1

1

ปีพุทธศักราช ๒๕๐๓

 

                แสงสีทองสุดท้ายที่ปลายฟ้าค่อยๆ เคลื่อนเลือนรางลาลับทางทิศตะวันตก ในขณะที่แสงจันทร์สีน้ำเงินค่อยๆ เปล่งประกายบนเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออก สายลมหนาวพัดเอื่อยพาให้กิ่งไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมไปทั่วทิวเขาเสียดสีพลิ้วไหว คล้ายเสียงดนตรีบรรเลงประกอบการกางปีกล้อเล่นลมของฝูงปักษานับร้อยที่กำลังกลับคืนรัง           

“สวย สวยไม่เปลี่ยน” เจ้าของริมฝีปากหยักว่าขณะประคองพวงมาลัยรถให้แล่นไปตามเส้นทางอันคดเคี้ยว ชายหนุ่มฮัมเพลงพร้อมกับเคาะปลายนิ้วลงบนพวงมาลัยอย่างสบายอารมณ์ ถึงแม้นว่าสหายสนิทจะเคยเตือนไว้ว่าให้หลีกเลี่ยงการเดินทางตามลำพังในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินด้วยเกรงว่าจะเกิดอันตราย แต่สำหรับเอกบุรุษผู้นี้กลับมองว่าการได้เดินทางมาที่นี่อีกครั้งคือความสนุกที่ไม่อาจรั้งรอได้อีกแม้แต่นาทีเดียว

รถยนต์คันโก้ค่อยๆ ชะลอความเร็วจอดเทียบริมรั้วไม้สูงใหญ่ ชายหนุ่มเจ้าของรถกวาดสายตามองหาสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าเขาไม่ได้มาผิดที่ กระทั่งดวงตาคู่คมสบเข้ากับป้ายเก่าผุพังตรงมุมเสาที่ระบุคำว่า ‘ชัยนราพงศ์’ จึงเปิดประตูรถ เดินเข้าไปหาป้ายไม้ที่ถูกปลวกกินไปบางส่วนแล้วยกยิ้มมุมปาก

“ดูดีกว่าที่คิด ไม่เสียแรงที่ไว้ใจ” เอ่ยจบแล้วจึงออกแรงผลักประตู

กึก! กึก! กึก!

“หืม...”

เสียงกุกกักที่ดังอยู่ด้านหน้าประตูพาให้คนที่กำลังยืนเก็บดอกมะลิอยู่อีกฝั่งของรั้วเบิกตาโพลง เจ้าของร่างบางค่อยๆ ขยับเข้าไปเงี่ยหูฟังใกล้ๆ เพื่อความมั่นใจอีกรอบ และ...

กึก! กึก! กึก!

ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตกใจ โยนกระทงใบตองที่มีดอกมะลิอยู่ด้านในลงพื้น ก่อนจะย่อตัวลงคว้าท่อนไม้ที่เตรียมนำไปตัดเป็นฟืนขึ้นมา มือบางทั้งสองข้างถือท่อนไม้เอาไว้มั่น ตั้งท่าเตรียมพร้อมรอให้การต้อนรับผู้บุกรุกอย่างสาสม

กึก!

ผลัวะ!

ตุ้บ!

“โอ๊ย! โอ๊ย!”

“นี่แน่ะ! นี่แน่ะ!” 

“เฮ้ย! หยุดนะ เธอเป็นใคร กล้าดียังไงถึงได้มาทำร้ายฉันแบบนี้” ชายหนุ่มยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเป็นเกราะกำบัง หรี่ตามองเจ้าของร่างบางที่ยังโถมกำลังฟาดท่อนไม้ใส่ลำตัวของเขาไม่ยั้ง

“ใครๆ ก็มีสิทธิ์ตีโจร จับโจรส่งตำรวจทั้งนั้น” หญิงสาวว่าแล้วยกท่อนไม้ขึ้นสูงหมายจะฟาดลงบนใบหน้าเจ้าโจรร้ายอีกรอบ ทว่ายังไม่ทันได้ออกแรงฟาดท่อนไม้ เสียงเอะอะที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังก็ดึงความสนใจของเธอไปได้เสียก่อน

