบบนี้อีกเลย ไม่ว่าอย่างไรนินก็อยู่กับพี่ที่นี่ไม่ได้ เรื่องของเรามันจบลงตั้งแต่วันที่พี่ตายแล้ว” พฤกษ์จับไหล่ของหญิงสาวเพื่อผละให้เธออกจากอ้อมอก ชายหนุ่มต้องพยายามใจแข็งเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ดึงลินินมากอดอีกครั้ง เพื่อปลอบขวัญคนที่กำลังสะอึกสะอื้น เขาทำแค่เพียงยื่นปลายนิ้วไปไล้คราบน้ำตาที่ข้างแก้มให้เธอ อยากจะจูบซับน้ำตา แต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้

“แต่สำหรับนิน เรื่องราวของเรามันยังไม่จบค่ะ พี่พฤกษ์รู้ไหมคะว่าการที่พี่พฤกษ์จากไปโดยไม่ทันล่ำลามันทำให้นินทรมานแค่ไหน การกลับมาเจอกันในชาตินี้มันเหมือนกับการได้สานต่อเรื่องราวในอดีตของเรา ทำไมเราไม่เลือกที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไปล่ะคะพี่พฤกษ์ จะทนทรมานด้วยความคิดถึงกันไปทำไม”

“ปล่อยให้พี่ทนทรมานอยู่ที่นี่คนเดียวเถอะนะนิน พี่ทนไม่ได้จริงๆ ที่จะเห็นนินถูกจองจำอยู่ที่นี่ ลืมพี่เสียเถอะ แล้วกลับไปมีชีวิตที่ดีตามเดิม ส่วนพี่ จะพยายามลืมนินให้ได้ในสักวัน” 

รุกขเทวดาหนุ่มพูดอย่างทอดถอนใจ ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยลืมศรีแพรได้ การกลับมาพบกันในครั้งนี้จะยิ่งทำให้เขาคิดถึงเธอเป็นเท่าทวีคูณในวันที่เธอได้จากไปอีกครั้ง แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะนี่คือโชคชะตาที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าเขาและเธอจะต้องพลัดพรากกันตลอดไป

“พี่พฤกษ์ลืมได้จริงๆ หรือคะ ลืมว่าเราเคยรักกันแค่ไหนได้จริงๆ หรือคะ” ลินินพูดพลางขยับตัวเข้าไปใกล้ แล้ววาดวงแขนขึ้นมาคล้องคอชายหนุ่มเพื่อรั้งให้เขาโน้มใบหน้าลงต่ำ มองพฤกษ์ด้วยแววตาเว้าวอน สะกดให้รุกขเทวดาคล้อยตามอย่างไม่อาจจะต้านทานความรู้สึกของตัวเองได้ 

“นิน!...ยะ...อย่า” 

เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าพูดห้ามปรามไม่ให้ร่างอรชรบดเบียดเข้ามาแนบชิดไปมากกว่านี้ แต่หญิงสาวทำราวกับไม่ได้ยิน เธอยังคงกอดรัดชายหนุ่ม ประทับริมฝีปากอิ่มที่ปลายคาง แล้วจูบไล้ไปตามสันกรามก่อนจะกระซิบที่ข้างหู

“นินรักพี่พฤกษ์ รักและคิดถึงเหลือเกินค่ะ” กระซิบแล้วก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของรุกขเทวดาหนุ่ม พร้อมกับเคล้าคลึงหยอกเย้า เรียกร้องให้อีกฝ่ายตอบสนอง แต่พฤกษ์กลับเอาแต่ยืนอยู่นิ่งๆ ลินินยังคงพยายามจูบเพื่อกระตุ้นความรู้สึกของพฤกษ์ต่อไปด้วยการจูบที่ดูดดื่มและรุกล้ำขึ้น ทำให้ชายหนุ่มที่เอาแต่นิ่งอยู่ถึงกับต้องเลื่อนไปใบหน้าออกห่าง 

