กลวิธีที่ 8
ตรงไปตรงมา
“ซี้ดดด ฉันไม่ไหวแล้วค่ะคุณเหม”
“ผมก็…ไม่ไหวแล้ว”
ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งประจันหน้ากันในร้านหม่าล่าหั่วกัวสไตล์เสฉวน โดยมีหม้อไฟสีแดงฉาน น้ำเดือดปุดๆ คั่นกลาง ใบหน้าของทั้งคู่โซมโซกไปด้วยเหงื่อเม็ดโต มือที่บีบกระป๋องอะลูมิเนียมสั่นระริก ตั้งแต่ที่ทั้งสองคนคีบเนื้อชิ้นแรกเข้าปากก็ไม่สามารถคลายมือจากชาหวานแก้เผ็ดได้อีกเลย
“คุณห้ามพูดว่าไม่ไหว ไหนคุณบอกว่ากินเผ็ดได้สบายมาก กินให้หมดเลยนะคะ” เมลิซซายกกระป๋องเย็นมาแตะข้างแก้ม พลางชี้นิ้วไปยังเนื้อและผักที่ยังเหลืออยู่เกินครึ่งหม้อ
“คุณเองก็บอกว่ากินเผ็ดได้ จะให้ผมรับผิดชอบคนเดียวได้ยังไง แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะครับ” เหมรัชต์ไม่ยอมรับภาระหนักอึ้งแต่เพียงผู้เดียว เอื้อมไปตักอาหารให้เพื่อนร่วมโต๊ะจนพูนถ้วย
“คุณเหม…” คนปากบวมเจ่อทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นคนเลือกร้านอาหารเองแท้ๆ แต่เป็นการตัดสินใจแบบฆ่าตัวตายชัดๆ
ก่อนหน้านี้เธอหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทยก็พบว่าอาหารไทยรสชาติค่อนข้างจัดจ้าน เธอเองก็พอจะกินเผ็ดได้ในระดับหนึ่ง ด้วยความที่อยากทำคะแนนในใจเขา จึงเลือกร้านอาหารสไตล์เสฉวน เมื่อความคิดเห็นของคนสองคนไปในทิศทางเดียวกันจึงมาจบที่ร้านหม้อไฟเล็กๆ
มื้อดึกของพวกเธอมันควรจะดำเนินไปด้วยดี แต่เรื่องเซอร์ไพรส์มันยังไม่จบแค่นั้น ดูเหมือนเจ้าของร้านจะแต่งงานกับภรรยาสาวชาวไทย และพอเถ้าแก่เนี้ยได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนร่วมชาติจึงสั่งให้พนักงานเสิร์ฟ ‘หม้อไฟชุดพิเศษ’ ให้โต๊ะพวกเธอแบบไม่ต้องร้องขอ วินาทีแรกเธอก็ปรบมือให้แก่ความใจดีของเถ้าแก่เนี้ย แต่พอคีบอาหารเข้าปากเท่านั้นแหละ ทั้งเธอและเขาก็มองหน้ากัน…
หม้อไฟชุดพิเศษนี่มันพิเศษขนาดไหนนะเหรอ ขนาดที่ว่าผู้ชายตัวโตอย่างเหมรัชต์ถึงกับสำลัก ส่วนต่อมรับรสบนลิ้นของเธอหยุดทำงานในทันที หลังจากนี้เธอคงไม่กล้าโอ้อวดว่าตัวเองเป็นพวก ‘Spicy Lover’ หากใครถามก็จะตอบว่า ‘ฉันรักอาหารธรรมชาติแบบไม่ปรุงรสค่ะ’
“คุณเหม! คำนี้เพื่อมิตรภาพของพวกเรา!” เมลิซซาเคยได้ยินสโลแกน ‘มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมเสพ’ เธอพลันกลั้นหายใจคีบอาหารเข้าปาก ก่อนจะยกกระป๋องชาหวานขึ้นกระดกตามไปอีกหลายอึก
“เพื่อมิตรภาพของเรา!” เหมรัชต์ก็บ้าจี้ทำตาม แต่ร่างกายของเขาเหมือนจะปรับตัวเข้ากับความเผ็ดร้อนได้แล้วจึงไม่ทรมานเหมือนอย่างตอนแรก
“โอ๊ยยย ซี้ดดด ไม่ไหวแล้ว!” หญิงสาวปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตคลายร้อน พลางโบกมือพัดข้างแก้มแดงแปร๊ดของตน
