10

กลวิธีที่ 10 เล่นกับไฟ

กลวิธีที่ 10 

เล่นกับไฟ

 

“หรือใครมั่นใจว่าร้องเพลงได้เพราะกว่าฉัน ก็ลองค้านมาดู”   

เมลิซซาเข้าไปแย่งไมโครโฟน พลางผลักหลังเหมรัชต์ให้กลับเข้าไปนั่งที่ ทว่าตอนจะหันกายเดินไปหน้าห้องกลับถูกคว้าหมับเข้าที่ต้นแขน

“เมลิซซา…”

เธอไม่ปล่อยให้เจ้าของมือคีมเหล็กได้อ้าปากพูด ปลดแขนออกจากการจับกุมขณะกระซิบลอดไรฟันด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณได้ขอบคุณฉันแน่”

หญิงสาวลากเก้าอี้เลื่อนไปด้านหน้า นั่งไขว่ห้างพิมพ์ชื่อเพลงในตำนานอย่าง Crazy in Love” ของ Beyoncé เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการเรียบร้อยจึงหมุนเก้าอี้กลับมาเผชิญหน้ากับคนในห้อง แต่ก็ไม่ลืมเอียงสะโพกบิดไปด้านข้างเพื่อไม่ให้ผู้ชายหลายคนหัวใจวายตายเสียก่อน

“รบกวนไม่ถ่ายคลิปลงโซเชียลนะคะ เพราะฉันตั้งใจร้องแค่ที่นี่เท่านั้น” 

ทันทีที่ทำนองเพลงดังขึ้น ร่างระหงพลันแอ่นกายเล็กน้อย ทิ้งศีรษะไปด้านหลังคล้ายดื่มจนเมามาย ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มแผ่กระจายทั่วแผ่นหลัง ขณะที่รองเท้าส้นเข็มสีแดงสดค่อยๆ ไล้ไปตามขาเรียวยาวข้างหนึ่งอย่างยั่วยวน ชายกระโปรงที่สั้นอยู่แล้วยิ่งร่นขึ้นสูงอย่างหมิ่นเหม่จนผู้ชมแทบลืมหายใจ

ตั้งแต่เริ่มต้น…ดวงตากลมโตวาววับก็จับจ้องอยู่ที่คนเพียงผู้เดียว

 

I look and stare so deep in your eyes (ฉันได้แต่จ้องมองลึกลงไปในดวงตาของคุณ)
I touch on you more and more every time (ฉันสัมผัสร่างกายของคุณมากกว่าเดิมในทุกครั้ง)
When you leave I'm beggin' you not to go (ตอนที่คุณจะจากไปฉันก็อ้อนวอนให้อยู่ต่อ)
Call your name two, three times in a row (ร้องเรียกชื่อของคุณซ้ำไปซ้ำมา)
Such a funny thing for me to try to explain (น่าตลกดีนะสำหรับที่ฉันพยายามจะอธิบาย)
How I'm feeling and my pride is the one to blame (ถึงความรู้สึกและความหยิ่งทะนงของฉันที่เป็นตัวต้นเหตุ)
Yeah, cause I know I don't understand (ใช่ เพราะฉันรู้ดีว่าตัวฉันไม่เข้าใจอะไรเลย)
Just how your love can do what no one else can (ว่าเพราะอะไรความรักของคุณถึงทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครทำได้ด้วยซ้ำ)

 

Got me lookin' so crazy right now (มันทำให้ฉันเป็นบ้าไปแล้วตอนนี้)
Your love's got me lookin' so crazy right now (ความรักของคุณทำให้ฉันลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว)
Got me lookin' so crazy right now your touch's (สัมผัสของคุณมันทำให้ฉันเสียสติไปแล้วตอนนี้)
Got me lookin' so crazy right now (มันทำให้ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้)
Got me hoping you page me right now your kiss's (จูบของคุณมันทำให้ฉันฟุ้งซ่านไปว่าคุณต้องการฉัน)
Got me hoping you save me right now (ทำให้ฉันวาดหวังไปเองว่าคุณจะช่วยฉุดรั้งฉันขึ้นมาได้)
Lookin' so crazy your love's got me lookin' (มันดูบ้าดีนะ ความรักของคุณทำให้ฉันเป็นบ้า)
Got me lookin' so crazy your love (ทำให้ฉันเสียสติไปกับความรักของคุณ)

 

เสียงปรบมือโห่ร้องเมื่อเพลงจบ ชายหนุ่มหลายคนยังตกอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อนเมื่อถูกมองค้อนจากคู่ของตน

“คุณเมลิซซา! ผมว่าคุณไปเป็นนักร้องได้เลยนะครับ!”