หัวใจลินินแทบแตกสลาย เมื่อเห็นคนที่เพิ่งจะผละจูบจากเธอเม้มริมฝีปากแน่น พฤกษ์สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ราวกับกำลังพยายามรวบรวมสติ แต่ถึงกระนั้นวงแขนแข็งแกร่งก็กระชับกอดลินินจนแนบแน่นโดยไม่รู้ตัว ทรวงอกอวบอิ่มเบียดเสียดอกกว้าง วงแขนเรียวยังคงโอบกอดแนบชิด กลิ่นหอมจางๆ ยังคงรัญจวนใจ ดวงตากลมโตที่มองมาด้วยสายตาเว้าวอนทำให้พฤกษ์ไม่อาจต้านทานความปรารถนาของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว

“อย่าล้อเล่นกับความคิดถึงของคนที่รอคอยมาสามร้อยปีนะนิน หากว่าพี่ทำอะไรตามใจตัวเองลงไปแล้วจะหาว่าไม่เตือนนะ” 

ร่างบางถูกช้อนอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม จากนั้นสองเท้าของรุกขเทวดาก็ลอยเหนือพื้น พาหญิงสาวเหาะล่องลอยไปยังวิมานที่ลอยอยู่เหนือต้นพฤกษ์ ลินินยกแขนขึ้นคล้องคอเพื่อให้พฤกษ์อุ้มเธอได้ถนัดขึ้น พร้อมกับซบหน้าลงแนบอกกว้าง กระซิบถ้อยคำอ่อนหวานเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มเปลี่ยนใจ

“ถ้าพี่พฤกษ์จะเอาแต่ใจ นินก็จะตามใจพี่พฤกษ์ทุกอย่างเลยค่ะ”

 

เตียงหนานุ่มรองรับสองร่างที่ทาบทับกันทันทีที่แผ่นหลังของลินินแตะฟูกบนเตียงนอน พฤกษ์จูบหนักหน่วงที่ริมฝีปาก ดูดดื่มบดคลึงอย่างเร่าร้อนให้สมกับความโหยหาที่อดทนรอคอยมานานแสนนาน ความหอมหวานของเนื้อนางนั้นทำให้ความยับยั้งชั่งใจของรุกขเทวดาหนุ่มขาดสะบั้น 

กระนั้นในทุกๆ อิริยาบถที่แสดงออกถึงความวิตกกังวลก็ถูกลินินกระตุ้นปลุกเร้าด้วยอารมณ์แห่งรัก ทำให้ชายหนุ่มลืมเลือนทุกๆ เหตุผลที่เขาหยิบยกมาเตือนสติให้ยั้งคิดในทุกๆ ครั้งที่ต้องการแสดงความรักต่อหญิงสาว เหตุผลนานับปการที่พฤกษ์ใช้เตือนสติตัวเองนั้นถูกแผดเผาด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ลุกโชน

สไบผืนงามเลื่อนลงไปกองอยู่ที่พื้นข้างเตียง ตามด้วยผ้านุ่งที่ถูกกำจัดออกจากร่างอรชรในเวลาไล่เลี่ยกับเสื้อผ้าของรุกขเทวดาหนุ่ม ความโหยหาซึ่งกันและกันทำให้ลินินเองก็คล้อยตามพฤกษ์ไปเสียหมด ไม่ว่าเขาจะพาไปสู่บทรักบทไหน เธอก็ตามเขาไปอย่างว่าง่าย ไม่เพียงแต่บทรักอันหอมหวานเท่านั้นที่พฤกษ์มอบให้เธอ การตักตวงความสุขสมในบทรักอันเร่าร้อนก็ถูกนำมาเติมเต็มให้กันและกันในคืนนี้ 

พฤกษ์เอาแต่ใจตามที่เขาได้ขู่เอาไว้จริงๆ เนื่องจากเขาพาลินินโบยบินสู่ความหฤหรรษ์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบไม่ได้พักผ่อน เธอเกิดมาเพื่อเขาโดยแท้ ทุกตารางนิ้วบนร่างกายเธอควรจะเป็นพฤกษ์ที่ได้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น 

“พี่พฤกษ์ขา นินรักพี่พฤกษ์ค่ะ” หญิงสาวกระซิบเสียงแผ่วข้างหูคนที่เหน็ดเหนื่อยจนนอนหลับตานิ่ง พฤกษ์ได้ยินอย่างนั้นหันก็มายิ้มให้เธอพร้อมกับกระชับวงแขน กอดร่างเปล่าเปลือยที่นอนก่ายเกยบนกายด้วยความรักและหวงแหนสุดหัวใจ