“หมายความว่าคุณไม่ไหวกับมิตรภาพของพวกเราแล้วเหรอ เริ่มเร็วจบเร็วเกินไปนะครับ” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ้มพลางดึงกระดาษทิชชูจากกล่องยื่นส่งให้
“ฉันว่าพวกเราควรห่างกันสักพักเถอะค่ะ ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะร่วมกินหม้อไฟสาบานด้วยกันได้” คนกินเผ็ดในระดับเด็กน้อยวางตะเกียบยอมแพ้ ผายมือสองข้างไปยังหม้อร้อนระอุเบื้องหน้า
“แต่ถึงแบบนั้นฉันก็จะเป็นกำลังใจให้คุณอยู่ข้างสนาม ที่เหลือยกให้คุณแล้ว อย่าทำให้เถ้าแก่เนี้ยผิดหวังนะคะ”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่อยากได้กองเชียร์ ผมอยากได้ผู้ช่วย” คนถูกโยนภาระนิ่วหน้า ทว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับเอามือมาประสานกันเป็นรูปหัวใจ ขยิบตาซ้ายขวาเหมือนคนตาเป็นกุ้งยิง ซึ่งเป็นท่าเชียร์ลีดเดอร์แปลกประหลาดที่สุดที่เคยพบเจอมาในชีวิต
“นี่ไงคะ ฉันช่วยเป็นกำลังใจให้ คุณเหมสู้ๆ คุณเหมจุ๊บๆ”
“…”
“อ๋อ..เสียงดูดน้ำค่ะ ดูดน้ำจุ๊บๆ”
หลังจากนั้นโต๊ะอาหารก็เต็มไปด้วยเสียงปรบมือเชียร์ผสมกับเสียงซู้ดปากซี้ดซ้าด แน่นอนว่าฟ้าไม่ใจร้ายกับความพยายามของมนุษย์ ในที่สุดอาหารครึ่งหม้อก็ลงไปอยู่ในกระเพาะของเหมรัชต์โดยสวัสดิภาพ…รึเปล่า
“ขับรถกลับกันดีๆ นะคะ ว่างๆ ก็แวะมาใหม่เนอะ รับรองว่ารอบหน้าเด็ดกว่านี้แน่นอน”
เมลิซซาและเหมรัชต์รีบเช็กบิลและขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยทั้งน้ำตาคลอเบ้า ถึงลักษณะทางกายภาพจะคล้ายคลึงกัน แต่ความรู้สึกภายในย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หญิงสาวน้ำตาคลอ เพราะตลกสีหน้าเหมือนคนโดนจับกรอกยาพิษของเขา ขณะที่เขาน้ำตาคลอ เพราะหมดความรู้สึกบนใบหน้าเป็นที่เรียบร้อย แม้แต่ปากก็ไม่สามารถหุบได้ดั่งใจ ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาสูดออกซิเจน
“พวกเราไม่พลาดแน่นอนค่ะ เนอะคุณเหมเนอะ”
“…”
สวนสาธารณะทำหน้าที่ต้อนรับอาคันตุกะหน้าเดิมเป็นหนที่สอง เสาไฟสีส้มสลัวยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ร่างที่มีส่วนสูงต่างกันเดินทอดน่องไปตามทางเดินยาว ปล่อยให้สายลมกลางคืนปลอบประโลมอาการอึดอัดไม่สบายตัวจากอาหารมื้อเด็ด
“คุณเหม สีหน้าของคุณตลกมากเลย ฉันนึกว่าคุณจะทำเป็นแต่หน้าแบบนี้ ฮ่าๆๆ” เมลิซซาตีหน้าขรึมเลียนแบบพฤติกรรมที่เห็นจนชินตา ก่อนกุมท้องหัวเราะคนที่กำลังจิบนมจากขวดเป็นระยะ เมื่อรวมกับเสื้อผ้าล้าสมัย แว่นตาทรงรี และบุคลิกกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมของเขา ยิ่งทำให้ดูเหมือนผู้สูงอายุนึกปลงโลกเข้าไปใหญ่
“หลังจากนี้ผมจะไม่ปล่อยให้คำว่า ‘กินอะไรก็ได้’ หลุดจากปาก โดยเฉพาะถ้าต้องร่วมโต๊ะอาหารกับคุณ” เหมรัชต์กล่าวคาดโทษ ทว่าแววตากลับเจือรอยยิ้มจางๆ
