7

7

7

 

เมืองแม่กลอง ปีพุทธศักราช 2311 พ่อดู่ฝากฝังพฤกษ์ให้ได้เข้าไปทำงานรับใช้ใกล้ชิดท่านเจ้าเมืองแห่งเมืองแม่กลอง และด้วยอุปนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน พฤกษ์จึงได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าเมืองให้ติดตามไปว่าราชการยังสถานที่ต่างๆ เสมอ 

ในวันนี้พฤกษ์ได้รับมอบหมายให้มาหาซื้อผ้าไหมเนื้อดีไปเป็นของกำนัลให้แก่ภรรยาท่านทูตจากเมืองจีนเพื่อสานความสัมพันธ์ทางการค้า ว่ากันว่า ทั่วทั้งเมืองแม่กลองนี้ ไม่มีผ้าไหมของผู้ใดจะสวยงามและประณีตไปกว่าผ้าไหมจากเรือนพ่อมิ่งที่ถักทอโดยแม่ศรีแพร ลูกสาวคนเดียวของเขา

ด้วยพฤกษ์เป็นลูกชายเศรษฐี จึงพอจะรู้วิธีการเลือกซื้อผ้าไหมอยู่บ้าง ผ้าไหมที่พ่อมิ่งนำมาให้พฤกษ์เลือกนั้นถักทอโดยช่างทอมีฝีมือก็จริง แต่ลวดลายยังไม่งดงามมากพอที่จะนำไปเป็นของกำนัลให้แขกคนสำคัญของท่านเจ้าเมืองได้

“พ่อมิ่งมีผ้าไหมเพียงเท่านี้รึ”

“ยังมีอีกขอรับ แต่ว่าลูกสาวของกระผมเป็นคนเก็บเอาไว้ มิได้ทำออกมาขาย”

“ขอฉันดูผ้าที่ว่าหน่อยจะได้ไหม ฉันต้องนำไปใช้ในงานสำคัญ ผ้าที่พ่อมิ่งนำมาให้ฉันดูนั้นก็งามอยู่ แต่ยังงามไม่ถูกใจฉัน”

“คุณท่านต้องนำไปใช้ในงานสำคัญหรือขอรับ แหม แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก” มิ่งทำเสียงตื่นเต้น

“ใช่จ้ะ ฉันจะนำไปมอบให้ภรรยาท่านทูตจากเมืองจีน พ่อมิ่งคิดดูเถิดหนา หากผ้าไหมของเรือนพ่อมิ่งงามถูกใจภรรยาท่านทูตจากเมืองจีนขึ้นมา พ่อมิ่งจะโด่งดังไปทั่วคุ้งน้ำเชียวหนา”

“โอ...มอบให้ภรรยาท่านทูตเชียวหรือขอครับ กระผมเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นกระผมจะไปบอกลูกสาวให้นำผ้าผืนอื่นมาให้คุณท่านเลือก” พูดจบ มิ่งก็หันไปเรียกลูกสาว “ศรีแพรเอ๊ย เอาผ้าทอที่เจ้าเก็บไว้มาให้คุณท่านดูหน่อยลูก เอามาทั้งหมดเลยหนา จะได้มีให้คุณท่านเลือกหลายๆ ผืน” 

เรียกลูกสาวเสร็จมิ่งก็หันมายิ้มให้ชายหนุ่ม 

“จ้ะพ่อ” เสียงขานรับดังขึ้น ไม่นานลูกสาวพ่อมิ่งก็เดินออกมาจากห้อง พร้อมด้วยห่อผ้าที่คาดว่าน่าจะมีผ้าไหมเนื้อดีอยู่ในนั้น

หญิงสาวนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นพ่อ เธอเป็นคนแกะห่อผ้านั้นเองกับมือ จากนั้นก็หยิบผ้าแต่ละผืนวางเรียงกันให้ผู้ซื้อเลือกได้ง่ายๆ ในเวลานั้นเอง พฤกษ์ค่อยๆ เลือกผ้าทีละผืนสลับกับมองหญิงสาว 

