8
“ดู...ไอ้วร แกดูสิฮ่าๆๆ” คุณอารัณย์หัวเราะไปด้วยขณะชี้ชวนลูกน้องคนสนิทให้ดูภาพเคลื่อนไหวในโทรศัพท์ที่ถูกส่งเข้าห้องสนทนาของกลุ่มลับ
ภาพวิดีโอที่เล่นอยู่คือเหตุการณ์เมื่อช่วงหัวค่ำ จังหวะที่กันต์ถูกรสิกาป้อนพริกเข้าไปและแทบพ่นไฟใส่หญิงสาว ภาพความทุลักทุเลของบุตรชายทำเอาคนเป็นพ่อหัวเราะจนน้ำตาไหล เท่านั้นไม่พอยังชี้ชวนให้ลูกน้องมาร่วมสะใจกับสารรูปย่ำแย่ของบุตรชายสุดที่รักเสียอีก
ชายวัยกลางคนสองคนสองสถานะสุมหัวกันชื่นชมคลิปที่ถูกส่งเข้ามาในกลุ่มแชตลับ มันเป็นกลุ่มที่คุณอารัณย์ตั้งเอาไว้เพื่อให้ลูกน้องของลูกชายคอยรายงานความเคลื่อนไหวของลูกพี่พวกมันให้เขารู้
หรือเรียกง่ายๆ ว่า...เอาไว้ฟ้องนายน้อยนั่นเอง
ส่วนสาเหตุที่ต้องตั้งกลุ่มแชตนี้ขึ้นมาก็ต้องบอกว่าหลังจากเกิดเรื่องที่กันต์ลักพาตัวรสิกาไปข่มขู่ คุณอารัณย์จึงสั่งให้ลูกน้องทำกลุ่มแชตลับนี้ขึ้นมาเพื่อคอยรายงานความเคลื่อนไหวของคนทั้งคู่เป็นระยะๆ
เผื่อว่าไอ้ลูกชายเวรตะไลของเขาจะทำอะไรนอกลู่นอกทางกับหนูรัสอีก เขาจะได้ยับยั้งไว้ได้ทัน
หัวข้อรายงานของช่วงหัวค่ำวันนี้คือ...
‘คุณกันต์กินพริกได้แล้วครับ’
“น่าปลื้มใจ...ลูกชายฉันกินพริกได้แล้วว่ะ...ฮ่ะฮ่าๆๆๆ” ชายวัยกลางคนหัวเราะเริงร่า ใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาที่ไม่รู้เกิดจากความปริ่มเปรมปลาบปลื้มใจในลูกชายคนดีคนเดียวของตน หรือเกิดจากการหัวเราะสะใจเกินไปจนน้ำตาไหลกันแน่
“ฉันฝึกให้มันกินมาทั้งชีวิต ไอ้ลูกปากเปราะของฉันไม่เคยกินได้เลย เผ็ดนิดเดียวก็โวยวายอย่างกับจะมีใครจับมันไปฆ่า แล้วนี่แกดู ออกไปดินเนอร์กับหนูรัสหนเดียว โดนจับกินพริกจนกินได้แล้วเห็นไหม แกดูๆ เห็นปากมันเบิร์นไหม ฮ่าๆๆ”
เอ่อ...คุณพ่อคะ คุณพ่อจะขำสะใจไปไหนคะ นั่นลูกชายคนเดียวของป๊ะป๋านะคะ 555
“ถาวร แกคิดว่าลูกสะใภ้ฉันคนนี้เป็นยังไงบ้าง” คุณอารัณย์ถามขึ้น หลังจากติดตามดูจนแน่ใจแล้วว่ากันต์ไม่ได้รังแกรสิกาอย่างที่เขากังวล
“คุณหนูรัสเป็นคนอดทน ใจเย็น และมีเหตุผลมากครับ” ถาวรเอ่ยหลังจากนิ่งทบทวนถึงหญิงสาวที่ถูกเอ่ยถึง เขานิ่งคิดอีกนิดหนึ่งจึงพูดขึ้น “และเป็นคนดีมากด้วย”
คุณอารัณย์ทำเสียงหึในคอคล้ายจะหัวเราะขำ แต่ก็คล้ายจะเยาะหยันอย่างไรพิกล
“ดีเกินกว่าจะคู่ควรกับไอ้กันต์มันใช่ไหม” คนเป็นพ่อพูดแล้วถอนใจยาว
“ผมไม่ได้พูดนะครับนาย” ถาวรบอกยิ้มบางๆ เผยความจนใจ “น่าสงสารคุณหนูรัส”
“ฉันก็สงสาร ยายหนูนั่นน่ารักจนฉันอยากได้เป็นลูกสาวอีกคน อยากช่วยหาคนดีๆ มาดูแลแกเสียด้วยซ้ำ เด็กคนนั้นควรได้เจอผู้ชายดีๆ ดีกว่าลูกฉัน แต่...” คุณอารัณย์ส่ายหัว “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ฉันดันไม่เหลือเวลาแล้วล่ะ”
ดวงตาสีเข้มของคนผ่านร้อนหนาวมานานทอดมองไกลออกไปก่อนมีเสียงถอนใจอีกครั้ง
“เลยได้แต่ทำร้ายลูกคนอื่นแบบนี้...”
“นายครับ...” ถาวรรับรู้ได้ถึงอารมณ์อันอ่อนไหวของคนเป็นนาย เขาขยับตัวทำท่าเหมือนอยากจะเข้าไปปลอบใจ แต่คุณอารัณย์ยกมือขึ้นห้ามไว้ ไม่ให้เขาแตะต้อง
“ฉันแค่...อยาก...อยากให้มีใครสักคนอยู่กับเจ้ากันต์เมื่อเวลานั้นมาถึง...ใครสักคนที่จะคอย...ใครสักคนที่ใสซื่อและจริงใจกับมัน คนที่จะช่วยประคองให้มันผ่านช่วงเวลานั้นไปให้ได้...”