“คุณเคยได้ยินสุภาษิตว่า ‘สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง’ รึเปล่าคะ ฉันที่ไม่ใช่ทั้งสัตว์สี่เท้าและนักปราชญ์จะผิดพลาดบ้างก็ไม่แปลก ดังนั้นคุณต้องให้โอกาสฉันแก้ตัวนะคะ”
“มีอะไรต้องแก้ตัวเหรอครับ”
หญิงสาวสูดหายใจ หลายวันมานี้พวกเธอมีโอกาสได้กินข้าวด้วยกันอย่างน้อยวันละมื้อ ถือว่าดีสำหรับความสัมพันธ์ระยะเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทว่าเวลาไม่คอยท่า อีกไม่นานก็ต้องแยกย้ายกันไปในที่ของตัวเอง ในฐานะสาวยุคใหม่ การมัวแต่นั่งรอคอยโชคชะตาไม่ใช่วิถีของเธอเลยสักนิด เธอจึงไม่ลังเลที่จะยื่นข้อเสนอเพื่อได้ใกล้ชิดเขาให้มากขึ้น
“นี่ คุณเหม อีกไม่กี่วันคุณก็จะกลับไทยแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป…ฉันขอจองมื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น แล้วก็โกโก้อุ่นๆ รอบดึกของคุณได้ไหมคะ ฉันรู้จักร้านดีๆ หลายที่ เชื่อว่าคุณต้องชอบแน่ๆ”
คนฟังชะงักกับคำว่า ‘กลับไทย’ นั่นเหมือนน้ำเย็นสาดสติที่ล่องลอยตลอดหลายวันให้กลับมา เขาหลุบตาและกระดกนมจืดจากขวดช้าๆ จนหมด ก่อนจะปฏิเสธข้อเสนอด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนปกติ
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ผม…มีนัดแล้ว”
“เอ๋ หมายถึงมื้อเย็นกับมื้อดึกเหรอคะ แต่ฉันว่างทั้งสองเวลาเลย ให้ฉันไปทำธุระเป็นเพื่อนคุณได้ไหม รับรองว่าไม่ทำตัวมีปัญหาค่ะ” เมลิซซาไม่เพียงแค่พูด แต่ยังใช้ไหล่กระแซะแขนแข็งแรงเป็นเชิงขอร้อง อย่าดูถูกว่าเขาเป็นผู้ชายผอมสูงสวมเสื้อผ้าไซซ์ใหญ่กว่าตัว อันที่จริงเขาแข็งแรงมาก กลายเป็นว่าฝ่ายพุ่งชนอย่างเธอกระเด็นออกมาตั้งหลักครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าเรื่องแค่นี้ไม่ทำให้เธอยอมแพ้หรอก
“นะคุณเหมนะ ให้ฉันไปด้วยนะคะ”
“ไม่ได้หรอกครับ”
“โธ่คุณเหม โดนปฏิเสธบ่อยๆ แบบนี้ฉันก็เสียใจเป็นนะ โอ๊ย…น้ำตาจะไหลแล้ว”
เจ้าของนัยน์ตาสีสนิมเหลือบมองรอยยิ้มสดใส การแสดงออกของอีกฝ่ายช่างแตกต่างกับคำพูดตัดพ้อไปคนละเรื่อง เขาพึ่งเรียนรู้ไม่นานนี้ว่า…หญิงสาวก็เหมือน ‘ตุ๊กตาล้มลุก’ ยิ่งเขาผลักออกแรงเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งเด้งตัวขึ้นมาด้วยความแรงคูณสอง บ่อยครั้งที่เขาประมาทจนโดนตุ๊กตาบอบบาง ‘ชน’ เข้าอย่างจัง ผลลัพธ์ก็คือตนเอง‘เผลอตัวเผลอใจ’ ไปเล่นด้วยอยู่หลายรอบ ซึ่งทุกครั้งพอได้สติกลับกลายเป็นว่าตัวเขาก้าวออกจากโซนปลอดภัยที่ขีดไว้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ มันเป็นความรู้สึกน่าหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
จะจัดการยังไงดีนะ...
