หย่งเต๋อเหลือบมองคนที่ลอบสูดจมูกกลั้นน้ำตาผ่านกระจกมองหลังแล้วเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เสียงเพลงที่ดังกระหึ่มผ่านลำโพงทำให้หญิงสาวหันกลับมามองชายหนุ่มแวบหนึ่งอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างเหมือนเดิม
“คนไม่มีมารยาท”
เสียงพึมพำในลำคอของไอศิกาเรียกรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมาแต้มบนเรียวปากหยักลึกของหย่งเต๋อ
เฉินกุ้ยที่รับหน้าที่สารถีจำเป็นเหลือบมองลูกพี่ใหญ่แล้วขมวดคิ้วนิดๆ อย่างไม่ชอบใจนัก จริงอยู่ว่าการกระทำเมื่อครู่ของหย่งเต๋ออาจดูเหมือนคนไร้มารยาท ไม่รู้จักกาลเทศะ แต่เขารู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ทายาทคนโตของฮวงหลงจงใจเปิดเพลงเพื่อเปิดโอกาสให้หญิงสาวส่งเสียงสะอื้นออกมาได้โดยไม่ต้องเกรงว่าพวกเขาจะได้ยินต่างหาก ใช่ว่าเฉินกุ้ยไม่เห็นใจเรื่องที่เธอถูกพิไลเหยียดหยามดูหมิ่น ทว่าเธอเป็นลูกสาวของศัตรูตัวฉกาจ ฉะนั้นต่อให้สงสารเธอเพียงใดก็ไม่ควรยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยนัก
แต่หย่งเต๋อกลับตั้งท่าพร้อมจะพัวพันกับไอศิกาตลอดเวลาเสียนี่...
“มีแมลงหวี่แมลงวันบินตามมาข้างหลัง”
หย่งเต๋อใช้นิ้วชี้ดันแว่นกันแดดขึ้นเพื่อมองภาพสะท้อนในกระจกมองข้างให้ชัดๆ แล้วแสยะยิ้ม เฉินกุ้ยตวัดตามองกระจกด้านขวาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาเห็นรถคันหนึ่งขับทิ้งระยะห่างจากรถของพวกตนพอสมควร แต่ไม่ว่าเขาจะหักพวงมาลัยเลี้ยวไปทางใด รถคันดังกล่าวก็แล่นตามหลังตลอดเวลา
รู้จักทิ้งระยะไม่ให้เป็นที่สังเกต...พวก ‘มืออาชีพ’ สินะ...
“เห็นแล้ว”
“บี้แมลงหวี่แก้เซ็งกันหน่อยดีไหม”
หย่งเต๋อพูดพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแล้วเลื่อนมือเข้าไปแตะด้ามปืนที่เหน็บซ่อนอยู่ใต้เสื้อสูท เรียวปากยกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มหวานฉ่ำตัดกับแววตาเหี้ยมเกรียมยิ่งนัก
“ไม่สะดวกมั้ง” เฉินกุ้ยพยักพเยิดไปทางคนด้านหลังที่เพิ่งผินหน้ามามองพวกตนด้วยแววตาประหลาดใจ
“มีอะไรกันเหรอคะ”
“มีเรื่องสนุก”
หย่งเต๋อหันมาส่งยิ้มหวานให้หญิงสาว แว่นกันแดดที่ปิดบังใบหน้าขาวจัดเอาไว้ทำให้มองไม่เห็นแววตาของเขา แต่กลับชวนให้รู้สึกขนลุกอย่างประหลาด
“ระ...เรื่องสนุก?” ไอศิกากะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหันมาเห็นว่าสารถีผู้แสนพูดน้อยจะหักรถเลี้ยวไปยังทิศตรงข้ามกับทางไปโรงพยาบาลแล้วมุ่งตรงออกนอกเมืองเสียเฉยๆ “คุณใบป่าน! นี่คุณ...คุณจะไปไหน เราต้องเลี้ยวไป...”
“เรากลับไปที่โรงพยาบาลไม่ได้ครับ” เฉินกุ้ยเอ่ยเสียงเรียบ “มีคนตามเรามาตั้งแต่ออกมาจากบ้านคุณพิไลแล้ว และถ้าผมเดาไม่ผิด น่าจะมีอีกกลุ่มดักรออยู่ที่โรงพยาบาลด้วย คงจะรอจังหวะให้เราจอดรถแล้วพุ่งเข้าโจมตี”
“โจะ...โจะ...โจมตี...” ดวงตาของหญิงสาวเต้นระริกอย่างหวาดหวั่น “ใคร...ใครจะโจมตีเรา...”
“ไม่เห็นต้องเดา พ่อคุณมีเรื่องบาดหมางกับก๊กไหน ก็ก๊กนั้นนั่นละ” หย่งเต๋อแบะปาก...เล่นงานพ่อไม่ได้ก็เลยเบนเข็มมาเล่นงานลูกสินะ ปองร้ายผู้หญิงแบบนี้ หน้าตัวเมียสิ้นดี!
“คุณ...หมายถึงพวกฮวงหลง...”
“ฮวงหลง?” ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายวาววับเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยชื่อแก๊งออกมา “แก๊งฮวงหลงไม่เลือกใช้วิธีปัญญาอ่อนแบบนี้หรอกคุณหนู จะเชือดคนทั้งที ขืนทำเอิกเกริกเป็นงิ้วโรงใหญ่แบบนี้ ไก่ตื่นกันพอดี”
สิ่งที่เพิ่งได้ยินสะดุดหูไอศิกายิ่งนัก ผู้ชายคนนี้เป็นอินเตอร์โพลแน่หรือ ไฉนคำพูดคำจาถึงได้เหมือนโจรมากกว่าตำรวจ
“คาดเข็มขัดแล้วก้มหัวลงให้ต่ำๆ ด้วยครับคุณลูกแก้ว” เฉินกุ้ยเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด พารถโฟร์วีลทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วราวติดปีก
“คุณใบป่าน!” ไอศิการ้องเสียงหลงขณะที่ถูกแรงกระชากของรถพาหงายหลังแล้วเลื่อนไถลตกจากเบาะไปกองอยู่บนพื้นรถ ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นว่าสารถีหนุ่มขับรถปาดซ้ายป่ายขวาหลบหลีกรถคันอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันบนท้องถนนได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวปีนกลับขึ้นมานั่งบนเบาะแล้วหันกลับไปมองด้านหลังจึงเห็นว่ามีรถเก๋งกำลังขับไล่ตามพวกตนมาด้วยความเร็วเทียมกัน “คุณใบป่านคะ มีรถตามเรามาจริงๆ ด้วย...”