ผ้าไหมว่างามแล้ว แต่ยังไม่งามเท่าลูกสาวพ่อมิ่งซึ่งเป็นผู้ทอผืนผ้าเหล่านี้ออกมาด้วยความวิจิตรประณีต 

พฤกษ์เองก็เคยได้ยินเสียงเล่าลือมาบ้างว่า ศรีแพรลูกสาวพ่อมิ่งนั้นเป็นสาวสะพรั่งงดงาม แต่ก็ไม่คิดว่าจะงามตรึงตาตรึงใจถึงเพียงนี้ เขาลอบมองหญิงสาวตั้งแต่เธอเดินมาแต่ไกล จนเมื่อศรีแพรเดินมาใกล้ๆ และได้เห็นสีหน้าบึ้งตึงของเธอแล้วก็ยิ่งนึกเอ็นดู เนื่องจากพฤกษ์รู้ว่าศรีแพรเป็นกำพร้า แม่ของเธอเสียชีวิตจากการถูกงูฉกตั้งแต่เธอยังเด็ก ทำให้พ่อมิ่งทั้งรักทั้งหวง อีกทั้งยังตามใจไม่ดุว่าแม้จะทำหน้าบึ้งใส่ลูกค้าก็ตาม

แม่หญิงตรงหน้ามีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นและใบหน้าที่งามสะดุดตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตากลมโตราวกับดวงตาของลูกกวางป่า ทำให้พฤกษ์เผลอจับจ้องจนเกือบลืมเลือกซื้อผ้า ผิวพรรณของหญิงสาวขาวผุดผ่องงามจับตา ขับกับสไบสีแดงเข้มที่เธอห่ม แน่นอนว่าขณะนี้พฤกษ์ไม่ได้มองผ้า เนื่องจากไม่อาจจะละสายตาจากพวงแก้มแดงระเรื่อที่มีเลือดฝาดเปล่งปลั่งสมวัยสาวสะพรั่งได้ เขาทำทีเป็นหยิบผ้าแต่ละผืนขึ้นมาดู พลิกไปมาด้วยท่าทางอ้อยอิ่ง ยื้อเวลาให้ศรีแพรนั่งอยู่ตรงนี้ให้นานอีกสักหน่อย

“ผืนนั้นไม่ขายเจ้าค่ะ ดิฉันจะเก็บไว้ใช้เอง” น้ำเสียงแว่วหวานนั้นขัดกับใบหน้าอันงอง้ำของหญิงสาว เมื่อถูกผู้เป็นพ่อบอกให้นำผ้าไหมทั้งหมดที่ทอได้มาให้ลูกค้าได้ดูและเลือกซื้อ แต่ลูกค้าเจ้ากรรมดันเลือกหยิบผืนเดียวกับที่เธอหมายตาเอาไว้ ด้วยอยากจะเก็บไว้เป็นผ้านุ่งสำหรับงานบุญสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงนี้

“ผ้านุ่งของเจ้ามีมากมายหลายหีบแล้วหนาศรีแพร ผืนนี้ขายให้คุณท่านไปก่อนเถิด คุณท่านต้องใช้ในงานสำคัญ” พ่อมิ่งทำเสียงตำหนิลูกสาว พร้อมกับหันมายิ้มแหยๆ ให้พฤกษ์ด้วยท่าทางเกรงใจ

“แต่ว่าลูกตั้งใจทอผืนนี้ไว้ใช้เองนี่จ๊ะ อีกอย่าง ผ้าก็ยังมีให้เลือกอีกตั้งหลายผืน พ่อก็ให้คุณท่านซื้อผืนอื่นแทนสิจ๊ะ” พูดแล้วก็ค้อนขวับใส่ ‘คุณท่าน’ พร้อมกับหยิบผ้าผืนดังกล่าวมาแอบไว้ข้างตัว

