1

บทที่ 1


1

 

            แสงไฟหลากหลายสีสันสาดส่องวูบวาบตามจังหวะเสียงเพลงอึกทึก เหล่านักเที่ยวจำนวนมากกำลังปล่อยตัวปล่อยใจให้มันสุดเหวี่ยงไปกับจังหวะเสียงเพลงอึกทึก สำหรับคนไม่ถนัดเต้นรำก็เลือกนั่งละเลียดเครื่องดื่มย้อมใจชื่นชมบรรยากาศ นอกจากนี้ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ชอบเต้นรำ ไม่สนใจการดื่ม บรรยากาศก็เดิมๆ ไม่ได้ตื่นเต้นแปลกตา แต่ก็ยังสามารถนั่งอยู่ในผับได้ทั้งคืน เพราะมีหญิงสาวแอบอิงพิงซบข้างกายให้ซุกไซ้คลอเคลียอยู่ในมุมมืดสลัว

            ชินดนัย จิณณวัตร จัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทหลังสุด ชายหนุ่มถูกส่งตัวมาดูแลผับที่ชื่อว่า เฟรทิส หนึ่งในกิจการสถานบันเทิงของ เดชทัต ธุวพร ผู้มีศักดิ์เป็นน้าเขย เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถสร้างชื่อของเฟรทิสให้ขึ้นมาเป็นผับอันดับหนึ่งของภูเก็ต

            ชีวิตที่ภูเก็ตลงตัวและสุขสบาย เดชทัตกว้างขวาง แม้จะอยู่ต่างถิ่น แต่เส้นสายอิทธิพลยังเหนียวแน่น จึงไม่มีขาใหญ่หน้าไหนกล้ามาระรานในผับ และหากจะมีขี้เมาดวงกุดโผล่มาให้เขาได้พอออกกำลังบ้าง ชินดนัยกับสาทิตคนสนิทก็จัดการรับมือได้อย่างไม่ลำบาก

            ทุกค่ำคืนชายหนุ่มมักจะได้พบความรักอายุสั้นกับผู้หญิงที่ถูกใจแต่ไม่ผูกพัน ไม่เรื่องมาก เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการสมใจก็ต่างคนต่างไป ด้วยความที่เป็นหนุ่มโสด เนื้อหอม สาวๆ ในผับจึงมักเมียงมองเขาอย่างสนใจ มันจึงไม่แปลกหากเขาจะแสวงหาความสุขใส่ตัวบ้าง

            เสียงเพลงไม่เร้าใจเท่าเสียงหอบกระเส่าของคนในอ้อมแขน คืนนี้ชินดนัยได้รับการเชื้อเชิญจากหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาวผุดผาด เธอดูร้อนแรงในชุดสีแดงเรดไวน์ นับตั้งแต่ก้าวเข้าผับมา มีสายตาหลายคู่จับจ้องเธออย่างสนใจใคร่รู้ ทว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่เธอยอมสบตาและส่งรอยยิ้มเย้ายวนกลับมาให้ การเชิญชวนอย่างมีชั้นเชิงนั้นไม่อาจทำให้เขาอยู่เฉยได้ ชายหนุ่มใช้เวลาไม่นานในการพาตัวเองเข้าไปพูดคุยทำความรู้จัก

            เธอชื่อ มุกดา เขารู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้ แน่นอนว่าเธอต้องเคยมาที่ผับแล้ว แต่จะมากับใครนั่นละที่เขาอยากรู้ สาทิตอาจจะจำเธอได้ คงต้องเอาไว้ถามกันทีหลัง ในเมื่อคืนนี้เธอฉายเดี่ยวและดูไม่มีปัญหาเมื่อเขายื่นหน้าเข้าไปจูบ แถมยกมือขึ้นกอดคอตอบสนองกลับมาเป็นอย่างดี จากที่คิดว่าจะแค่ลองเชิงก็เลยพัวพันนัวเนียกันจนร้อนผ่าวทั้งคู่

            “ไม่เอาค่ะคุณชิน มุกว่าเราไปห้องทำงานคุณดีกว่านะคะ”

            สาวน้อยมุกดาหลับตาพริ้ม แหงนเงยหน้าขึ้นเปิดเผยลำคอระหงให้ชายหนุ่มไล้เลีย เมื่ออารมณ์ปรารถนาถูกกระตุ้นเร้าจนความต้องการครอบงำ มันทำให้เธอหลงลืมความอาย เป็นฝ่ายชวนเขาก่อน ทว่าชายหนุ่มยังคงซุกไซ้กับเนินอกอวบอย่างเพลิดเพลิน ความนุ่มหยุ่นเต็มไม้เต็มมือทำให้เขาไม่อยากขยับไปไหนเลยจริงๆ

