7

โลกใบใหม่ (2)

“จะจ้องให้ต้นมันงอกออกมาจากแพ็กเกจหรือไง”

เสียงที่ดังจากด้านหลังทำเอาไอศิกาสะดุ้งสุดตัว เผลอปล่อยกล่องบรรจุผลเชอร์รีหลุดจากมือ โชคยังดีที่หย่งเต๋อคว้าไว้ได้ทันก่อนร่วงกระแทกพื้น

“คุณ!” หญิงสาวหันไปถลึงตาใส่เจ้าของร่างใหญ่โตที่ยืนประชิดอยู่ด้านหลัง “หัดให้สุ้มให้เสียงหน่อยสิคุณ จู่ๆ ก็โผล่มาแบบนี้ ฉันตกใจหมด!”

“อู๊ย...ขวัญอ่อน บอบบางสมเป็นคุณหนูจริงจริ๊ง” ชายหนุ่มแบะปาก “ก็เห็นยืนจดๆ จ้องๆ อยู่ตั้งเกือบสิบนาทีแล้ว จะซื้อก็ไม่ซื้อเสียที ปล่อยให้ผมยืนรอจนเมื่อย”

“ฉันไม่ได้ขอให้คุณมาด้วยเสียหน่อย” ไอศิกาเม้มริมฝีปากแน่น “ฉันบอกแล้วว่าฉันมากับคุณใบป่านแค่สองคนก็ได้ แต่คุณดึงดันจะตามฉันมาเองไม่ใช่หรือไงคะ”

“ต้องให้ย้ำอีกกี่รอบไม่ทราบครับคุณหนูว่าผมมีหน้าที่อารักขาความปลอดภัยของคุณ คุณไปไหน ผมไปด้วย ก็ถูกต้องแล้วนี่”

“มันไม่ถูกตรงที่คุณมาคอยกวนประสาทฉันนี่ละ” หญิงสาวระบายลมหายใจยาว เธอเดาทางอารมณ์ของผู้ชายตรงหน้าคนนี้ไม่ถูกเลย ให้ตายเถอะ “ฉันแค่มาซื้อของในซูเปอร์มาร์เกตในหมู่บ้าน ไม่เกินสี่สิบนาทีก็เสร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องยกโขยงกันมาเป็นพรวนก็ได้ มีคนล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้จะกลายเป็นเป้าสายตามากกว่าเสียด้วยซ้ำ”

หมู่บ้านตากอากาศแห่งนี้เรียกได้ว่ามีทุกสิ่งทุกอย่างครบครันและสะดวกสบายเหลือเชื่อ โซนกลางหมู่บ้านมีตั้งแต่ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ร้านทำผม ไปจนถึงร้านซักรีดไว้บริการผู้อยู่อาศัย อีกทั้งยังมีร้านรวงขายของกระจุกกระจิกและมีซูเปอร์มาร์เกตระดับไฮเอนด์ไว้รองรับความต้องการของลูกค้าชาวต่างชาติที่มีมากถึง 60% อีกด้วย และเพราะคำว่า ‘ไฮเอนด์’ นี่ละที่ทำให้ไอศิกาแทบไม่กล้าหยิบสินค้านำเข้าราคาแพงระยับเหล่านั้นใส่ตะกร้าเท่าใดนัก จะขอออกไปซื้อจากร้านสะดวกซื้อด้านนอกที่ราคาถูกกว่า ภัทรพลก็กำชับพวกเจ้าหน้าที่ไว้ว่าห้ามเธอออกไปนอกหมู่บ้านเป็นอันขาด เธอถึงได้แต่ยืนมองเชอร์รีของโปรดตาละห้อยอยู่เป็นนานสองนานนี่ละ

“มีแค่ผมกับไอ้ใบป่านสองคน คงไม่เรียกว่าล้อมหน้าล้อมหลังหรอกมั้ง”

หย่งเต๋อยักไหล่ยียวนก่อนจะหย่อนกล่องเชอร์รีใส่ตะกร้าชอปปิงในมือเฉินกุ้ยที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน เขาหรี่ตามองคนที่ชอบตีหน้านิ่งเป็นนิตย์ด้วยความหมั่นไส้เต็มแก่ หน็อย...ไอ้ตี๋เล็ก ถือตะกร้าเดินตามก้นสาวต้อยๆ แบบนี้ เกินหน้าที่ไปหน่อยหรือเปล่า มันน่าถ่ายรูปส่งไปให้ยายเหม่ยอิงดูนัก!