“ใบป่านคะ ใบป่านขา”
หย่งเต๋อตวัดตามองเฉินกุ้ยอย่างหงุดหงิด พลางดึงปืนออโตเมติกออกมาขึ้นลำกล้อง หน็อย...ทีกับไอ้เฉินกุ้ยละเสียงอ่อนเสียงหวาน ทีกับเขาเอาแต่แยกเขี้ยวใส่ หมั่นไส้ฉิบ!
“นั่น...นั่นคุณจะทำอะไร!”
ไอศิกาสะดุ้งสุดตัว ดวงตาเต้นระริกอย่างตื่นตระหนก ซึ่งเป็นกิริยาที่สะกิดใจลูกมังกรหนุ่มนัก เธอเป็นลูกสาวของเจ้าพ่อระดับ ภาม พิมพ์สุริยา ย่อมต้องคุ้นเคยกับปืนผาหน้าไม้มาบ้างไม่ใช่หรือ ขนาดจันทร์เจ้า น้องสาวคนสวยของเขายังยิงปืนแม่นอย่างกับจับวางมาตั้งแต่อายุสิบขวบโน่น
แปลก...
“ซักผ้ามั้งครับคุณหนู”
หย่งเต๋อรวนกลับแล้วกดสวิตช์หน้าต่างลง ตั้งท่าจะยื่นตัวออกไปด้านนอก แต่หญิงสาวก็คว้าต้นแขนของเขาไว้เสียก่อน มือของเธอสั่นเทาเสียจนชายหนุ่มต้องหลุบตาลงมอง
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน นี่มันเขตชุมชนนะคุณ แล้วคุณก็อยู่บนรถที่กำลังแล่นด้วยความเร็วขนาดนี้ ถ้าพลาดพลั้งยิงถูกผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาจะทำยังไง”
“ตัวเองจะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังจะมีหน้าไปห่วงคนอื่นอีก” แม้จะพูดสวนด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน แต่ริมฝีปากกลับเคลือบไปด้วยรอยยิ้มขบขันกึ่งเอ็นดู...ยายเด็กคนนี้กลัวจนตัวสั่น แต่ยังมีแก่ใจห่วงความปลอดภัยของคนอื่น แม่นางฟ้านางสวรรค์ น่าเด็ดปีกแล้วจับใส่กรงขังไว้ดูเล่นเสียจริงๆ “ทางที่ดีคุณรีบกลับไปคาดเข็มขัดแล้วก้มหัวให้ต่ำเข้าไว้ก็แล้วกัน ส่วนแก...ไอ้คุณใบป่านขา ตีรถออกไปที่เลนกลาง เหยียบให้มิดเลย”
พูดจบชายหนุ่มก็ยื่นกายท่อนบนออกไปด้านนอกแล้วเกยสะโพกสอบเพรียวไว้บนขอบหน้าต่าง มือข้างหนึ่งยึดราวจับด้านในไว้ ส่วนอีกข้างถือปืนเล็งไปยังรถที่อยู่ด้านหลัง ไอศิกาโผไปเกาะหน้าต่างด้านหลังแล้วแหงนหน้าขึ้นมองคนที่อยู่นอกรถก่อนจะต้องอ้าปากค้าง ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทรงตัวได้อย่างมั่นคงทั้งที่รถแล่นด้วยความเร็วเกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแถมยังขับฉวัดเฉวียนเสียจนน่ากลัวว่าเขาจะถูกสะบัดตกลงไปได้ทุกเมื่อ แต่ผู้ชายที่ชื่อนะโมคนนี้กลับไม่มีทีท่าหวาดหวั่นหรือลังเลแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขาดูแน่วแน่และเยือกเย็นอย่างเหลือเชื่อ ใบหน้าของเขากร้าวกระด้างขณะปล่อยให้เส้นผมดำขลับและเสื้อสูทสีเข้มปลิวไสวไปตามแรงลมด้านนอก
เขา...บ้าระห่ำมาก!
“คุณใบป่าน นี่มันอันตรายมากนะคะ ห้ามเขาที...”
“คาดเข็มขัดแล้วก้มหัวลงให้ต่ำๆ ด้วยครับคุณลูกแก้ว” เฉินกุ้ยพูดซ้ำประโยคเดิมแล้วกระแทกเท้าเหยียบคันเร่งจนมิดตามคำสั่งของลูกพี่ โดยไม่หันกลับไปมองคนที่ส่งเสียงกรีดร้องเมื่อร่างถูกเหวี่ยงจนไถลตกจากเบาะอีกครั้ง
“พวกคุณมันบ้าชัดๆ!”
ไอศิการีบปีนกลับขึ้นไปบนเบาะแล้วรีบจัดการรัดเข็มขัดด้วยมืออันสั่นเทา ภาพเหตุการณ์ในวัยเด็กย้อนกลับเข้ามาในสมองอีกครั้ง ภาพ...ที่มารดาและตนกำลังหลบหนีการไล่ล่าจากเหล่าบรรดาศัตรูของภามหัวซุกหัวซุน และสุดท้าย...ต้องจบลงด้วยความสูญเสียอย่างโหดร้ายที่สุด!