“แต่ฉันถูกใจผ้าผืนนั้น” พฤกษ์พูดพร้อมกับยิ้มอารมณ์ดีที่ได้พูดคุยกับศรีแพรเป็นครั้งแรก แม้การพบกันครั้งนี้จะมีเหตุทำให้หญิงสาวขุ่นข้องใจ แต่อย่างน้อยก็ได้พูดคุยกันแล้ว

“ดิฉันก็บอกคุณท่านไปแล้วนะเจ้าคะ ว่าผืนนี้ดิฉันไม่ขายเจ้าค่ะ” ศรีแพรพูดกับชายหนุ่ม มันช่างน่าโมโหเสียจริงที่เธอทั้งยืนกรานทั้งชักสีหน้าขนาดนี้ คุณท่านผู้นี้ก็ยังจะยิ้มอยู่ได้ 

 “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะให้ราคาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจากผ้าผืนอื่นๆ ว่าอย่างไร จะขายหรือไม่ขาย” พฤกษ์ต่อรองอย่างไม่ยอมลดละ เขาทั้งเอ็นดูทั้งสงสารคนขี้หวงที่คงจะอยากได้ผ้าผืนนี้ไว้ใช้จริงๆ แต่จะให้ยอมแพ้ ซื้อผ้าผืนอื่นไปแทนก็คงจะหมดสนุก เขายังอยากแกล้งยั่วหญิงสาวอีกสักนิด อยากนั่งมองศรีแพรทำหน้างอใส่ต่ออีกสักหน่อย อย่างน้อยก็ยืดเวลาให้เขาได้มองเธออีกสักครู่หนึ่ง

“ไม่ขายเจ้าค่ะ เท่าไหร่ก็ไม่ขาย”

“เจ้าจะหวงไว้ทำไมเล่าศรีแพร เอามาขายให้คุณท่านประเดี๋ยวนี้ แล้วค่อยทอเอาใหม่” มิ่งพูดกดดันลูกสาว

“แต่ว่าลูกชอบผ้าผืนนี้มากนี่จ๊ะพ่อ ต่อให้ทอเอาใหม่ได้ มันก็ไม่ใช่ผ้าผืนนี้”

“แต่ว่าคุณท่านให้ราคาถึงสองเท่าเชียวหนา”

“สองเท่าลูกก็ไม่ขายเจ้าค่ะ”

“สามเท่า”

“ว่าอย่างไรนะขอรับคุณท่าน” มิ่งถามชายหนุ่มอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“ฉันให้ราคาผ้าผืนนั้นสามเท่าจากราคาผ้าผืนอื่นๆ แล้วก็ขอซื้อผ้าทุกผืนที่พ่อมิ่งมีด้วย หากพ่อมิ่งไม่ขายผ้าผืนนั้นให้ ฉันก็จะไม่ซื้อผ้าผืนอื่น ว่าอย่างไรเล่า จะขายหรือไม่ขาย” 

ประโยคหลังนั้นพฤกษ์ตั้งใจจะถามศรีแพรมากกว่าจะถามมิ่ง

“ไม่...”

“ขายขอรับ ขาย!”

“โธ่พ่อ...” ศรีแพรทำเสียงโอดครวญ ลำพังแค่ผ้าผืนเดียวเธอก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์มากนัก แต่ที่เธอยืนกรานที่จะไม่ขายนั้นก็เพราะว่าอยากเอาชนะมากกว่า แต่กลับกลายเป็นว่าวันนี้แม้แต่ผู้เป็นพ่อก็ไม่เข้าข้างเธอ

“เจ้าอย่าดื้อนักเลยหนา เห็นไหมว่าคุณท่านให้ราคาถึงสามเท่า อีกทั้งยังซื้อผ้าทุกผืนที่เรามีอีกต่างหาก เจ้าคิดว่าผ้าทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้ขายกี่เดือนกี่ปีกว่าจะหมดรึ ศรีแพร” 