            “ตรงนี้ไม่ได้เหรอ ไม่มีใครเห็นหรอก มืดออกอย่างนี้” ชินดนัยอู้อี้ เลื่อนมือลงไปบีบสะโพกกลมกลึงของหญิงสาวอย่างมันเขี้ยว ก่อนมือใหญ่จะซุกหายเข้าไปใต้ร่มผ้าของกระโปรง ผ่านชั้นในลูกไม้แสนบอบบางจนสัมผัสกับความชุ่มฉ่ำของเนื้อแท้ เขากรีดปลายนิ้วไปตามรอยผ่าที่เปียกปอน ส่งผลให้หญิงสาวสั่นระริกไปทั้งกาย

            “อื้อ...คุณชินอย่าซนสิคะ”

            “ก็พร้อมขนาดนี้ ยังคิดจะหนีไปไหนอีก ตรงนี้ก็ได้ ไม่มีใครสนใจเราหรอก” ชายหนุ่มก้มหน้าลงชิดอกอวบอีกครั้ง

            สาวสวยครางประท้วงเมื่อทรวงอกอวบอิ่มถูกครอบครองโดยปากร้อน ลิ้นสากระคายของเขากวาดเลียยอดทรวงสีเข้มอย่างกระหาย ดูดดึงทำให้เธอหลอมละลาย หมดเรี่ยวแรงต่อต้าน เขาปลุกเร้าทำให้เธอรุ่มร้อนเจียนคลั่ง มือเธอกดแนบศีรษะเขาชิดอก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีโอกาสได้อยู่ในอ้อมกอดอันเร่าร้อนของเขาคนนี้ ชายที่ผู้หญิงทั้งผับอยากกระโจนขึ้นเตียงไปกับเขา

            ชินดนัยเงยหน้าขึ้นจูบปิดปากช่างห้ามนั่นเสีย ก็เห็นอยู่ว่าคำห้ามปรามนั้นขัดกับความต้องการแท้จริงของร่างกายที่เบียดกระแซะเสียดสีสะโพกท้าทายเจ้าน้องชายที่แข็งขึงพร้อมลงสนามรัก ความมืดบวกกับเสียงดนตรีดังกลบเสียงต่างๆ ยิ่งทำให้ชายหนุ่มย่ามใจ

            ตรงนี้เป็นมุมอับ เขารู้ดีว่าจะไม่มีสายตาของพวกสอดรู้สอดเห็นเข้ามาถึงจึงยกร่างหญิงสาวขึ้นนั่งบนตัก จับให้เธอหันหน้าเข้าหากัน เนินเนื้อนุ่มด้านล่างคร่อมทับบดเบียดความแข็งแกร่งที่ดุนดันกางเกงจนนูนมองเห็นชัด หญิงสาวช่วยเขาปลดซิปกางเกงอย่างรีบร้อน นำความแข็งขึงร้อนผ่าวออกมาเป็นอิสระ

            หญิงสาวกอดเขาแนบแน่นส่งเสียงครางเร้าใจดังกระเส่าอยู่ข้างหูก่อนที่มันจะกลืนหายไปกับเสียงเพลงจนแทบแยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร กางเกงชั้นในถูกมือซุกซนกระชากออกไปอย่างคนใจร้อน นิ้วของชินดนัยล่วงล้ำ กระตุ้นเร้าให้ร่างกายเธอพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อม

            “เรามาจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยกันเถอะคนสวย ผมรอที่จะพาเจ้าน้องชายตัวแสบเข้าไปซุกในตัวคุณไม่ไหวแม้แต่วินาทีเดียว เราต้องทำมันตรงนี้ และเดี๋ยวนี้ เร็ว! ขยับตัวลงมาทูนหัว มันเป็นของคุณแล้ว”

            มือของหญิงสาวเลื่อนต่ำหายเข้าไปลูบไล้ความแข็งแกร่งใต้สะโพก ครอบครองเขาด้วยมือนุ่ม ขยับเลื่อนขึ้นลงจนเขาแหงนหน้าส่งเสียงครางออกมาอย่างเสียวซ่าน ชายกระโปรงบานยาวพอจะคลุมปิดความใกล้ชิดเบื้องล่าง เธอยิ้มยั่วโน้มหน้าลงจุ๊บเบาๆ ส่งสายตาเชิญชวน โดยที่มือยังสร้างความหฤหรรษ์ให้เขาไม่หยุด

            ชินดนัยทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว แม่สาวร้อนบนตักก็ชักช้าไม่ทันใจ เขาจำเป็นต้องจัดการภารกิจนี้ให้ลุล่วงเสียทีก่อนที่น้องชายจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มส่งเสียงคำรามในลำคอพลางล้วงมือเข้าไปในเสื้อนอกของตนเอง หยิบถุงยางอนามัยส่งให้หญิงสาว โน้มหน้าสวยลงมากระซิบข้างหู ก่อนจะแกล้งงับ และเม้มเล่นจนเธอสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

            “รีบใส่มันให้ผม แล้วจัดการซะ ถ้าช้าอีกนิดผมจะกดคุณลงกับพื้นแล้วทำมันท่ามกลางสายตาคนทั้งผับ”