“ผมขอโทษครับ แต่ผมให้คุณไปด้วยไม่ได้ ถ้ามีอะไรที่ผมติดค้างคุณไว้ ผมจะพยายามใช้คืนให้หมด”
“เฮ้อ! เราค่อยถกกันพรุ่งนี้ได้ไหมคะ ฉันให้คุณกลับไปนอนคิดอีกคืน เผื่อว่าเช้ามาคุณจะเปลี่ยนใจ” เมื่อเห็นว่าเซ้าซี้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นจึงพักเรื่องเคร่งเครียดเอาไว้ก่อน สำหรับเมลิซซาแล้วค่อยหาจังหวะดีๆ อีกรอบก็ยังไม่สาย
“จะคืนนี้หรือพรุ่งนี้ ผมยังยืนยะ…”
“ซี้ดดด! นี่ฉันยังแสบลิ้นอยู่เลยค่ะ ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าต่อมรับรสของพวกคุณวิวัฒนาการไปถึงขั้นไหนแล้ว ถึงได้กินเผ็ดแบบไม่สะทกสะท้าน” ผู้พูดขัดจังหวะขึ้นมาราวกับไม่ได้ตั้งใจ ขณะกลั้วลูกอมรสหวานไปทั่วทั้งปาก
“…”
เป็นแบบนี้อีกแล้ว…
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองปกคลุมด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วๆ เคล้าคลอเป็นระยะ ทุกครั้งที่เธอพยายามก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าว เขากลับถอยหลังหนีสามก้าว ดังนั้นต่อให้เธอมีปีกก็ไม่แน่ว่าจะไล่ตามเขาทัน
“คุณเมลิซซา อันที่จริงคุณควรสนิทสนมกับเพื่อนร่วมงานให้มากเข้าไว้นะครับ โดยเฉพาะคุณที่พึ่งเข้าทำงานใหม่ บางครั้งคุณก็ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้” เหมรัชต์เปรยขึ้นหลังจากเรียบเรียงคำพูดในหัวอยู่นาน มือทั้งสองข้างของเขาล้วงกระเป๋ากางเกง ความเร็วในการก้าวเดินไม่ได้ลดน้อยลงสักนิด
เจ้าของชื่อเลิกคิ้วงุนงง ก่อนจะเอียงหน้าให้คำตอบ “ฉันก็พยายามสนิทกับคุณอยู่นะ”
“ไม่ใช่ผม แต่ควรเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณจริงๆ”
“ฉันไม่เข้าใจค่ะ”
“ผมคิดว่าพวกเราควรทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน”
อาจเพราะอยู่ในฐานะที่มีคนมาคอยเอาอกเอาใจอยู่ตลอด ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจว่าใครจะคิดยังไง ดังนั้นเมลิซซาจึงเป็นพวกความรู้สึกช้า อ่านสีหน้าหรือคาดเดาอารมณ์ของคนไม่เก่ง ทว่าสัญชาตญาณของเธอค่อนข้างใช้งานได้ดี พอเขาเอ่ยมาถึงประโยคนี้ก็ได้แต่สูดหายใจลึกๆ เตรียมตัวรับแรงกระแทกที่กำลังจะมาถึง
“ผมเข้าใจว่าพวกเราเคยเจอกันมาก่อน ไม่แปลกที่คุณจะรู้สึกอยากสนิทกับผม ผมเองก็ไม่ได้รังเกียจมิตรภาพระหว่างเรา” น้ำเสียงและสีหน้าของเขาสงบนิ่ง เว้นวรรคไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มอธิบายข้อเท็จจริงต่อ
“แต่สุดท้ายคุณเองยังคงต้องทำงานอยู่ที่นี่ ส่วนผมก็ต้องกลับไปประเทศไทยอยู่ดี กลายเป็นว่าพวกเราทำงานกันคนละอย่าง หรือจะเรียกว่าอยู่คนละสายงานก็ไม่ผิด ดังนั้นต่อให้ผมอยากช่วยคุณ หรือคุณอยากช่วยผม แต่ความแตกต่างตรงข้อนี้ทำให้พวกเราไม่สามารถมอบความช่วยเหลือในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ”
“คุณเหม ฉันไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากคุณสักหน่อย ไม่ต้องการเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ” เมลิซซาแย้งขึ้นมา การจะเลือกคบใครสักคนต้องคิดคำนวณผลประโยชน์ด้วยงั้นเหรอ