ในที่สุดพฤกษ์ก็ได้ครอบครองผ้าผืนนั้นเป็นผลสำเร็จ พร้อมกับผ้าไหมหลายผืนที่พ่อมิ่งจัดการขนไปไว้ในเรือของพฤกษ์ด้วยตัวเอง โดยมีลูกสาวช่วยนับเพื่อคิดเงินให้ครบตามจำนวน

“ผ้าไหมที่คุณท่านซื้อ เอาลงเรือครบหมดแล้วเจ้าค่ะ”

“เรียกพี่ว่าพี่พฤกษ์เถิด”

“เจ้าคะ” ศรีแพรละสายตาจากกองผ้าไหมบนเรือเพื่อหันไปมองหน้าคุณท่านที่ขณะนี้มองเธอพร้อมกับยิ้มจนดวงตาเป็นประกาย 

แม้จะยังรู้สึกเคืองชายหนุ่มที่มาแย่งผ้าผืนโปรดไป แต่รอยยิ้มที่เขามอบให้นั้นบ่งบอกถึงความเป็นมิตรมากกว่าที่จะตั้งตัวเป็นศัตรู อีกอย่าง พฤกษ์เองก็ทำตามที่เขาพูด คือซื้อผ้าไหมทั้งหมดที่ศรีแพรมี หากเธอยอมขายผ้าผืนนั้นให้ นั่นก็หมายความว่า พฤกษ์เป็นลูกค้าชั้นดีที่เธอควรจะรักษามารยาทกับเขาให้มากหน่อย

“อย่าเรียกพี่ว่าคุณท่านเลย พี่เป็นเพียงผู้ติดตามรับใช้ท่านเจ้าเมืองเท่านั้น มิได้เป็นท่านหมื่นท่านขุนเสียหน่อย”

“เจ้าค่ะ”

“แค่เจ้าค่ะเองรึ” พฤกษ์ทำเสียงตัดพ้อ

“แล้วจะให้ดิฉันพูดว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

“ก็เรียกพี่ว่าพี่พฤกษ์อย่างไรเล่า”

“เหตุใดต้องเรียกอีกเล่าเจ้าคะ”

“ก็เพราะพี่จะกลับแล้วน่ะสิ”

“ก็กลับไปสิเจ้าคะ”

“โธ่ พี่กลัวเจ้าลืมชื่อพี่  เรียกพี่ว่าพี่พฤกษ์ให้ได้ยินสักนิดเถิดหนา” ชายหนุ่มทำเสียงออดอ้อน

“เจ้าค่ะ พี่พฤกษ์” 

เมื่อได้ยินคำเรียกขานตามที่ต้องการจะได้ยินแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างด้วยหัวใจที่พองโตคับอก รอยยิ้มนั้นทำให้สองพวงแก้มของสาววัยแรกแย้มแดงระเรื่อขึ้น

“ดิฉันขอตัวขึ้นเรือนก่อนนะเจ้าคะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะที่มาอุดหนุน” พูดจบหญิงสาวก็ทำท่าจะหันหลังให้ แต่ยังไม่ทันจะก้าวเดินไปไหน พฤกษ์ก็ร้องเรียกเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิแม่ศรีแพร”

“เจ้าคะ” ศรีแพรหันกลับไปหาพฤกษ์อีกครั้ง พร้อมกับมองร่างสูงที่เดินไปหยิบอะไรบางอย่างบนเรือแล้วนำของสิ่งนั้นมายื่นให้เธอ

“ผ้าผืนนี้ที่เจ้าอยากได้ พี่ยกให้เจ้า”

“แต่ว่าผ้าผืนนี้พี่พฤกษ์ซื้อไปในราคาที่แพงกว่าผืนอื่นๆ ถึงสามเท่าเชียวนะเจ้าคะ เหตุใดจึงนำมามอบให้ดิฉัน พี่พฤกษ์ไม่ได้อยากได้ผ้าผืนนี้ไปฝากแม่หญิงที่หมายตาเอาไว้หรอกหรือเจ้าคะ” 