“พี่ก็รักนิน รักเหลือเกิน” 

พฤกษ์จูบหน้าผากหญิงสาว ลินินยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม มองเขาด้วยความสุขอันเหลือล้นที่ในที่สุด พฤกษ์คนเดิมก็กลับมาเสียที

“อย่ามองพี่แบบนี้”

“ทำไมเหรอคะ”

“ก็จะไม่ได้นอนทั้งคืนน่ะสิ” 

เสียงแหบพร่ากระซิบแว่วหวาน ชายหนุ่มประทับจูบริมฝีปากที่กำลังจะเผยอพูดประท้วงว่าเธอแทบจะไม่ได้พักผ่อน แต่พฤกษ์นั้นปลุกเร้าอารมณ์รักได้อย่างเร่าร้อนและรวดเร็วเหลือเกิน จนหญิงสาวไม่อาจจะต้านทานไหว ได้แต่ปลดปล่อยอารมณ์ให้คล้อยตามชายหนุ่มไป ตักตวงความสุขที่ผลัดกันมอบให้อย่างสุขสมจนแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืนดังว่า...

...

เช้านี้พฤกษ์ตื่นสายกว่าทุกวัน รุกขเทวดาหนุ่มยังคงเปล่าเปลือย เขานอนเดียวดายอยู่บนเตียงนุ่มโดยคนที่ทำให้เขาแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืนได้ออกจากห้องนอนไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงผ้าสไบที่พับและวางอยู่บนหมอนข้างๆ ชายหนุ่ม

“หอมจัง” พฤกษ์หยิบสไบผืนงามขึ้นมาจูบ ก่อนลุกจากเตียงแล้วเตรียมตัวลงจากวิมานเพื่อไปร้านกาแฟที่ป่านนี้ลูกค้าคงจะมารอจนแน่นร้านแล้ว

 

ที่ร้านกาแฟเริ่มมีลูกค้ามานั่งรอดื่มกาแฟอย่างหนาตา บาริสต้าหนุ่มเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับผูกผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอวเพื่อเตรียมชงกาแฟอย่างเคย ทุกอย่างดูคล้ายกับทุกวันตรงที่นางอัปสรที่เป็นลูกค้าประจำมานั่งรอดื่มกาแฟที่ชงโดยเจ้าของร้านหนุ่ม แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ พฤกษ์ยิ้มอย่างอารมณ์ดีตลอดเวลานับตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน จนกระทั่งเข้าไปยืนหลังเคาน์เตอร์ชงกาแฟ

“ทำไมวันนี้พี่พฤกษ์ลงมาสายจังจ๊ะ ตื่นสายเหรอ” มะยมถามด้วยความซื่อ

“อื้อ” ตอบแล้วก็หันไปทางหญิงสาวตัวการ มองเธอด้วยสายตาคาดโทษที่ไม่คิดจะปลุกกันสักนิด

“ดีนะจ๊ะที่พี่นินมาช่วยมะยมรับลูกค้า ไม่อย่างนั้นละก็มะยมหัวหมุนแน่ๆ” ว่าแล้วหัวของมะยมก็หมุนรอบ เนื่องจากคอที่หักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“ขอโทษทีนะมะยม พอดีว่าเมื่อคืนพี่แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เลยตื่นสาย” รุกขเทวดาหนุ่มพูดกับกุมารทองก็จริง แต่สายตานั้นจับจ้องลินินเป็นประกายไม่วางตา

“โอ ถ้าอย่างนั้นวันหลังให้มะยมไปช่วยปลุกดีไหมจ๊ะ” กุมารทองรับอาสา

“ไม่ต้องหรอกมะยม ยกหน้าที่นี้ให้พี่นินดีกว่า” 