ความนิ่งงันในห้วงอารมณ์และความคิดคำนึงอันซับซ้อนดำเนินอยู่พักใหญ่ ก่อนที่คุณอารัณย์จะลุกยืนขึ้น...คล้ายตัดอกตัดใจ ตัดอารมณ์สะเทือนใจออกไปได้หมดสิ้นแล้ว
“แล้วหลังจากนั้น...ไอ้วร ถ้าหลังจากนั้นไอ้กันต์มันทำไม่ดีกับหนูรัสแล้วละก็...แกช่วยดูแลยายหนูนั่นแทนฉันด้วยนะ” คุณอารัณย์พูดพลางล้วงอกเสื้อ หยิบกล่องซิการ์ออกมา
“นายครับ...” ถาวรเรียกเบาๆ
“จะตบกบาลหรือกระทืบให้มันรู้สำนึกก็ทำได้เลยนะ ฉันอนุญาต บอกมันว่าเป็นคำสั่งจากป๊ามัน”
“นายครับ...” ถาวรเรียกอีกทีพลางเดินมาดักหน้าเขา
“อะไรอีกล่ะ” คุณอารัณย์เลิกคิ้วประหลาดใจขณะหยิบไลเตอร์ออกมาเตรียมจุดซิการ์ที่เอาออกมาคาบไว้แล้ว
“หมอห้ามไม่ให้สูบบุหรี่ไงครับนาย หยุดเลย” ถาวรบอกพลางดึงซิการ์ออกจากปากเจ้านายแถมยังล้วงเข้าไปในอกเสื้อเขา ริบเอายาสูบไปทั้งกล่อง ทิ้งให้คนเป็นนายไว้กับไลเตอร์ที่เงื้อค้างอยู่ในมือ แต่ไม่มีที่ให้จุดแล้ว
“ไอ้...ไอ้วร! ไอ้เวร!” เสียงเจ้านายสบถงึมงำฟังดูคล้ายคนเป็นลูกชายยามโวยวายตอนถูกขัดใจอยู่ไม่น้อยเลย
“อ้อ นายครับ”
หายไปสักพักถาวรก็เดินย้อนกลับมาพร้อมแฟ้มเอกสารปึกหนึ่ง “ที่ให้ไปสืบ เจ้าพวกนั้นได้ข่าวมาแล้วนะครับ”
คุณอารัณย์ที่ตอนแรกทำท่าจะเข้าห้องไปพักผ่อนในห้องพักหมุนตัวกลับมานั่งที่โต๊ะกลางในโถงรับแขก เขาเปิดเอกสารดูอ่านไปสักพักก็ส่งต่อให้ถาวรรับไปดูต่อ
“ดูเหมือนลูกสะใภ้ฉันจะมีปัญหา...แกไปตรวจสอบให้ที”
“แล้วนี่...เอาไงดีครับ” ถาวรกวาดตามองข้อความในเอกสารที่ทำให้ต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“จัดการไปตามสมควร ที่ควรเตือนก็ไปเตือนมันหนักๆ หน่อย” คุณอารัณย์บอกเนิบๆ แต่มีรอยอันตรายอยู่ในนั้น
“แล้วที่ควรโดนหนักกว่านั้นล่ะครับ” ถาวรถามเสียงเหี้ยม
“แกก็จัดไปสิ ทำอย่างกับไม่เคย...” คุณอารัณย์บอกอย่างไม่ใส่ใจก่อนยกมือปิดปากหาวแล้วบ่น “ง่วงฉิบเป๋งเลย หมอให้ยาอะไรฉันมาวะ”
“หมอให้นายพักผ่อนเยอะๆ ครับ ไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวที่เหลือพวกผมจัดการต่อให้เอง”
คุณอารัณย์โบกมือเป็นเชิงรับรู้ก่อนหันตัวเดินเข้าไปในห้องนอนตนเอง ท่ามกลางสายตาของลูกน้องที่มองตามด้วยความเป็นห่วง
หลังจบมื้ออาหารกันต์ดูเวลาแล้วบอกรสิกาว่าต้องกลับไปทำงานต่อ หญิงสาวพยักหน้า หลังจากตกลงเรื่องค่าอาหารกันอีกครู่หนึ่งรสิกาก็ยอมให้เขาเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้เนื่องจากลูกน้องเขาอีกเกือบสิบคนนั้นก็กินกันไปไม่ใช่น้อยเลย ไม่เป็นการดีแน่หากจะแสดงความหยิ่งยโสหรือน้ำใจช่วยจ่ายค่าอาหารให้คนทั้งหมด เธอยังต้องใช้ชีวิตอยู่ซื้อข้าวซื้อน้ำให้ตัวเองกินอีกหลายวันนะกว่าจะสิ้นเดือนน่ะ
หญิงสาวหมุนตัวไปทางตู้กระจกที่มีสินค้าหลากหลาย สักพักก็กลับมาพร้อมถุงใบหนึ่ง ยื่นให้เขา
“ฉันฝากนี่ไปให้คุณลุงอารัณย์ด้วยค่ะ”
“มันคือ?” กันต์รับถุงที่มีโลโก้ร้านนาร์ซิสซัสมาเปิดดูอย่างประหลาดใจ มีกระปุกชากับคุกกี้ในกล่องใส คุกกี้กลิ่นวานิลลานั้นมีกลีบดอกไม้สีสดแปลกตาประดับอยู่ด้านบน มันถูกอบไปพร้อมขนมจนเป็นเนื้อเดียวกัน แต่คงผ่านกระบวนการพิเศษจึงยังคงสีสันสวยงามไว้อยู่
“ชาคาโมมายล์ที่ช่วยให้หลับสบาย กับขนมค่ะ นี่เป็นคุกกี้ดอกไม้ของทางร้านที่คุณซีดาร์หาสูตรมาลองทำ ฉันก็ช่วยทำด้วยนะคะ” รสิกาอธิบายด้วยดวงตาระยิบระยับ จนคนมองต้องเลิกคิ้ว
“เธอทำไอ้เนี่ยเองเรอะ” กันต์ถาม เขย่ากล่องคุกกี้ไปมา
“เบาๆ สิคะ เดี๋ยวคุกกี้แตกเสียหมด เอ๊ะ! คุณกันต์!” ท้ายประโยคคือเสียงที่สูงขึ้นอย่างตกใจของรสิกาที่อยู่ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าก็เปิดกล่องคุกกี้แล้วหยิบชิ้นหนึ่งออกมาเคี้ยวกินหน้าตาเฉย ไม่สนใจมือเล็กที่ซัดรัวเบาๆ ใส่ต้นแขนเขา
“คุณกันต์ ฉันฝากให้เอาไปให้คุณลุงนะคะ คุณจะมาแย่งกินได้ยังไง” รสิกาต่อว่าเขาอย่างโมโห นี่เขาไปตายอดตายอยากมาจากไหนกัน ทั้งๆ ที่เพิ่งกินอาหารมื้อใหญ่ขนาดนั้นเข้าไปจนอิ่มจุกแล้วแท้ๆ นี่ยังเคี้ยวคุกกี้เข้าไปได้อีกตั้งหลายชิ้นขนาดนี้
“เธอจะเอาของอะไรก็ไม่รู้ไปให้พ่อฉันกิน ฉันก็ต้องตรวจสอบก่อนสิว่ามันมีพิษหรือเปล่า” กันต์บอกหน้าตาเฉยก่อนเก็บกล่องคุกกี้คืนใส่ในถุง รสิกาตกตะลึงอ้าปากค้าง
“นี่...คุณนี่มัน...” หญิงสาวพูดติดอ่าง โมโหที่เขาถือวิสาสะกินของที่เธอฝากไปให้พ่อเขา ทั้งโมโหที่อยู่ๆ ก็มาถูกตั้งข้อหาร้ายแรงใส่ ทั้ง...ผู้ชายคนนี้นี่เคยพูดดี คิดดี หรือเรียนรู้เหตุผลดีๆ แบบมนุษย์ปุถุชนชาวบ้านเขาบ้างไหมนะ