“นั่นคุณทำอะไร ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะซื้อเลยนะคะ”

“ผมถึงตัดสินใจแทนให้ไง ไม่อย่างนั้นผมคงต้องรอคุณอีกชาติหนึ่งนั่นละ” ชายหนุ่มหลุบตาลงมองขนมขบเคี้ยวสองสามอย่างแล้วพอจะคาดเดาได้ว่าคงเป็นของโปรดของไอศิกาเป็นแน่ รวมไปถึงเชอร์รีลูกโตพวกนี้ด้วย “คุณจะซื้ออะไรอีกหรือเปล่า”

“ไม่...ไม่แล้วค่ะ” ไอศิกาส่ายศีรษะ “นี่...เดี๋ยวสิ...ฉันไม่ได้จะซื้อ...”

“ใบป่าน ไปจ่ายเงิน”

หย่งเต๋อหันไปพูดกับเฉินกุ้ยโดยไม่สนใจฟังหญิงสาวสักนิด เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบปึกธนบัตรที่หนีบด้วยคลิปสีเงินแล้วโยนให้คู่หูที่รับไว้ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

แหม...ช่างใจบุญและทุ่มทุนไม่อั้นกับสัตว์โลกเพศเมียเสียจริ๊ง ทีกับไอ้เฉินกุ้ยละไถเอาไถเอา!

“คุณใบป่านคะ อย่าเพิ่งค่ะ!” ไอศิกาคว้าแขนเฉินกุ้ยเอาไว้ก่อนที่เขาจะเดินไปที่ช่องชำระเงินแล้วหันไปมองเจ้าของเงินด้วยแววตาขุ่นเคือง “นี่คุณคิดจะทำอะไรไม่ทราบ”

“ก็จ่ายเงินไง อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่าเวลาหยิบของในซูเปอร์มาร์เกตใส่ตะกร้าแล้ว ต้องจ่ายเงินก่อนถึงจะเดินออกไปได้”

“ฉันรู้!” สีหน้าแววตายียวนกวนอารมณ์ของคนตรงหน้าทำเอาหญิงสาวอยากพุ่งเข้าไปข่วนหน้าเขานัก “แต่ที่ฉันไม่รู้ก็คือคุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจแทนฉัน แล้วทำไมถึงต้องมาจ่ายเงินให้ฉันด้วย ฉันไม่ใช่ขอทานนะคุณนะโม”

ความรู้สึกหลายหลากปะทุแน่นอยู่ในอก ทั้งโกรธเคืองทั้งอับอายและเสียหน้า ผู้ชายคนนี้รู้ดีว่าสถานะทางการเงินของเธอและครอบครัวในยามนี้คงไม่มีปัญญาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ถึงได้เวทนาช่วยจ่ายเงินซื้อของให้เธออย่างนั้นหรือ

“แหม พูดจารุนแรงจัง ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะคุณหนู” หย่งเต๋อทำท่าพยักพเยิดให้เฉินกุ้ยไปจ่ายเงินตามที่สั่ง “ผมแค่เห็นว่าของในตะกร้าคุณน่ากินดีก็เลยอยากกินด้วย เอาน่า จะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไม ผมตัวโตกว่าคุณต้องกินจุกว่าคุณแน่ ฉะนั้นผมเป็นคนจ่ายก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ถูกอยู่ดี ฉันไม่...”

“ลูกแก้ว! นั่นลูกแก้วใช่หรือเปล่า”

เสียงเรียกที่ดังจากด้านหลังทำให้บทสนทนาต้องยุติลงแต่เพียงเท่านั้น ไอศิกาหันกลับไปมองต้นเสียงแล้วถึงกับหน้าเจื่อนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“ปะ...ปริม...”