หย่งเต๋อที่อยู่ด้านนอกรถเหยียดยิ้มขันเมื่อได้ยินเสียงตะโกนโวยวายของไอศิกา ดวงตาคมกริบหลังกรอบแว่นตาดำมองตรงไปยังรถเก๋งสีน้ำเงินเข้มที่ขับเฆี่ยนตามพวกตนมาอย่างไม่ลดละ ทว่าฉลาดพอที่จะใช้รถบรรทุกที่มีอยู่มากมายบนท้องถนนยามนี้ต่างโล่กำบัง ยิ่งในยามที่มีรถราขวักไขว่มากมายเช่นนี้ด้วยแล้ว พวกมันคงคิดว่า ‘เจ้าหน้าที่อินเตอร์โพล’ คงไม่กล้าลงมือในที่ชุมชนเช่นนี้
แต่พวกมันคิดผิด...เขาไม่ใช่อินเตอร์โพล แต่เป็น ‘ฮวงหลง’ ต่างหาก!
ปัง!
กระสุนพุ่งออกจากปากกระบอกเข้าเจาะล้อซ้ายของรถที่เป็นเป้าหมายแม่นยำเสียยิ่งกว่าจับวาง รถที่กำลังแล่นด้วยความเร็วสูงเสียหลักและพลิกคว่ำสองตลบขึ้นไปเกยอยู่บนเกาะกลางถนน เสียงกรีดร้องของผู้คนดังสลับกับเสียงล้อรถที่เสียดสีกับพื้นถนนยามเหยียบเบรกด้วยตกใจกับเหตุการณ์รุนแรงที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
โครม!
จู่ๆ รถคันหนึ่งก็พุ่งเข้าชนท้ายเต็มแรงจนหย่งเต๋อเกือบหงายหลังร่วงลงจากรถ โชคยังดีว่าเขายึดราวจับด้านในเอาไว้มั่นคงจึงยังทรงตัวอยู่ได้ ชายหนุ่มหรี่ตามองรถคู่กรณีก็เห็นว่าเป็นรถชนิดเดียวกันกับคันที่เขาเพิ่งยิงจนเสียหลักพลิกคว่ำไป และเมื่อเพ่งสายตาไปทางด้านหลังก็พบว่ามีรถสีและแบบเดียวกันอีกคันกำลังเร่งเครื่องตามมาติดๆ
“พวกมันมากันสามคัน!” หย่งเต๋อตบหลังคารถแล้วตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์
“เห็นแล้ว!” เฉินกุ้ยตะโกนตอบ สองมือกำพวงมาลัยมั่น พยายามประคองรถให้ทรงตัวนิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้ลูกพี่ร่วงหล่นลงไปเสียก่อน
ปัง!
“กรี๊ด!”
ไอศิกาหวีดร้องเมื่อกระสุนจากรถคู่กรณีกระแทกกระจกด้านหลังดังเปรี๊ยะ แต่ทำได้เพียงสร้างรอยปริแตกเล็กๆ บนกระจกกันกระสุน
“ผมบอกให้ก้มหัวลง!”
เฉินกุ้ยตะโกนสั่งเสียงเข้ม หญิงสาวยอมทำตามแต่โดยดี สองมือกุมศีรษะแล้วหลับตาปี๋ เธอได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัดพร้อมกับที่รู้สึกได้ว่ารถกำลังส่ายไปมาคล้ายกำลังจะเสียหลัก
ปัง! ปัง! ปัง!
“แม่งเอ๊ย!”
หย่งเต๋อสบถเมื่อฝ่ายตรงข้ามรัวกระสุนกลับมาและเฉี่ยวศีรษะของเขาไปเพียงนิดเดียว ชายหนุ่มไถลตัวกลับเข้ามานั่งบนเบาะแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าด้านในเสื้อสูทเพื่อสำรวจจำนวนแมกาซีนของกระสุนสำรองอย่างรวดเร็ว
“เจอของแข็งเข้าแล้วไหมล่ะ จะเอายังไง จะบี้แมลงหวี่เล่นต่อหรือจะถอย”
เฉินกุ้ยยิ้มเยือกเย็นพร้อมกับประคองรถให้หลบหลีกทั้งกระสุนและรถคันอื่นๆ ด้วยทักษะการขับรถของนักแข่งรถแนสคาร์ที่ทำเอาไอศิกาต้องอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง นอกจากความเร็วจะไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อยแล้ว เขายังไม่มีทีท่าตื่นตระหนกตกใจให้เห็นแม้แต่นิด มิหนำซ้ำยังมุ่งตรงออกนอกเมืองไปตามเส้นทางที่รถราเริ่มบางตา แทนที่จะโทรศัพท์แจ้งตำรวจทางหลวงหรือหาทางไปยังสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอความช่วยเหลือ ส่วนชายหนุ่มอีกคนก็ตีหน้าเฉยเหมือนการถูกไล่ล่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเสียเหลือเกิน
ผู้ชายสองคนนี้...เยือกเย็นมาก มาก...เสียจนผิดมนุษย์มนา...
“ไม่น่าถาม ในเมื่อพวกมันอยากลองของ ก็สนองให้ถึงพระเดชพระคุณหน่อยเป็นไรเล่า!”
หย่งเต๋อหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ เขาเหลือบตามองถนนด้านหลังผ่านกระจกมองหลังราวสองสามวินาทีก่อนจะเอื้อมมือไปหมุนพวงมาลัยเต็มแรงจนรถคันโตหมุนคว้างอยู่กลางถนน ไอศิกากรีดร้องสุดเสียงขณะศีรษะกระแทกกับกระจกด้านข้างตามแรงเหวี่ยง
“คุณทำบ้าอะไรของคุณ!”
น่าแปลกที่สีหน้าของสารถีหนุ่มแทบไม่เปลี่ยนแม้แต่นิด อีกทั้งยังใช้สองมือบังคับรถให้หมุนกลับไปประจันหน้าฝ่ายตรงข้ามได้อย่างคล่องแคล่วเสียจนหญิงสาวคิดว่าตนกำลังอยู่ในฉากถ่ายทำโลดโผนของภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กลิ่นยางที่เสียดสีกับพื้นถนนจนเหม็นไหม้ลอยผ่านหน้าต่างที่ชายหนุ่มเปิดค้างเอาไว้เข้ามาเตะจมูก
“ก้มหัวลง!”
