5

กลวิธีที่ 5 เสน่ห์ที่ไม่ใช่แค่เพียงรูปลักษณ์

กลวิธีที่ 

เสน่ห์ที่ไม่ใช่แค่เพียงรูปลักษณ์

 

ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดประชุมสรุปผลงานในไตรมาสแรก ตัวแทนสาขาจากหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มารวมตัวกันอย่างพร้อมพรั่งก่อนเวลานัดหมาย แต่ละคนนั่งตามป้ายชื่อที่จัดไว้ โดยตำแหน่งที่นั่งวัดจาก ‘ตัวเลข’ ในแต่ละปี สาขาไหนที่ทำผลงานออกมาดีย่อมได้รับสิทธิ์อยู่ใกล้ชิดท่านประธานใหญ่ อีกทั้งยังมีโอกาสได้รับการเซ็นอนุมัติงบประมาณมหาศาลสำหรับโครงการวิจัยต่างๆ เกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ 

ถึงจะเป็นอภิสิทธิ์พิเศษที่น่าดึงดูด แต่ส่วนใหญ่ก็ถอดใจไปเรียบร้อย เพราะสองสามปีมานี้ตำแหน่งที่นั่งฝั่งขวามือของท่านประธานกลายเป็นที่ประจำของตัวแทนจากสาขาประเทศไทย และดูเหมือนจะพุ่งทะยานขึ้นสูงเรื่อยๆ จนยากที่จะสั่นคลอน จะเรียกว่าพยัคฆ์ติดปีกก็คงไม่เกินจริง

คนในห้องประชุมกระซิบกระซาบ ลอบเหลือบมองเจ้าของเครื่องแต่งกายเชยแสนเชยเป็นระยะที่ไม่ว่าจะโผล่มาครั้งไหนเสื้อผ้าหน้าผมก็ไม่เคยไปในทิศทางเดียวกัน

ปกติชายหนุ่มเจ้าของชื่อ ‘เหมรัชต์’ มักจะลุยเดี่ยวเสมอ ทว่าปีนี้มาแปลก...ที่นั่งสำหรับผู้ติดตามด้านหลังถูกจับจองโดยพนักงานหน้าใหม่ที่ไม่ใช่แค่สวยเกินจับต้องเพียงอย่างเดียว แต่ยังนำบุคลิก ‘แพง’ ติดตัวมาด้วย ซึ่งขัดแย้งกับชายหนุ่มจากประเทศไทยราวกับมาคนละงาน

หญิงสาวคนดังกล่าวสวมเดรสสูทสั้นสีดำไร้ลวดลาย เพิ่มลูกเล่นด้วยการต่อปลายแขนยาวด้วยผ้าลูกไม้สีขาว ทั้งยังสวมเครื่องประดับอย่างสร้อยคอและต่างหูสีทองเข้าชุดกัน เปลี่ยนความเรียบง่ายให้ดูโดดเด่นขึ้นหลายเท่า 

เครื่องแต่งกายช่วยส่งเสริมคนได้ก็จริงอยู่ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเรื่องของกิริยามารยาท และหญิงสาวผู้นั้นแสดงออกได้อย่างไร้ที่ติ ไม่ว่าขยับกาย ยิ้มแย้ม เสยผม หรือแม้กระทั่งนั่งอยู่นิ่งๆ ทุกอย่างกลมกล่อมลงตัวราวกับผ่านการครุ่นคิดมาเป็นอย่างดี จึงไม่แปลกที่ผู้ชายหลายคนจะเริ่มรู้สึกอิจฉาคนน่าเบื่ออย่างเหมรัชต์ พานทำให้ผู้หญิงด้วยกันส่งสายตาทิ่มแทงคนที่เอาแต่นั่งยิ้มมุมปากด้วยความหมั่นไส้ 

แน่นอนว่าเมลิซซาไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจเป็นที่เรียบร้อย เพราะเธอมัวแต่มองแผ่นหลังตระหง่านและลำคอตั้งตรงของชายหนุ่มเบื้องหน้า เขาที่กำลังสาละวนอยู่กับแท็บเล็ตเครื่องบางที่เธอให้ยืม

ก่อนจะเข้ามาห้องประชุม อยู่ๆ แลปทอปของเขาก็จอดับแบบไม่มีสาเหตุ จะมัวเสียเวลาซ่อมก็คงไม่ทันการ เธอเลยเสนอความช่วยเหลือให้ด้วยความเต็มใจ โชคดีที่เขาสำรองไฟล์ข้อมูลไว้ทุกช่องทาง ดังนั้นการเปลี่ยนอุปกรณ์กะทันหันจึงไม่ใช่ปัญหา 