“ถ้ามันมีพิษก็คงมีคนตายก่อนหน้านี้ไปแล้วละค่ะ ฉันทำขายมาตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว” รสิกาพยายามแก้ข้อหาร้ายแรงก่อน ยังไม่ทันต่อว่าเขาเลย กันต์ก็ขมวดคิ้วฉับ
“ในร้านยังมีที่เธอทำอีกเหรอ”
“แน่นอนสิคะ สินค้าขายดีอีกอย่างหนึ่งของร้านเลย มีเต็มตู้...” รสิกาจะโพรโมตร้านเสียหน่อย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมให้เธอทำสำเร็จ
“ไอ้เอ้ แกไปเหมาคุกกี้แบบนี้ที่ในร้านมาให้หมดเลย” กันต์หันไปสั่งลูกน้องที่อยู่ใกล้ที่สุดที่จำต้องหันตัวเดินไปทำตามคำสั่งแบบงงๆ
“คุณกันต์คะ คุณทำอะไรของคุณ” รสิกางงหนักขึ้นไปอีก นาทีหนึ่งเขาก็ทำท่าเหมือนจะรังเกียจของของเธอ พูดเหมือนมันไม่ควรค่า แต่นาทีถัดมาก็ให้ลูกน้องไปเหมามาหมดนี่มันยังไงกันล่ะเนี่ย
“ของพวกนี้...ต่อไปไม่ต้องทำขายแล้ว” กันต์บอกเสียงดุหน้าเคร่งจนรสิกาใจแป้ว
“มะ...มันไม่อร่อยเหรอคะ” คนใจไม่ดีถามเสียงอ่อยหน้าจ๋อยจนน่าสงสาร “ระ...รสชาติแย่มากเหรอคะ”
“ก็...ไม่ถึงกับแย่” กันต์หันมาเห็นหน้าซีดจ๋อยแล้วก็ให้หวั่นไหวไปวูบหนึ่ง “แต่ไม่ควรทำขาย”
กันต์พยักหน้าหงึกๆ สีหน้ามุ่งมั่นแสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่ที่ไม่อาจเปลี่ยนหรือแก้ไขได้อีก ก่อนจะสำทับ
“ต่อไป...ทำให้ฉันกินคนเดียวก็พอแล้ว”
ประโยคนั้นเหมือนยิ่งตอกย้ำให้คนฟังที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างรสิกาก้มหน้างุดด้วยความสะเทือนใจ จึงไม่ได้เห็นสีหน้าเอือมระอาของบรรดาลูกน้องของชายหนุ่มที่ส่ายหน้า กลอกตามองบนกันเป็นแถว
พวกเขาโตมากับนายน้อย รู้จักกันมาเกินสิบปีทำไมจะไม่รู้ว่าอากัปกิริยาของเจ้านายตัวเองนั้น...ปากแข็งหวงของ ไม่ต้องการให้เธอไปทำขนมให้คนอื่นกินต่างหากเล่า!
ไอ้ท่าทีดุๆ ขมวดคิ้วหน้าบึ้งนั่นน่ะ ขอทีเถอะ...แกล้งทำทั้งนั้น
พวกเขานั้นรู้ดีกว่าใครว่านายน้อยของพวกเขาเวลาที่จะไปทำอะไรโหดๆ ขึ้นมานั้นไม่เคยแสดงสีหน้าหรือท่าทางดุดันเลยสักนิด ไอ้ที่แสดงใส่รสิกามาตลอดหลายวันนี้น่ะ...
“เอ้า มัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่ได้ ไปได้แล้ว ฉันจะไปส่งเธอแล้วค่อยกลับไปทำงานที่โรงแรม” กันต์ว่าพลางตรงเข้าไปคว้าข้อมือเล็กของรสิกา ลากให้เดินตามออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ่งถมึงทึงเข้าไปใหญ่เมื่อสัมผัสได้ถึงความผอมบางมีแต่กระดูกของเธอ “ต่อไปกินข้าวให้มันเยอะๆ หน่อย เข้าใจไหม”
น้ำเสียงเข่นเขี้ยวดุดันนั้นยิ่งทำให้คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรผิดตรงไหนยิ่งมีท่าทีหวาดกลัวเขาเข้าไปใหญ่ ท่ามกลางความอ่อนอกอ่อนใจของลูกน้องที่อยากบอกเขาเหลือเกินว่า...
นายน้อยครับ นี่มันไม่ใช่วิธีจีบผู้หญิงเลยนะ ห่วงเขาก็บอกเขาไปดีๆ สิครับโว้ย!
ขณะที่คนทั้งหมดจะก้าวออกจากร้านนาร์ซิสซัสก็ต้องชะงักเพราะเสียงร้องทักแหลมๆ หวีดดังขึ้น
“นั่นยายรัสไม่ใช่เหรอ ทำไมมาจับมือถือแขนกับผู้ชายอยู่ข้างถนนแบบนี้”
หลายวันมานี้กันต์ได้ยินคนเรียกรสิกาอย่างหลากหลาย มีทั้ง ‘หนูรัส’ ‘คุณหนูรัส’ ‘ยายหนูรัส’ ไปจนถึง ‘หนูรัสลูกสะใภ้ป๊า’ แบบที่คุณอารัณย์พ่อเขาเรียกเธอเสียงอ่อนเสียงหวานด้วยกิริยาล่อหลอกสุดกำลัง และไม่มีชื่อไหนที่ถูกเรียกแล้วฟังดูแย่เท่านี้มาก่อนเลย เสียงนั้นแหลมสูงแถมยังมีรอยเหยียดเยาะอย่างไรพิกล
สรุป...เขาว่าเขาน่าจะเกลียดเจ้าของน้ำเสียงนี้
ชายหนุ่มหันมองสตรีวัยกลางคนตรงหน้า เธออายุราวสี่สิบถึงห้าสิบปี ร่างท้วมสวมชุดผ้าไหมสั่งตัด แถมยังโปะด้วยทองเส้นใหญ่ที่คอและข้อมือ ดูท่าทางเป็นคนมีอันจะกินในละแวกนี้เสียละมั้ง
“คุณป้าอมรรัตน์สวัสดีค่ะ” รสิกายกมือย่อตัวไหว้เธออย่างสุภาพ หลังจากเสียงทักนั้นทำเอาเธอต้องรีบสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของกันต์ราวกับแตะถูกของร้อน
“มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ แถมยัง...อยู่กับผู้ชายอีก ไม่คุ้นหน้าเลยนะพวกเธอ ไม่ใช่คนแถวนี้นี่นา” คุณอมรรัตน์หันไปพยักหน้าถามกันต์พลางจิกสายตาใส่เขา
กันต์และลูกน้องสลัดเสื้อสูททิ้งไปนานแล้ว สวมเพียงเชิ้ตสีขาวพับแขนซึ่งหลังจากผ่านการเดินเล่นในถนนคนเดิน เบียดเสียดกับผู้คนและนักท่องเที่ยวมารอบหนึ่ง พ่วงด้วยการนั่งรับประทานอาหารบนโซฟาที่สบายจนอดไม่ได้ที่จะเอนหลังลงไปในร้านของศิริดารา ชุดของพวกเขาก็ไม่เรียบกริบเหมือนตอนแรกแล้ว ทำให้ยากจะคาดเดาสถานะของพวกเขาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นสิ่งที่คุณอมรรัตน์เห็นก็คือ...