“ใช่จริงๆ ด้วย” ปริมลกวาดตามองร่างผอมบางในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นอย่างสำรวจตรวจตราอยู่ครู่หนึ่งแล้วคลี่ยิ้มหวานอาบยาพิษ “ตอนแรกมองไกลๆ คิดว่าไม่ใช่เสียอีก ทำไมถึงแต่งตัวโทรมแบบนี้ล่ะจ๊ะลูกแก้ว นี่ถ้าเพื่อนๆ ที่คณะมาเห็นเข้าคงจำไม่ได้แน่ๆ”

เพียงได้ยินประโยคทักทายแฝงความนัยเพียงสองสามประโยค หย่งเต๋อก็พอเดาได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไอศิกากับหญิงสาวผู้มาใหม่คงไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าใดนัก เผลอๆ อาจจะไม่ถูกกันเสียด้วยซ้ำไป

“แล้ว...มาทำอะไรที่นี่” ปริมลหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังไอศิกาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น เขาตัวสูงใหญ่มากเสียจนข่มให้คนรอบข้างดูตัวเล็กไปถนัดใจ อีกทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์อย่างร้ายกาจเสียด้วย “ฉันเห็นข่าวว่าพ่อเธอถูกยิงอาการสาหัสไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงทิ้งพ่อมาเที่ยวเล่นแถวนี้ได้ล่ะจ๊ะ”

“ฉันไม่ได้มาเที่ยวเล่น แต่มาทำธุระ”

ไอศิกาพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถ เธอกับปริมลเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น จนสอบติดคณะอักษรศาสตร์มหาวิทยาลัยเดียวกันก็ยังญาติดีกันไม่ได้

“ทำธุระ?” ปริมลพูดเสียงขึ้นจมูก เรียวปากที่เคลือบด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขันแกมเย้ยหยัน เป็นรอยยิ้มที่ทอนความงามจากดวงหน้าสวยเฉี่ยวของเธอลงเกือบครึ่ง ดวงตาที่กรีดอายไลเนอร์และตวัดหางขึ้นตามแบบสมัยนิยมหรี่ลงขณะมองอีกฝ่าย “เธอแต่งตัวแบบนี้มาทำธุระเนี่ยนะ นี่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนฉันคงนึกว่าเธอเป็นแม่บ้านของฝรั่งในหมู่บ้านแน่ๆ”

ไอศิกาหน้าชา แน่ละว่าสภาพของเธอในตอนนี้ หากเทียบกับปริมลซึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมและแต่งหน้าทำผมมาอย่างประณีตสวยงามเช่นนี้แล้ว เธอคงดูไม่ต่างอะไรกับสาวใช้ที่เจ้านายใช้ให้มาจ่ายตลาดจริงๆ นั่นละ

“ถ้าจะพูดเรื่องไร้สาระแค่นี้ ฉันขอตัวก่อนดีกว่า ฉันมีธุระ”

หากเป็นยามปกติ ไอศิกาคงไม่ปล่อยให้คนอื่นพูดจาเหยียดหยามดูถูกตนซึ่งหน้าเป็นอันขาด แต่ในสภาวะกดดันที่พาให้อารมณ์ดิ่งลงเหวเช่นนี้ เธอแทบไม่มีแก่ใจต่อปากต่อคำใดๆ ทั้งสิ้น หญิงสาวตั้งท่าจะผละหนี แต่ถูกปริมลคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน

“จะรีบไปไหนเล่า รอเจอเพื่อนคนอื่นๆ ก่อนสิ กำลังเดินซื้อของกันอยู่ เดี๋ยวก็มา พวกนั้นคงอยากถามสารทุกข์สุกดิบเธอกันทุกคนแน่ๆ หรือว่ากลัวทุกคนจะรู้ว่าเธอตกอับ”

ปริมลอยากให้เพื่อนๆ ของเธอมาเห็นใบหน้าอิดโรยและรอยฟกช้ำดำเขียวบนเนื้อตัวของแม่ดาวมหาวิทยาลัยเหลือเกิน แทบไม่เหลือสภาพลูกสาวคนสวยของเจ้าพ่อ ภาม พิมพ์สุริยา สักนิด สะใจเป็นบ้า!

“ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็น” แม้เพื่อนที่อีกฝ่ายอ้างถึงจะเป็นเพื่อนร่วมคณะ แต่ไม่อาจนับเป็นเพื่อนของเธอได้ ปริมลมีนิสัยอย่างไร เพื่อนที่เจ้าตัวคบหาอยู่ก็มีนิสัยแบบเดียวกันนั่นละ หากพบเธอในสภาพนี้คงหัวเราะเยาะเธอกันสนุกแน่ “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะปริม ฉันเจ็บ”

มิไยที่ไอศิกาจะหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากหย่งเต๋อ แต่เขากลับยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย มุมปากยกขึ้นนิดๆ คล้ายกำลังอมยิ้ม

...อมยิ้ม? นี่เขาสนุกที่ได้เห็นเธอเดือดร้อนอย่างนั้นหรือ...

“คุณลูกแก้วบอกว่าเจ็บ คุณไม่ได้ยินเหรอครับ”

เฉินกุ้ยคว้าข้อมือของปริมลเอาไว้แล้วบีบแน่นเสียจนเจ้าตัวต้องรีบคลายมือจากไอศิกาโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มตวัดตามองลูกพี่ใหญ่ด้วยแววตาตำหนิ เมื่อครู่ยังทำท่าห่วงใยลูกสาวของศัตรูจนออกนอกหน้า แต่พอเธอถูกรังแกกลับยืนมองเฉยๆ ไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเสียนี่ เห็นได้ชัดว่า...คุณชายน้อยแห่งฮวงหลงกำลังวางแผนอะไรสักอย่างเป็นแน่

“โอ๊ย! ฉันเจ็บนะ!” แรงกดจากชายหนุ่มแปลกหน้าบีบรัดจนข้อมือของเธอแดงก่ำ “ฉันปล่อยแล้ว เห็นไหม ฉันปล่อยแล้ว!”

เสียงโวยวายของปริมลเรียกให้ผู้คนที่เดินเลือกสินค้าอยู่ในซูเปอร์มาร์เกตพากันหันมามองเป็นตาเดียว เฉินกุ้ยจึงยอมปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระอย่างเสียไม่ได้ ด้วยไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ที่จริงเขาไม่ได้ห่วงใยไอศิกานักหนา เพียงแต่ไม่ชอบเห็นคนถูกรังแกซึ่งหน้าก็เท่านั้น

“ทำไมต้องรุนแรงกับผู้หญิงด้วยเล่า ใบป่าน” หย่งเต๋อรีบปราดเข้าไปดูรอยช้ำบนข้อมือของหญิงสาว “เจ็บมากไหมครับคุณ ผมต้องขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ ไอ้หมอนี่มันเป็นบอดีการ์ดบ้าพลัง เรื่องเล็กนิดเดียวชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่”

ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังคว้าข้อมือของปริมลขึ้นมาพินิจด้วยท่าทางที่แสดงความห่วงใยเกินจริง เฉินกุ้ยมองแล้วกลอกตาอย่างเอือมระอา

...เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ โอเวอร์แอกติงขนาดนี้ มีหรือที่แม่สาวคนนี้จะรอดกรงเล็บมังกรไปได้...

“อุ๊ย...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” รอยยิ้มหวานฉ่ำของหย่งเต๋อทำให้ปริมลเผลอยิ้มตอบโดยไม่รู้ตัว ลืมเจ็บไปชั่วขณะ “คุณก็เป็นบอดีการ์ดเหรอคะ”

“ฉันจะกลับแล้ว”

ไอศิกาข่มความโกรธจนเสียงสั่น เธอมองปลายนิ้วของชายหนุ่มที่คลึงอยู่บนข้อมือของหญิงสาวอีกคนด้วยความขุ่นเคืองใจอย่างบอกไม่ถูก เขามีหน้าที่ต้องคอยคุ้มครองดูแลเธอไม่ใช่หรือ แต่กลับไปดูแลประคบประหงมคนที่หาเรื่องเธอเสียนี่!