หญิงสาวไม่ลืมที่จะล็อกเอาต์จากแอกเคานต์ส่วนตัว ไม่หลงเหลืออะไรที่จะบอกได้ว่าเจ้าของเครื่องชื่อ‘เมลิซซา อู๋’ ส่วนในอัลบัมรูปถ่ายก็มีแต่พวกแบบผ้าชนิดต่างๆ หรือไม่ก็ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวงการแฟชั่น ผู้หญิงกับความสวยความงามเป็นของคู่กัน เธอไม่คิดว่าเขาจะสงสัยอะไร หรือจะพูดให้ถูก...ต้องบอกว่าเขาใช้แค่แอปพลิเคชันที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเธอสักนิด 

เป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก

อันที่จริงเธอแอบรู้สึกผิดเล็กน้อยที่โกหกเรื่องฐานะของตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอไม่จริงใจกับเขา หากเขารู้ว่าเธอเป็นใคร เชื่อว่าการปฏิบัติและการวางตัวของเขาที่มีต่อเธอคงเปลี่ยนแปลงไปในอีกระดับ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ เธอหวังให้เขารักษาความเป็นธรรมชาติ เป็นตัวของตัวเองเหมือนที่เขากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ 

เป็นคุณหนูอู๋มาทั้งชีวิตไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่บางครั้งเป็นแค่ ‘เมลิซซา’ ดูบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายไม่ใช่เหรอ 

เหมรัชต์ไม่มีทางไม่รู้ตัว ตั้งแต่เข้ามาในห้องประชุมเขาก็รู้สึกหวิวๆ ที่ท้ายทอยตลอดเวลา พลันนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องรับรองเล็ก ต่อให้เขาจับคนถ้ำมองได้คาหนังคาเขา คนร้ายก็เอาแต่ยิ้มรับ ไม่แสดงอาการกระดากอายหรือหลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย หรือเขาลองจ้องตากลับเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกของการถูกคุกคามทางสายตา แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

นี่มันเรื่องอาเพศอะไรกัน

“ท่านประธานใหญ่” 

คนในห้องลุกพึ่บพั่บกล่าวทักทายบุรุษผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของซุนเป่ากรุ๊ป แต่ก็รู้ดีว่าหัวเรือใหญ่ผู้นี้ให้ความสำคัญกับผลงานมากกว่าการประจบสอพลอ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ร่างองอาจจะเดินผ่านทุกคนไปยังตำแหน่งหัวโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมเอาโดยไม่เหลือบมองใครเป็นพิเศษ

เมลิซซายิ้มแป้นแล้นกว่าเดิม ไม่หลบดวงตาดุดันที่กำลังตำหนิติเตียน เธอตั้งใจถือเอกสารการประชุมขึ้นมาระดับอก แสดงความบริสุทธิ์ใจว่ามา ‘นั่งเล่น’ แบบได้ความรู้ ไม่มีทางก่อกวนหรือสร้างปัญหาใดๆ เด็ดขาด 

ปีเตอร์ เหวิน และเหล่าผู้บริหารที่เกี่ยวข้องนั่งทางแถวฝั่งซ้าย ทุกคนมีสีหน้านิ่งสงบเหมือนไม่มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่การประชุมครั้งนี้มีคนแปลกหน้าโผล่มาทั้งคน

“ขอต้อนรับทุกท่าน ดิฉันเชื่อว่าทุกท่านคงได้อ่านวาระการประชุมกันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นดิฉันขอเริ่มต้นด้วย...” หนึ่งในพนักงานของซุนเป่ากรุ๊ปไม่เสียเวลาแต่ละวินาทีโดยเปล่าประโยชน์ กล่าวเปิดประเด็นอย่างฉับไว เพียงไม่นานก็ทวีความร้อนแรงของการประชุมขึ้นเรื่อยๆ 

พึ่งเริ่มต้นแค่ครึ่งชั่วโมงแรกเท่านั้น…

เมลิซซานึกทึ่ง ดวงตาที่โตอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นไปอีก นี่เป็นการเปิดโลกใบใหม่โดยสิ้นเชิง การประชุมของบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ต่างอะไรจากสนามรบ พวกเขาใช้ไหวพริบต่างโล่ ปากคมกริบต่างอาวุธ และตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอคือกำลังทหาร ตัดสินกันด้วยสามอย่างเท่านั้น สตูดิโอเล็กๆ ที่มีพนักงานไม่ถึงสามสิบคนของเธอไม่อาจเทียบเคียงความยิ่งใหญ่นี้ได้เลย 