“ทำไมมากับผู้ชายเยอะแยะขนาดนี้ ยายรัส นี่แกคงไม่ได้ร้อนเงินจนทำเรื่องไม่ดีอะไรมาใช่ไหมยะหา” เสียงแหลมแปร๋นดังลั่นนั่นทำเอาผู้คนเริ่มหันมาจับตามอง หลายคนหันไปซุบซิบกัน...ล้วนแต่เป็นพวกปากหอยปากปูขาเมาท์กันทั้งนั้น
“คุณป้าคะ ใจเย็นๆ นะคะ รัสแค่พาเพื่อนมากินข้าวค่ะ ไม่ได้มาขายตัว” รสิการ้อนรนจนต้องรีบพูด
“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำนี่ แกนี่ร้อนตัวไปหน่อยแล้วมั้งยะ” คุณอมรรัตน์ทำเสียงหยันเยาะขึ้นจมูก ทั้งน้ำเสียง ทั้งสายตานั้นเหมือนจะกดทับรสิกาให้จมหายไปด้วยข้อหาร้ายแรงจนไม่เหลือที่ยืน
“ไอ้เอ้ ฉันคุ้นๆ ว่าภาษาไทยเขามีคำว่าอะไรนะ ที่เขาเอาไว้เรียกคนที่ไปยุ่งเรื่องชาวบ้านมากเกินไปน่ะ” กันต์ถามขึ้นเสียงดัง
“คำนี้เรียกว่า ‘เสือก’ ครับนาย” เอ้หรืออนล ลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆ รีบพูดขึ้นทันที รับลูกแบบไม่ยอมให้กระฉอก
“อ้อใช่ๆ เสือกสินะ ผมว่าป้าจะไปเสือกเรื่องชาวบ้านเขามากเกินไปไหมครับ” กันต์หันไปถามหญิงสูงวัยโดยไม่สนใจรสิกาที่ยกมือกุมขมับ สีหน้าทดท้อที่สุด
“แกว่าใครเสือกหา” คุณอมรรัตน์ชี้นิ้วมือไม้สั่น หน้าตาแดงก่ำทำท่าเหมือนความดันจะขึ้น
“อ้าว ก็ป้าเสือกอยู่เห็นๆ ยังมีหน้ามาถามอีกว่าใคร นี่ไม่รู้ตัวหรอกหรือว่าตัวเองเป็นไง นี่นอกจากชอบเสือกแล้วยังโง่อีกด้วยนี่นา” กันต์ทำสีหน้าทึ่งๆ กวาดตามองมนุษย์ป้าตรงหน้าขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสีหน้าท่าทางหยันเยาะอย่างจะให้หนักกว่าสายตาที่เธอใช้มองรสิกา
“แก!” คุณอมรรัตน์หวีดเสียงดังลั่น เรียกคนมามุงกันจนเต็มรอดูเรื่องสนุก
“คุณป้าใจเย็นค่ะ หนูรัสต้องขอโทษด้วยนะคะ เพื่อนหนูรัสมาจากอเมริกา พวกเขาไม่ค่อยรู้ภาษาไทยค่ะ” รสิการีบเข้าไปหย่าศึก
“ตอแหล แกไปมีเพื่อนที่อเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่เคยรู้” คุณอมรรัตน์หันความคลุ้มคลั่งมาลงที่รสิกา
“พะ...เพื่อนหนูรัสจริงๆ ค่ะ” รสิกาท้วงหน้าซีดเสียงสั่น เธอไม่เคยเถียงทันคุณอมรรัตน์ยามที่อีกฝ่ายมีอารมณ์รุนแรงแบบนี้มานานแล้ว
“หน็อย...ต่อหน้าคุณนัตกับตาเธนก็ทำท่าทางใสๆ เป็นเด็กดี ลับหลังนี่วิ่งมาหาผู้ชายเชียวนะยะ” คุณอมรรัตน์เบะปาก ยัดข้อหาสีหน้าเหยียดหยัน
“อีป้าปากมากนี่มันเป็นใครวะหนูรัส น่ารำคาญฉิบหายเลย” กันต์ดึงตัวรสิกามาถาม ไม่ยอมให้หญิงสาวหันไปตอบคำถามอะไรที่จะเป็นการเสียเปรียบอีก
ดูก็รู้ว่าความหน้าหนาและถ้อยคำต่ำช้าที่ถกเถียงกันนั้น...ยายหนูรัสไม่ใช่คู่ต่อสู้นังป้านี่แน่ๆ ถ้าไม่ติดคนมุงเยอะขนาดนี้ เขาให้ไอ้เอ้ไปตบปากเสียๆ นั่นนานแล้ว
ลูกน้องเขาคนนี้เก่งกับผู้หญิง เด็ก และคนแก่เป็นพิเศษ
“คะ...คุณป้าอมรรัตน์เป็น...เป็นภรรยาของเพื่อนพ่อฉันค่ะ” รสิกาบอกเสียงสั่น
“ฉันเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ยายรัส แกล่ะเป็นใคร” คุณอมรรัตน์ตั้งหลัก ใช้ความอาวุโสมาโจมตี
“ญาติผู้ใหญ่?” กันต์หันมาทำน้ำเสียงเยาะหยัน “อย่าใช้ความเป็นผู้ใหญ่มาเคลมหน่อยเลย ญาติผู้ใหญ่บ้านป้าเหรอมาร้องแรกแหกกระเชอกลางตลาดด่าประจานลูกหลานด้วยเรื่องที่ไม่จริงแบบนี้ คำว่าตอแหลที่ป้าว่าหนูรัสเมื่อกี้น่ะ คงต้องคืนให้ป้าเอาไปใช้เองแล้วละ”
“กะ...แก...แก...” คุณอมรรัตน์ติดอ่าง
“ผมมาจากอเมริกา ที่นั่นทุกคนเท่ากันหมดแหละ ไม่แบ่งแยกหรอก ถึงแก่กว่าแต่ถ้าทำตัวแย่ๆ ก็โดนด่าได้นะป้า ที่อเมริกาเขาไม่สนหัวหงอก หัวดำ หรือหัวทองหรอกนะ แถมยังเท่าเทียม ผู้ชายตบผู้หญิงได้ไม่ถือหรอก หรือป้าจะลองดูไหมล่ะ” พูดจบก็พยักหน้าให้ลูกน้อง มีสองคนเดินดุ่มเข้าไปทันที
ร่างใหญ่โตและท่าทางเหี้ยมหาญของพวกเขาที่ดูไม่ได้ล้อเล่นทำเอาคุณอมรรัตน์ถึงกับปากคอสั่น
“ฉัน...ฉัน...ฉันจะไปฟ้องคุณนัตกับตาเธนให้ไล่แกออกจากสำนักงานทนายความ” หญิงวัยกลางคนกรีดเสียงสั่นไหว ข่มขู่รสิกาขณะถอยกรูดๆ พอได้จังหวะก็หันหลังโกยอ้าวไปเลย
“เอ้า ไม่อยากรู้เรื่องชาวบ้านแล้วเรอะ” กันต์ตะโกนไล่หลังอย่างชักอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว
ชาวบ้านที่อยู่รายรอบยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ สลายตัวไปเพราะคู่กรณีไม่อยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ...ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้กันดีถึงฝีปากคุณอมรรัตน์ แต่นี่กลับมีคนที่ทำให้เธอแตกพ่ายหนีหัวซุกหัวซุนไป ใครที่ยังรักชีวิตและสุขภาพจิตคงรู้ตัวแหละว่าไม่ควรไปตอแยคนกลุ่มที่เหลืออยู่นี้
“โห...คุณกันต์เก่งจริงๆ เลยค่ะ ทำเอายายป้านั่นเผ่นแน่บไปได้แบบนี้”