“กลิ่นจันทน์ เกิดอะไรขึ้น” ชายชราร้องถาม

“โจรจ้ะปู่” เจ้าของเสียงใสร้องตอบหลังจากที่ฟาดท่อนไม้ลงบนลำแขนของโจรหนุ่มอีกรอบ

“เดี๋ยว! กลิ่นจันทน์หยุดก่อน หยุดเดี๋ยวนี้” หญิงชราที่วิ่งเข้ามาพร้อมชายชราที่หญิงสาวเรียกว่าปู่หรี่ตามองบุรุษเบื้องหน้าแล้วรีบวิ่งเข้าไปประคองอย่างรวดเร็ว

“ย่า อย่าเข้าไป” หญิงสาวนามกลิ่นจันทน์ร้องเสียงหลงยามผู้เป็นย่าวิ่งเข้าไปหาผู้บุกรุกบ้านตรงหน้า

“พ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงเจ็บตรงไหนบ้าง” หญิงชราละล่ำละลักถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“...”

“หืม...” ชายชราขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด เพื่อมองใบหน้าผู้บุกรุกในยามวิกาลให้แน่ชัดอีกรอบ ก่อนจะโผเข้าหาชายหนุ่มอีกคน “พ่อเลี้ยง มาได้ยังไงครับ ทำไมไม่โทรเลขมาบอก ผมจะได้ลงไปรับ”

“...”

“พ่อเลี้ยง...” กลิ่นจันทน์พึมพำ ปล่อยท่อนไม้ในมือให้หล่นลงกระแทกพื้นดินอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะค่อยๆ ยกมือสั่นเทาทั้งสองข้างประนมไหว้ ‘พ่อเลี้ยง’ หนุ่มที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาหา

“เธอเป็นใคร!” เจ้าของเสียงเข้มร้องถามอย่างไม่สบอารมณ์

ชายชราหันไปสบตาหญิงชราผู้เป็นภรรยาแล้วกลืนน้ำลายลงคอก่อนตอบ “หลานผมเองครับพ่อเลี้ยง”

“ว่าไงนะ” พ่อเลี้ยงหนุ่มพึมพำขณะที่ยังจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าผุดผ่อง ก่อนละสายตาเพื่อกลับไปเผชิญหน้ากับชายชราอีกรอบ “ฉันไว้ใจให้ลุงกับป้าอยู่ที่นี่เพื่อช่วยดูแลที่ดินผืนนี้แทน แต่ลุงกับป้ากลับพาคนอื่นมาอยู่ด้วยโดยที่ไม่ขออนุญาตฉันสักคำอย่างนั้นหรือ” 

“เอ่อ...ลุง”

“อย่าว่าปู่กับย่าเลยนะจ๊ะ ที่ท่านให้กลิ่นจันทน์มาอยู่ที่นี่ก็เพราะเวทนา” ในขณะที่ชายชราจนด้วยคำพูด เสียงใสของกลิ่นจันทน์ก็ดังขึ้นอีกรอบ

“เวทนางั้นรึ” ชายหนุ่มเบนสายตากลับมายังหญิงสาวผู้น่าเวทนาแล้วถามย้ำ

“จ้ะ กลิ่นจันทน์ไม่เหลือใครอีกแล้ว ปู่กับย่าเลยไปรับมาจากสิบสองปันนา แต่ถ้าพ่อเลี้ยงไม่สบายใจ กลิ่นจันทน์ ...เอ่อ...” หญิงสาวอึกอัก มาจนถึงตอนนี้เธอกระจ่างแล้วว่าบุรุษผู้บุกรุกหาได้เป็นโจรอย่างที่เธอเข้าใจไม่ ทว่าชายผู้นี้คือเจ้าของที่ดินที่เธออาศัย และเป็นนายจ้างของปู่กับย่าเธอนั่นเอง