จากแรกเริ่มที่เอาแต่จดจ้องเจ้าของแผ่นหลังกว้างอย่างเดียว ไม่นานความสนใจของทายาทตระกูลอู๋ก็ย้ายไปยังภาพยนตร์สงครามด้านหน้า จริงอยู่ที่ส่วนใหญ่เธอฟังไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะศัพท์ทางเทคนิคด้านโลจิสติกส์ ทว่าก็ยังมองตัวเลขมหาศาลด้วยความตื่นตะลึง มองการพลิกแพลงและการขัดแข้งขาของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าทำงานใต้ร่มต้นไม้ใหญ่เดียวกัน ต่างแค่แตกกิ่งก้านกันไปคนละสาขา ทุกคนทุ่มเทสุดตัว สู้กันแบบไม่มีอะไรจะเสีย เพียงเพื่อแลกกับการได้เห็นผู้นำสูงสุดพยักหน้าพอใจเล็กน้อย

“…ผมจะแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดครับ” ตัวแทนสาขาจากเวียดนามกล่าวทั้งสีหน้าซีดเผือด กราฟผลประกอบการที่ปรากฏบนหน้าจอดิ่งลงจากไตรมาสที่แล้วหลายจุด ท่านประธานใหญ่ของซุนเป่ากรุ๊ปไม่กล่าวอะไร เพียงใช้แววตาเย็นเยียบดุดันแทนการตำหนิ แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้คนถูกจ้องก้มหน้าต่ำอย่างไม่กล้าสบตา 

เมลิซซาไม่เคยรู้มาก่อนว่าบิดาจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ แต่ถามว่าเธอกลัวไหม…ก็ยังไม่กลัวอยู่ดี 

เธอพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใด เลลาห์ เฉิน ถึงเยือกเย็นปานนั้น ที่แท้ก็เลียนแบบมาจากคุณลุงเฉินนั่นเอง หากไม่ใช่เรื่องของคนในครอบครัว ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด ถึงจะอายุเท่ากัน แต่ความเยือกเย็นของเพื่อนนำหน้าเธอไปหลายขุม ไหนจะนิสัยกล้าเสี่ยงกล้าแลกกับทุกอย่างเพื่อผลลัพธ์ที่ต้องการ เพราะเหตุนี้จึงก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ผู้บริหารตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ โดยไร้ข้อกังขา

เปลวไฟพลันลุกโชนในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

คนที่เอาแต่ประกาศปาวๆ ว่าไม่มีทางสืบทอดเจตนารมณ์ของบิดาตั้งใจฟัง คิดวิเคราะห์ตาม และประมวลผลในสมองว่าเธอจะเอาองค์ความรู้พวกนี้ไปต่อยอดอะไรกับแบรนด์เสื้อผ้าเล็กกระจิ๋วหลิวของตนเองได้บ้าง ไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางเอาจริงเอาจังตกอยู่ภายใต้สายตาคมกริบของผู้มีอำนาจสูงสุดตั้งแต่เริ่มต้น 

“...นี่คือตัวเลขผลตอบแทนการลงทุนของสาขาประเทศไทย เฉลี่ยถึง 93.91% ต่อปี แต่ผมคิดว่าเราสามารถทำให้ตัวเลขเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ได้ ดังนั้นผมขอเสนอให้มีการพัฒนาโครงการวิจัยเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า OSR-02 ที่จะทำให้พวกเราเพิ่มขีดจำกัดในการจัดระเบียบโกดังสินค้ามากกว่าเดิม ยิ่งเราลดต้นทุนได้มากเท่าไหร่ กำไรที่จะได้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น” เหมรัชต์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะเลื่อนสไลด์นำเสนอโครงการวิจัยที่เตรียมมาแก่ทุกคนในที่ประชุม ต่อให้ถูกคัดค้านระหว่างการนำเสนออยู่เนืองๆ แต่สีหน้าสุขุมของเขาก็ไม่แปรเปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว 

“ถึงสาขาประเทศไทยจะเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีให้แก่เครือบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาสามปีติด แต่หลักฐานก็อยู่ในมือของทุกท่าน นอกจากสาขาประเทศไทยที่สามารถรักษาตัวเลขคงที่เอาไว้ได้ แต่สาขาประเทศอื่นๆ กลับได้รับผลกระทบ พลอยฉุดยอดรวมของทางฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ลดน้อยลงไปด้วย นั่นแปลว่าสาขาประเทศไทยนึกถึงแค่ผลประโยชน์ของตัวเองฝ่ายเดียว ไม่สนใจภาพรวม ดังนั้นผมขอโหวตไม่เห็นชอบกับโครงการ OSR-02 และขอเสนอว่าควรเปิดโอกาสให้คนอื่นได้แสดงศักยภาพบ้าง” 

ตัวแทนสาขามาเลเซียคัดค้าน เขาเป็นหนุ่มไฟแรงอายุสามสิบปลายๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในอันดับหนึ่งมาตลอด จวบจนวันที่สาขาประเทศไทยส่งเจ้าหนุ่มแว่นมาเป็นตัวแทน เขาก็ไม่เคยได้ขึ้นที่หนึ่งอีกเลย