จะว่าไปบางครั้งเธอก็คบคนที่ผลประโยชน์ แต่ย่อมไม่ใช่กับเขาคนนี้
“คุณไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผม แต่คุณต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นแน่ๆ ผมไม่รู้ว่าเจ้านายเก่าของคุณปล่อยปละละเลยขนาดไหน แต่ที่ซุนเป่ากรุ๊ปค่อนข้างเข้มงวด คุณจะทำตัวเรื่อยเปื่อยเหมือนเดิมไม่ได้ วันนี้คุณแทบไม่ได้จดบันทึกเลย คุณจะเอาอะไรไปสรุปให้ผู้อำนวยการเหวินฟัง ผมรู้ว่าคุณอาจจะยังไม่ชินกับตำแหน่งเลขาฯ ดังนั้นการมีเพื่อนร่วมงานที่ดีคอยแนะนำเป็นสิ่งที่จำเป็น”
“แหม ใจดีจังเลยนะคะ เป็นห่วงหน้าที่การงานของฉันด้วย”
“ในเมื่อพวกเราก็รู้จักกันแล้ว ผมก็อยากให้คำแนะนำที่มีประโยชน์”
ข้ออ้างสวยหรูไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกคล้อยตามเลยสักนิด ตรงกันข้าม...ยิ่งชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมยิ่งอกสั่นขวัญแขวนเข้าไปใหญ่ เมลิซซาไม่อาจอดทนอยู่กับคำพูดอ้อมไปอ้อมมาจึงก้าวขึ้นหน้าไปขวางเบื้องหน้าร่างสูง ทั้งยังบอกความต้องการด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน
“คุณเหมคะ ขอใจความสรุปเลยค่ะ คุณต้องการจะบอกอะไรกับฉันกันแน่”
“อย่าเสียเวลากับผมเลย” เหมรัชต์ตอบกลับทันทีที่จบประโยค บ่งบอกว่าเขาเตรียมคำพูดนี้มานานแล้ว คำตอบของเขาสั้น กระชับ ได้ใจความ อีกทั้งแววตาเด็ดขาดบ่งชัดว่านี่ไม่ใช่ ‘ข้อเสนอ’ แต่เป็นการตัดรูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
จริงอยู่ที่เขาอาจไม่คุ้นชินกับผู้หญิง…แต่เขาไม่ใช่คนหูหนวกตาบอด หลังจากวิเคราะห์คำพูดแปลกๆ ท่าทางแปลกๆ หรือการกระทำแปลกๆ ของตุ๊กตาล้มลุก เขาก็มั่นใจเกินหกสิบห้าเปอร์เซ็นต์ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองเขาในฐานะ ‘เพื่อนร่วมงาน’ อย่างที่ควรจะเป็น
เขาเป็นคนรู้จักให้เธอได้ เพื่อนที่ดีให้เธอได้ แต่มากกว่านี้…เป็นไปไม่ได้
“ตรงดีค่ะ ฉันชอบอะไรแบบนี้นะ ชอบกว่าเวลาที่คุณอึกอักกล้าๆ กลัวๆ ไม่ยอมพูดในสิ่งที่อยากจะพูดสักที” เมลิซซาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะชั่งใจว่าควรทำตัวน่าสงสารดีไหม
เธอควรวิงวอนขอโอกาสเขาอีกรอบ หรือควรเปลี่ยนเรื่องไปดื้อๆ ให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าท้ายที่สุด…เธอเองก็มีศักดิ์ศรีบางอย่าง รวมถึงความโกรธเกรี้ยวที่แผ่กระจายไปทั่วร่างเกินกว่าจะสะกดเอาไว้
“แต่คุณเหมรัชต์คะ ตัวของฉัน ใจของฉัน ไม่ต้องให้ใครมาสั่งหรอกว่าฉันควรต้องทำยังไง ฉันตัดสินใจเองได้”
“บางครั้งคนเราก็ตัดสินใจผิดพลาด เวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่าเสียเวลากับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คุณไม่คิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีเหรอครับ” เหมรัชต์กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะเย็นชา นัยน์ตาที่จ้องมองใบหน้าสวยเกือบจะเรียกได้ว่าไร้อารมณ์