“อย่าเพิ่งชวนพี่พฤกษ์คุยสิมะยม พี่พฤกษ์จะได้รีบชงกาแฟให้ลูกค้า เห็นไหมว่าลูกค้ามารอกันเยอะแค่ไหน” หญิงสาวพูดกับกุมารทอง แต่จริงๆ แล้วเธอตั้งใจจะปรามคนตัวโตมากกว่า มีอย่างที่ไหนที่มองเธอด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม แถมพูดให้เธอรู้สึกเขินจนทำตัวไม่ถูก 

 “นั่นสินะ ไหน ใครสั่งกาแฟอะไรบ้าง พี่จะได้เริ่มชงให้ลูกค้า” พฤกษ์เลิกส่งตาหวานให้หญิงสาวแล้วหันไปชงกาแฟตามรายการที่ลูกค้าสั่ง 

บาริสต้าหนุ่มยิ้มและหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขณะชงกาแฟ อีกทั้งยังพูดคุยทักทายลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนกาแฟในร้านอย่างเป็นกันเอง ผิดกับเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่รุกขเทวดาหนุ่มเอาแต่ทำสีหน้านิ่งขรึม อีกทั้งยังพูดนับคำได้

“เหนื่อยไหมคะพี่พฤกษ์” ลินินถามเมื่อเห็นว่าบาริสต้าหนุ่มยืนชงกาแฟนานติดต่อกันหลายแก้วจนแทบจะไม่ได้พัก 

“ไม่เหนื่อยหรอก” พูดแล้วก็ยิ้มกริ่ม ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูหญิงสาว “เมื่อคืนเหนื่อยกว่านี้ตั้งเยอะ”

“พี่พฤกษ์! คนบ้า!” ลินินฟาดมือลงบนแขนของชายหนุ่มเบาๆ ทำให้พฤกษ์หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ท่าทางหยอกเย้ากันของทั้งสองนั้นทำให้นางอัปสรที่เทียวมาดื่มกาแฟ พร้อมกับแลบาริสต้าอยู่หลายร้อยปีต่างพากันมองตาปริบๆ

“พวกเธอว่าเราควรจะมูฟออนกันได้หรือยัง” นางอัปสรนางหนึ่งเปิดประเด็น

“อ่อยมาเป็นร้อยปีแต่ไม่สำเร็จ ฉันว่าควรจะมูฟตั้งแต่ปีแรกๆ แล้วไหม” นางอัปสรอีกนางพูดเสริม

“ตอนแรกก็แอบมีความหวังตรงที่เขายังไม่มีใคร คิดเอาไว้ว่าสักวันคงจะใจอ่อน พอมาวันนี้ถึงได้เข้าใจ ว่า อ้าว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เลือกเรานี่หว่า” นางไม้ที่นั่งร่วมโต๊ะพูดออกมาราวกับกำลังพร่ำเพ้อ

“ถ้าอย่างนั้นก็ตัดสินใจให้มันเด็ดขาดเถอะ” นางอัปสรนางแรกโพล่งขึ้นมา

“ใช่ ฉันจะไม่มาดื่มกาแฟที่นี่อีกแล้ว ไม่อยากมาเห็นหน้าบาริสต้าให้ปวดใจ” นางอัปสรนางที่สองเริ่มทำเสียงสั่น

“ไม่ ฉันจะยังมาดื่มกาแฟที่นี่ ฉันติดกาแฟเสียแล้ว ถ้าไม่ได้ดื่มฉันอาจจะปวดหัวได้” นางไม้พูดพลางหยิบกาแฟเย็นในแก้วขึ้นมาดูดจนแก้มตอบ

“นั่นสินะ ดื่มมาเป็นร้อยปี อยู่ๆ จะให้เลิกดื่มได้ยังไง เอาเป็นว่า พวกเรามานัดเจอกันที่นี่เหมือนเดิม ที่นี่มีทั้งรุกขเทวดา ทั้งวิทยาธร ทั้งคนธรรพ์มาซื้อกาแฟอยู่บ่อยๆ ฉันว่าหนึ่งในนั้นคงเป็นคู่ของฉันบ้างแหละน่ะ” นางอัปสรนางแรกเอ่ยขึ้นในขณะที่มีกลุ่มวิทยาธรกลุ่มใหญ่เข้ามาในร้านกาแฟ โดยมีอีกสองนางมองตามสายตาและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

 

 

 

 

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น