“จริงด้วยค่ะคุณเมลิซซา ฉันเคยไปดูคอนเสิร์ตของนักร้องอี้ เธอยังทำได้ไม่ดีเท่าคุณ” หญิงสาวคนหนึ่งพยักหน้าสนับสนุน ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกันการแสดงเมื่อครู่ยังทำเอาร้อนฉ่าไปทั้งตัว

“ในเมื่อฉันอุตส่าห์ตั้งใจร้องขนาดนี้ ต้องขอดูคนอื่นๆ แล้วค่ะว่าจะมีใครล้มฉันได้ไหม” เมลิซซายักไหล่ยอมรับ ไม่คิดจะถ่อมตัวเลยสักนิด ทว่าท่าทางเช่นนี้กลับเรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงได้มากกว่าปกติ

“หยามกันแบบนี้ต้องรับคำท้า!”

ห้องคาราโอเกะเปลี่ยนเป็นสนามประลอง โดยมีผู้ท้าชิงออกไปถือไมโครโฟนร้องเพลงด้วยจิตใจฮึกเหิม ไม่นานบรรยากาศก็กลับมาสู่ความสนุกสนานอีกครั้ง ลืมเรื่องขุ่นหมองก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น 

เมลิซซากลับมานั่งที่เพื่อกันไม่ให้คนอื่นสงสัย เมื่อเห็นว่าผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำ อาศัยจังหวะที่เดินผ่านแผ่นหลังแข็งเกร็งของ ‘ลูกหนี้’ ก้มลงกระซิบข้างใบหูเย็นเฉียบแผ่วเบา 

“ออกมาเจอกันข้างนอกหน่อยค่ะ”

 

เหรียญมีสองด้านฉันใด ร้านคาราโอเกะก็มีสองด้านฉันนั้น หากเทียบกับด้านในที่อึกทึกไปด้วยเสียงดนตรีหลากหลายแนว ด้านหลังร้านออกจะเงียบเชียบจนผิดปกติด้วยซ้ำ 

เมลิซซายืนฮัมเพลงขณะแหงนหน้ามองผืนฟ้าสีเข้มใจกลางเมืองทันสมัยไม่มีวันหลับอย่างเช่นฮ่องกง แสงดาวกระจ้อยร่อยคงไม่อาจสู้แสงเจิดจ้าจากตึกสูงและเสาไฟได้ ทว่าดวงดาวก็ยังเป็นดวงดาวอยู่วันยังค่ำ ถูกสร้างสรรค์โดยธรรมชาติ มีพลังงานเข้มข้นบางอย่างและมีเสน่ห์เหลือล้นในตัวของมันเอง นั่นทำให้มันมีคุณค่ามากกว่าของที่ถูกปั้นแต่งโดยฝีมือมนุษย์ ไม่มีเหตุผลที่เธอจะไม่อยากไขว่คว้าของพิเศษเช่นนี้มาไว้ในอุ้งมือ

เหมรัชต์เดินมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน นัยน์ตาสีสนิมถูกสะกดไว้ชั่วครู่ เขาพิจารณาใบหน้าละมุนจากมุมข้าง มองลำคอขาวเนียน ก่อนจะไล่สายตาไปยังเรือนร่างที่ทำให้หัวใจเต้นแรง เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มสูญเสียการควบคุมจึงพยายามสะบัดไล่ความคิดเหลวไหลในหัว ทั้งยังสูดหายใจเพื่อตั้งสติ ก่อนเอ่ยถามเข้าประเด็น

“ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรถึงได้เรียกผมออกมา” 

“ไม่มีธุระอะไรค่ะ ฉันเบื่อเสียงดัง แล้วก็อยากคุยกับคุณแค่สองต่อสอง เหตุผลแค่นี้พอจะฟังขึ้นไหม” หญิงสาวละสายตาจากท้องฟ้ามายังผู้มาใหม่ เธอไม่เสียเวลาเล่นแง่ กล่าวความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา

คนถูกมองรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะวางมือตรงไหนก็เหมือนจะผิดที่ผิดทางไปหมด อีกทั้งลำคอยังแห้งผากขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล เขาไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกแปลกพิกลนี้เท่าใด จึงเบือนหน้าหนีจากดวงตาสีน้ำตาลเข้มอย่างมีพิรุธ

“เรื่องข้างใน…ขอบคุณที่ช่วยออกหน้าแทน”

“ฉันสงสัยมากกว่า ถ้าคุณไม่ชอบสถานที่แบบนี้แล้วเสนอตัวมาทำไม หรือสนใจที่คุณซิวอาสาเป็นพ่อสื่อจับคู่ แต่บอกได้เลยตรงนี้ว่าฉันไม่ยกคุณให้ใครหรอกนะ”

“ผมไม่เข้าใจว่าคุณจะตามติดผมทำไมนักหนา คุณรู้รึเปล่าว่ามันน่าอึดอัดแค่ไหน หรือผมปฏิเสธชัดเจนขนาดนี้มันยังไม่มากพอให้คุณคิดได้ด้วยตัวเอง” คิ้วเข้มของผู้ฟังขมวดแน่น การเผชิญหน้ากับตุ๊กตาล้มลุกชวนให้หงุดหงิดใจมากกว่าต้องออกไปร้องเพลงอย่างเทียบไม่ติด 

“ไม่มีทางที่คุณจะไม่เข้าใจ คุณแค่ไม่ยอมรับมันต่างหาก” 

“ผมไม่เข้าใจ”

“คุณเข้าใจ กล้าๆ หน่อยสิคะ แค่เผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองมันยากนักเหรอ” 

“ผมไม่เข้าใจ และไม่ว่าคุณจะรู้สึกอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับผมเลยสักนิด”

“เกี่ยวสิ มันเกี่ยวกับคุณโดยตรง ฉันพูดชัดเจนขนาดนี้ แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ หรือคุณจะบอกว่าคุณไม่รู้ว่าฉันรู้สึกยังไงกับคุณ” เมลิซซาเองก็ขมวดคิ้ว พลันร้อนวูบไปทั้งหน้า ทั้งนี้มันไม่ได้มาจากความขวยเขิน แต่มาจากความโกรธที่พวยพุ่งปุดๆ เหมือนภูเขาไฟกำลังปะทุ

“เรื่องในวันนี้ผมต้องหาวิธีตอบแทนแน่นอน คุณไม่ต้องห่วง” 

“ฉันดูเหมือนคนที่อยากได้ของตอบแทนเหรอคะ” หญิงสาวแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ คำตอบแบบขอไปทียิ่งทำให้เธอหายใจแรง หากให้เปรียบเทียบก็เหมือนเธอยื่นชาชั้นดีให้ใครสักคน คนคนนั้นก็รับไปแบบไม่อิดออด ทว่าสุดท้ายกลับนำชาถ้วยนั้นมาสาดใส่หน้าเธอ พร้อมทั้งอุทานว่า ‘เอ๊ะ! ในถ้วยชานี้มีน้ำด้วยเหรอ ผมคิดว่าเป็นถ้วยเปล่าซะอีก’

“ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน” เหมรัชต์ไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต พูดจบก็หันหลังเดินออกมาทันที ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้รังเกียจช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตุ๊กตาล้มลุกสองต่อสอง แต่เขาแค่รู้สึกว่ามันไม่ควร…โดยเฉพาะทุกครั้งที่สบดวงตากลมโตคู่นั้น เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย

“ฉันไม่ให้คุณไป!”

“…”

“หยุดนะเหมรัชต์!”

“…”

“ฉันชอบคุณ!”

เสียงตะโกนไล่หลังทำเอาผู้ฟังชะงักฝีเท้า ส่วนหนึ่งของสมองสั่งให้รีบหนีออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ทว่าร่างกายกลับทรยศคำสั่ง หันกลับไปหาคนที่ยืนห่างออกไปด้วยสีหน้ากึ่งตายด้าน 

“คุณเมลิซซา อย่าล้อเล่นเลย” 

“ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันรู้ว่ามันเร็วไปที่จะพูดคำนี้ แต่ฉันก็ชอบคุณไปแล้ว” 

“…”

“ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้รังเกียจฉัน ดังนั้นตอนนี้คุณอาจจะยังไม่ชอบฉันในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่ฉันเป็นคนดีนะ ฉันทำงานเก่งด้วย ฉันดูแลตัวเองได้ ฉันไม่สร้างปัญหา ดังนั้นให้โอกาสฉันสักครั้งได้ไหม”