ใช่จะไม่รู้ตัวว่าตนเองทำหน้าแบบไหน เขาย่อมรู้ตัวแน่นอน แต่นี่เป็นความเคยชินตลอดหลายปี ที่ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ใด คนอย่างเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงความรู้สึกโดยไม่จำเป็น
ตอนที่อายุน้อยกว่านี้เขาเคยขบถ เคยเรียกร้องความสนใจ แต่เมื่อพฤติกรรมเหล่านั้นไม่ได้รับการตอบสนอง นานวันเข้าก็ตระหนักได้เองว่าการไม่รู้สึกอะไรเลยก็ไม่เลว
ไม่เลว…โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์แบบนี้
“ฉันมีคำถาม”
“เชิญครับ”
“ฉันไม่เข้าใจคำว่า ‘อย่าเสียเวลากับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้’ แล้วคุณรู้ได้ยังไงคะว่าเป็นไปไม่ได้”
“เพราะคนที่คุณกำลังเสียเวลาด้วยคือผม ผมไม่คิดว่าผลลัพธ์มันจะเปลี่ยนแปลงได้”
“แต่ฉันคิดว่าได้ ถือว่าคะแนนเสียงเราหนึ่งต่อหนึ่งเท่ากันนะคะ”
“…”
“คำถามที่สอง การที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้มันลำบากคุณนักเหรอคะ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนความดึงดันออกมา ปลายคางมนของผู้พูดเชิดขึ้นเล็กน้อย
ตอนแรกเหมรัชต์คิดจะใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมไปเรื่อยๆ น่าแปลกที่ความเปลี่ยนแปลงตรงหน้าสร้างความหงุดหงิดให้เขาแบบไม่มีเหตุผล กระทั่งลืมที่จะเรียกอีกฝ่ายอย่างสุภาพด้วยซ้ำ
“คุณดูไม่ใช่คนโง่นะเมลิซซา และผมเองก็เชื่อว่าคุณไม่ใช่ ผมพึ่งพูดไปเองว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่า แค่นี้คุณยังเดาคำตอบของผมไม่ได้อีกเหรอ หรือต้องให้ผมพูดตรงๆ คงจะดีกับคุณมากกว่าใช่ไหม”
“ไม่ตอบคำถามของฉันเหรอคะ ฉันยืนอยู่ตรงนี้มันลำบากคุณนักเหรอ”
“ผมหวังว่าพวกเราจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาทำงาน ส่วนเรื่องอื่น…ผมไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนไปเป็นในสิ่งที่คุณต้องการได้ ผมไม่มีทางให้คุณได้มากกว่านี้”
“ฉันถามว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้มันลำบากคุณนักเหรอ”
“คุณเป็นคนเข้าใจง่ายมาตลอด แต่รู้ตัวรึเปล่าว่าตัวคุณในตอนนี้กำลังสร้างความลำบากใจให้คนอื่น”
“งั้นก็ไล่ฉันสิคะ ปฏิเสธฉันให้เด็ดขาดจริงจังกว่านี้ แค่ผลักสิ่งที่คุณรำคาญออกไปด้วยมือของคุณเองคุณยังทำไม่ได้ แล้วจะมาเรียกร้องอะไรอีก หรือจะเรียกร้องให้เรื่องน่ารำคาญเป็นฝ่ายสำนึกผิดแล้วยอมถอยหลังให้คุณโลกในสายตาคุณสดใสถึงเพียงนั้นเชียว” เมลิซซาหัวเราะร่วน ดวงตากลมโตแฝงความเอาแต่ใจขึ้นมาหลายส่วน เธอยังคงรักษารอยยิ้มบนริมฝีปากแดงสดได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เพียงแต่ครั้งนี้ออกจะเป็นการแย้มยิ้มแบบไม่ยี่หระมากกว่ารอยยิ้มสดใสแบบที่ทุกคนคุ้นตา
“งั้นต่อไปอย่าได้มายุ่งกับผมเลย ต่างคนต่างอยู่น่าจะดีกับพวกเรามากกว่า”
หมับ!