“ถ้าอย่างนั้นแกพาคุณหนูลูกแก้วกลับไปก่อนก็แล้วกัน ใบป่าน” หย่งเต๋อหันไปสั่งคนสนิทหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจใบหน้าซีดเผือดของไอศิกาสักนิด “คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ถ้าผมจะขออยู่ดูแลเพื่อนคุณก่อน”

“เรื่องนี้...คุณถามคุณใบป่านเถอะค่ะ มันไม่เกี่ยวกับฉัน”

เมื่อเช้าเธอได้ยินกับหู เห็นอยู่เต็มสองตาว่าผู้ชายสองคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกัน แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงหงุดหงิดที่เห็นนะโมทำท่าเหมือนสนใจปริมลจนออกนอกหน้าแบบนี้ได้

“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะครับ คุณลูกแก้ว”

เฉินกุ้ยคว้าข้อมือหญิงสาวแล้วพาเดินออกจากซูเปอร์มาร์เกตประจำหมู่บ้านโดยไม่หันไปมองชายหนุ่มอีกคนแม้แต่แวบเดียว เขาไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนในนั้นมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ซึ่งมีกล้องวงจรปิดคอยบันทึกภาพของพวกเขาไว้ตลอดเวลา การทำตัวเป็นจุดสนใจจะทำให้เสี่ยงต่อการถูกเพ่งเล็งเป็นที่สุด และอาจทำให้ขยับตัวทำงานในภารกิจสืบหาความจริงครั้งนี้ยากขึ้นไปอีก

“เดี๋ยวสิคะคุณใบป่าน ปล่อยเขาไปแบบนี้จะดีเหรอคะ คุณกับเขา...”

“ผมเป็นคนใจกว้างครับ” เฉินกุ้ยตอบหน้าตายขณะวางถุงขนมที่เพิ่งซื้อมาบนเบาะรถกอล์ฟขนาดสี่ที่นั่งที่จอดอยู่ในลานจอดรถ ในหมู่บ้านระดับไฮเอนด์เช่นนี้ ผู้พักอาศัยมักมีรถกอล์ฟไฟฟ้าประจำบ้านไว้อย่างน้อยบ้านละหนึ่งคัน เพื่อสัญจรไปมาในหมู่บ้านแทนการใช้รถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ ซึ่งนับว่าสะดวกสบาย ช่วยลดมลภาวะและประหยัดพลังงานอย่างยิ่ง แม้จะไม่ชอบหน้าภัทรพลนัก แต่ต้องยอมรับว่าชายหนุ่มตระเตรียมเรื่องการอำนวยความสะดวกทุกอย่างเพื่อไอศิกามาเป็นอย่างดี “ตกลงคุณจะยืนอย่างนั้นอีกนานไหมครับ หรือว่าคุณอยากเดินกลับ ผมจะได้จอดรถทิ้งไว้ที่นี่แล้วให้เจ้าหน้าที่คนอื่นมาขับกลับไปทีหลัง”

ร่างสูงก้าวขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับแล้วมองใบหน้าเผือดสีของหญิงสาวด้วยแววตาไม่ยินดียินร้ายจนเธอรู้สึกสะบัดหนาวสะบัดร้อนขึ้นมาเสียเฉยๆ รู้...ว่าเขาดุดันเหี้ยมหาญไม่แพ้ผู้ชายที่ชื่อนะโม แต่ที่ผ่านมาเขาใจดีกับเธอมาก จึงไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นท่าทางเย็นชาแบบนี้จากเขา

“ขะ...ขอโทษค่ะ”

ไอศิกากระโดดขึ้นไปนั่งคู่กับชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

“คุณจะขอโทษทำไม คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย แล้วผมก็แค่ถามว่าคุณอยากเดินกลับหรือนั่งรถกลับ คุณก็แค่เลือกมา ถ้าอยากเดิน ผมก็จะเดินด้วย”