“ผมไม่เหมาะกับคุณหรอก” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้าเบาๆ เขารู้สภาพตัวเองดี รู้ฐานะของตัวเองดี รู้กระทั่งว่าคนอื่นมองมาด้วยแววตาสมเพชแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่ควรดึงใครให้มาเหนื่อยใจกับปัญหาของเขา

“ทำไม คนอย่างฉันมันทำไม คนอย่างฉันไม่ดีตรงไหน คนอย่างฉันทำอะไรผิด คุณที่ยังไม่ได้รู้จักตัวตนของฉันถึงได้เอาแต่ปฏิเสธฉันอยู่ร่ำไป” เมลิซซาก้าวฉับๆ เข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว บนใบหน้าไม่ปรากฏอาการเขินอายจากการสารภาพความรู้สึกแม้แต่เศษเสี้ยว มีเพียงความสงสัยอันเข้มข้นฉายชัดผ่านดวงตาเคลือบหยาดน้ำบางเบา 

“ผมไม่เหมาะกับคุณ”

“เหมาะหรือไม่เหมาะใครตัดสิน ใจของฉันเลือกเองได้ คุณเงยหน้าถามฉันสิ!”

“ผมแค่ไม่เหมาะกับคุณ”

“เหมรัชต์! คุณเลิกพูดแบบนี้สักทีได้ไหม!” คนถูกปฏิเสธจวนเจียนจะกรีดร้อง กำมือทั้งสองข้างแน่นจนทั้งร่างสั่นเทิ้ม นานมาแล้วที่ไม่ได้สัมผัสถึงแรงโทสะมากมายขนาดนี้ 

เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ การชอบใครสักคนเธอก็ไม่ได้วาดฝันว่าจะสมหวังร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจะปฏิเสธกันเธอก็ไม่ว่า แต่เธอแค่อยากได้ยินคำตอบที่มาจากใจจริง ไม่ใช่ทุกครั้งที่เธอเข้ามาใกล้ก็เอาแต่หลบตา สรรหาเหตุผลหลักลอยมาอ้างไปเรื่อย

“ผมพูดความจริง ผมไม่เหมาะกับคุณ ไม่แม้แต่นิดเดียว”

“งั้นก็มองหน้าฉันแล้วพูดว่าคุณไม่ชอบฉัน ปฏิเสธมาตรงๆ เลย!”

“ผม…ไม่ได้ชอบคุณ” คนถูกคาดคั้นยังเลือกที่จะมองความว่างเปล่ามากกว่าสบตาคู่สนทนา ไฉนจะรู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์

พลั่ก!

“โกหก! โกหก! โกหก!” เมลิซซากระชากปกเสื้อเชิ้ต ก่อนจะผลักร่างสูงเข้าใส่ผนัง แรงมากพอที่คนโดนกระแทกจะขมวดคิ้วและหันกลับมามองเธอด้วยแววตาตื่นตระหนก

“ฉันไม่เชื่อ!” 

หญิงสาวอาศัยจังหวะนั้นประทับริมฝีปากอุ่นร้อนเข้าไปที่ริมฝีปากบางเฉียบทันที เธอย่อมรู้ว่าเรี่ยวแรงของตนไม่อาจสู้เรี่ยวแรงบุรุษ จึงได้แต่เบียดร่างเข้าชิดต่างกรงขัง มือทั้งสองข้างบังคับสันกรามคมชัดให้อยู่กับที่ ก่อนจะเอียงหน้ามอบจุมพิตดูดดื่มให้ ‘คนปากแข็ง’ ที่ทำเอาเธอหัวเสียตลอดทั้งวัน 

เหมรัชต์ตัวเกร็ง สองมือบีบไหล่เล็กอย่างแรงจนอีกฝ่ายครางอื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะเอาลิ้นเล็กๆ มาดันฟันของเขาให้เผยอขึ้น และเมื่อเขาพยายามจะดันร่างบางออก อีกฝ่ายกลับกัดริมฝีปากของเขาเป็นตัวประกัน หากเขาฝืนออกแรงมากกว่านี้จะต้องเลือดทะลักมากกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย

คนถูกขโมยจูบเลิกต่อต้าน ยืนนิ่งประดุจหุ่นฟางไร้ชีวิต เพียงหลุบตามองเจ้าของลมหายใจหอมกรุ่นที่กำลังช้อนตามองเขาเช่นกัน ไม่นานตุ๊กตาล้มลุกก็ทำใจได้แล้วว่าคงไม่อาจรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวเข้ามาได้ สุดท้ายก็ยกธงขาว ค่อยๆ ผละออกอย่างเชื่องช้า

“เหมรัชต์ คุณเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดมาก ฉันจริงใจกับคุณขนาดนี้ แม้แต่ปฏิเสธฉันอย่างตรงไปตรงมาคุณก็ทำไม่ได้” หยาดน้ำเม็ดกลมเอ่อทะลักดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ถึงจะสะกดกลั้นอย่างไรก็ไม่อาจเก็บเสียงสะอื้นได้ทั้งหมด 

“หลังจากนี้ต่อไปอีกสิบปี ยี่สิบปี คุณจะต้องเสียใจที่พลาดโอกาสจากฉัน และถ้าฉันได้บังเอิญเจอคุณอีกรอบ ฉันจะหัวเราะเยาะคุณให้เสียงดังลั่นฟ้าเลยคอยดู”

“ผมบอกแล้วว่าผมไม่เหมาะกับคุณ” เหมรัชต์ก้มมองขนตาหนาเป็นแพ มองปลายจมูกแดงก่ำ มองริมฝีปากอวบอิ่มแดงฉานที่ไม่รู้ว่ามาจากเลือดของใคร เท่านี้ก็มากพอที่จะทำลายตรรกะในสมองจนหมดสิ้น 

แม้จะพยายามห้ามความรู้สึกสักแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อเพลี่ยงพล้ำก็ถูกความต้องการลึกๆ ครอบงำจิตใจอย่างง่ายดาย

“ใช่! คนอย่างคุณไม่คู่ควรกับฉัน คนอย่างคุณควรอยู่คนเดียวไปจนตาย!” 

หมับ

ความโหยหาไร้ที่มาพลุ่งพล่านในอก อยู่ๆ แขนแข็งแรงก็รวบร่างบางที่กำลังเดินหนีเข้ามาหาตัว ก้มหน้าลงเพื่อให้หญิงสาวในอ้อมกอด ‘ลงโทษ’ ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเผยอปากเล็กน้อยเป็นเชิงสัญลักษณ์

“ถ้าคุณคิดแบบนี้ได้ตั้งแต่แรก คงไม่ต้องมาเสียเวลากับผมอยู่ตรงนี้” 

เมลิซซาตื่นตระหนกเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็เข้าใจ ‘การเชื้อเชิญ’ จากนัยน์ตาเข้มจัด อารมณ์เดือดพล่านเมื่อครู่ค่อยๆ สงบลง พลันเอื้อมมือไปถอดแว่นเกะกะมาไว้ในมือ ออกแรงบีบจนได้ยินเสียงหักดังแกร๊ก ก่อนจะปล่อยทิ้งลงพื้นเหมือนของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง 

“คนขี้ขลาด คนโง่ คนโลภมาก ถ้าไม่ชอบฉันก็ผลักฉันออกไปสิ” เธอลูบไล้ข้างแก้มที่เริ่มปรากฏตอหนวดสั้นๆ ก่อนจะค่อยๆ จิกปลายเล็บลากมาถึงต้นคอหนา ตั้งแต่ต้นจนจบ…นัยน์ตาสีสนิมไม่ได้เบือนหนีจากเธอเลยสักนิด

“จะปฏิเสธใครสักคนมันไม่ใช่แค่คำพูด แต่ต้องรวมไปถึงร่างกายของคุณด้วย” 

หญิงสาวจุมพิตริมฝีปากบาง เอนกายซบร่างหนาประหนึ่งต้องการที่พักพิง ครั้งนี้ปลายลิ้นอ่อนนุ่มทั้งสองเกี่ยวพันกันแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น วาบหวามเสียจนแทบละลายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในตัวของเขา 

เหมรัชต์อาจไม่ใช่ผู้ชายที่จูบเก่งที่สุด แต่ ‘รสชาติ’ ของเขาหอมหวานที่สุด ตอนแรกเธอเป็นฝ่ายหยอกเย้า โดยที่เขาตามทันบ้างไม่ทันบ้าง จนกระทั่งเขาเริ่มเรียนรู้ว่าควรจะตอบสนองยังไง พลันเป็นฝ่ายพลิกกายดันแผ่นหลังของเธอเข้ากับผนังเย็นเฉียบ

พลั่ก!