เสียงชื่นชมดังมาจากด้านหลังพอหันไปก็เจอศิริดารายืนอยู่ในร้าน แต่ชะโงกหน้าออกมาดูความวุ่นวายที่หน้าประตู หญิงสาวมีสีหน้าชื่นชมแทบจะลุกขึ้นยืนปรบมือโห่ร้องให้ผู้ชายปากร้ายตรงหน้า
“เจ๋งจริงๆ จัดการคนปากร้ายระดับอำเภอได้ ทุกทียายหนูรัสไม่เคยเถียงได้ทันเขาเลยนะคะ” ศิริดาราบอกยิ้มๆ สีหน้ายามหันไปมองรสิกามีรอยพึงใจ คลายใจลงที่หญิงสาวมีพรรคพวกที่พอจะปกป้องเธอได้บ้างแล้ว
“เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเหรอ” กันต์ถามตวัดสายตาดุใส่รสิกาที่สะดุ้งวาบ สีหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าตนทำอะไรผิดไปตรงไหนถึงโดนจ้องดุดันแบบนี้
“กะ...ก็ไม่บ่อยหรอกค่ะ” รสิกาตอบอ้อมแอ้ม
“ไม่บ่อยอะไร ทุกครั้งที่เจอกันยายป้านั่นคอยแต่จะหาเรื่องยายรัส ทำเหมือนยายรัสไปติดหนี้อะไรไว้เลย ยายนี่ก็อ่อนแอเก่ง ยอมคนง่าย ไม่มีปัญญาไปสู้เขา” ศิริดาราได้ที รีบสุมไฟกองใหญ่เผาพนักงานสาวน้อยที่เธอเอ็นดูเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง
“ยายหนูรัส ถ้าฉันเห็นเธอสู้เขาไม่ได้อีกทีละก็นะ” กันต์หันไปเข่นเขี้ยวใส่อย่างหัวเสีย
“สู้ไม่ได้หรอกค่ะ ยายหนูรัสของฉันเป็นคนอ่อนแอรังแกง่ายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ต้องให้คุณกันต์ช่วยสอนวิธีสู้คนให้สักหน่อยแล้วละ” ศิริดารารีบส่งใบสมัครคอร์สเรียนให้รสิกาอย่างกระดี๊กระด๊าสุดๆ โดยไม่สนใจสายตาดุๆ ของกันต์ที่หันมาจิกแรงใส่เธอ
กันต์มองสตรีตรงหน้า เขาสะดุดหูกับคำว่า ‘ยายหนูรัสของฉัน’ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าระคายหูอย่างไรพิกล ยายนี่เป็นใครมีสิทธิ์อะไรมาใช้คำว่า ‘ของฉัน’ กับรสิกา
‘ยายหนูรัสของฉันไปเป็นของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่งั้นเรอะ’
คนคิดอย่างเดือดๆ ที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังเดือดคิดถึงความเป็นไปได้ เขาชักสงสัย...ยายนี่คงไม่ได้คิดเกินเลยกับรสิกาใช่ไหม
ว่าแล้วเขาก็กวาดตามองดูศิริดาราอย่างละเอียด เธอเป็นคนสวยคนหนึ่งร่างโปร่งบาง สูงกว่ารสิการาวสิบกว่าเซ็นต์ หญิงสาวสวมชุดเดรสวินเทจคาดทับด้วยผ้ากันเปื้อนจับจีบระบายแบบสวยหวานสุดๆ เมื่อมารวมกับผมยาวสยายถึงกลางหลังยิ่งทำให้เธอดูเป็นสาวน้อยที่เปล่งออร่าความเป็นอิสตรีอย่างเปี่ยมล้น
โอเคละ ยายนี่ไม่ได้เป็นทอม...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ชอบผู้หญิงนี่นา...กันต์ขมวดคิ้วแน่นเข้าไปใหญ่เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ในเรื่องความหลากหลายทางเพศในสมัยนี้
ไม่ได้การละ เขาต้องเอายายหนูรัสไปไว้ให้ห่างๆ ยายนี่หน่อยดีกว่า เพื่อความปลอดภัย
สมัยนี้นี่อยู่ยากเป็นบ้า...ไม่ใช่แค่ต้องคอยกันผู้ชายออกไปห่างๆ ผู้หญิงของตัวเอง ยังต้องมาเฝ้าระแวงผู้หญิงคนอื่นๆ อีก แต่คิดอีกที...ถ้าหากให้ยายหนูรัสเลิกมาทำงานที่นี่ได้แล้วละก็ เธอก็จะได้ไม่ต้องมาทำคุกกี้ขายให้ใครที่ไหนก็ได้มาซื้อไปกิน
ยายหนูรัสจะได้ทำขนมให้เขากินแค่คนเดียว...ความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว
คนคิดพยักหน้าให้ตัวเองอยู่ในใจ
“ไป ยายหนูรัส ฉันจะไปส่งเธอแล้วจะได้เทรนเรื่องการสู้คนให้เธอด้วย” กันต์ว่าพลางลากคอเสื้อหญิงสาวให้เดินตามมาออกห่างมาจากศิริดาราที่ยังยืนมองตามไปด้วยสีหน้าประดับรอยยิ้ม
ที่ผ่านมาเจ้านายสาวก็ได้แต่ขัดใจเสมอมาที่รสิกาไม่ยอมสู้คนสักที ไม่ว่าเธอจะสอนสั่งแค่ไหน อีกฝ่ายก็เพียงแต่ยิ้มอ่อนยอมคนอื่นตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อมีโอกาสที่ได้เจอคนปากร้ายไม่ยอมคนอย่างกันต์มาเป็นแบบอย่างที่...แม้จะไม่ดีเท่าไร แต่ถ้าจะทำให้รสิกาได้เห็นตัวอย่างว่าการสู้คนนั้นทำอย่างไร ศิริดาราก็ยิ่งกว่าเต็มใจที่จะผลักดันให้สาวน้อยเรียนรู้จากผู้ชายที่ท่าทางจะปากคอเราะรายไม่ธรรมดาตรงหน้า
ดูบุคลิกลักษณะของกันต์แล้ว ศิริดาราก็มองออกอยู่หรอกว่าเขาไม่ธรรมดา ท่าทางลูกคุณหนูเอาแต่ใจ มีลูกน้องฝูงใหญ่คอยดูแล แถมยังใช้บัตรเครดิตระดับสูงอีกต่างหาก เขาดูแพงโดยไม่ต้องประกาศใดๆ ออกมา คนที่มีสายตาลึกซึ้งย่อมต้องมองออก
...หึๆๆ ถ้าหากว่าเชียร์ให้เขากับยายหนูรัสได้มีโอกาสใกล้ชิดกัน...เผื่อยายน้องหนูรัสกับเขาสปาร์กกันเข้า...งานนี้มีลุ้น ยายน้องนุ่มนิ่มที่เธอเห็นและเอ็นดูมานานอาจไม่ต้องวิ่งรอกทำงานหลายที่งกๆ เพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนแบบนี้อีก เผลอๆ อาจมีคนมอบทุนการศึกษาให้ไปตลอดชีวิต!