ชายหนุ่มพิจารณาใบหน้ารูปไข่ที่สลดลงอย่างเห็นได้ชัดแล้วถอนหายใจ ถึงแม้นว่าจะไม่พอใจนักที่สองสามีภรรยาที่ตนว่าจ้างให้ช่วยดูแลที่ดินพาคนอื่นเข้ามาอยู่โดยพลการ แต่เขาก็ใช่ว่าจะเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ขับไล่ลูกนกพลัดถิ่นให้โบยบินอย่างไร้ที่พึ่งได้ลงคอ

“ช่างเถิด ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ตอนนี้ฉันทั้งเหนื่อย ทั้งหิว และ...ระบมไปทั้งตัว อยากพักเต็มที”

“ครับพ่อเลี้ยง” ชายชรารับคำก่อนจะหันไปสั่งการกับภรรยา “แม่นวลไปหุงข้าวก่อน ฉันจะไปเก็บผักมาเพิ่ม”

จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับหลานสาวที่ยืนทำหน้าเจื่อนอยู่ไม่ไกล “กลิ่นจันทน์ไปเตรียมน้ำเตรียมท่าให้พ่อเลี้ยงอาบนะลูก”

“จ้ะปู่” หญิงสาวรับคำอุบอิบ ก่อนจะหันไปสบตาคนหน้าดุที่ยืนเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่ข้างๆ

“เอ้า ไปสิ พิรี้พิไรอยู่ได้” คนหน้าดุว่า

“จ้ะๆๆ” กลิ่นจันทน์ขานรับแล้วหมุนตัวเดินนำนายจ้างตัวเป็นๆ ไปยังห้องนอนของเขา ที่เธอเฝ้าทำความสะอาดทุกเช้ามาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม หนึ่งปีที่เธอวาดฝันถึงเจ้าของห้องว่าจะมีหน้าตาเช่นไร เหตุใดจึงเลือกแต่งห้องได้งามยิ่งนัก ซึ่งถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้เธอสาบานว่าจะไม่ภาวนาขอให้ได้เจอผู้เป็นนายจ้างของปู่กับย่าเป็นแน่แท้

“มองกระไร” ชายหนุ่มถามคนที่หันรีหันขวางจนแทบจะทำให้เขาเสียจังหวะการก้าวเดินล้มหัวคะมำหลายรอบ

“เอ่อ...เจ็บหรือเปล่าจ๊ะ” หญิงสาวถามเสียงอ่อย รู้สึกผิดไม่น้อยที่ฟาดท่อนไม้ใส่ผู้มีพระคุณของปู่กับย่าไม่ยั้ง

“หึ” ชายหนุ่มแค่นเสียงในลำคอ “ลองโดนดูบ้างไหมเล่า ผู้หญิงอะไรแรงเยอะเป็นบ้า”

“จริงหรือจ๊ะพ่อเลี้ยง กลิ่นจันทน์แรงเยอะขนาดนั้นเทียวรึ” หญิงสาวหยุดเดินแล้วหันกลับมาถามและตอบเอง โดยไม่หยุดรอฟังความคิดเห็นของคู่สนทนาแม้แต่น้อย “เมื่อก่อนตอนไปช่วยพ่อเลี้ยงควาย กลิ่นจันทน์ก็จูงไปทีละหลายๆตัว เพื่อนผู้ชายที่ไปเลี้ยงด้วยกันก็ชอบบอกแบบนี้”

“หึ” คนถูกประทุษร้ายด้วยความเข้าใจผิดจนระบมไปทั้งตัวแค่นเสียงในลำคออีกรอบ

“กลิ่นจันทน์ขยับเตียงพ่อเลี้ยงตอนทำความสะอาดคนเดียวได้” หญิงสาวยังคงอวดอ้างสรรพคุณไปเรื่อยๆ

เจ้าของเตียงที่ถูกขยับเพื่อทำความสะอาดด้วยสุภาพสตรีแรงเยอะกลอกตามองบน แล้วยกมือขึ้นห้ามคนที่กำลังจะอ้าปากอวดอ้างสรรพคุณอื่นประกอบคำนิยามของสตรีแรงเยอะก่อนว่าต่อ “เอาละๆ ไปเตรียมน้ำสักที ฉันเหนื่อย อยากพักผ่อนเต็มทน