เหมรัชต์โถมน้ำหนักทั้งหมดไปที่ร่างบาง ดันเข่าแทรกกลางเรียวขาขาวอย่างไม่ยอมให้หนีไปไหน ร่างสูงบดเบียดแนบชิดเนื้อตัวอ่อนนุ่มเสียจนแม้แต่อากาศก็ไม่อาจลอดผ่าน ขณะใช้มือหยาบกระด้างดันปลายคางมนให้เชิดรับสัมผัสได้ถนัดถนี่ยิ่งขึ้น เลียนแบบทุกการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง 

ปลายลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัด สูดกลิ่นอายเจือแอลกอฮอล์ผสมกับการดื่มด่ำรสชาติปนสนิมเลือดซึ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งโพรงปาก ผลัดกันแย่งชิงลมหายใจอย่างไม่มีใครยอมใคร 

กระทั่งผ่านไปหลายนาที…กลับกลายเป็นว่าคนเริ่มต้นได้แต่จิกสีข้างตึงแน่นเพื่อบรรเทาความทรมานจากอากาศที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พยายามจะขยับหนี กลับถูกมือร้อนฉ่าจับเข้าที่สะโพก พร้อมทั้งดันร่างของเธอให้สัมผัสกับไฟรุ่มร้อนที่ถูกปลุกขึ้น เขาไม่ลังเลที่จะปิดบังความต้องการ ไม่ลังเลที่จะบอกผ่านร่างกายว่าเขาต้องการบางอย่างที่มากยิ่งกว่า ซึ่งหากเป็นที่ลับตาคน…เกรงว่าคงเลยเถิดไปไกล 

“อื้อ” คนถูกรุกไล่ส่งเสียงในลำคอ พลางเบี่ยงหน้าหนีจากสัมผัสวาบหวิวก่อนที่จะเข่าอ่อนไปเสียก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือด้วยการยอมถอนจุมพิตกลับไปแต่โดยดี

เมลิซซาเหนื่อยหอบ มือที่จับต้นคอหนาเปลี่ยนมาขยุ้มปกเสื้อเพื่อยืนทรงตัว ช่วงจังหวะที่แยกออกจากกัน…ของเหลวสีใสพลันเอ่อล้นจากมุมปาก เธอทำท่าจะใช้หลังมือเช็ด กลับถูกรวบข้อมือข้างนั้นตรึงเข้ากับผนัง พลันช้อนตามองด้วยความสงสัย 

 “เรื่องในห้อง ผมต้องตอบแทนคุณยังไงดี บอกผมมาสิ” เสียงทุ้มกระซิบถามผะแผ่ว ก่อนที่อวัยวะอ่อนนุ่มสีชมพูอ่อนจะเข้าไปไล้เลียทำความสะอาดของหวานตรงหน้า 

ดวงตากลมโตได้แต่เบิกกว้าง ตั้งแต่ใบหน้าจนถึงลำคอไม่มีส่วนไหนไม่แดงก่ำ แต่ก็ยังอุตส่าห์ให้คำตอบอย่างตะกุกตะกัก “มะ...ไม่เป็นไรค่ะ”

“ไม่เป็นไรไม่ได้ คุณอุตส่าห์ทุ่มเทถึงขนาดนั้น” 

พอนึกไปถึงการแสดงที่ห้องคาราโอเกะ แขนที่โอบร่างบางพลางรัดแน่นขึ้นมากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า เส้นผม ร่างกาย แม้กระทั่งน้ำเสียงที่ใช้ร้องเพลง ล้วนแล้วแต่เพิ่มความหงุดหงิดได้อย่างไม่มีเหตุผล

“ยังไงพรุ่งนี้คุณก็ต้องกลับไทยแล้ว ไว้มาฮ่องกงครั้งหน้าค่อยว่ากันเถอะค่ะ”

นัยน์ตาสีสนิมของผู้ฟังวาววับ ขณะกระซิบชิดริมฝีปากที่ยังปรากฏเลือดซิบตามรอยปริแตก “นานเกินไป”

“ฉันว่า…กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ” เมลิซซารีบยกมือปิดริมฝีปากร้อนฉ่าที่ไม่ยอมละออกจากใบหน้าเสียที พลางผลักร่างหนักให้ออกห่างจากตัว ทั้งยังแสร้งมองซ้ายมองขวาไปเรื่อย ไม่กล้าเงยหน้าสบนัยน์ตาสีเข้มแม้แต่นิดเดียว   