“นั่งรถกอล์ฟก็ไม่ต่างจากเดินนักหรอกค่ะ มันแล่นช้าจะตาย”

สีหน้าที่ปรับเปลี่ยนให้อ่อนโยนขึ้นของเขาทำให้หญิงสาวคลายความเกร็งลงไปบ้าง

“หรือคุณอยากให้ผมขับเร็วขึ้น”

เฉินกุ้ยบิดกุญแจสตาร์ตรถแล้วตั้งท่าจะเหยียบคันเร่ง แต่ไอศิการีบส่ายหน้ารัวเร็ว

“ไม่ต้องค่ะ ค่อยๆ ขับไปน่ะดีแล้ว กลับไปฉันก็ต้องไปอุดอู้อยู่ในห้อง ได้ชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางบ้างก็ผ่อนคลายดีนะคะ”

“ถ้าอย่างนั้นเราขับวนสำรวจรอบหมู่บ้านกันสักรอบดีไหมครับ คุณเพิ่งมาอยู่ ยังไม่ได้สำรวจเลยนี่ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ถึงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ก็น่าจะรู้เส้นทางต่างๆ เอาไว้บ้าง เผื่อวันไหนคุณแอบซนหนีออกไปซื้อขนมกินที่ซูเปอร์มาร์เกตจะได้กลับเซฟเฮาส์ถูก”

“ขอบคุณค่ะ” ไอศิกาเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกลับไปเป็นใบป่านที่เธอรู้จักอีกครั้ง “ที่จริง...ต่อให้ฉันออกไปเดินเตร่ข้างนอกคนเดียวก็คงไม่มีใครจำฉันในสภาพนี้ได้หรอกค่ะ”

“ผมก็ว่าคุณแต่งตัวน่ารักสมวัยดีแล้วนี่”

เฉินกุ้ยพูดพลางหมุนพวงมาลัยพารถออกไปสู่ถนนในหมู่บ้าน สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ปลูกไว้เรียงรายเป็นทิวแถว จึงทำให้ดูร่มรื่นเหมาะสำหรับการเดินกินลมชมนกชมไม้เป็นอย่างยิ่ง

“คะ?”

“คุณยังอายุน้อย ไม่จำเป็นต้องประโคมเครื่องสำอางหนาๆ ก็ได้ ดูเพื่อนคุณสิ จะรีบแต่งตัวขนาดนั้นไปทำไมก็ไม่รู้ พอมายืนกับคุณแล้ว ดูแก่กว่าตั้งเยอะ”

พูดแล้วก็เข้าตัว สมัยอายุสิบแปดเขาก็พยายามแต่งตัวเป็นผู้ใหญ่เกินตัว เพราะอยากให้เหม่ยอิงซึ่งอายุมากกว่าถึงเจ็ดปีชายตาแลเขาบ้าง แต่ดูเหมือน...ในหัวใจเธอจะมีเพียงเหวินฟงคนเดียวเท่านั้น

“คุณกำลังนินทาผู้หญิงอยู่นะคะ” ไอศิกาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันนึกว่าคุณจะเป็นสุภาพบุรุษกว่านี้เสียอีก”

“อย่าคิดเองเออเองสิครับ ผมไม่เคยพูดสักคำว่าผมเป็นสุภาพบุรุษ”

ผู้หญิงช่างเป็นเพศที่มีจินตนาการล้ำลึก ชอบคิดเองเออเองมันแทบทุกเรื่อง ดูอย่างเรื่องเขาปะไร พูดน้อยไม่มีปากมีเสียงก็ทึกทักว่าเป็นสุภาพชน ให้เกียรติเพศแม่ พอไม่แตะต้องกอดจูบลูบคลำก็ไพล่คิดไปว่าเขาคงชอบเพศเดียวกันมากกว่า ดูอย่างเรื่องเขากับลูกพี่ใหญ่ปะไร เพียงโรยเศษขนมปังหลอกล่อว่าพวกเขาเป็นคู่รักกัน แม่เจ้าประคุณก็พร้อมหลงเชื่ออย่างง่ายดาย

...มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า แค่คิดก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ แล้ว!...