หากไม่เคยได้สัมผัสสายตาชื่นชมก็แล้วไป แต่ในเมื่อคนเคยได้รับมาแล้ว การต้องตกเป็นรองคนที่มาทีหลังและถูกอีกฝ่ายกดหัวซ้ำๆ นับเป็นหนึ่งในความอัปยศใจอย่างยิ่ง 

“ผมเห็นชอบกับตัวแทนสาขาประเทศมาเลเซีย” ตัวแทนสาขาเวียดนามร่วมผสมโรง เขาเองก็รอเสียงค้านมานาน

“แต่ผมเห็นชอบกับตัวแทนสาขาประเทศไทย โครงการวิจัยก่อนหน้านี้ของเขาได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ตัวเลขผลตอบแทนการลงทุนของสาขาประเทศลาวเพิ่มขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์” 

“ดิฉันโหวตเห็นชอบกับตัวแทนสาขาประเทศไทยค่ะ กลุ่มผู้บริหารของสิงคโปร์ก็พอใจกับโครงการวิจัยเทคโนโลยีก่อนหน้านี้” 

“ไม่เห็นชอบ...”

“เห็นชอบ...”

ภายในห้องเต็มไปด้วยการยกเหตุผลและหลักฐานมาถกเถียงอย่างถึงพริกถึงขิง แต่เมื่อฟังดูแล้วก็พบว่าไม่มีใครผิดใครถูก เพียงแค่ผลประโยชน์ไม่ตรงกันก็เท่านั้น

โครงการวิจัยหมายถึงการได้ถือครองงบประมาณมหาศาล…ใครกันจะไม่อยากได้

เมลิซซาเหล่มองเหล่าผู้บริหารของซุนเป่ากรุ๊ป ทุกคนนั่งนิ่งไม่กล่าวอะไร ปล่อยให้ตัวแทนสาขาแต่ละประเทศคานอำนาจกันเอง เธออดสงสารเหมรัชต์ไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมตัวมาดีตั้งแต่เริ่มต้น แต่ดูเหมือนจะขัดหูขัดตาคนอื่นไม่น้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มพลันย้ายจากความชุลมุนไปยังผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด ก็พบว่าบิดากำลังมองเธออยู่เช่นกัน 

หญิงสาวค้นความทรงจำในอดีต ต่อให้เธอสอบได้ลำดับหนึ่งของชั้นเรียน หรือชนะทุกสนามแข่งขันที่ก้าวลงแข่ง เธอมักจะได้รับคำเตือนเสมอว่าเลขหนึ่งมันน่ากลัว วันใดที่เธอหยุดนิ่งอยู่กับที่ เลขสอง สาม สี่ พร้อมจะแซงหน้าได้เสมอ และเมื่อคนพวกนั้นเหยียบศีรษะเธอขึ้นไปได้แล้ว เธออาจจะไม่เหลือแรงกำลัง หรือแม้กระทั่งชีวิตไว้ท้าชิงสนามต่อไปก็ได้ 

ตอนยังเด็กเธอไม่เข้าใจ แต่เมื่อมานั่งตรงจุดนี้...เห็นภาพรวมได้ชัดเจนทีเดียว 

ความสงสารของเมลิซซาลดน้อยลง พยายามเข้าใจมุมมองของโลกธุรกิจให้มากขึ้น หากอ่อนแอถึงเพียงนั้นก็มีแต่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ โลกแห่งกำไรและขาดทุนไหนเลยจะมีที่ว่างให้สัตว์กินพืชไม่มีเขี้ยวเล็บ

และที่สำคัญเธออยากจะรู้เหลือเกินว่า ผู้ชาย ‘เรียบง่าย’ อย่างเหมรัชต์จะทำยังไงต่อไป หรือจะยืนนิ่งเป็นรูปปั้นให้คนอื่นลูบศีรษะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเธอคงผิดหวังมาก…

เหมรัชต์รับฟังความคิดเห็นอย่างใจเย็น แม้ว่าจะถูกใครบางคนสรรหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาเลื่อยขาเก้าอี้ก็ตาม มีเพียงแววตานุ่มลึกราวกับผืนทะเลทอดมองปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายกระเสือกกระสนไม่มีที่สิ้นสุด  

“ไม่คิดว่าสาขาประเทศไทยจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ หรือพวกคุณถือหลักนโยบายจำพวกเอาตัวรอดฝ่ายเดียว สาขาอื่นจะเป็นจะตายยังไงก็ช่างมัน ภาพรวมไม่สนใจแล้วสินะ” ตัวแทนสาขามาเลเซียสบประมาทคนที่เอาแต่นิ่งเงียบ 