โอ๊ย...ยิ่งคิดยิ่งครึ้มอกครึ้มใจจนศิริดาราแทบจะฮัมเพลงออกมา
ก็...ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าเธออ่านใจได้และได้รู้ถึงสิ่งที่อีตากันต์คิดไว้เมื่อครู่นี้จะยังอารมณ์ดีพอจะเชียร์เขาอยู่อีกหรือเปล่านะ
โชคดีที่ไม่มีใครรู้ถึงความคิดของกันต์ รวมถึงรสิกาด้วย แต่กับรสิกาไม่รู้ว่าควรนับเป็นโชคดีได้ไหม หญิงสาวถูกลากตัวเดินผ่านผู้คนในถนนคนเดินช่วงดึกที่มีผู้คนออกมาเดินกันเนืองแน่นไปหมด บรรดาร้านค้าและผู้คนที่เคยตะโกนทักทายรสิกาเมื่อตอนหัวค่ำต่างยุ่งง่วนอยู่กับการค้าขายของตนจนไม่มีใครเงยหน้ามาให้ความสนใจกลุ่มคนที่กำลังเดินแหวกอยู่กลางฝูงชนกลุ่มนั้นอีก
แต่วันนี้นักท่องเที่ยวออกมาเดินกันเยอะจริงๆ ผู้คนเบียดเสียดกันไปมาจนรสิกาถูกชนเซไปมาหลายครั้ง จนกระทั่งมือใหญ่ตะปบคว้าคนตัวเล็กลากเข้ามาชิดตัวใช้แขนตัวเองโอบไว้ ไม่ให้เธอถูกคนมากมายจนแออัดมาเบียดเสียดเนื้อตัวได้ เพียงไม่นานก็ผ่านออกมาถึงรถที่จอดรอได้โดยปลอดโปร่ง
“เดี๋ยวเธอกลับไปเก็บเสื้อผ้ามาสักสองสามชุด เอาแค่พอสวมสักวันสองวันก็พอ” กันต์สั่งเมื่อทั้งคู่ขึ้นมาอยู่ด้วยกันบนรถแล้ว
“เก็บเสื้อผ้าทำไมคะ” รสิกาสงสัย
“ไปอยู่กับฉันที่โรงแรม” กันต์บอกเรียบๆ
“ไม่เอาค่ะ” รสิกาตอบกลับทันควันแบบไม่เสียเวลาคิด
“ดูเหมือนจะมีคนลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เราคุยอะไรกันไว้” กันต์หันมาเอียงคอมองคนที่เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้โดนเขาข่มขู่อะไรเอาไว้
ชายหนุ่มมองริมฝีปากบางที่สั่นระริกอ้าๆ หุบๆ อย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะด่าเขาว่าอะไรดี...ใช่ ความรู้สึกนั้นมันส่งผ่านออกมาทางสีหน้าแววตาของรสิกาอย่างชัดเจนมาก มากเสียจนเขาอยากหัวเราะดังๆ ใส่ หรือไม่อย่างนั้นก็...
กันต์ทำตามความคิดที่สองที่ผุดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้โดยอีกฝ่ายยังตั้งตัวไม่ติด คงไม่คิดว่าจะโดนเขาจู่โจม ชายหนุ่มแตะริมฝีปากกับเธออย่างแผ่วเบา ทดลองแนบคลึงเคล้าสัมผัสดูแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่แย่เลยสักนิด...เสียแต่รสิกาเริ่มรู้สึกตัวผงะถอย และทำท่าจะอ้าปากร้อง...เขาเลยตัดสินใจได้ว่าปิดปากเธอเลยดีกว่าจะได้ไม่มีปัญญาร้องหรือปฏิเสธเขาอีก ส่วนกิริยาปัดป้องและพยายามจะผละถอยหนีนั้น...ด้วยเรี่ยวแรงของคนตัวเล็กตรงหน้าจะต่อต้านเขาได้แค่ไหนกันเชียว
กันต์รวบร่างเธอเข้ามารัดไว้แนบแน่นในอก เท่านี้ยายหนูรัสก็ไม่มีปัญญาหนี ต้องยอมให้เขาจูบดีๆ แล้ว
ยังมีเสียงอึกอักครางท้วงลอดออกมาได้อยู่ กันต์เลยคลึงขยี้เธอหนักหน่วงขึ้นอีกนิด ประกบจุมพิตจิบชิมริมฝีปากบอบบางที่ให้รสชาติดีกว่าที่คาดไว้...เยอะ...มากๆๆ
ผ่านไปหลายนาทีจนรสิกาทำท่าเหมือนจะขาดอากาศหายใจ เขาจึงค่อยถอยออกมานิดเดียว ระหว่างที่ให้เธอพักหายใจหายคอ เขาก็แตะริมฝีปากจูบไล่ไปทั่วแก้มและหน้าผากเนียน และก่อนเธอจะทันตั้งสติกรีดร้องออกมา กันต์ก็ประกบริมฝีปากเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้แทรกผ่านรุกรานเข้าไปชิมรสชาติในโพรงปากนุ่มหวาน เกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นเข้ากับลิ้นเล็กที่เจ้าของยังตื่นตะลึงตั้งตัวไม่ติด
มันเป็นรสสัมผัสที่กันต์ก็ไม่เคยรับรู้มาก่อน มันเหมือน...