“พวกเราหายออกมานาน ถ้าให้คนออกมาตามหาคงไม่ดี” ไม่เพียงแค่ยกเหตุผลมาอ้าง แต่ยังค้อมกายมุดหนีจากกำแพงตระหง่าน เรดาร์รักษาความปลอดภัยกำลังส่งสัญญาณเตือนว่าเธอไปยุ่งกับสิ่งที่ไม่ควรเสียแล้ว

หมับ 

“เมลิซซา…” มือหนาคว้าแขนเล็กอย่างไม่ยอมให้หนี ร่างสูงเข้าไปแนบชิดคนตัวเล็กกว่าจากด้านหลัง ก่อนจะก้มหน้ากระซิบเสียงแผ่วข้างใบหูให้ได้ยินกันสองคน 

“คืนนี้ผมเป็นของคุณ”

“…”

“รังเกียจที่ผมจะตอบแทนด้วยวิธีนี้รึเปล่า”

 

เมลิซซาและเหมรัชต์กลับเข้ามาในห้อง โชคดีที่ทุกคนยังสนุกสนานไปกับการร้องเพลง ส่วนใหญ่จึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของคนที่ ‘บังเอิญ’ ลุกออกไปเข้าห้องน้ำพร้อมกันเกือบครึ่งชั่วโมง

แต่ไม่ใช่สำหรับนักวิจัยฉือและโซเฟีย

ริมฝีปากบวมเจ่อของเมลิซซาเด่นสะดุดตามาก มีร่องรอยปริแตกคล้ายถูกขบกัดอย่างแรง ผมที่มัดรวบไว้หลุดลุ่ยยุ่งเหยิง และเมื่อหันไปพิจารณาชายหนุ่มอีกคนก็พบว่าริมฝีปากบางเฉียบของเขาอยู่ในสภาพเละเทะยิ่งกว่า รอยแตกยังมีเลือดซิบออกมาเป็นระยะๆ แต่ที่แย่ไปกว่านั้น แว่นตาของเขาอยู่ในสภาพบิดเบี้ยว เอียงกระเท่เร่อยู่บนดั้งโด่งสูง ปกเสื้อยับยู่ยี่ และที่ลำคอยังปรากฏรอยแดงสี่เส้นลากยาวเป็นสาย 

หากไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาก็คงมองออกว่าการไปทำธุระส่วนตัวของทั้งคู่คงดุเดือดไม่น้อย…

นักวิจัยฉือกระดกเบียร์ย้อมใจเมื่อตระหนักว่าภารกิจพิชิตใจสาวของตนล่มไม่เป็นท่า เขาย่อมเสียดายที่พลาดโอกาสทำคะแนน แต่ก็ไม่นึกเจ็บแค้นเพื่อนร่วมงานชาวไทยที่ชิงปาดหน้าคนที่ตนเองหมายปอง เขาพอจะรู้ตั้งแต่แรกว่าฝ่ายหญิงไม่ได้สนใจในตัวเขา เพราะไม่ว่าจะแอบมองตอนไหน ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นก็จับจ้องอยู่ที่เหมรัชต์ตลอด

เมลิซซาสลับที่นั่งกับโซเฟียเรียบร้อย กลายมาเป็นคู่นั่งของเหมรัชต์เต็มตัว เธอเท้าคางหัวเราะเสียงใส หยีตามองคนที่กำลังจัดทรงแว่นให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะชะโงกตัวไปจิ้มปลายจมูกโด่งเบาๆ เพื่อให้เขาเงยหน้าขึ้นมาสนใจเธอบ้าง

“มองออกไหมคะว่ากี่นิ้ว” นิ้วเรียวกรีดกรายไปมาราวกับร่ายเวทมนตร์ ทั้งยังขยับซ้ายขวาเร็วๆ จนแม้แต่ตนเองยังแทบมองตามไม่ทัน 

คนถูกถามเลิกคิ้ว เขาสายตาสั้น ไม่ได้ตาบอด เห็นอยู่ทนโท่ว่ามือเล็กๆ นั่นหุบนิ้วกลางกับนิ้วนางลงเป็นสัญลักษณ์ ‘I love you’ 