“ผมคิดว่าสาขาประเทศไทยไม่เห็นคนที่นี่อยู่ในสายตามากกว่า หลายปีมานี้ถึงได้ส่งพนักงานธรรมดามาเป็นตัวแทนเข้าประชุม แทนที่จะเป็นผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ พอไม่มีใครทักท้วงก็ไม่รู้จักปรับปรุง เป็นการให้ความร่วมมือที่ประเสริฐเสียจริง” ตัวแทนสาขาเวียดนามหัวเราะเยาะ หากนับกันตามตำแหน่งและความเหมาะสม นี่ควรเป็นการประชุมกันระหว่างผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ของแต่ละประเทศ ไม่ใช่ที่ที่พนักงานกระจอกควรมาเสนอหน้า 

เป็นเรื่องแปลกเหมือนกันที่เจ้าหนุ่มแว่นรับหน้าที่เข้าประชุมแทนผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์มาหลายปี แต่กลับไม่ได้เลื่อนตำแหน่งใดๆ ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบันเป็นเพียงพนักงานตำแหน่งธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

“สรุปพวกคุณข้องใจกับเรื่องหยุมหยิมมากกว่าแผนการพัฒนาในอนาคตงั้นเหรอครับ” เหมรัชต์ตัดบท สีหน้าสุขุมของเขาไม่แปรเปลี่ยนสักนิด

“ตราบใดที่โครงการวิจัยของสาขาประเทศไทยสามารถสร้างผลประโยชน์ให้ซุนเป่ากรุ๊ป ผมไม่คิดว่าข้ออ้างอะไรจะฟังขึ้น เห็นได้ชัดว่าการปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญ แต่ละประเทศควรหาทางอุดรอยรั่วของตัวเองให้ดี ไม่เช่นนั้นก็จะยังรั้งท้ายต่อไปเรื่อยๆ”

“ไม่คิดเหรอว่ารอยรั่วที่เกิดขึ้นมันมาจากโครงการวิจัยอันไร้ประสิทธิภาพของคุณ” ตัวแทนจากเวียดนามยังคงกล่าวโทษอย่างไม่ยอมลดราวาศอก 

“แบบนี้จะโทษว่าเป็นความผิดที่สาขาประเทศไทยวิ่งเร็วเกินไป หรือเป็นความผิดที่พวกคุณไร้ความสามารถในการไล่ตามกันแน่” 

ประโยคดูหมิ่นดังกล่าวทำเอาทั้งห้องเงียบกริบทันที การตอบสนองของผู้ฟังแตกต่างกันออกไป บางคนก็หน้าแดงเพราะความโมโห บางคนก็พยักหน้าเห็นด้วย บางคนก็ก้มหน้ารับสภาพ 

เมลิซซาขมวดคิ้ว ก่อนจะปรากฏรอยยิ้มประดับมุมปาก

เธอเคยมองว่าเขาเชย โบราณ เป็นผู้ชายไม่น่าสนใจ อยู่คนละระดับกับเธอโดยสิ้นเชิง แต่ความจองหองที่เขากำลังแสดงอยู่ตอนนี้ทำเอาหัวใจของเธอเต้นแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะประโยคตอกฝาโลงปิดการประชุมของเขา 

“ขอฝากเอาไว้เพื่อพิจารณาต่อไปแล้วกันนะครับว่าที่ผมพูดมันเป็นความจริงหรือเปล่า ถ้าพวกคุณเห็นด้วยผมก็ยินดี แต่ถ้าไม่เห็นด้วย...ก็ก้าวขึ้นมาแทนที่สาขาประเทศไทยให้ได้ อย่าลืมใช้ความสามารถทางสมองมากกว่าความสามารถทางปาก และถ้าพวกคุณทำสำเร็จ…ผมมั่นใจว่าคำพูดของพวกคุณจะมีน้ำหนักมากขึ้น”

พนักงานธรรมดาหนึ่งคน…รุกฆาตผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์หลายคนในครั้งเดียว 

เมลิซซามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของท่านประธานใหญ่แห่งซุนเป่ากรุ๊ป สงบนิ่งจนไม่อาจคาดเดาอารมณ์ ไม่ว่าใครก็ยากจะอ่านความคิดได้ แต่เธอคือบุตรสาว…ทายาทเพียงคนเดียวที่มีเลือดเข้มข้นอยู่ในร่าง ไฉนจะสัมผัสไม่ได้ว่าในความสงบนิ่งนั้นเต็มไปด้วยความพอใจอย่างหาได้ยากยิ่ง  