“จ้ะๆ ได้จ้ะ พ่อเลี้ยงนั่งพักไปก่อนนะจ๊ะ กลิ่นจันทน์ขอตัวไปก่อไฟต้มน้ำประเดี๋ยว” ว่าพลางปัดผ้าปูที่นอนและผายมือเชิญให้เจ้าของบ้านได้นั่งพัก จากนั้นจึงขอตัวเพื่อไปทำหน้าที่ของเธอต่อ

 

เจ้าของผิวพรรณผุดผ่องวัยย่างยี่สิบปีใช้มือข้างหนึ่งถกชายผ้าถุงลายน้ำไหลขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่สองขาที่กำลังก้าวฉับๆ ด้วยจังหวะที่ไวกว่าครั้งใดในชีวิต จนกระทั่งก้าวข้ามธรณีประตูโรงครัวที่ตั้งแยกส่วนออกมาจากเรือนนอนที่เธออาศัยอยู่กับปู่ย่าไม่ไกลนัก

“ย่าจ๋า...” 

หญิงชราละมือจากการซาวข้าวก่อนหันไปมองตามเสียงเรียกแล้วเอ่ยถาม “ห้องหับพ่อเลี้ยง กลิ่นจันทน์ดูแลตามที่ย่าเคยบอกไว้ทุกวันใช่ไหม”

“จ้ะย่า”

“ผ้าห่มผ้าปูซักครั้งล่าสุดเมื่อไหร่”

“วันก่อนจ้ะย่า กลิ่นจันทน์ทำตามที่ย่าบอกมาตลอดว่าต้องซักเปลี่ยนทุกสัปดาห์ เผื่อพ่อเลี้ยงแวะมาจะได้ไม่ระคายผิว” หลานสาวตอบ 

ตั้งแต่วันแรกที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ได้รับมอบหมายจากผู้เป็นย่าให้ดูแลเรือนหลังใหญ่โอ่อ่า ตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ทั้งแปลกและงามตา เธอใช้เวลาในการทำความสะอาดเรือนที่ไร้ผู้อยู่อาศัยทุกซอกทุกมุมมาร่วมหนึ่งปี หนึ่งปีที่เธอแอบจินตนาการถึงเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณให้ที่พักพิงแก่ปู่และย่าของเธอในวันที่ท่านทั้งสองถูกรังแกจากพวกอันธพาล ในขณะที่ช่วงเวลาดังกล่าวพ่อของเธอซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของทั้งสอง หนีความยากแค้นไปตั้งรกรากทำการค้าที่สิบสองปันนาอันเป็นดินแดนบ้านเกิดของแม่ของเธอนั่นเอง

“ดีแล้วละลูก ย่าไม่อยากให้พ่อเลี้ยงนอนคลุกฝุ่น ท่านเมตตาปู่กับย่ามากนัก ถ้าไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้กลิ่นจันทน์อาจจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ตามลำพังก็ได้” นวลเอ่ยกับหลานสาวก่อนจะเบนสายตากลับไปสนใจงานที่ทำอยู่ก่อนหน้าดังเดิม ในขณะที่ภาพในสมองหวนย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนที่ทำให้เธอและสมผู้เป็นสามีได้มีโอกาสพบกับ ‘พ่อเลี้ยงทัตเทพ’ เป็นครั้งแรก 

ถึงแม้ว่าจะผ่านมาแล้วหลายปี แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นก็ยังฉายชัดอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ พื้นเพเดิมของเธอและสมผู้เป็นสามีนั้นไม่ใช่ที่นี่ แต่น้องชายของสมแอบเอาบ้านต้นตระกูลที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปจำนอง และขาดส่ง เจ้าหนี้จึงส่งนักเลงเจ้าถิ่นมาขับไล่เธอและสามีออกจากบ้าน คืนนั้นเธอและสมทันได้เก็บเสื้อผ้าติดตัวมาเพียงคนละห่อ หวังจะเดินเท้าขึ้นเหนือเพื่อหาทางไปอาศัยกับบุตรชายที่พาครอบครัวไปตั้งรกรากที่สิบสองปันนา 