พฤกษ์ได้ยินแล้วก็ยิ้มกริ่ม เนื่องจากศรีแพรเดาได้ถูกต้องทีเดียวว่า เขาอยากได้ผ้าผืนนี้ไปให้หญิงที่หมายตาเอาไว้

“เช่นนั้น พี่จึงอยากมอบให้เจ้า เก็บผ้าผืนนี้ไว้เถิดหนา งานบุญสงกรานต์นี้จะได้มีผ้านุ่งงามๆ ใส่ หวังว่าวันมหาสงกรานต์พี่จะเห็นเจ้านุ่งผ้าผืนนี้ไปทำบุญที่วัดนะ แม่ศรีแพร” 

พฤกษ์ยื่นผ้าให้ ศรีแพรจึงยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม พร้อมกับตอบรับคำนัดหมายกลายๆ

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ดิฉันจะนุ่งผ้าผืนนี้ไปทำบุญที่วัดอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

“ทำบุญที่วัดตอนเช้า ตอนค่ำมีก่อเจดีย์ทราย พี่จะมารับเจ้าไปด้วยกันได้หรือไม่”

“ดิฉันต้องถามพ่อก่อนเจ้าค่ะ ว่าให้ไปเที่ยวงานวัดตอนกลางคืนได้หรือไม่”

“พ่อเจ้าคงหวงเจ้ามากสินะ”

“พ่อเป็นห่วงมากกว่าเจ้าค่ะ ดิฉันกับพ่อมีกันอยู่แค่สองคนเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นพี่คงต้องมาหาพ่อมิ่งบ่อยๆ เสียแล้ว พ่อมิ่งจะได้ไม่มองว่าพี่เป็นคนอื่นคนไกล”

“ก็สุดแล้วแต่พี่พฤกษ์สิเจ้าคะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับก้มหน้าหลบสายตา ช่างไม่รู้เลยว่ากิริยานั้นช่างน่ามองเหลือเกิน

“พี่กลับก่อนนะศรีแพร ไว้พี่จะมาหาอีก”

“มาซื้อผ้าไหมรึเจ้าคะ หากว่าเป็นเช่นนั้นคงต้องรออีกนาน กว่าดิฉันจะทอผืนใหม่เสร็จ เพราะพี่พฤกษ์ซื้อผ้าทั้งหมดที่มีของดิฉันไปแล้ว” หญิงสาวรีบบอก เพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะมาเสียเที่ยว

“ไม่มีผ้าให้ซื้อก็มาหาคนทอผ้าแทนไม่ได้รึ”

“ก็สุดแล้วแต่พี่พฤกษ์สิเจ้าคะ” 

เสียงหัวเราะทุ้มหวานดังขึ้น พฤกษ์จึงถูกหญิงสาวค้อนให้วงใหญ่ 

“ศรีแพร! ส่งคุณท่านเสร็จหรือยัง หากเสร็จแล้วก็รีบกลับขึ้นเรือนได้แล้ว!” เสียงเข้มแผดดังมาจากบนเรือน เป็นพ่อมิ่งที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ตรงชานบ้าน

“จ้ะพ่อ ศรีแพรจะขึ้นเรือนเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ” 

ขานตอบผู้เป็นพ่อแล้วศรีแพรก็หันมายิ้มให้พฤกษ์แทนคำกล่าวลา จากนั้นก็เดินกลับไปทางเรือนโดยมีชายหนุ่มยืนมองเธอเดินห่างออกไปจากท่าน้ำ จนกระทั่งศรีแพรเดินขึ้นเรือนจนลับตาไป

 

ผ้าไหมหลายผืนถูกนำมาวางเรียงรายให้แม่ผกา มาลี และมาลาได้เลือกหยิบ ในขณะที่ทั้งสามเลือกผ้านุ่งกันอยู่นั้น แม่ผกาก็หันมาถามลูกชายด้วยความสงสัย

“วันนี้มันวันอะไรกันหนอ ร้อยวันพันปี ลูกชายของแม่ไม่เคยคิดจะซื้อผ้าผ่อนมาฝากแม่กับน้องๆ ผ้าไหมพวกนี้มันสำคัญอย่างไรรึพ่อพฤกษ์”