บิดาเคยปรามาสว่าผู้ชายที่เข้าหาเธอส่วนหนึ่งก็เพราะผลประโยชน์ของแซ่อู๋เหมือนกัน เช่นนั้นจะต่างอะไรกับการเกี่ยวดองที่ครอบครัวจัดเตรียมให้ ทว่าเมื่อเจอเหมรัชต์...คืนนั้นเธอเป็นแค่คนที่ตัวเปื้อนคราบอาเจียน ไม่มีของมีค่าติดตัวเลยสักอย่าง แม้แต่สติก็แทบไม่มีเหลือ แต่น่าแปลกที่เธอกลับรู้สึกเป็นตัวเอง อยากเจรจากับนาซ่าเพื่อหยุดพระอาทิตย์ไม่ให้ขึ้น ณ ขอบฟ้า อยากนั่งอยู่ตรงนั้นกับเขาไปเรื่อยๆ

หลายเดือนมานี้เมลิซซาตกตะกอนความคิดบางอย่าง แน่นอนว่าเปลือกนอกก็ควรนำมาพิจารณา แต่เรื่องของจิตใจใช่สิ่งที่ควรมองข้ามเหรอ? เธอต้องการคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ นั่งจิบกาแฟรสชาติไม่ได้เรื่องกับเธอได้ มองตาเธอที่เป็น ‘ตัวเธอ’ ไม่ใช่เธอที่อยู่ในฐานะคุณหนูอู๋ แต่ถึงจะต้องการแบบนั้น สถานะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดใช่ว่าจะสลัดพ้น 

วันนี้เธอเข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่า ‘เหมาะสม’ คนที่จะอยู่เคียงข้างเธอได้ไม่อาจเป็นแค่ผู้ชายดาษดื่นที่จมอยู่กับคำว่ารักใคร่ แต่เขายังต้องมีความสามารถมากพอที่จะทำให้บิดาของเธอพยักหน้ายอมรับ 

เมลิซซาไม่เคยเชื่อเรื่องจำพวกเจ้าหญิงเจ้าชาย รักแรกพบเพียงสบตา จนกระทั่งวินาทีนี้ ทุกอย่างที่เธอต้องการอยู่ที่ผู้ชายธรรมดาแสนธรรมดาคนหนึ่ง เพราะเหตุนั้น...เขาควรต้องรับผิดชอบผลของการกระทำด้วย

นับตั้งแต่วันนี้ไป เธอคือ ‘เมลิซซา เซี่ย’ พนักงานออฟฟิศธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่คุณหนูแห่งตระกูลอู๋ เธออยากจะรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงธรรมดาจะเอาชนะผู้ชายอย่างเหมรัชต์ได้หรือไม่ และตราบใดที่เธอไม่ได้หัวใจของเขามาไว้ในกำมือ เธอไม่มีทางหยุดอย่างแน่นอน

เธออยากได้ผู้ชายคนนี้ 

ต้องใช้วิธีไหนกันนะ...

 

ร่างระหงในชุดเดรสสูทสีดำเดินมาหยุดหน้าห้องแห่งหนึ่ง ในอ้อมแขนหอบแฟ้มหนาติดตัวมาด้วย หากมีใครถามก็สามารถตอบได้ว่ามีเอกสารด่วนให้เจ้าของห้องเซ็นอนุมัติ ทว่ายังไม่ทันจะอ้าปากคุยกับเลขาฯ ที่นั่งประจำอยู่โต๊ะด้านหน้า อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นและผายมือให้เข้าไปข้างในได้ทันที 

เมลิซซาเลิกคิ้วเล็กน้อย...ไหนว่าที่บริษัทไม่มีใครรู้จักเธอ 

แกร๊ก

ภายในห้องกว้างขวางเป็นสถานที่ทำงานของผู้นำแห่งซุนเป่ากรุ๊ป โดยแบ่งเป็นโซนทำงาน โซนรับแขก และโซนพักผ่อนที่คล้ายๆ ห้องสมุดขนาดย่อม ชั้นติดผนังมีหนังสือเรียงรายแน่นเอี๊ยด บนโต๊ะกลางมีกระดานหมากที่เล่นค้างเอาไว้ และยังมีชุดชาที่ปรากฏควันขาวลอยมาแตะจมูกบางเบา ซึ่งขับเน้นบรรยากาศโดยรวมให้ดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น 

ผู้นำแห่งซุนเป่ากรุ๊ปยืนหันหลังชมทิวทัศน์นอกกระจก เมื่อมองจากมุมสูงเช่นนี้ประหนึ่งว่าเมืองทั้งเมืองอยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างไรอย่างนั้น แววตาดุดันเป็นนิตย์สงบนิ่งคล้ายกำลังดื่มด่ำกิจกรรมสุนทรีย์อยู่ในโลกส่วนตัว ทว่าเพียงแค่ได้ยินเสียงปิดประตูดังแกร๊ก น้ำเสียงเย็นยะเยือกพลันลอยเข้าโสตประสาทผู้มาเยือนทันที 