จูบกับคนจูบไม่เป็น...
ใช่ ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างคนมีประสบการณ์โดยสิ้นเชิง รสิกาทำได้เพียงตัวสั่นดิ้นรนอึกอักอยู่ในอ้อมอกเขาเท่านั้น ขณะที่ชายหนุ่มกลับไม่ได้รู้สึกว่าจุมพิตนั้นไม่ดีตรงไหน ตรงกันข้าม การที่ได้รับรู้ว่าคนในอ้อมกอดนั้นไม่เคยกระทั่งจูบทำให้เขารู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอีกหลายจังหวะ อยากดูดดื่มเธอลึกซึ้งขึ้นไปอีก แย่งชิงความบริสุทธิ์ของลิ้นเล็กนุ่มที่เขาอยากกลืนกินเธอลงไป
อยากมากกว่านี้อีก!
กันต์ถอนจุมพิตช้าๆ แต่ยังแตะริมฝีปากผ่าวร้อนแผ่วเบาอย่างถนอมไปทั่วดวงหน้าเล็กๆ นั้น
“คะ...คุณกันต์ หยุดนะ!” รสิการู้สึกตัว ยกแขนหนึ่งขึ้นดันเขาไว้ ขณะอีกมือหนึ่งเอามาปิดปากตัวเองไว้แน่นสะกดกลั้นเสียงกรีดร้องของตัวเอง เบิกตาโตมองหน้าเขาอย่างตื่นตระหนก “คุณๆๆ จะ...จะ...”
“จูบแรกเหรอ” กันต์ถามด้วยดวงตาพราวระยับรอยสุขสมใจยามมองสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของคนที่ถูกเขาชิงความซิงของจูบแรกไปแล้ว
“เธออยู่มาได้ยังไงจนป่านนี้เนี่ย...ยายหนูรัส เธอไม่เคยคบใครเลยจริงๆ เหรอ” กันต์ตอกย้ำด้วยสีหน้าระเริงใจสุดๆ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเปลี่ยนอารมณ์ไปไม่น้อยเลยเมื่อรสิกาเชิดหน้า ทำสีหน้าไม่ยอมแพ้ เอาหลังมือถูริมฝีปากตัวเองแรงๆ ราวกับจะปัดเอาสัมผัสจากริมฝีปากเขาออกไปให้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
“มะ...ไม่ใช่สักหน่อย” รสิกาปฏิเสธเสียงสั่น
“ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่ไม่เคยคบใคร หรือว่าไม่ใช่จูบแรก” กันต์เลิกคิ้วถามคนที่โกหกได้ไม่เนียนเลย ให้ตายสิ ท่าทางขัดเขิน แก้มแดงก่ำ ทำท่าอายจนเหมือนตัวจะแตกอยู่แล้วนั่นน่ะ...ยังมีหน้ามาทำท่าไม่แคร์ได้อีกเหรอ
ชายหนุ่มไล่สายตาตกลงมาบนชุดหลวมๆ หนาๆ ที่เธอสวมอยู่ ชักอยากรู้ว่านอกเหนือจากริมฝีปากที่ยังเวอร์จิน...เอ่อ เคยเวอร์จินสินะ...ของเธอแล้ว ยังมีส่วนไหนที่ยังไม่มีใครเคยครอบครองอีกบ้าง ความอยากรู้อยากเห็นจนแทบทนไม่ไหวนั้นทำเอาอยากจะปลดกระดุมแหวกเสื้อเธอออกมาดูปฏิกิริยาเธอ ให้รู้ชัดกันไปเลยว่าจะยังทำท่าพยายามไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้ได้อยู่อีกไหม
เหมือนรสิกาจะรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา เธอกระถดตัวถอยออกมาจนหลังพิงเบาะ กอดอกจิกนิ้วขยุ้มเสื้อตัวเองไว้แน่น มองเขาด้วยสายตากล่าวหาราวกับมองคนร้ายโรคจิต
“ไม่เคย...จริงๆ เหรอ” กันต์ยื่นหน้าเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจกวาดมองสีหน้าทำอะไรไม่ถูกของคนถูกรังแกอย่างมีความสุข หรือเขาจะเสพติดการรังแกยายหนูรัสไปแล้วก็ไม่รู้ การได้แกล้งรังแกเธอ ได้เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าหญิงสาวกลายเป็นความเพลิดเพลินไปโดยไม่รู้ตัว
“คุณไม่มีสิทธิ์ถามฉันแบบนี้นะ” รสิกาฝืนความอายท้วงออกไปเสียงแข็ง
“โอ้ ฉันคิดว่ามีนะ ทะเบียนสมรสของเรายังอยู่ในเซฟที่พวกลูกน้องฉันเก็บไว้เป็นอย่างดีเลยเชียว แถมพ่อฉันยังสั่งให้คนถ่ายสำเนาส่งอีเมลไปหาทนายส่วนตัวให้จัดการเรื่องเอกสารให้เรียบร้อยอีก ดูเหมือนเขาจะสั่งโอนหุ้นกับทรัพย์สินและก็เงินในบัญชีให้เธออีกด้วยนะ” กันต์บอกยิ้มๆ “ถ้าไม่เชื่อ...เธอลองเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กยอดเงินในแอปฯ ธนาคารดูก็ได้ ป่านนี้ทนายน่าจะทำเรื่องโอนข้ามประเทศมาให้เรียบร้อยแล้วมั้ง”
รสิกาอดไม่ได้จริงๆ เธอควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดหน้าจอดูแอปฯ ธนาคารตามที่เขาบอก...เผื่อว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอจะได้เอายอดเงินในบัญชีอันกระจุ๋มกระจิ๋มน่าเอ็นดูของตัวเองฟาดใส่หน้าเขาให้รู้ไปว่า นอกจากยอดเงินที่พ่อเขาโอนมาก่อนหน้านี้แล้วนั้นมันไม่...