แต่ในขณะที่ทั้งสองเดินปาดน้ำตามาตามทางนั้น จู่ๆ เธอก็เกิดหน้ามืดเป็นลมล้มพับอยู่ข้างทาง และเมื่อเธอฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกรอบก็พบว่าข้างตัวเธอไม่ได้มีเพียงสามี แต่มีชายหนุ่มผิวพรรณสะอาด หน้าตาคมสันนั่งอยู่อีกคน และที่ที่เธอนอนก็ไม่ใช่พื้นดินลูกรังแต่เป็นเตียงนอนนุ่มๆ ในสถานที่ที่มีกลิ่นหยูกยาลอยอวลอยู่ในอากาศ 

ซึ่งเรื่องนี้สมเล่าให้เธอฟังภายหลังว่า หลังจากที่เธอหมดสติไปสมก็ทำอะไรไม่ถูก แทบจะหมดสติลงอีกคน เคราะห์ดีที่จู่ๆ ก็มีรถยนต์แล่นผ่านถนนลูกรังอันมืดมิด สมไม่รีรอรีบพุ่งตัวเข้าขวางพร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของรถคันดังกล่าวยินดีหยิบยื่นความช่วยเหลือแรกให้นั่นก็คือพาเธอไปส่งโรงพยาบาล และหลังจากได้รับฟังเรื่องราวชีวิตของเธอและสามี เขาก็ไม่นิ่งนอนใจที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือที่สองด้วยบทสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค

‘สิบสองปันนาไม่ใช่ใกล้ๆ ลุงกับป้าจะไปยังไง’

‘คงเดินเท้าไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น หางานรับจ้างทำไปตามทาง’ สมตอบ

‘ฉันกำลังจะขึ้นเหนือ’ ชายหนุ่มหยุดคิดชั่วขณะคล้ายชั่งใจก่อนเอ่ยต่อ ‘จะไปด้วยกันก็ได้’

‘คือ...’ สมและนวลหันมาสบตาเพื่อปรึกษากัน

‘ไม่ต้องเกรงใจดอก ดีเสียอีกจะได้มีคนนั่งรถไปเป็นเพื่อน’

‘คุณจะไปเที่ยวรึ’ สมถามด้วยค่อนข้างมั่นใจว่าผู้มีพระคุณของตนน่าจะเป็นคนภาคกลางมากกว่า

‘เปล่า ฉันจะขึ้นไปดูที่ ซื้อไว้ตั้งแต่ต้นปีก่อนไม่รู้ว่าป่านนี้ต้นไม้จะขึ้นรกทึบแค่ไหน’ คนที่แอบครอบครัวซื้อที่ดินแปลงใหญ่เอาไว้เมื่อครั้งเดินทางขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่ย้ายขึ้นไปรับราชการที่ชายแดนเหนือเล่าพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก 

‘ทิ้งไว้หลายเดือนก็น่าจะรกอยู่’ สมว่า

‘นั่นสิ ตอนซื้อรีบไปหน่อยเลยไม่ได้วางแผนอะไรไว้ รอบนี้มีเวลาพักเกือบเดือนเลยจะขึ้นไปจัดการให้เรียบร้อย’ ถึงแม้ว่าที่ดินอันเป็นมรดกของครอบครัวจะมีนับไม่ถ้วน แต่แปลกที่เขากลับถูกชะตากับที่ดินแปลงที่เพิ่งซื้อมานัก

‘ที่ดินถึงจะสวยแค่ไหนก็ต้องดูแลทุกวัน ไม่อย่างนั้นก็จะโทรมและรกเหมือนเดิม’ คนที่เพิ่งฟื้นคืนสติเอ่ยเสียงพร่า

‘นั่นสิ แต่ฉันจะไปหาคนที่พอจะวางใจฝากที่ดินไว้ให้ดูแลได้จากที่ไหนกัน’

‘...’