สิ้นเสียงร้องสั่งของหย่งเต๋อ เฉินกุ้ยก็กระแทกเท้าบนคันเร่งแล้วพุ่งเข้าหารถของอีกฝ่ายที่กำลังตรงมาหาพวกตนด้วยความเร็วสูง
“บะ...บ้าแล้ว...พวกคุณมันบ้า!”
ไอศิกาก้มหน้าแนบเข่าตนเองอีกครั้ง ผู้ชายสองคนนี้รู้ใจกันอย่างน่ากลัว ไม่ว่าใครจะคิดทำอะไร อีกคนก็รับลูกได้อย่างทันท่วงทีราวอ่านใจกันและกันออกอย่างทะลุปรุโปร่งโดยไม่ต้องปริปากอธิบายกันให้วุ่นวาย แม้บุคลิกจะต่างกันชนิดคนละขั้ว แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือ...ความบ้า! สองคนนี้ระห่ำเกินมนุษย์ทั้งคู่!
“บ้าหรือไม่บ้า เดี๋ยวก็รู้”
หย่งเต๋อแสยะยิ้มแล้วเอียงตัวยื่นปืนออกไปนอกรถอีกครั้ง ชั่วเสี้ยววินาทีที่รถเข้าใกล้กันในระยะ 50 เมตร ชายหนุ่มก็ลั่นไกยิงล้อหน้าทั้งสองข้างของฝ่ายตรงข้ามจนรถเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบไปทับหลังคารถของพวกเดียวกันอีกคันที่ตามหลังมาจนหลังคายุบลงอัดก๊อบปี้คนที่อยู่ด้านใน รถทั้งสองคันไถลไปไกลเกือบร้อยเมตรก่อนจะหยุดนิ่งกลางถนน แม้รถที่แล่นผ่านไปมาค่อนข้างบางตา แต่เสียงปืนและเสียงของเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นก็เรียกผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นให้พากันยื่นหน้าออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ผิดกับรถบนท้องถนนที่รีบแล่นหนีจากบริเวณที่เกิดเหตุให้ไกลที่สุดด้วยกลัวว่ารถที่กำลังมีน้ำมันไหลออกมาจากใต้ห้องเครื่องทั้งสองคันนั้นจะระเบิดตูมตามขึ้นมาแล้วพวกตนจะถูกลูกหลงเข้า
เฉินกุ้ยจอดรถแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวหมายจะลงไปดูสถานการณ์ แต่หย่งเต๋อแตะไหล่เป็นเชิงห้าม
“ฉันจัดการเอง แกอยู่ดูแลคุณลูกแก้วด้วย”
“หน้าที่ผมคือดูแลพี่” เฉินกุ้ยตอบเสียงเรียบ
“หน้าที่ของแกคือฟังคำสั่งฉัน” ลูกมังกรหนุ่มปรายตามองดูหญิงสาวที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่ด้านหลังก่อนจะกระซิบเป็นภาษาจีน “อย่าให้ลูกของไอ้ภามเป็นอะไรไปเด็ดขาด อย่าลืมสิว่าเรายังต้องใช้งานเธออยู่”
พูดจบชายหนุ่มก็กระโจนลงจากรถอย่างไม่รอช้า เขาได้ยินเสียงสบถของหนุ่มรุ่นน้องดังไล่หลังมาอีกสองสามคำ แต่ไม่ใส่ใจนัก ดวงตามองตรงไปยังซากรถที่แหลกยับเยินเบื้องหน้า เมื่อเห็นว่ามีเงาร่างของผู้รอดชีวิตคลานกระเสือกกระสนออกมาทางหน้าต่างรถที่แตกจนแหลกละเอียด มือหนาก็กระชับปืนแน่นเข้า เขารอจนแน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่มีอาวุธในมือและไม่มีผู้รอดชีวิตคนอื่นอีกแล้วจึงปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อด้านหลังของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วโยนร่างอันชุ่มโชกไปด้วยเลือดนั้นลงบนถนน จากนั้นจึงกระแทกเท้าใหญ่โตในรองเท้าหนังสีดำลงบนยอดอกของอีกฝ่ายเต็มแรงจนเขากระอักลิ่มเลือดออกมาทางปากและจมูก
“แกมีเวลาตอบคำถามภายในสามวินาที” หย่งเต๋อหันปากกระบอกปืนไปยังคนที่นอนหายใจรวยรินอยู่ใต้ฝ่าเท้า “ใครส่งแกมา พูด!”
“แก...แกเป็นใคร...แก...แกไม่ใช่อินเตอร์โพล อินเตอร์โพลไม่มีทาง...ทำแบบ...ที่แกทำ...”
เสียงพูดของชายไทยผิวคล้ำเข้มผู้นี้ขาดเป็นห้วงๆ สลับกับสำลักลิ่มเลือดในลำคออยู่เป็นระยะ หย่งเต๋อแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วลั่นไกยิงหัวเข่าของชายดวงตกโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
“อ๊าก! แก...แก...ไอ้ระยำ!”
ชายหนุ่มผู้นั้นดิ้นพราด ร้องโหยหวนเสียจนไอศิกาที่นั่งมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านกระจกรถถึงกับผวาเฮือก รีบปลดเข็มขัดออกจากตัวด้วยมืออันสั่นเทาแล้วเปิดประตูวิ่งลงจากรถไปโก่งคออาเจียนอยู่บนเกาะกลางถนน ที่จริงหญิงสาวรู้สึกคลื่นไส้แทบทนไม่ได้ตั้งแต่ตอนที่รถหมุนคว้างเหมือนลูกข่างแล้ว ยิ่งได้เห็นคนยิงกันต่อหน้าต่อตาแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับบิดาของเธอเช่นนี้ด้วยแล้ว กระเพาะก็เหมือนจะบีบรัดรุนแรงเสียจนต้องขย้อนทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจนสิ้น ซึ่ง...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่านั้นก็มีเพียงน้ำย่อยขมๆ เท่านั้น เพราะเธอยังไม่ได้รับประทานอาหารใดๆ มาตั้งแต่เย็นวานแล้ว
เฉินกุ้ยลอบระบายลมหายใจยาว ก่อนจะก้าวตามลงไปช่วยประคองไหล่ของไอศิกาเอาไว้แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าของตนเองให้เธอเช็ดปากโดยไม่แสดงทีท่ารังเกียจรังงอน ที่จริง...สีหน้าของเขานิ่งสนิทเหมือนไม่รู้สึกรู้สมว่าสาวน้อยตรงหน้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรด้วยซ้ำ แต่สำหรับเธอแล้ว กลับรู้สึกว่าเขาอ่อนโยนและพึ่งพาได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าคนที่เพิ่งยิงคนเจ็บหน้าตาเฉยอย่างนายนะโมคนนั้นนั่นละ!