“คุณมองเกมขาด อ่านธุรกิจขาด แต่เรื่องของความรู้สึกคุณทำได้แย่มากเลยค่ะ” หญิงสาวไม่ยอมให้เขาเป็นฝ่ายเดินหนี รีบฉวยคว้าแขนหนักด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“เหมรัชต์ ฉันไม่รู้ว่าคุณเคยมีความรู้สึกอยากครอบครองบางสิ่งบางอย่างจนแทบทนไม่ไหวรึเปล่า แน่นอนว่าฉันยิ่งไม่รู้ว่าคุณจัดการกับความรู้สึกพวกนั้นยังไง แต่ถ้าเป็นฉัน...ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง ฉันจะเลือกมันด้วยตัวของฉันเอง”
ร่างบางเขยิบเข้าไปใกล้คนตัวสูงอีกก้าว พลางใช้ปลายนิ้วมือเย็นเฉียบลูบไล้ใบหน้าตึงเครียด ก่อนจะหยุดปลายนิ้วชี้บนริมฝีปากบางเฉียบอุ่นร้อน กดเบาๆ เป็นเชิงห้ามปรามว่าให้หยุดพูดจาไม่เข้าหู
“คุณไม่ชอบความจริงใจของฉัน นั่นมันเป็นปัญหาของคุณ ที่คุณต้องทำคือหนีจากฉันให้ได้ แต่รู้อะไรไหม...คนอย่างฉันถ้าไม่คิดจะปล่อยคุณไป คุณไม่มีวันหนีจากฉันได้หรอกค่ะ”
“…”
“ฉันพูดกับคุณตรงไปตรงมาขนาดนี้ หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะคะ”
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เมลิซซาลืมตาพึ่บ เอื้อมมือไปกดปิดนาฬิกาตั้งปลุกด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกมาก แถมพอกระโดดลงเตียงก็เอาแต่กระสับกระส่ายไม่ยอมหลับเสียที อันที่จริงเธอยังมีเวลานอนต่ออีกเป็นชั่วโมง แต่พอนึกถึงวีรกรรมฆ่าตัวตายของตนเองก็ได้แต่ตบปากดังแปะ ฝืนกัดฟันลุกไปทำอาหารเช้าด้วยใจหดหู่
ทำไมมันถึงไม่เป็นฝันร้ายนะ…
“ดิฉันเตรียมของทุกอย่างไว้ให้แล้วค่ะ” แม่บ้านวัยกลางคนผายมือไปยังวัตถุดิบที่คุณหนูของบ้านขอไว้ ขณะเตรียมตัวจะไปทำอย่างอื่น กลับถูกตั้งคำถามแปลกพิกลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ป้าว่าฉันสวยไหมคะ”
แม่บ้านไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ ให้คำตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “คุณหนูสวยเหมือนนางฟ้าค่ะ”
“อึ๋ย! ฉันเกลียดนางฟ้าเหมือนเกลียดสัตว์เลื้อยคลานเลยค่ะ ป้าอย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตประเภทนั้นอีกนะคะ” เมลิซซาทำท่าขนลุก คำว่านางฟ้าเป็นของแสลงหูมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เอาเป็นว่าถ้ามีคนเรียกเธอว่า ‘นังปีศาจ’ เธอยังไม่โกรธเท่าถูกเรียกว่า ‘นางฟ้า’ เลย
“แต่ป้าคะ บางทีความสวยของฉันก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ถ้าฉันอยากให้ใครสักคนชอบฉัน ฉันควรต้องทำตัวยังไงคะป้า ต้องเรียบร้อยอ่อนหวาน ต้องหัวอ่อนว่าง่าย หรือป้ามีวิธีดีๆ แนะนำฉันไหมคะ”
“คุณหนูไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ แค่เป็นอย่างที่คุณหนูเป็น ดิฉันเชื่อว่าใครที่ได้อยู่ใกล้จะต้องชอบคุณหนูอย่างแน่นอนค่ะ”
“แล้วถ้านิสัยของฉันทำเขาเกลียดฉันมากกว่าเดิมล่ะคะ”
“ถ้าคนคนนั้นรู้จักตัวตนของคุณหนูจริงๆ ไม่มีทางเกลียดคุณหนูได้ลงคอหรอกค่ะ”