และในเมื่อคู่สนทนาทั้งสองนิ่งเงียบ บุรุษผู้มั่นใจในสัญชาตญาณของตนว่ามองคนไม่ผิดจึงว่าต่อ ‘ฉันพอจะไว้ใจลุงกับป้าให้ช่วยดูแลที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่’

นั่นคือบทสนทนาที่พลิกชีวิตของเธอกับสามีมาจนถึงทุกวันนี้

“กลิ่นจันทน์รู้จ้ะว่าพ่อเลี้ยงมีพระคุณกับปู่กับย่ามาก แต่ไม่รู้ว่า...” จู่ๆ คนที่กำลังก่อไฟต้มน้ำหม้อใหญ่ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับถอนหายใจจนผู้เป็นย่าต้องหันกลับไปมอง “พ่อเลี้ยงจะเผื่อแผ่ความเมตตามาถึงกลิ่นจันทน์หรือเปล่า”

“พ่อเลี้ยงชอบคนสะอาดและขยัน” นวลกล่าว

“จ้ะ กลิ่นจันทน์รู้ กลิ่นจันทน์จำได้ ย่าบอกกลิ่นจันทน์ตั้งหลายรอบแล้ว”

“รู้ก็ตั้งใจทำงานให้ดี ท่านจะได้เมตตา”

“จ้ะย่า” หญิงสาวรับคำขณะใช้พัดไม้ไผ่พัดเร่งกองไฟเพื่อให้น้ำในหม้อเดือดไวขึ้น

 

ทางฝั่งเจ้าของที่ดินแปลงงามที่ไม่ได้แวะมาดูแลสินทรัพย์ของตัวเองร่วมสองปี เมื่อได้อยู่ตามลำพังในเรือนไม้สักขนาดใหญ่ที่เขาออกแบบและเลือกของตกแต่งมาจากต่างแดนด้วยตัวเอง ก็ใช้ปลายนิ้วลากไปตามข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ แล้วยกขึ้นมามองใกล้ๆ

“สะอาดสะอ้าน ฝุ่นไม่มีจับ ป้านวลทำงานดีแบบนี้ถ้าได้เจอกับแม่ษาคงคุยกันถูกคอ” ชายหนุ่มรำพึงรำพันชื่นชมการทำงานของนวลพร้อมทั้งเอ่ยพาดพิงถึงอุษาหรือแม่ษา ข้าเก่าเต่าเลี้ยงที่ดูแลบ้านหลังใหญ่ของเขาและครอบครัวได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องเช่นกัน

“หืม เดี๋ยวนี้รู้จักวางดอกไม้หอมเอาไว้ให้ด้วย รู้ใจจริงเทียว” พ่อเลี้ยงหนุ่มว่าพลางย่อตัวลงนั่งบนเตียงนอน ยกกระทงใบตองที่บรรจุดอกมะลิสีขาวนวลขึ้นมาแตะปลายจมูก “ชื่นใจเหลือเกิน รู้ใจแบบนี้ค่อยมีเหตุผลที่จะให้อภัยเรื่องพาคนอื่นมาอยู่โดยไม่ขออนุญาตขึ้นมาได้หน่อย”

เมื่อคิดถึงเรื่องมีคนอื่นเข้ามาอยู่ในสถานที่อันเป็นส่วนตัวที่เขาหวงแหนหนักหนา หนำซ้ำคนแปลกหน้ายังกล้ากระหน่ำทำร้ายร่างกายอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดบังอาจกระทำการเช่นนี้มาก่อน ชายหนุ่มก็ยกแขนที่ยังแดงเป็นจ้ำขึ้นมามองแล้วฮึดฮัดขัดใจ

“เด็กบ้า กล้าดียังไง นี่ถ้าเจ้าจำรัสมาด้วยคงได้ลากตัวไปส่งให้ผู้กองดินจัดการถึงฐาน” ตามองรอยจ้ำขณะที่ริมฝีปากหยักขยับพึมพำถึงผู้ติดตามที่เขาสั่งห้ามไม่ให้ตามมาในคราวนี้ และเพื่อนสนิทที่ย้ายมารับราชการที่นี่เมื่อห้าปีก่อนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามีโอกาสได้พบกับเจ้าของเดิมของที่ดินแปลงนี้นั่นเอง 