“คิดจะก่อเรื่องอะไรอีก” 

เมลิซซาทิ้งของไม่จำเป็นในมือ ก่อนเดินไปเกาะแขนแข็งแรงของบิดา ยิ้มออเซาะกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน 

“โธ่ป๊า หนูยังไม่ทันทำอะไรเลยนะคะ หนูแค่มาเดินเล่นแล้วเห็นว่าวันนี้มีประชุมน่าสนใจพอดี เลยถือโอกาสขอคุณลุงเหวินเข้าไปฟังด้วยเท่านั้นเอง” 

“แกมันทำแต่เรื่องไร้สาระ คิดแต่เรื่องไร้สาระ ลองแกกล้าป่วนการประชุมของฉันสิ ฉันจะตีแกต่อหน้าคนทั้งบริษัท” อู๋เหิงแสร้งวางท่าไม่สนใจ กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานโดยมีเงาของบุตรสาวตามติดไม่ห่าง 

“ป๊าไม่ทำหรอกหนูรู้ เพราะป๊าไม่เคยดุหนูนอกบ้าน อีกอย่างป๊ารักหนูจะตาย ไม่ทำให้หนูขายหน้าคนอื่นหรอก” ไหนเลยที่คำขู่แค่นั้นจะสะดุ้งสะเทือน หญิงสาวหัวเราะเสียงสดใส ก่อนย้ายตัวเองไปนั่งฝั่งตรงข้าม 

“ป๊า หนูขอมาที่นี่อีกได้ไหมคะ” 

“จะมาทำไม มาก็เป็นภาระคนอื่น คนของฉันไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งดูแลแกตลอดหรอกนะ” อู๋เหิงปั้นเสียงเย็นชา ทั้งๆ ที่ความจริงประโยคดังกล่าวทำเอาแทบสะกดกลั้นความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ 

“หนูคิดว่าที่นี่ก็น่าสนใจดี”

เห็นได้ชัดว่าบุตรสาวไม่ได้คิดเล่นสนุกชั่วครั้งชั่วยาม แต่แววตาฉายความกระตือรือร้นจนเขาสัมผัสได้ 

ก่อนหน้านี้บุตรสาวปฏิเสธหัวเด็ดตีนขาดว่าจะไม่สืบทอดธุรกิจของเขา ไม่ว่าจะอ้อนวอนหรือใช้ไม้แข็งก็ไม่เป็นผล นานวันเข้าเขาก็ทำใจยอมรับได้เอง คิดหาลูกเขยแต่งเข้าบ้านให้รู้แล้วรู้รอด 

เกือบสามสิบปีที่อู๋เหิงทุ่มเทแรงกายแรงใจมหาศาลให้แก่ซุนเป่ากรุ๊ป บริษัทนี้เป็นของคนตระกูลอู๋เท่านั้น เขาไม่อาจทำใจให้ตกไปเป็นของคนอื่นได้จริงๆ 

“ถ้าแกอยากมาจริงๆ ก็มาอยู่กับฉัน อาทิตย์นี้ฉันไม่มีงานสำคัญที่ไหน ฉันจะพาแกดูที่นี่ให้ทั่ว แล้วก็จะพาไปรู้จักบริษัทในเครือของพวกเรา” คนหลงกลางทะเลทรายยังมีความฝันลมๆ แล้งๆ ว่าจะพบแอ่งน้ำ แต่นี่ความหวังที่มอดดับไปแล้วถูกจุดประกายขึ้นตรงหน้า มีหรือที่อู๋เหิงจะยอมปล่อยให้หลุดมือไป 

“ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวคนก็รู้หมดว่าหนูเป็นลูกป๊า”

“แล้วเป็นลูกฉันไม่ดีตรงไหน”

“หนูไม่อยากถูกกดดัน แล้วก็ไม่อยากถูกจับจ้องด้วยสายตานับร้อยนับพันคู่ ไม่สู้หนูอยู่กับคุณลุงเหวินดีกว่า ฝ่ายต่างประเทศมีพนักงานแปลกหน้าเข้ามาทุกวัน เพิ่มหนูอีกคนจะเป็นไรไป คนไม่สงสัยด้วย” เมลิซซาลองยิ้มทักทายพนักงานไปหลายสิบคน ไม่มีใครเอะใจสถานะของเธอเลยด้วยซ้ำ 

“อีกอย่างป๊าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น หนูไม่กวนคุณลุงเหวินแน่นอน เพราะคุณลุงเหวินแนะนำคนเก่งให้หนูรู้จักแล้ว” 

“ใคร”

“ก็…คนที่เก่งๆ ในห้องประชุมเมื่อกี้ไงคะ ที่ใส่แว่น เอ๋…ชื่ออะไรนะ” หญิงสาวแสร้งทำเป็นจำไม่ได้ การเข้าหาผู้ชายจะกระโตกกระตากมากไม่ดี 

“เหมรัชต์?” 