            “น่าตื่นเต้นดีนะคะ แต่ไว้ครั้งหน้าดีกว่า” หญิงสาวยิ้มยั่ว ปากกัดมุมซองถุงยางอนามัยแล้วก้มลงทำตามเขาสั่งอย่างว่าง่าย ไร้อาการเขินอาย เมื่อทุกอย่างถูกตระเตรียมพรั่งพร้อม หญิงสาวยกลำตัวขึ้น จัดตำแหน่งให้เหมาะเจาะก่อนทิ้งตัวลงมาครอบครองกายแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วจนคนเบื้องล่างถึงกับคราง โอบกอดเธอเอาไว้แน่น

            “อ่า...อย่างนั้นที่รัก”

            “คุณวิเศษที่สุด” เธอกระซิบ กดจูบกับต้นคอ แล้วเริ่มขยับสะโพกโยกไหว

            “ผมเป็นยอดมนุษย์ คุณไม่รู้หรอกเหรอ” ชินดนัยหัวเราะเสียงพร่า ขยับท่อนล่างสวนกลับหนักหน่วง

            หญิงสาวเงยหน้าส่งเสียงครวญคราง เคลื่อนไหวตามจังหวะเพลงถี่กระชั้น ชินดนัยยังคงจับเอวเธอไว้รับการขยับสะโพกอย่างเร่าร้อน จนกระทั่งใกล้ถึงปลายทางของความปรารถนา ทั้งคู่เลิกสนแล้วว่ากำลังระเริงรักกันอยู่ที่ใด ต่างขยับเข้าใส่กันอย่างรุนแรงเต็มอารมณ์

            “อีกนิดที่รัก แรงกว่านี้ เร็วขึ้นอีก...อีก อ่า...” ชินดนัยครางลั่น มือจับเอวหญิงสาวกดแน่นเข้าหาตัวในทุกจังหวะความหฤหรรษ์ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด เขารีบถอดถอนตัวตนออกจากแรงบีบรัดเร้าใจ เธอตัวอ่อนซุกซบใบหน้าชื้นเหงื่อกับอกกว้าง กอดรัดร่างกำยำไว้แน่น

            “รักคุณจัง”

            หญิงสาวขยับสะโพกส่ายวนยั่วเย้า แม้จะขัดใจที่เขารีบถอดถอน แต่เธอก็ยังกอดเขาแน่น พริ้มตาอย่างแสนสุข

            ฝันเป็นจริงหลังจากที่พยายามหาโอกาสมาหลายครั้ง ในที่สุดเธอก็ได้ใกล้ชิดกับเขา ชินดนัย จิณณวัตร ผู้ชายคนนี้เป็นหลานชายภรรยาใหม่ของเดชทัต เจ้าพ่อสถานบันเทิงชื่อดัง

            แม้จะไม่ได้ออกหน้าออกตาอย่างเป็นทางการ แต่ในวงสังคมก็รับรู้ว่าชินดนัยคนนี้ไม่ต่างอะไรกับมือขวาของเดชทัต เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลกิจการหลายแห่ง และหนึ่งในนั้นก็คือเฟรทิส เป็นที่คาดหมายว่าหลานชายคนนี้อาจจะได้รับมรดกตกทอดทั้งหมดของเดชทัต

            หากทำให้เขาประทับใจ นั่นก็หมายความว่าอนาคตสดใสกำลังรออยู่ แม้จะมีเจ้าของโชว์รูมรถคอยเลี้ยงดู แต่มุกดาก็อยากเสี่ยงสักครั้ง ชินดนัยเหนือกว่าเสี่ยอ้วนๆ นั่นทุกด้าน เธอจึงงัดลีลารักออกมาปล่อยของแบบสู้ตายถวายหัวแสดงฝีมือปรนเปรอเขาให้เต็มที่ หากเขาติดใจในรสสวาทคิดสานต่อความสัมพันธ์อันฉาบฉวยนี้ มันก็คงจะดีไม่น้อย

            “มุกมีความสุขที่สุดเลยค่ะ”

            “ผมก็เหมือนกัน”

            มือของชินดนัยยังลูบไล้อ้อยอิ่งอยู่กับสะโพกกลมกลึง แต่ไฟสวาทกลางผับยังไม่ทันดับสนิท เสียงแหลมคุ้นหูที่ได้ยินครั้งใดเป็นต้องสะดุ้งก็ดังขึ้นอย่างไม่คาดฝัน

            “ถ้าจัดการตัวเองเสร็จแล้ว เชิญไปคุยกับฉันที่ห้องทำงานด้วยนะคะคุณชินดนัย!”

            “น้านันท์!”

            “ว้าย!!!”