“แต่ก็ยังดีที่คิดปกป้องบ้านของฉันจากพวกโจร ไม่คิดกลัว ไม่คิดหนี แต่คิดที่จะสู้ ถึงแม้ว่าจะหลับตาสู้จนน่าขันก็เถอะ” 

ทัตเทพพยายามละความกรุ่นโกรธจากการถูกประทุษร้ายด้วยการมองการกระทำของหญิงสาวในมุมกลับ มุมที่บ่งบอกว่าเธอกำลังปกป้องอาณาจักรเล็กๆ ของเขาแห่งนี้อย่างเต็มกำลัง กำลังของนางพญามดตัวน้อยๆ ที่หลับหูหลับตาฟาดไม่ยั้ง ไม่รับฟังแม้กระทั่งเสียงสั่งห้ามอันน่าเกรงขามที่ใครต่อใครมักเอาไปพูดลับหลังว่าน้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็นและน่ากลัว คนสนิทของเขาเคยนำเรื่องราวทำนองนี้มาบอกเล่าให้ฟังอยู่บ่อยครั้งและเขาก็เริ่มคล้อยตามคำบอกเล่านั้นขึ้นทุกวัน 

แต่จากเหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เขาตระหนักได้ว่า เจ้าจำรัสตัวดีคงจะใส่สีตีไข่เรื่องราวเหล่านั้นอยู่มากโข เจ้านั่นเคยบอกว่าแค่เขาชี้นิ้วโดยยังไม่ต้องสั่งสิ่งใด ข้าเก่าเต่าเลี้ยงทั้งที่บ้านและที่ทำงานก็กลัวกันหัวหดแล้ว ไฉนในวันนี้เขาทั้งชี้นิ้วทั้งออกคำสั่ง แต่แม่กลิ่นจันทน์ตัวดีก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดหรือหวาดกลัว

“โม้จนได้เรื่องสิน่า” ชายหนุ่มแอบต่อว่าจำรัสขณะเปิดประตูห้องนอนออกไปยืนเท้าแขนรับลมหนาวตรงระเบียงห้อง 

ชายหนุ่มหลับตาเงี่ยหูฟังเสียงลมหนาวผสานเคล้าคลอกับเสียงแมลงยามค่ำ ความไพเราะอันมีมนตร์ขลังที่รังสรรค์โดยม่านธรรมชาติ เอกลักษณ์เฉพาะที่ที่ดึงดูดให้เขาควักเงินจับจองเป็นเจ้าของอย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าเมื่อครั้งเดินทางไปเรียนที่ต่างประเทศจะเคยเอ่ยปากกับเพื่อนสนิทและพี่ชายว่าเขาหลงมนตร์เสน่ห์หุบเขาในยุโรป แต่เมื่อได้มาสัมผัสกับความงามอันเรียบง่ายที่นี่เขาก็ตกหลุมรักเสียงเพรียกแห่งลมหนาวอีกครั้ง และการตกหลุมรักในครั้งนี้จิตใต้สำนึกบอกกับเขาว่าจะไม่จบแค่การชื่นชมแต่ต้องจบที่การครอบครอง

กึก!

ในขณะที่เจ้าของสถานที่อันสวยงามกำลังทอดอารมณ์อิงแอบสายลมหนาวอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น จู่ๆ เสียงกุกกักภายในบ้านก็ดังขึ้นขัดอารมณ์สุนทรีย์ขึ้นมาเสียได้ คนรักความสงบถอนหายใจแล้วเหลือบหางตาไปมองทิศทางของเสียง จึงพบว่าเจ้าของเสียงกุกกักกำลังเกาะขอบประตูห้องนอนผลุบๆ โผล่ๆ ทำลับๆ ล่อๆ อยู่ด้านหลัง

“เป็นตุ๊กแกหรือไร ถึงได้ผลุบๆ โผล่ๆ” คนเสียงดุเอ่ยถามทั้งที่ยังหันหลังให้ประตูห้องนอนดังเดิม

“เอ่อ...กลิ่นจันทน์ผสมน้ำเรียบร้อยแล้วจ้ะ พ่อเลี้ยงจะอาบเลยหรือเปล่าจ๊ะ กลิ่นจันทน์จะได้ไปจุดเทียนหอมไว้ให้”