“ใช่ค่ะ คนนั้นเลย คุณลุงเหวินชมให้หนูฟังว่าเขาเป็นคนเก่ง ตอนแรกหนูก็ไม่เชื่อว่าแค่พนักงานธรรมดาจะมีความสามารถมากขนาดนั้น แต่นี่หนูเห็นกับตาแล้วว่าเขาเก่งจริงๆ ป๊าน่าจะดึงตัวเขามาอยู่ที่ฮ่องกงกับพวกเรานะคะ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องประชุม ก่อนจะกลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

“มีดเล่มบางแหลมคมก็จริง แต่ตีแรงๆ ไม่กี่ทีก็เปราะหัก ของพรรค์นั้นมีอะไรน่าสนใจกัน” อู๋เหิงส่ายหน้า ใครจะไม่อยากได้คนมีความสามารถมาไว้ข้างกาย แต่เพราะเหตุผลบางประการ...แม้เหมรัชต์จะเก่งกาจกว่านี้ก็ยังเป็นได้แค่แผ่นเหล็กชิ้นหนึ่ง หากไร้ซึ่งความกระหายและทะเยอทะยาน จะขับเคลื่อนซุนเป่ากรุ๊ปไปข้างหน้าได้อย่างไร 

“แล้วมีดคมๆ ไม่ดีตรงไหน หนูมองแล้วก็น่าจะมีประโยชน์กับป๊าออก” เมลิซซามุ่นหัวคิ้วด้วยความงุนงง เธอไม่เข้าใจคำเปรียบเปรยเลยสักนิด 

“ฉันมีมีดเยอะแล้ว ที่ฉันต้องการคือดาบเหล็กกล้าที่ผ่านสมรภูมินับไม่ถ้วน แม้แต่ฉันเองก็ใช้มือหักเป็นสองท่อนไม่ได้ ไว้แกโตกว่านี้แกจะเข้าใจคำพูดของฉัน” 

“หมายความว่า...ป๊าไม่ให้หนูไปสุงสิงกับเขาเหรอ” หญิงสาวซ่อนความไหววูบในแววตาไว้ได้อย่างมิดชิด หากบิดาลั่นวาจาว่า ‘ห้ามยุ่ง’ เธอจะทำเช่นไรดี 

“จุดแข็งของเหมรัชต์ก็ยังมีให้แกเก็บเกี่ยว หลังจากนี้แกก็ไปดูฝ่ายวิจัยและเทคโนโลยีพร้อมเขาเถอะ จะได้รู้ว่าซุนเป่ากรุ๊ปทำงานกันยังไง ถ้ามีอะไรสงสัยก็ถาม คนที่นั่นพร้อมให้คำตอบ” 

“หนูยังยืนยันไม่สืบทอดตำแหน่งป๊านะ” 

“ไม่สืบก็ไม่ต้องสืบ ฉันมัดมือชกแกได้ที่ไหน” อู๋เหิงขมวดคิ้ว สะบัดมือรัวๆ เป็นเชิงว่าให้ออกไปได้แล้ว จริงอยู่ที่เขาเริ่มมีความหวัง แต่ก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงลิบ ต่อให้ผลลัพธ์ออกมาแบบเดิม ก็จะถือว่าตัวเขาไม่มีวาสนาเอง 

“ป๊าเนี่ยดีกับหนูที่สุดในโลกเลย” เมลิซซาทำเสียงเล็กเสียงน้อย ยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารับเร็วๆ อย่างคนรู้งาน ทั้งยังเดินอ้อมโต๊ะไปหอมแก้มบิดาฟอดใหญ่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ลืมบอก 

“ป๊าอยู่ที่นี่หนูชื่อ ‘เมลิซซา เซี่ย’ นะคะ ป๊าอย่าเผลอเรียกผิดนะ”

“เซี่ย? แซ่เก่าของหม่าม้าน่ะเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเพราะความประหลาดใจ แต่พอได้ฟังเหตุผลจากปากบุตรสาวก็เรียกเสียงหัวเราะลั่นห้องได้ไม่ยาก 

“ใช่ค่ะ เผื่อว่าใช้แซ่ของหม่าม้าแล้วหนูจะได้เจอผู้ชายที่รักและดีกับหนูเหมือนป๊า เก่งเหมือนป๊า หล่อเหมือนป๊า ไม่สิ...ถ้าขอขนาดนั้นหนูคงไม่ได้แต่งงานกันพอดี เอาเป็นว่าให้ได้สักครึ่งหนึ่งของป๊าก็พอ เพราะปะป๊าของหนูยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ไม่มีใครเลียนแบบได้แน่”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น