“แต่...ฉันคิดว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ นะคะ คุณใจดีกับฉันมาก คุณช่วยชีวิตฉัน ให้ยืมโทรศัพท์โทร. ถามอาการคุณพ่อ แล้วยังเรื่องเมื่อกี้นี้อีก”

...ไม่เหมือน...ผู้ชายอีกคน...

ภาพใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรผุดวาบขึ้นในห้วงความคิดก่อนจะถูกหญิงสาวสลัดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี

“ผมก็ทำไปตามหน้าที่นั่นละครับ” เฉินกุ้ยยิ้มแกนๆ การช่วยเหลือ ไอศิกา พิมพ์สุริยา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนแทรกซึมเข้ามาสืบหาความจริงเรื่องการวางระเบิดเท่านั้น แม้เขาจะสงสารเธอเพียงใด แต่เมื่อมีเหตุให้ต้องปลิดชีวิตเธอ เขาก็พร้อมลงมืออย่างไม่ลังเลสักนิด “คุณอยากโทรศัพท์ไปถามอาการคุณพ่ออีกไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ” ไอศิกาส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ฉันไม่กล้ารบกวนเวลาทำงานของคุณหมอ ขอโทร. เช็กแค่วันละครั้งก็พอ”

หลังจากรู้ว่าอาการของบิดาดีขึ้นกว่าที่คิด หัวใจที่เคยหนักอึ้งก็คลายความกังวลลงบ้างและมีความหวังว่าท่านจะฟื้นคืนสติในเร็ววัน

“ตามใจคุณก็แล้วกันครับ ถ้าอยากโทร. เมื่อไหร่ก็มาหาผมได้ตลอดเวลา หรือมีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกได้ ไม่ต้องเกรงใจ”

“อะไรก็ได้เหรอคะ”

ดวงตาคู่งามมองเหม่อไปยังทิวทัศน์สีเขียวขจีรอบกาย เธอได้กลิ่นไอทะเลลอยมากับสายลมอุ่นๆ แสดงว่าทะเลคงอยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านนี้เท่าใดนัก

“เอาเป็นว่าได้เกือบทุกอย่าง ยกเว้นยืมเงิน ผมน่ะโดนคนรอบข้างไถเงินมาแทบจะตลอดชีวิตจนเบื่อแล้ว”

“เห็นเงียบๆ แต่คุณก็มุกเยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย”

ไอศิกาหัวเราะในขณะที่เฉินกุ้ยทำหน้าเมื่อย อยากบอกเหลือเกินว่าไม่ใช่มุกเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมา เวลาถูกทำโทษตัดค่าขนม ทั้งหย่งเต๋อและพุดพิชญาก็มักจะบ่ายหน้ามารีดไถเขาแทบทุกครั้งไป แถมยังไม่เคยคืนเลยสักแดง!

“ไม่ต้องห่วงค่ะ เรื่องที่ฉันจะขอให้คุณช่วยไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลยสักบาท แต่ถ้าคุณไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรนะคะ”

“ไม่สะดวกใจ?”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันนิดๆ ในขณะที่เครื่องหน้าส่วนอื่นๆ นิ่งสนิทไร้ความรู้สึก

“คือ...” หญิงสาวดึงสายตากลับมายังเสี้ยวหน้าขาวจัดของอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยไม่เต็มเสียงนัก “ฉันอยากจะขออนุญาตเรียกคุณว่าพี่ใบป่านได้ไหมคะ”

เฉินกุ้ยนิ่งเงียบอยู่ราวนาทีหนึ่งแล้วส่ายหน้า

“ผมว่าคงไม่เหมาะมั้งครับ ถ้าคุณภัทรพลรู้เข้าคงไม่พอใจแน่”

เขามั่นใจว่านอกจากจะทำให้ภัทรพลไม่พอแล้ว หย่งเต๋อเองก็คงหัวเสียไม่น้อยที่ไอศิกาทำตัวสนิทสนมกับเขาเพียงนี้ รับรองว่าต้องได้เห็นสองคนนั้นเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ

“พี่ภัทรไม่ว่าหรอกค่ะ ให้ฉันเรียกคุณว่าพี่เถอะนะคะ” ไอศิกายืนยันหนักแน่นด้วยรอยยิ้มหวาน “อยู่กับคุณแล้วฉันรู้สึกอบอุ่น เหมือนได้พี่สาวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน”

“พี่...พี่สาว?”