“ไม่มีอันใดหรอกขอรับคุณแม่ ลูกเพียงแค่ได้รับมอบหมายจากท่านเจ้าเมืองให้ไปหาซื้อผ้าไหมไปให้ภริยาท่านทูตจากเมืองจีน แล้วเห็นว่าผ้าไหมของเรือนพ่อมิ่งสวยงามน่าใช้ ลูกจึงนึกถึงคุณแม่กับน้องๆ”

“แต่นึกถึงจนซื้อมามากมายถึงเพียงนี้ เห็นทีที่เรือนพ่อมิ่งต้องมีอะไรดีๆ นอกจากผ้าไหมเป็นแน่ จริงไหมเจ้าคะคุณแม่ จริงไหมจ๊ะพี่มาลี” มาลาตั้งข้อสังเกต

“เจ้าอย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลยหนามาลา เลือกผ้าผืนที่ถูกใจได้หรือยัง หากเลือกได้แล้วพี่ขอแบ่งย่ามที่เจ้าเย็บเอาไว้ขายให้พวกแม่หญิงสักใบจะได้หรือไม่”

“ย่ามที่มาลาเย็บเอาไว้เป็นย่ามที่พวกแม่หญิงเขาใช้กัน พี่พฤกษ์จะเอาไปทำอันใดรึเจ้าคะ” 

มาลาถามด้วยความสงสัย เนื่องจากย่ามที่พฤกษ์ถามถึงนั้นเป็นย่ามที่กำลังเป็นที่นิยมใช้กันของเหล่าแม่หญิงลูกเศรษฐีในเมืองแม่กลอง เนื่องด้วยขนาดของย่ามนี้กะทัดรัด เหมาะสำหรับแม่หญิงเอวบางร่างน้อย ใช้คล้องแขนหรือสะพายที่หัวไหล่ ตัวย่ามถูกตัดเย็บอย่างประณีตจากการนำผ้าฝ้ายมาบุจนเป็นชั้นหนา ทำให้ตัวย่ามดูมีรูปทรงไม่ห่อย้วย หุ้มด้วยผ้าไหมเนื้อดี ปักลวดลายวิจิตรสวยงาม 

มาลาเป็นผู้คิดค้นย่ามชนิดนี้ออกมาเป็นคนแรก เนื่องจากเธอเห็นว่าตะกร้าสานที่มีไว้ใส่ของนั้นใหญ่เทอะทะ อีกทั้งสีสันก็ไม่สดใส หญิงสาวจึงเย็บย่ามชนิดนี้ขึ้นมาใช้ ยามเดินไปไหนมาไหนก็สะพายใบที่สีเข้ากับสไบที่ห่ม เมื่อแม่หญิงคนอื่นๆ เห็นเข้าก็นึกอยากได้บ้าง มาลาจึงเย็บย่ามเหล่านี้ออกมาขาย ซึ่งไม่ว่าจะตั้งราคาสูงเท่าใด ย่ามที่มาลาเย็บขายก็มีแม่หญิงมาขอซื้อไปจนหมด

“พี่มีเหตุให้ต้องใช้ก็แล้วกัน อย่าถามให้มากความนักเลย” พฤกษ์แกล้งทำหน้าดุ แต่เก็บอาการเขินอายเอาไว้ไม่อยู่

“เจ้าค่ะพี่พฤกษ์ น้องจะนำย่ามที่งามที่สุดที่น้องเย็บได้มอบให้พี่พฤกษ์เลยเจ้าค่ะ ให้สมกับที่พี่พฤกษ์อุตส่าห์ซื้อผ้าไหมมาฝากน้อง” มาลาพูดพร้อมกับหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับแม่และพี่สาว สื่อสารกันทางสายตาว่าพี่ชายคงจะอยากได้ย่ามงามๆ ไปฝากสาวที่หมายตาเป็นแน่

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น