“ไม่จริง!” รสิกาแทบกรีดร้อง ตาเบิกโพลง มองหน้าจอมือถือ อ้าปากค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก
ถ้าก่อนหน้านี้ตัวเลขหกหลักที่ถูกโอนให้เรียกความช็อกจากเธอได้ไม่น้อย ตอนนี้ตัวเลขศูนย์หก...เจ็ดหลักในหน้าจอมือถือก็คงทำเธอจิตหลุดไปแล้วมั้ง
“คะ...คุณ พวกคุณทำอะไรกับ...” รสิกาชูหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างช็อกๆ ยอดเงินที่เข้ามานี่มันเกินไปมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง เขา...พวกเขาต้องทำอะไรสักอย่างที่เป็นการเล่นเล่ห์กลกับการโอนเงินนี่แน่ๆ
เธอเคยได้ยินเรื่องแก๊งสแกมเมอร์ที่มาหลอกผู้หญิงไทยว่าจะโอนเงินมาให้จากต่างประเทศ แต่มันติดขั้นตอนต่างๆ นานา...และก็หลอกเหยื่อให้เชื่อใจยอมโอนเงินค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ มาให้เพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่ที่พวกนั้นเอามาล่อลวง
แต่นี่...นี่...นี่มันเงินเข้าบัญชีมาโดยยังไม่ได้หลอกเอาเงินเธอไปเลยนี่นา
แต่ถึงเขาจะหลอกลวงต้มตุ๋นแบบแก๊งพวกนั้นเธอก็ไม่มีเงินให้เขาหลอกหรอกนะ
“โอนเงินไง ยายหนูรัส แล้วหลังจากนี้ทุกเดือนจะมีเงินค่าใช้จ่ายถูกโอนให้เธอต่างหากอีกก้อนหนึ่ง” กันต์บอกขันๆ ชักชินกับสีหน้าไม่เชื่อถือของเธอแล้ว สีหน้าที่แสดงการกล่าวหากันว่าเขาเป็นมิจฉาชีพแน่ๆ และต้องมีแผนการอะไรสักอย่างมาหลอกลวงเธอแหงๆ เลย
กันต์ทั้งขันทั้งอ่อนใจจนต้องส่ายหน้าให้เบาๆ
“โทรศัพท์ก็เป็นของเธอ อยู่ในมือเธอ แอปฯ ธนาคารก็เป็นบัญชีชื่อเธอ ไม่มีใครไปทำอะไรกับมันได้ ไหน...บอกมาซิว่ามีอะไรตรงไหนที่หลอกลวงกันอีก” กันต์ถามยิ้มๆ
“พะ...พวกคุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่...” รสิกาถามอย่างอ่อนแรง ช็อกจนหมดเรี่ยวแรงไปแล้ว
“พ่อฉันอยากได้ลูกสะใภ้ เรื่องนี้มันเข้าใจยากตรงไหนกันล่ะ” กันต์ถามพลางเกลี่ยนิ้วเล่นปอยผมที่หลุดจากการมัดไว้มาเคลียแก้มเธอ เขี่ยได้สองสามทีหญิงสาวก็เริ่มรู้สึกตัว ยกมือขึ้นปัดมือเขาออก กิริยาปัดป้องนั้นทำให้คนเอาแต่ใจรู้สึกถูกท้าทายจนรวบมือเล็กเอามาคลึงเล่นในมือตัวเองแทน
“คุณกันต์คะ เราต้อง...ต้อง...” รสิกาอึกอักเมื่อชักรู้สึกหวั่นไหววูบวาบกับสัมผัสที่ปลายนิ้วร้อนแตะต้องมือเธอไม่หยุด “ต้องหยุดเรื่องนี้ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปกันใหญ่”
“ว่ามาสิว่าเธอจะหยุดพ่อฉันได้ยังไง” กันต์ถามพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง อมยิ้มมองสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของรสิกา จริงๆ แล้วเขาแทบไม่สนใจบทสนทนาเลย เพราะมัวเพลินอยู่กับการสัมผัสมือเล็กที่ยึดเอาไว้ น่าแปลกชะมัดเลยทำไมเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าการจับมือผู้หญิงให้ความรู้สึกที่ดีได้ขนาดนี้นะ
“ฉันคงต้องขอเวลาสักสองสามวันในการเกลี้ยกล่อมคุณลุงสักหน่อย...” รสิกาว่าพลางกลืนน้ำลายฝืดคอ เมื่อเห็นประกายวิบวับในดวงตาของกันต์ก็บอกตัวเองได้ว่าการเจรจานี้คงไม่อาจต่อรองอะไรกับคนเอาแต่ใจอย่างเขาได้แน่
“ก็...ระหว่างนั้นก็เก็บข้าวของมาอยู่ด้วยกันที่โรงแรมซะ เธอจะได้มีโอกาสเกลี้ยกล่อมพ่อฉันได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยไง” กันต์บอกพลางยิ้มกว้างใส่สีหน้าพะอืดพะอมของคนโดนแกล้ง
“ฉันมีเรียน” รสิกาบอก แทบจะถอนใจอย่างโล่งอกที่หาเหตุผลขึ้นมาได้ “ฉันเรียนกฎหมายค่ะ วันเสาร์อาทิตย์คือวันเรียนของฉันเลย”
“ไปอยู่กับฉันสนุกกว่าเรียนตั้งเยอะนะหนูรัส” กันต์เริ่มหลอกล่อด้วยดวงตาเต้นระริก พราวรอยร้ายๆ ดูแบดกายสิ้นดี
“ฉัน...หน้าตาเหมือนคนที่เห็นผู้ชายสำคัญกว่าอนาคตตัวเองงั้นเหรอคะ” รสิกากลั้นใจถามออกไป ทั้งที่หัวใจเต้นแรงแทบกระดอนออกมาอยู่แล้วกับรอยยิ้มของเขา...โอยจะระทวยอยู่แล้วนะเนี่ย
“นั่นยิ่งทำให้อยากได้เข้าไปใหญ่” กันต์กระซิบด้วยสีหน้ามันเขี้ยวและยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อรสิกาผงะถอย...ถอยทั้งที่ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว
โอย...ทำไมยายหนูรัสถึงได้น่ารักน่าแกล้งขนาดนี้วะ แบบ...น่ารักไม่ไหวแล้ว
“ถึงบ้านแล้ว ยายหนูรัส คืนนี้กลับไปนอนคิดซะคืนหนึ่งนะ ว่าจะกล่อมพ่อฉันยังไงให้ยอมตกลง” กันต์บอกหลังจากที่เสพสุขกับสีหน้าหวาดระแวงของรสิกาอีกพักใหญ่ และหลังจากที่ได้รับอนุญาตให้กลับไปดีๆ สีหน้าของหญิงสาวก็ยังไม่มีความวางใจแต่อย่างใด ยังมองหน้าเขาอย่างค้นหา เหมือนพยายามจะอ่านความคิดเขาให้ได้จนกันต์ต้องสำทับ
“ถ้ายังมองหน้าฉันอยู่แบบนี้ จะเปลี่ยนใจให้รถไปที่โรงแรมแล้วนะ จะลงไม่ลง”
“ละ...ลงค่ะ ลง ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง ขอบคุณทุกคนด้วยนะคะ คุณกันต์อย่าลืมเอาคุกกี้ให้คุณลุง แล้วอย่าแอบกินหมดนะคะ”
คำสั่งยาวเหยียดเสียจนมีเสียงคำรามขัดใจจากในคอคนขี้โมโห รสิการู้สึกตัว แทบกระโดดหนีห่างออกมา หันหลังได้ก็โกยอ้าวหนีสุดชีวิตแบบไม่เหลียวหลัง
ความคิดเห็น |
---|