            ชินดนัยรีบยกร่างหญิงสาวที่นั่งคร่อมตักเขาลงโดยไม่สนใจว่าเธอจะมีสภาพอย่างไร แต่ถึงจะรีบร้อนปานใดก็ไม่ทันน้าสาว พัชนันท์สั่งเสร็จก็สะบัดหน้าพรืด เดินตัวตรง หน้าเชิดขึ้นด้วยมาดของนางพญาแห่งธุวพร

            คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดอย่างสงสัย เขารีบรูดซิปกางเกงขึ้น ติดกระดุมเสื้อสอดชายเข้าไปในกางเกงตามเดิม เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นตามน้าสาวไปที่ห้องทำงาน

            หนุ่มเนื้อหอมเริ่มหนักใจ จู่ๆ น้าสาวสุดที่รักก็โผล่มา แถมมาได้จังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มซะด้วย ซวยสิทีนี้ น้านันท์เห็นเต็มสองตา ดีที่ไม่เกรี้ยวกราดคว้าเอาขวดเหล้าฟาดเขา ร้อยวันพันปีไม่เคยมาเยี่ยม พอจะมาหาก็เลือกมาตอนฉากเด็ด เวรกรรมแท้ๆ โผล่มากะทันหันแบบนี้ต้องมีเรื่องไม่ธรรมดาแน่

            “ท่าทางผมจะงานเข้าซะแล้วคนสวย”

            “จะหนีมุกไปไหนคะ” หญิงสาวดึงแขนเขา มองตาปรอย

            “ขอโทษทีที่รัก ไว้ค่อยเจอกันใหม่นะ” ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปจุ๊บแก้ม ก่อนกระซิบ “เมื่อกี้สนุกมาก ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ”

            “เดี๋ยวสิคะ คุณชิน...คุณชิน อย่าลืมโทร. หามุกนะคะ” หญิงสาวตะโกนแข่งกับเสียงเพลง แต่ชินดนัยไม่สนใจหยุดฟังกันเลย บ้าจริง แบบนี้เธอจะได้ไปต่อไหมล่ะ

 

            ประตูห้องทำงานถูกชายหนุ่มผลักเข้ามาอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยไม่บอกอารมณ์ของน้าสาว เขาก็ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนความผิด ปกติชินดนัยไม่ค่อยสนใจความคิดใคร จะยกเว้นก็แต่คนที่นั่งหน้าตึงเหมือนเพิ่งไปร้อยไหมเสร็จก็ออกจากคลินิกหมอแล้วตรงดิ่งมารอเขาอยู่ในห้องนี่ละ

            พัชนันท์ ธุวพร น้าสาวที่ยังสวยเฉี่ยวเปรี้ยวเข็ดฟัน นั่งกอดอก เชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ขาเรียวยกขึ้นไขว่ห้าง ชุดแส็กสั้นสีดำร่นขึ้นอวดขาขาว บ่งบอกถึงพลังความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม สมฐานะนางพญาแห่งธุวพร เขายังนึกไม่ออกว่าจะมีคำจำกัดความไหนเหมาะสมกับน้าสาวมากกว่าคำนี้

            “มาได้แล้วเหรอไอ้ตัวดี”

            “ก็ใครจะกล้าทิ้งให้น้าสาวคนสวยนั่งรอนานๆ กันล่ะครับ” ชายหนุ่มเดินกางแขนโผเข้าไปหวังกอดอ้อน แต่น้าสาวกลับชี้หน้าสั่งเสียงเข้ม

            “หยุด! ไม่ต้องมาเข้าใกล้ฉัน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าเมื่อกี้แกทำอะไรกับเด็กนั่นกลางผับ ไม่อายผีสาง หน้าด้านหน้าทน อย่าได้เอามือสกปรกมาแตะต้องตัวฉันเชียว ฉันขยะแขยง”

            “แหม...น้านันท์ก็รังเกียจเกินเบอร์ ผมแค่เล่นสนุกกับน้องเขาเอง”

            “แต่ฉันไม่ได้จะเล่นสนุกกับแก”

            “ไม่ขำ แล้วยังดุกันอีก” ชายหนุ่มตัดพ้อหน้ามุ่ย ก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก

            พัชนันท์ส่ายหน้าอย่างหนักใจ ลุกขึ้นเดินไปมองเบื้องล่างผ่านกระจกห้องที่ปิดกั้นเสียงภายนอกได้เป็นอย่างดี กิจการของเฟรทิสดูคึกคักพอๆ กับบาบิโลนที่เธอกับสามีช่วยกันดูแลอยู่ สถานบันเทิงของตระกูลธุวพรเติบโตและทำกำไรงาม

            แต่ใครจะรู้จู่ๆ เดชทัต สามีที่รักกลับคิดวางแผนจะปลดเกษียณเธอก่อนกำหนด แล้วยกภาระหน้าที่ทั้งหมดให้แก่พิราอร ลูกสาวที่เกิดจากภรรยาคนเก่าของเขา

            โดยส่วนตัวเธอแล้วไม่ได้คิดรังเกียจลูกเลี้ยง ตรงข้ามพัชนันท์เอ็นดูพิราอรไม่ต่างจากลูกในไส้ น่าเสียดายเธอกับเดชทัตไม่มีทายาทร่วมกัน ไม่เช่นนั้นเรื่องคงไม่บานปลายจนเดือดร้อนกันไปทั่วอย่างเช่นตอนนี้ แม้ว่าจะไม่มีปัญหาระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยง แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวธุวพรก็ไม่ได้ราบรื่นนัก