“อาบเลย”

“จ้ะ งั้นกลิ่นจันทน์ไปจุดเทียนเลยนะจ๊ะ”

“อืม” 

ชายหนุ่มพึมพำรับในลำคอ กลิ่นจันทน์จึงถกชายผ้าถุงขึ้นแล้วก้าวขาเร็วๆ เข้าไปในห้องอาบน้ำอีกรอบเพื่อจุดเทียนหอม นำดอกมะลิในตะกร้าที่เธอออกไปเก็บระหว่างรอน้ำเดือดมาลอยเหนือผิวน้ำ จุ่มมือลงวัดอุณหภูมิของน้ำเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง จากนั้นจึงเดินออกมารายงานพ่อเลี้ยงหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาวเพียงตัวเดียวนั่งหน้านิ่งรออยู่บนโซฟาในห้อง

“เรียบร้อยจ้ะ แล้วก็ย่าให้ถามว่าพ่อเลี้ยงจะให้ตั้งสำรับที่ไหนจ๊ะ”

“ที่ระเบียงห้องนั่งเล่นก็แล้วกัน”

“จ้ะ งั้นกลิ่นจันทน์ขอตัวไปเตรียมสำรับก่อนนะจ๊ะ”

“อืม”

เมื่อเจ้านายเอ่ยอนุญาตแล้วกลิ่นจันทน์ก็ไม่รอช้าที่จะหมุนตัวออกไปจากห้อง หลังจากหับบานประตูลงแล้วหญิงสาวก็เป่าลมออกจากปาก 

“หายใจไม่ทั่วท้องเลย ไหนปู่กับย่าบอกว่าพ่อเลี้ยงใจดีไงเล่า”

พ่อเลี้ยงหนุ่มเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่สั่งมาจากต่างประเทศ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมอาบน้ำออก ถือแก้วไวน์แดงชั้นดีที่เขาสั่งมาเก็บไว้ที่นี่ตั้งแต่บ้านแล้วเสร็จ ก้าวขาหย่อนตัวลงไปแช่น้ำอุ่นในอ่างที่มีดอกมะลิหอมกรุ่นลอยวนอยู่รอบตัว

“อืม...” ชายหนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ เอนศีรษะลงพาดขอบอ่าง หยิบดอกมะลิดอกหนึ่งขึ้นมาแตะปลายจมูก “อุ่นกำลังดี รู้ใจกว่าพวกเด็กๆ ที่แม่ษาพร่ำสอนเสียอีก”

 

“Oh Stewball was a racehorse, and I wish he were mine.

He never drank water, he always drank wine.

His bridle was silver, his main it was gold.

And the worth of his saddle has never been told.”

พ่อเลี้ยงหนุ่มหลับตาขยับริมฝีปากตามบทเพลงที่ดังจากเครื่องเล่นเครื่องงาม มุมปากยกขึ้นยิ้มโดยอัตโนมัติเมื่อความผ่อนคลายที่ได้รับลบอารมณ์ขุ่นมัวก่อนหน้าออกไปจนสิ้น ถึงแม้ว่าหลานสาวของสมและนวลจะแรงเยอะไปบ้าง แต่เรื่องการปรนนิบัติดูแลผู้เป็นนาย เธอกลับสามารถทำได้ดีเป็นที่น่าพอใจ 

ชายหนุ่มยกแก้วไวน์ในมือขึ้นมาจิบอีกครั้งพร้อมกับตัดสินใจเก็บเรื่องที่เขาโดนทำร้ายในวันนี้ไว้เป็นความลับ เพราะหากเรื่องนี้แพร่งพรายไปถึงคนอื่นเห็นทีแม่กลิ่นจันทน์ตัวน้อยคงไม่แคล้วตกที่นั่งลำบาก เจ้าหล่อนอาจจะยังไม่รู้ว่าโทษฐานของการประทุษร้าย ‘หม่อมเจ้าทัตเทพ ชัยนราพงศ์’ พระโอรสองค์รองของเสด็จเจ้าของวังชัยนราพงศ์นั้นร้ายแรงเพียงใด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น