“สองนิ้ว” ทว่าเขาก็แกล้งตอบผิด เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะเฉลยยังไง 

“โอ๊ะ! ถูกด้วยค่ะ แสดงว่าต่อให้ไม่มีแว่นตาก็ไม่มีปัญหา งั้นไม่ต้องใส่ก็ได้เนอะ” หญิงสาวเอื้อมมือไปยึดแว่นตามาโยนใส่กระเป๋า ไม่สนใจเสียงประท้วงจากคนสายตาสั้นเลยสักนิด   

“นี่คุณโกหกผมอยู่รึเปล่า” 

“อย่าใส่ร้ายกันสิคะ ถ้าไม่ใช่สองนิ้ว งั้นคุณมองเห็นเป็นอะไร ไหนลองทำให้ดูหน่อย” 

เหมรัชต์หรี่ตามองเจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหัวเราะในลำคอขณะเอ่ยถามหยั่งเชิง “แน่ใจนะว่าอยากให้ผมทำให้ดู” 

“งั้นไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ เกิดคุณชูนิ้วกลางให้ฉันล่ะแย่เลย ฉันยิ่งขวัญอ่อนอยู่ด้วย ฮ่าๆๆ” 

โซเฟียลอบมองชายหญิงที่กำลังหยอกเย้ากันมาไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฝ่ายชาย...เขาไม่ได้น่าเบื่อเหมือนตอนแรก ดูเหมือนเวลาที่หายไปครึ่งชั่วโมงจะเปลี่ยนให้เขาเป็นผู้ชายน่าสนใจคนหนึ่ง 

เธอพึ่งจะมาสังเกตใบหน้านั้นให้ชัดๆ อันที่จริงเหมรัชต์หล่อเหลาคมคายมาก นัยน์ตาเรียวยาวคู่นั้นหรี่ลง ฉายความนัยในแบบฉบับผู้ชายมองผู้หญิง ประเด็นสำคัญ…ทุกการกระทำของเขาชวนให้ใจสั่นไปซะหมด แม้กระทั่งตอนนี้ที่มือหนาข้างหนึ่งกำลังปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนเพื่อบรรเทาความร้อน พอรวมกับรอยเล็บที่ตีตราประทับบนต้นคอแข็งแรงทำเอาเธอลอบกลืนน้ำลายด้วยความเสียดาย 

“ผมพึ่งรู้ว่าคุณใช้คางกิน” เหมรัชต์ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ตุ๊กตาล้มลุกที่กลายร่างเป็นผีตะกละเรียบร้อย มือข้างหนึ่งถือบาร์บิคิวไม้ใหญ่ ส่วนมืออีกข้างถือกระป๋องน้ำอัดลมกระดกอึกๆ  

“มือไม่ว่าง เช็ดให้หน่อยสิคะ” 

“ผมมองเห็นไม่ชัด” 

“งั้นเช็ดทั้งหน้าไปเลยค่ะ ต่อให้ไม่มีเครื่องสำอางฉันก็ยังสวยอยู่ดี เพราะฉันมาส์กหน้าด้วยน้ำมันสกัดจากกุหลาบบนเทือกเขาแอลป์ทุกคืน บวกกับเพราะคุณสายตาสั้นด้วย” 

“…” คนฟังทั้งระอาใจทั้งขำขัน แต่ก็ก้มหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ พลางเช็ดคราบเปื้อนออกให้อย่างเบามือ 

ในที่สุดโซเฟียก็ทนเห็นภาพสนิทสนมระหว่างคนทั้งสองไม่ไหว มันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของผู้หญิงล้วนๆ เธอคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้หญิงประเภทสวยแต่รูปจูบไม่หอมอยู่หลายขุม อีกอย่างที่ตรงนั้นมันควรจะเป็นของเธอแท้ๆ ทุกคนในคาราโอเกะก็รู้ดี มันใช่เรื่องที่ควรถูกเด็กเมื่อวานซืนแย่งไปต่อหน้าต่อตางั้นเหรอ ทำไมเธอต้องยอมให้คนที่ไม่มีอะไรเทียบเธอได้ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาด้วย

หญิงสาวไม่รอจังหวะ ทันทีที่ตัดสินใจได้ก็โพล่งถามออกไปทันที 

“คุณเหมรัชต์คะ หลังจากคาราโอเกะเลิก…จะเป็นการรบกวนไหมถ้าฉันจะขอติดรถกลับด้วย”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น