            นับตั้งแต่เธอแต่งงานกับเดชทัต ลูกเลี้ยงของเธอมักจะแผลงฤทธิ์ใส่ผู้เป็นพ่อ พิราอรเป็นคนดื้อเงียบ ไม่แสดงความก้าวร้าวแต่กลับทำตัวเย็นชา ห่างเหิน ราวกับเดชทัชเป็นคนแปลกหน้า แต่กับเธอแล้วลูกเลี้ยงสาวยังให้ความเคารพและไม่เคยทำให้ต้องลำบากใจ เธอรักเดชทัต อะไรก็ตามที่ทำให้เขามีความสุขได้ก็พร้อมทำให้ทุกอย่าง ไม่เคยคิดขัดใจ

            จะมีก็แต่ครั้งนี้ที่เธอไม่เห็นด้วย การยกผับบาบิโลนให้พิราอรดูแล ก็เหมือนกับยื่นไฟให้ลูกเลี้ยงโยนใส่ผับที่ราดน้ำมันรอไว้แล้ว พัชนันท์ไม่อาจนั่งรอความหวังอยู่ได้ จึงต้องรีบตีตั๋วบินมาหาหลานชายถึงภูเก็ต หวังให้ไปช่วยกันกอบกู้สถานการณ์

            ฉากเด็ดกลางผับ ทำให้เธอฉุนขาด อุตส่าห์ไว้ใจใช้ให้มาดูงาน ไอ้หลานรักกลับมามั่วสาว มันน่าเอาไม้ฟาดให้ตายคามือ อย่างนี้เธอจะหวังพึ่งพาอะไรมันได้

            “ดูเหมือนแกอยู่นี่จะมีความสุขดีนะ ท่าทางกินอิ่ม นอนหลับสบายตัว”

            “แหม...น้านันท์ ผมก็ต้องใช้ช่วงชีวิตโสดให้คุ้มค่าสิครับ มัวทำงานอย่างเดียวเครียดตายพอดี แล้วที่น้าเห็นเมื่อกี้มันก็ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่างานผมจะบกพร่องนะ เห็นบัญชีของเดือนนี้หรือยัง นี่คงคิดว่าผมแอบอู้ละสิ ถึงต้องมาตรวจงานที่นี่ด้วยตัวเอง”

            “ไม่ได้มาตรวจงาน ฉันตั้งใจมาหาแก”

            “หาผม?”

            “ใช่”

            ชินดนัยขมวดคิ้วมองน้าสาวอย่างสงสัย “มีเรื่องอะไรหรือครับ”

            “คุณเดชส่งคุณเตชิตไปตามลูกพีชกลับมาดูแลบาบิโลน”

            ชายหนุ่มเคยเจอกับลูกพีชของน้านันท์หลายครั้งอยู่เหมือนกัน เธออายุน้อยกว่าเขาห้าปี จำได้ว่าตอนนั้นเธอยังเป็นเด็กหญิงถักเปียสองข้าง ขี้อาย ไม่ยอมพูดจากับใคร เอาแต่หลบอยู่หลังแม่ จนเขาต้องเอาของเล่นมาหลอกล่ออยู่บ่อยๆ

            พิราอรเป็นนักเรียนอยู่โรงเรียนประจำ กลับบ้านทีก็ขลุกอยู่แต่ในห้อง ครั้งแรกที่เห็นเขาก็นึกเอ็นดู ชวนเธอเล่นด้วยกันบ้าง แต่พอใช้ของเล่นหลอกล่อไม่สำเร็จ เธอไม่ยอมเล่นด้วย เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเขาก็เลยเลิกสนใจ แล้วไปเล่นผจญภัยแบบเด็กผู้ชายแทน

            เวลาผ่านไปก็ต่างแยกย้าย น้านันท์จากเดิมที่เป็นเลขานุการส่วนตัวก็ตกลงปลงใจแต่งงานกับน้าเดช ชีวิตของเขากับน้าสาวดีขึ้น เขาได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ พอเรียนจบก็บินสวนทางกับพิราอรอีก เขากลับมาช่วยงานน้าเดช เรียนรู้ทุกอย่าง กระทั่งฝึกงานในผับบาบิโลนอย่างละเอียด จากนั้นน้าเดชก็มอบหมายให้เขาดูแลเฟรทิสที่ภูเก็ต บริหารจัดการเองทุกอย่าง เก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ไม่ได้กลับมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องในบ้านธุวพรอีก

            ก็ได้ข่าวแว่วๆ เหมือนกันว่าพิราอรทำท่าจะบวชเป็นชีตามคุณทิพย์รดาแม่ของเธอ เขายังอุตส่าห์นึกอนุโมทนาบุญอยู่ในใจ แล้วน้าเดชจะยกผับให้อย่างนี้ก็คงไม่ได้บวชชีแล้วสินะ มุมปากชายหนุ่มโค้งขึ้นอย่างพึงพอใจ