เฉินกุ้ยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“ปกติฉันสนิทกับคนยากมากนะคะ แต่ไม่รู้ทำไมเวลาคุยกับคุณแล้วทำให้ฉันนึกถึงรุ่นพี่ที่คณะคนหนึ่ง ชอบพูดตลกหน้าตายแบบคุณนี่ละ ตอนฉันเข้าเรียนปีหนึ่ง พี่เขาก็เรียนอยู่ปีสี่แล้ว จริงๆ พี่เขาต้องจบนานแล้วค่ะ แต่ดรอปเรียนไปพักใหญ่เพราะขาหักตอนขี่ม้า”

“ขาหักตอนขี่ม้า?”

ชายหนุ่มเบิกตากว้าง ในสมองเรียบเรียงความคิดอย่างหนักกับข้อมูลอันคุ้นเคยที่เพิ่งได้รับ จริงด้วย แม่เด็กคนนี้เรียนคณะอักษรศาสตร์ คณะเดียวกับ...ไม่น่า...อายุห่างกันพอสมควร ไม่น่าจะรู้จักกันหรอก...

“ใช่ค่ะ พี่จันทร์เจ้าชอบขี่ม้ามากเลย ยังเคยบอกว่าจะสอนฉันขี่ด้วย แต่จนแล้วจนรอดก็ว่างไม่ตรงกันเสียที สุดท้ายพี่เขาก็เรียนจบไปก่อน ว้าย!”

เอี๊ยด!

เฉินกุ้ยเบรกรถเสียงดังสนั่นหวั่นไหวโดยไม่สนใจว่ารถที่แล่นตามมาข้างหลังจะต้องพลอยเบรกหัวทิ่มหัวตำตามไปด้วยหรือไม่ เขาหันไปมองหญิงสาวด้วยสีหน้าเหมือนเห็นผี เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นสีหน้าที่แสดงอารมณ์ของมนุษย์ปกติจากเขา

“เกิด...เกิดอะไรขึ้นคะ คุณใบป่าน มีอะไรหรือเปล่า”

“เอ่อ...เปล่าครับ ผมคิดว่าเห็นอะไรสักอย่างวิ่งตัดหน้าไปก็เลยเผลอเหยียบเบรก”

ให้ตาย...เด็กคนนี้รู้จักจันทร์เจ้า เธอ...รู้จักหวังหยูเยว่ น้องสาวของหย่งเต๋อ! แต่เธอไม่น่าจะรู้ว่าจันทร์เจ้าเป็นใคร เพราะหญิงสาวมักปกปิดตัวตนจากคนภายนอกเสมอ เพราะอยากใช้ชีวิตเหมือนนิสิตทั่วไป ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...จันทร์เจ้าเคยเล่าให้ฟังว่ามีรุ่นน้องที่สนิทกันมากอยู่คนหนึ่ง ทั้งสวยทั้งเก่ง แถมนิสัยดี อยากแนะนำให้เขารู้จักเผื่อว่าจะถูกใจ แต่เขาไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนนอกจากเหม่ยอิงจึงปฏิเสธไป ไม่คิดว่าโลกจะกลมถึงเพียงนี้เลย พับผ่าเถอะ!

...คำถามคือ...ในตอนนั้น จันทร์เจ้ารู้หรือไม่ว่าไอศิกาเป็นลูกสาวของภาม...

...แล้วตอนนี้ จันทร์เจ้าคิดแก้แค้นให้ฟ้าใสเหมือนหย่งเต๋อหรือเปล่า...

...ดูท่า...เรื่องนี้คงวุ่นวายกว่าที่คิดไว้เสียแล้ว...
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น