“เฮ้อ! ฉันเองก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะคะ หวังมากๆ หวังที่สุดในโลก”
การได้รับกำลังใจดีๆ ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง เมลิซซากลับมาจดจ่ออยู่กับของเบื้องหน้า อย่างน้อยก็ต้องใช้ทุกโอกาสให้คุ้มค่าที่สุด
เพื่อความหลากหลายของเมนู และเพื่อแสดงศักยภาพว่าเธอก็สามารถเป็นภรรยาที่ดี เมนูซ้ำซากน่าเบื่อจึงถูกปัดตก เธอตั้งอกตั้งใจกับขนมปังปิ้งหน้าไข่ข้นเบคอนกรอบ โรยด้วยเห็ดทรัฟเฟิลเล็กน้อย และยังมีสลัดผลไม้เพิ่มความสดชื่น รับรองได้ว่าอาหารเช้ามื้อนี้อร่อยไม่แพ้ภัตตาคารหรูห้าดาว
ปัญหาอยู่ที่ว่าลูกค้าเพียงคนเดียวของเธอจะยอมกินรึเปล่านี่สิ…
‘งั้นก็ไล่ฉันสิคะ ปฏิเสธฉันให้เด็ดขาดจริงจังกว่านี้’
คิดถึงคำพูดไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินก็ได้แต่หัวเราะทั้งน้ำตา อยากจะหยิกตัวเองให้เขียวสักหมื่นที นี่เธอพูดบ้าอะไรออกไปเนี่ย!
เมลิซซาใช้เวลาอีกชั่วโมงในการแต่งตัว ในใจห่อเหี่ยวได้ แต่ภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อภายนอกห้ามห่อเหี่ยว เธอเลือกเดรสสูทสั้นสีเขียวอ่อนจับคู่กับรองเท้าส้นเข็มสีแดง ทั้งยังรวบผมหางม้าเพื่อให้ลุคที่ได้ดูกระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้น ก่อนจะให้คนไปส่งที่ป้ายรอรถเหมือนเมื่อวาน
หญิงสาวยืนรออยู่เกือบชั่วโมง มองผู้คนเดินผ่านไปมา มองความว่างเปล่า จนสุดท้ายก็กลั้นใจโทร. หาสารถีชาวไทย แต่ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้ เธอก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ เขาทำงานแบบโพรเฟสชันนัลขนาดนั้น ไม่มีทางปิดช่องทางการติดต่อของตนเองหรอก ดูท่าเธอคงถูกบล็อกเบอร์เข้าให้แล้ว
ชาไปทั้งตัว…
จริงอยู่ที่ทำใจมาแล้วเกินครึ่ง แต่พอต้องเผชิญความจริงก็อดเศร้าไม่ได้ ใบหน้าที่แสร้งทำเป็นยิ้มแย้มสลดลง ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและกะพริบตาปริบๆ ไล่ความร้อนผ่าวที่แล่นเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
นี่สินะที่เขาพูดกันว่า ‘ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่’ ต่อให้เธอจะพยายามพิสูจน์ความจริงใจแค่ไหน…ผลลัพธ์ที่ได้ก็แทบไม่ต่างอะไรจากชกลม
แต่ที่เธอเคยเรียนมา…ลมมันก็เกิดจากการรวมตัวของก๊าซหลายชนิด เช่นในอากาศยังมีออกซิเจน และมนุษย์ก็ต้องการออกซิเจน นั่นก็แปลว่าเธอไม่ได้ไขว่คว้าความว่างเปล่าซะทีเดียว ดังนั้นเธอไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่ได้อะไรกลับมา ในเมื่อเธอแสดงความจริงใจกับเขาถึงเพียงนี้ เธอไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลย
ทายาทตระกูลอู๋โทร. ตามคนขับรถ เขาคิดว่าถ้าไม่มารับแล้วจะหลบหน้าเธอได้หรือยังไง แต่ต้องขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่าตราบใดที่เขายังอยู่ในฮ่องกง ต่อให้ขุดหลุมซ่อนตัวอยู่ใต้ดินก็หนีเธอไม่พ้นหรอก
ไม่มีทาง…
ความคิดเห็น |
---|