            “เขาพ่อลูกกัน มันก็เป็นสิทธิ์ของเขานี่ครับ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับผมตรงไหน”

            “ไม่เกี่ยวกับแก แต่มันเกี่ยวกับฉัน เกี่ยวตรงที่ฉันไม่ยอมยังไงล่ะ แกก็รู้ว่าฉันทุ่มเททั้งชีวิตสร้างบาบิโลนมากับคุณเดช ไม่ว่าจะอุปสรรคขวากหนามมากมายแค่ไหน ฉันก็กัดฟันอดทนจนผ่านมาได้ ถ้าลูกพีชแสดงความกระตือรือร้นออกมาว่าต้องการผับนั้น ฉันจะไม่มีปัญหาเลย แต่ทางนั้นก็ปฏิเสธมาตลอดจนฉันคิดว่าคุณเดชคงล้มเลิกความคิด ที่ไหนได้ฉันเพิ่งรู้ว่าเมื่อเดือนก่อนคุณเดชส่งคุณเตชิตไปหาคุณทิพย์ให้ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมลูกพีช”

            “แล้วเขายอมไหมล่ะครับ”

            “ทุกทีไม่ แต่ครั้งนี้ยอม!”

            “ต้องแบบนี้สิค่อยสนุกหน่อย อาเตไปกล่อมท่าไหนถึงสึกแม่ชีพิราอรได้” ชินดนัยพูดขึ้นอย่างขบขัน แต่น้าสาวกลับหน้าบึ้งตึง

            “ฉันไม่มีอารมณ์จะสนุกกับใครทั้งนั้น ที่มาวันนี้ก็เพื่อตามแกกลับไปช่วยสอนงานให้ลูกพีช ช่วยกันดูแลผับบาบิโลน เป็นพี่เลี้ยงให้เขา บอกตามตรงว่าฉันไม่ไว้ใจลูกพีช”

            ชินดนัยหลบตาน้าสาวด้วยการลุกขึ้นเดินตรงไปยังบาร์เครื่องดื่มเล็กๆ ที่จัดไว้ในห้องทำงาน จัดการเทวิสกี้ใส่แก้ว แล้วกลับมานั่งที่เดิม

            “น้าลืมไปหรือเปล่าครับ ผับนั่นมันเป็นสิทธิ์ของลูกพีชโดยชอบธรรมนะ เธอมีสิทธิ์จะทำมันยังไงก็ได้”

            “แต่ลูกพีชจะเปลี่ยนบาบิโลนเป็นสถานปฏิบัติธรรมไม่ได้!”

            วิสกี้ในปากของชินดนัยพุ่งพรวด ก่อนที่ชายหนุ่มจะสำลักจนหน้าแดงก่ำ ทว่าแววตาคมกริบยังเปล่งประกายขบขันไม่เปลี่ยน

            “ถึงผมจะไม่มีความคิดเปลี่ยนผับเป็นสถานปฏิบัติธรรม แต่ถามจริง น้าไว้ใจผมหรือครับ”

            “ไม่!” พัชนันท์ตอบแบบไม่เสียเวลาคิด “กับแกฉันยิ่งไม่ไว้ใจ สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมั่นใจว่าจะฝากบาบิโลนไว้กับแกได้คือความสำมะเลเทเมาไม่เอาไหนของแก ลูกพีชเป็นคนดีเกินกว่าจะมานั่งบริหารผับใหญ่ระดับบาบิโลนได้ ถ้าเป็นสถานปฏิบัติธรรมทิพย์พิมาน หรือมูลนิธิของแม่เขานั่น ฉันไม่สงสัยในความสามารถของลูกเลี้ยงคนนี้เลย”

            “เดี๋ยวๆๆๆ ฟังๆ เหมือนผมจะมีประโยชน์ แต่ดูจะเป็นประโยชน์ในทางที่ไม่ดีเอาซะเลย เหมือนโดนหลอกด่ายังไงไม่รู้”

            “แล้วสิ่งที่แกเพิ่งทำกับผู้หญิงคนนั้นไปสดๆ ร้อนๆ นี่ แกยังคิดว่าตัวเองดีอยู่อีกเหรอ”

            “หืม...อันนี้ก็ไม่ใช่สักหน่อย” ชินดนัยถึงกับคลึงขมับตัวเองอย่างกลัดกลุ้ม “พลาดครั้งเดียว เป็นตราบาปไปทั้งชีวิต”

            “อย่ามารำพึงรำพัน ฉันให้เวลาแกเตรียมตัวสามวัน จัดการธุระทางนี้ให้เรียบร้อย สาทิตคงตัดสินใจแทนแกได้ สั่งเสียกันให้ดี แล้วบินตามฉันกลับกรุงเทพฯ ตั๋วอยู่บนโต๊ะนี่แล้ว ฉันคุยกับคุณเดชแล้วว่าจะให้แกช่วยสอนงานลูกพีช อย่างน้อยๆ ก็ยังพอถ่วงดุลกันไว้บ้าง ฉันจะได้พอวางใจว่าบาบิโลนจะยังไม่ปิดกิจการในเร็ววันนี้”