“แกตอบไม่ตรงคำถาม” หย่งเต๋อเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางบรรจุแมกาซีนกระสุนใหม่ก่อนจะดึงสไลด์ขึ้นลำกล้องอีกครั้ง “ฉันจะถามอีกครั้ง ใครส่งแกมาตอแยลูกสาวของท่านภาม พิมพ์สุริยา”
แม้จะเรียกขานภามว่า ‘ท่าน’ แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มกลับอัดแน่นไปด้วยความชิงชัง ไร้ความเคารพโดยสิ้นเชิงจนคนฟังจับสังเกตถึงความผิดปกติได้
“พวกฉัน...ไม่...ไม่ได้ตอแยลูกสาวของภาม แต่...แต่ได้รับคำสั่ง...ให้ตอแยพวกแกต่างหาก...”
“ตอแยพวกฉัน?” หย่งเต๋อเลิกคิ้วนิดๆ อย่างยียวน ปลายนิ้วยังคงสอดอยู่ในโกร่งไกปืนพร้อมยิงแสกหน้าคนตรงหน้าทุกเมื่อ “อธิบาย”
“นาย...นายอยากรู้ว่า...คนที่อินเตอร์โพลส่งมาดูแลภามกับลูกสาว...มีฝีมือแค่ไหน ถ้าฆ่าได้ก็ให้ฆ่า...ส่วนผู้หญิง...ถ้าถูกลูกหลงตายไป...ก็ให้เลยตาม...เลย...”
“นายแกเป็นใคร บอกมา ฉันจะได้ตามไปขอบคุณมันที่ช่วยส่งพวกแกมาให้ฉันเหยียบหน้าเล่นแก้เซ็ง ถ้าแกพูด ฉันจะไว้ชีวิตแก”
คำพูดที่เพิ่งได้ยินทำให้แววตาของคนเจ็บวูบไหวอย่างลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะขยับปากช้าๆ
“นาย...นายใหญ่ของพวกเราชื่อ...”
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดพร้อมกับที่กระสุนพุ่งเข้าเจาะทะลุเหนือขมับซ้ายของชายผู้เคราะห์ร้ายจนทะลุออกไปด้านขวา สิ้นลมในนัดเดียว หย่งเต๋อหันกลับไปยังทิศที่มาของกระสุนก็เห็นอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้นตั้งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก บนดาดฟ้ามีวัตถุบางอย่างสะท้อนกับแสงแดดเจิดจ้ายามบ่ายเป็นประกายวิบวับ
สไนเปอร์!
“ใบป่าน! พาเด็กนั่นหลบไปเดี๋ยวนี้!”
ไวเท่าความคิด ลูกมังกรหนุ่มตะโกนแล้วออกวิ่งกลับไปยังรถของพวกตนที่จอดอยู่สุดฝีเท้า พวกมันปฏิบัติการอุกอาจกลางกรุง ไม่แม้แต่จะติดไซเลนเซอร์เก็บเสียงเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าจงใจประกาศศักดาข่มขวัญให้เห็นกันโต้งๆ
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนยังคงดังต่อเนื่องอีกหลายนัด ไทยมุงที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ตั้งแต่ตอนแรกพากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางเพื่อหาที่กำบัง เฉินกุ้ยตวัดร่างบอบบางที่ยืนนิ่งงันขึ้นแนบอกแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้า เสียงกรีดร้องและเสียงกระสุนทำเอาไอศิกาหูอื้อตาลาย สองมือกำเสื้อเชิ้ตบริเวณอกเสื้อของชายหนุ่มเอาไว้แน่นประหนึ่งที่พึ่งสุดท้ายในโลก เธอแหงนหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของเจ้าของวงแขนแข็งแรงที่โอบอยู่รอบกายด้วยความรู้สึกสับสน หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบโลดออกมานอกอก
เขา...ปกป้องเธอ...ในช่วงเวลาวิกฤติที่สุด...
“หมอบ!”
หย่งเต๋อกระโจนเข้าใส่เฉินกุ้ยจากทางด้านหลัง ท่อนแขนแกร่งโอบรัดร่างของหนุ่มรุ่นน้องเลยไปถึงร่างเล็กบางของหญิงสาวในอ้อมแขนเฉินกุ้ยด้วย ทำให้เมื่อทั้งสามคนล้มลงกระแทกพื้นและกลิ้งไปอีกสองสามตลบ ไอศิกาจึงมีอ้อมแขนของชายหนุ่มทั้งสองคนโอบรัดไว้แนบแน่นจนแทบไม่รู้สึกเจ็บเท่าใดนัก
ตูม!
เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เศษอิฐหินดินทรายกระจายฟุ้งอยู่ในบรรยากาศ ไอศิกาสัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุที่มาพร้อมกับกลิ่นน้ำมันผสมกลิ่นเหม็นของเนื้อไหม้ลอยคละคลุ้งชวนให้อาเจียน หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากก่อนจะพบว่าใบหน้าของตนเองเกยอยู่บนบ่ากว้างของผู้ชายที่ชื่อใบป่านโดยมีมือของผู้ชายอีกคนคอยประคองท้ายทอยเอาไว้ และใบหน้าของเขา...ก็อยู่ห่างออกไปเพียงคืบเดียว ใกล้...เสียจนมองเห็นดวงตาคมกล้าที่ไม่มีแว่นตากันแดดสีดำปกปิดเอาไว้อีกแล้วอย่างชัดเจน ดวงตา...ที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงอย่างตกประหม่าและหวาดหวั่นระคนกัน แต่จะหลบตากลับทำไม่ได้ เหมือนถูกแรงดึงดูดลึกลับตรึงเอาไว้จนแทบกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ประหนึ่งเขาเป็นสัตว์นักล่า ส่วนเธอคือเหยื่อที่กำลังจะถูกขย้ำในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
“คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เสียงของเฉินกุ้ยช่วยฉุดหญิงสาวออกจากภวังค์ เขาขยับกายลุกขึ้นนั่งแล้วดันเธอออกห่าง ดวงตายาวเรียวกวาดมองไปทั่วเนื้อตัวมอมแมมของเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคลายวงแขนปล่อยเธอให้เป็นอิสระ
“ฉัน...ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ไอศิกาพูดตะกุกตะกัก “พวก...พวกคุณต่างหากที่บาดเจ็บ...”
ดวงตากลมโตมองแผลถลอกบนใบหน้าของเฉินกุ้ยนิดหนึ่ง ก่อนจะมองเลยไปยังชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ด้านหลัง เนื้อตัวของเขาปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองจนขาวโพลนไปกว่าครึ่ง เสื้อสูทสีเข้มที่สวมทับอยู่ก็ฉีกขาดหลายแห่ง บนหน้าผากและแก้มขวามีหยาดเลือดสีแดงสดไหลเป็นทาง
“แผลแค่นี้เลียก็หาย ไม่ตายหรอกน่า”
หย่งเต๋อหน้าตึงเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของไอศิกาด้วยคิดว่าเธอคงเป็นห่วง ‘ไอ้ใบป่านขา’ ชนิดออกนอกหน้าจนลืมไปว่าเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
“พวกมันยิงกระสุนเจาะถังน้ำมันทำให้เกิดประกายไฟ รถก็เลยระเบิด” เฉินกุ้ยประคองไอศิกาขึ้นยืนพร้อมอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่รู้สึกใดๆ กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่สักนิด ในขณะที่หญิงสาวมองไปยังรถที่จมอยู่ในกองเพลิงแดงฉานด้วยความรู้สึกหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม “คุณรออยู่ตรงนี้นะครับ ผมจะไปหยิบกระเป๋าถือในรถมาให้ ควันไฟพวกนี้คงช่วยพรางตัวเราได้สักสิบนาที จากนั้นเราจะรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
ไอศิกาหน้าซีดเมื่อนึกได้ว่า ‘ของ’ ในกระเป๋าสำคัญกับตนและบิดามากเพียงไหน เธอรีบหันกลับไปมองรถโฟร์วีลที่โดยสารมาตอนแรกทันควัน เมื่อเห็นว่ารถจอดอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุระเบิดพอสมควรจึงไม่ได้รับความเสียหายมากนัก มีเพียงรอยร้าวบนกระจกด้านหน้าและด้านข้าง หญิงสาวก็ถอนใจอย่างโล่งอก แต่เพียงสองสามวินาทีถัดมาโลกที่เคยสว่างไสวพลันมืดดำ สองขาเริ่มอ่อนแรงจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ต้องก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนทำเป็นเก่งนักหรอก”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ไอศิการู้สึกได้ถึงวงแขนที่โอบประคองร่างของตนจากทางด้านหลัง ไอร้อนที่แผ่ออกมาจากแผงอกกว้างให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังจมลงไปในธารลาวาเดือดๆ หญิงสาวพยายามแหงนหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างใหญ่โตที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ทว่าดวงตาของเธอพร่ามัวเกินกว่าจะเห็นได้ว่าสีหน้าของอีกฝ่ายนั้นเป็นเช่นไร
“ไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่ปล่อยให้คุณตายตรงนี้หรอกน่า”
“ฉัน...ฉันตายไม่ได้ อย่างน้อยก็...ไม่ใช่วันนี้...”
ภาพใบหน้าของบิดาลอยขึ้นมาในห้วงความคิดอันพร่าเลือน ไอศิกาเริ่มมองเห็นทุกอย่างรอบกายเป็นสีดำสนิท ก่อนที่สติสัมปชัญญะสุดท้ายจะดับวูบลงเธอก็รู้สึกเหมือนร่างลอยหวือขึ้นจากพื้นและถูกโอบกอดเอาไว้อย่างนุ่มนวล
“ไม่รีบตายก็ดีแล้วหนูน้อย ต่อจากนี้เรามีเรื่องให้สนุกกันอีกเยอะ!”
“พวกแกเป็นบ้ากันไปหมดแล้วหรือยังไงถึงได้ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนั้น!”
ภัทรพลโกรธจนหน้าแดงก่ำ เขาพยายามลดระดับเสียงลงเพื่อไม่ให้รบกวนไอศิกาที่ยังนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ที่ฟากหนึ่งของประตูห้อง ตอนที่ได้รับรายงานจากลูกน้องว่าเกิดเหตุปะทะกันรุนแรงใจกลางเมืองระหว่างคณะของอินเตอร์โพลที่คอยอารักขาไอศิกากับคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม หัวใจของชายหนุ่มก็ดิ่งร่วงลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม ยิ่งเมื่อรู้ว่าหวังหย่งเต๋อและเฉินกุ้ยลากให้หญิงสาวต้องเข้าไปเสี่ยงชีวิตด้วยแล้วก็ยิ่งโกรธจัดจนแทบจะกรากเข้าไปขย้ำคอทั้งสองคนให้หายแค้น
“ก่อนจะลงมือทำอะไร ผมคิดดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำหรอก”
หย่งเต๋อที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่ฝั่งตรงข้ามยักไหล่อย่างยียวน เนื้อตัวของเขามอมแมมและมีรอยฟกช้ำอยู่ประปราย เจ้าตัวดูจะไม่ใส่ใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและเหล่าแพทย์พยาบาลจะพากันมองคราบเลือดเกรอะกรังบนใบหน้าของตนหรือไม่ เหมือนที่เขาไม่ยี่หระต่อสายตาที่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อของคนตรงหน้ายามเห็นรอยลิปสติกสีชมพูอ่อนจางประทับอยู่บนบริเวณอกซ้ายของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตนสวมอยู่สักนิด
รอยลิปสติกที่ได้มาตอนที่อุ้มไอศิกาไว้แนบอก...