            “น้านันท์ห่วงแต่ผับ ไม่ห่วงลูกเลี้ยงเลยนะครับงานนี้ ถึงขั้นวางใจให้ผมสอนงานด้วย” ดวงตาของชินดนัยไหวระริกด้วยความสนุกสนานขี้เล่น

            พัชนันท์ยิ้มอย่างคนที่เหนือกว่า ขณะเดินมาตบบ่าหลานชาย ตักเตือนอย่างรู้ซึ้งในสถานการณ์

            “ถ้าแกเจอลูกพีชตอนนี้ แกจะเข้าใจเองว่าทำไมฉันถึงไม่ห่วงเขา แถมยังกล้าปล่อยให้อยู่กับแกอีก ชินเอ๊ย...ลูกเลี้ยงฉันน่ะนะอาจทำให้แกเปลี่ยนใจอยากลาบวชสักสองสามพรรษาเลยก็ได้”

            “ขนาดนั้นเชียว”

            “ไม่เชื่อก็คอยดูเองก็แล้วกัน หรือว่าฉันควรเตรียมการเรื่องงานบวชแกเสียเลยดีไหม”

            “คนบาปอย่างผมไม่กล้าทำผ้าเหลืองแปดเปื้อนหรอกครับ แต่กับนางฟ้าเนื้อนุ่มนิ่มก็ไม่แน่”

            รอยยิ้มของพัชนันท์เป็นเสมือนเครื่องยืนยันความสมเพช ไอ้คนหลงตัวเองเอ๊ย ไว้ให้เจอของจริงก่อนเถอะ จะโม้ไม่ออก

            “ไม่ต้องพูดมาก จัดการทางนี้ให้เรียบร้อยซะ ฉันกลับโรงแรมก่อน”

            “อ้าว...เดี๋ยวสิครับน้า โธ่...ผมยังไม่ได้รับปากเลยนะ”

            เท้าของพัชนันท์ชะงัก หยุดอยู่ตรงหน้าประตู นางพญาแห่งธุวพรเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองหน้าหลานชาย

            “ถ้าแกจัดการไม่ได้ ฉันก็จะบอกให้คุณเดชปิดผับนี้ซะจะได้หมดปัญหา”

            “ยอมแล้วจ้ะ กลัวแล้วจ้า”

            ชินดนัยผิวปากหวือเลยทีเดียวกับประโยคสุดท้ายของน้าสาว ให้ตายไปเลย ทำไมเอาแต่ใจกันขนาดนี้ ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วเดินไปเติมวิสกี้ใส่แก้ว กระดกดื่มรวดเดียวหมด

            ความร้อนของเครื่องดื่มทำให้เขาตื่นตัวมากขึ้น พยายามนึกถึงใบหน้าลูกเลี้ยงของน้าสาว ว่าไปแล้วเขากับพิราอรแทบจะไม่เคยพบหน้ากันเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็คิดว่าโตขึ้นคงสวยไม่หยอก

            ดูเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นอยู่เหมือนกัน หากต้องร่วมงานก็คงจะต้องเริ่มผูกมิตรกันใหม่ หวังว่าโตมาคงไม่ร้ายจนเหลือรับ อย่างน้อยเขายังพออุ่นใจได้ว่าพิราอรไม่ใช่เด็กมีปัญหา หรือหากจะมีปัญหา เธอก็เลือกจะมีกับพ่อของเธอคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นสบายใจได้

            ชายหนุ่มยังมองไม่เห็นปัญหาที่น้าสาวกังวลเลยสักนิด น้านันท์นี่ชักจะอู้งานเกินไปแล้ว อยู่ๆ จะให้เขาไปเปลืองแรงสอนลูกเลี้ยงทำไมก็ไม่รู้

            “ให้สอนทำอย่างอื่นจะไม่บ่นเลยสักคำ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำยิ้มๆ มือเปิดกระเป๋าสตางค์ ดึงรูปของสาวน้อยคนหนึ่งที่แอบขโมยมาจากบ้านธุวพรออกมาชื่นชม

            เด็กหญิงรูปร่างอวบอ้วนน่ารัก ถักเปียสองข้างฉีกยิ้มกว้างท่าทางทะเล้น แก้มทั้งสองข้างแดงปลั่งน่าหยิกหยอก พิราอรในวัยเด็กน่ารักน่าเอ็นดูนัก ขนาดเขาเห็นเพียงนิดเดียวยังต้องแอบจิ๊กรูปนี้มาเก็บไว้ดูแก้เครียด ก็ไม่รู้ว่าโตขึ้นมาจะสวยร้ายกาจขนาดไหน

            ชินดนัยจุ๊บเบาๆ เอ่ยเย้าคนในรูปภาพ

            “แล้วเจอกันนะจ๊ะพิราอร”

 