“คิดดีแล้ว?” ภัทรพลเค้นเสียงลอดไรฟันแล้วสาวเท้าเข้าไปประชิดอีกฝ่ายจนปลายรองเท้าชนกัน จากนั้นจึงกดเสียงลงต่ำพอให้ได้ยินกันแค่สองคน “หมายความว่าแกจงใจลากลูกแก้วเข้าไปเสี่ยงอันตรายด้วยใช่ไหม แกตั้งใจจะฆ่าเธอเพื่อเอาคืนคุณลุงภาม! คอยดูนะ ฉันจะหาทางให้เบื้องบนจัดการลากคอพวกแกออกไปจากภารกิจบ้าๆ ครั้งนี้ให้ได้!”
“กรุณาถอยออกไปด้วย ไม่อย่างนั้นจะหาว่าผมไม่เตือนไม่ได้นะคุณภัทรพล”
เฉินกุ้ยดันตัวภัทรพลให้ถอยออกไปสองก้าว แล้วขยับมือใต้เสื้อสูทของหย่งเต๋อที่พาดอยู่บนท่อนแขนของตนเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าซ่อนปืนไว้ข้างใต้ สีหน้าของเขานิ่งสนิทจนยากจะคาดเดาว่านิ้วในโกร่งไกปืนจะกระตุกขึ้นมาเมื่อใด
“ไม่เอาน่าอากุ้ย ‘คนกันเอง’ ทั้งนั้น ฉันไม่ถือ” หย่งเต๋อแสยะยิ้ม “มีอยู่บางเรื่องที่ ‘พี่ภัทร’ ต้องทำความเข้าใจให้ดี เรื่องแรกคือ พวกผมเป็นคนช่วยชีวิต ‘น้องลูกแก้ว’ ของพี่เอาไว้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้แม่คุณคงได้ลงไปนอนคุยกับรากมะม่วงนานแล้ว พี่ควรจะขอบคุณพวกผมด้วยซ้ำ”
“ช่วย? แกตั้งใจลากเธอเข้าไปอยู่ในดงกระสุนละไม่ว่า!”
ภัทรพลสวนกลับทันควัน ความเยือกเย็นที่เคยเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวสลายหายไปสิ้นเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไอศิกา และนั่นก็ทำให้คุณชายน้อยแห่งฮวงหลงต้องลอบยิ้มหยันอยู่ในหน้า
โง่มาก...ที่เผยจุดอ่อนให้ศัตรูเห็นจะจะตาเช่นนี้...
“ถ้าผมอยากจะฆ่าน้องลูกแก้วสุดสวาทขาดใจดิ้นของพี่จริงๆ ผมเป่าดับไปตั้งแต่เลี้ยวรถออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่ต้องยืมมือคนอื่นหรอก พี่ก็น่าจะรู้ดีว่าต่อให้ผมหักคอเธอตายคามือ พี่ก็ไม่มีทางเอาผิดพวกผมได้”
คนฟังนิ่งไปชั่วอึดใจขณะที่สองหมัดกำแน่นอย่างพยายามสะกดอารมณ์ สิ่งที่หวังหย่งเต๋อพูดนั้นถูกต้องทุกประการ แก๊งฮวงหลงเป็นแก๊งที่ได้รับอภิสิทธิ์มากมายแลกกับการเป็นสุนัขตำรวจของอินเตอร์โพล เจ้าหน้าที่ระดับสูงมักทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งและเมินเฉยกับความผิดที่พวกตัวเอ้ของแก๊งก่ออยู่เสมอ ต่อให้ภามมี ‘ไพ่เด็ด’ ที่สามารถดึงอินเตอร์โพลให้กระโดดลงมาช่วยเหลือได้เช่นนี้ แต่ไม่มีทางสำคัญถึงขนาดสร้างความบาดหมางระหว่างอินเตอร์โพลกับแก๊งมังกรทองได้แน่
“แกนี่มัน...”
“โถๆๆ ฟังเรื่องจริงแค่นี้ถึงกับจุกจนพูดไม่ออกเลยเหรอครับคุณเจ้าหน้าที่ลิเอซอง” หย่งเต๋อหัวเราะ “ถ้าเป็นห่วงแม่คุณหนูลูกแก้วจริงๆ ละก็ รีบตรวจสอบประวัติของลูกน้องตัวเองให้ละเอียดเถอะ ผมว่าจะต้องมีใครเป็นสายคอยส่งข่าวให้ศัตรูของไอ้ภามแน่ๆ พวกมันถึงได้ส่งนักฆ่ามืออาชีพมาโขยงใหญ่เพื่อดูทีท่าของทางอินเตอร์โพลแบบนี้”
“นักฆ่ามืออาชีพ?” ดวงตาของภัทรพลเต้นระริกอย่างตื่นตะลึง “แก...แกหมายความว่ายังไง นอกจากฮวงหลงแล้วยังมีใครอื่นคิดร้ายกับน้องลูกแก้วอีกอย่างนั้นเหรอ”
“อย่าทำเป็นตีหน้าซื่อตาใสหน่อยเลยพี่ภัทร พี่ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าที่อินเตอร์โพลยอมออกหน้าช่วยเหลือไอ้ภามกับลูกสาวในครั้งนี้ก็เพราะมีข้อแลกเปลี่ยนกัน และน่าจะเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สำคัญระดับ ‘ข้ามชาติ’ เสียด้วย ไม่อย่างนั้นพวกมันคงไม่แยแสคดีเล็กๆ น้อยๆ ในประเทศไทยแบบนี้หรอก จริงไหม” เมื่อเห็นอีกฝ่ายหลบตาวูบ ชายหนุ่มก็รู้ในทันทีว่าตนเองไล่ต้อนภัทรพลมาถูกทางแล้ว ทว่าเขายังไม่คิดจะคาดคั้นให้รู้ความในตอนนี้ เรื่องบางเรื่องก็ต้องค่อยๆ ใช้ลูกล่อลูกชนหลอกให้คายความลับออกมาทีละนิด “แต่เอาเถอะ ถ้ามันเป็นความลับของพวกตำรวจสากล ผมก็ไม่อยากก้าวก่ายนักหรอก ผมสนแต่เรื่องความแค้นส่วนตัวมากกว่า ผมคิดว่าเรื่องที่สองที่พี่ควรจะรู้ไว้ก็คือ นักฆ่าโขยงใหญ่ที่ถูกส่งมาในวันนี้ไม่ได้คิดจะฆ่าคุณหนูลูกแก้วของพี่เพียงอย่างเดียว พวกมันคิดจะข่มขวัญพร้อมกับหยั่งเชิงอินเตอร์โพลดูว่ามีปัญญาอารักขาครอบครัวพิมพ์สุริยามากน้อยแค่ไหน ซึ่งถือว่าโชคดีที่ได้ผมกับอากุ้ยกู้หน้าเอาไว้ได้ ผมจะถือว่าพี่ติดหนี้บุญคุณผมหนึ่งครั้งก็แล้วกัน”
“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่แผนของฮวงหลง” ภัทรพลไม่มีวันเชื่อใจอาชญากรระดับโลกอย่างเปี้ยนเหลี่ยนหวังเป็นอันขาด “คนเจ้าเล่ห์อย่างแกอาจวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วก็ได้ แถมตอนนี้ไม่มีพยานเหลือรอดแม้แต่คนเดียว แกอยากจะปั้นแต่งเรื่องอะไรก็ทำได้”
จากรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนร้ายจำนวน 12 คนเสียชีวิตทั้งหมด หกคนถูกสไนเปอร์ลอบยิงจากระยะไกล ส่วนที่เหลือตายในกองเพลิง
“แล้วพี่หย่งเต๋อจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ถ้าเราคิดจะล้างแค้น ภาม พิมพ์สุริยา ให้สะใจ สู้ลักพาตัวคุณลูกแก้วหรือไม่ก็ปล่อยให้เธอถูกฆ่าตายไปเลยไม่ง่ายกว่าหรือไง ทำไมต้องเสี่ยงชีวิตปกป้องเธอแล้วพาเธอกลับมาส่งที่โรงพยาบาลให้ยุ่งยากด้วย ในเมื่อตอนนี้ไอ้ภามก็ยังนอนนิ่งเป็นผัก จะมีปัญญาอะไรมาช่วยลูกสาวได้”
น้ำเสียงเรียบเรื่อยของเฉินกุ้ยทำเอาภัทรพลเถียงไม่ออก นั่นสิ...ถ้าหวังหย่งเต๋อคิดจะพาไอศิกาไปกักขังเป็นตัวประกันหรือฆ่าทิ้งก็ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
“ผมมาเพื่อสืบหาความจริงว่าไอ้ภามอยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายแม่ผมหรือเปล่า ส่วนศัตรูของมันจะเป็นใคร หรือมันจะไปเหยียบตาปลาหมาตัวไหน ผมก็ไม่สนทั้งนั้น แต่ผมจะไม่ยอมให้ใครมาแทรกแซงจนกว่าผมจะรู้ความจริงเป็นอันขาด ฉะนั้นต่อให้ผมอยากควักหัวใจมันแค่ไหน ผมก็จะยังไม่ลงมือในตอนนี้แน่”
ดวงตาของทายาทคนโตของฮวงหลงทอประกายกร้าว รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มผู้นี้แรงกล้าเสียจนคนมองถึงกับขนลุกซู่...นี่มันแววตาของฆาตกรชัดๆ!
“ทำให้ได้จริงอย่างที่ปากพูดก็แล้วกัน” ภัทรพลจ้องใบหน้างดงามปานรูปสลักของอีกฝ่ายเขม็ง “ฉันจะเตือนแกอีกครั้ง อย่าแตะต้องลูกแก้วเป็นอันขาด เธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องบาดหมางของคุณลุงภามกับพวกแกทั้งสิ้น”
“แหม...แต่ถ้าคุณหนูเป็นฝ่ายอยากแตะผมเองก็ถือว่าผมไม่ผิดนะ เวลามีสาวมาเสนอแล้วผมไม่สนอง มันเป็นบาป ไอ้ผมมันคนใจบุญเสียด้วย ไม่ชอบทำให้สาวๆ ผิดหวัง”
ไม่พูดเปล่า คนช่างยั่วยังเลื่อนปลายนิ้วไปบนรอยลิปสติกบนอกเสื้อคล้ายจะสื่อเป็นนัยว่าหญิงสาวจงใจทิ้งรอยนั้นไว้เองทำเอาภัทรพลตาลุกวาบด้วยความโกรธ
“นะโม!”
“มีอีกเรื่องที่พี่ควรจะรู้เอาไว้...เป็นเรื่องสุดท้าย...” หย่งเต๋อโน้มตัวไปกระซิบที่ริมหูของอีกฝ่าย ดวงตาวับวาวมองเลยไปยังประตูห้องที่หญิงสาวนอนหลับไม่ได้สติอยู่ เรียวปากหยักลึกยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “ถึงผมจะระยำแค่ไหนก็ไม่มีวันข่มเหงน้ำใจผู้หญิงเป็นอันขาด แต่ถ้าแม่ตุ๊กตาหน้าหวานของพี่รนหาที่ เดินเข้ามาหาผมเองละก็ ผมไม่คืนให้แน่!”
ความคิดเห็น |
---|