            พิราอรผู้ต้องจำใจแบกรับภาระอันไม่พึงประสงค์ แตะคีย์การ์ดเข้าห้องพักในคอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่ง หลังจากลาศีล ลาแม่เสร็จแล้ว หญิงสาวก็ขับรถกลับมายังห้องพัก ตลอดการเดินทางเธอเฝ้าคิดอยู่เรื่องเดียวว่าจะบริหารจัดการท่าไหนที่จะไม่ทำให้ผับบาบิโลนซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของพ่อเจ๊ง

            หญิงสาวถอดรองเท้าผ้าใบ โยนกระเป๋าผ้าส่งๆ ไปที่โซฟา เดินเลยไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดดื่มดับกระหาย เธอถูกแม่อบรมสั่งสอนมาชุดใหญ่เรื่องความกตัญญู หลังจากผัดผ่อนให้คำตอบแก่ทนายประจำตระกูลอยู่เกือบเดือน ในที่สุดเธอก็ต้องยอม

            แม่กำชับนักหนาว่าอย่าทะเลาะกับพ่อ เพราะสุขภาพของท่านไม่แข็งแรงและมันจะทำให้เธอเป็นบาป ยิ่งกับคุณนันท์ด้วยแล้วยิ่งห้ามมีเรื่องด้วยเด็ดขาด นอกจากนี้แม่ยังขอร้องให้เธอกลับไปอยู่บ้านดูแลพ่อ

            หญิงสาวไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตอบรับในทันที เพราะรู้ว่าพ่อก็มีคุณนันท์คอยดูแลใกล้ชิด อย่างน้อยก็เชื่อมั่นว่าคุณแม่เลี้ยงของเธอจะดูแลพ่อได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หากแทรกเข้าไปก็จะทำให้อึดอัดใจกันเปล่าๆ แค่มาชุบมือเปิบเข้าควบคุมกิจการผับบาบิโลนนี่ คุณนันท์ก็คงจะไม่สบายใจนัก

            พิราอรเข้าไปในห้องนอน เวลาสองทุ่มกว่าๆ ยังหัวค่ำอยู่มาก ขบคิดมาตลอดทาง ไหนๆ ก็ไหนๆ เธอว่าจะแอบไปสำรวจกิจการใหม่ของตัวเองสักหน่อย ดูสิว่าหากลงมือปฏิบัติงานจริงจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

            หญิงสาวถอนหายใจปลงไม่ตก ใช่ว่าชีวิตนี้จะไม่เคยเข้าผับเข้าบาร์ แต่เลือกจะไม่เข้ามากกว่า เด็กๆ วัยรุ่นทุกคนก็อยากลองเปิดประสบการณ์แปลกใหม่กันทั้งนั้น แต่เมื่อผ่านช่วงวัยคึกคะนอง อารมณ์อยากเที่ยวเตร็ดเตร่ก็หายไป ยิ่งงานมูลนิธิรัดตัวอย่างเธอก็คิดแค่ว่าเก็บแรงไว้ทำงานดีกว่าไปนั่งอดหลับอดนอน เสียงเพลงก็ดัง หูจะพังไม่คุ้มกัน

            หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว หญิงสาวก็เปิดตู้เสื้อผ้ากวาดตามองหาชุดที่เหมาะสำหรับการสวมไปเที่ยวกลางคืน ยืนหาอยู่พักก็นึกขำตัวเอง เพราะในตู้มีแต่ชุดขาวกับชุดสีสุภาพ ไม่เห็นว่าจะมีชุดใดเหมาะสวมไปเที่ยวกลางคืนเลย เพิ่งสังเกตว่าเสื้อผ้าในตู้เหมาะจะสวมเข้าวัดมากกว่าไปผับ ดูมันเรียบร้อยและมิดชิดไปซะทุกชุดเลย

            ถ้าจะทำงานที่บาบิโลนจริงๆ สิ่งแรกที่เธอต้องทำคือซื้อเสื้อผ้าใหม่!

            กว่าจะเลือกได้ชุดที่ถูกใจ พิราอรก็แทบจะยกทั้งตู้เทออกมาดู ในที่สุดเธอก็เลือกชุดเดรสเข้ารูปสีดำคอเสื้อคว้านลึกเกือบเห็นเนินอก ความสั้นของชุดเสมอเข่า ผ่าข้างขึ้นมาเล็กน้อย ตัวเสื้อปักเลื่อมระยับยามกระทบกับแสงไฟ ดูแล้วก็เหมาะกับการไปดูงานนอกรอบที่บาบิโลนดี เธอหมุนตัวเช็กความเรียบร้อยหน้ากระจกบานใหญ่ จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมอีกตัวมาสวมทับ แค่นี้ก็ไม่โป๊ ไม่น่าเกลียด ไปลุยได้

 

            บาบิโลนในคืนวันอาทิตย์คึกคักไม่ต่างจากวันอื่น เหล่านักเที่ยวยังคงเข้ามานั่งดื่ม เต้นรำกันแน่นผับ พิราอรถูกตรวจค้นอย่างละเอียดตรงทางเข้า พอผ่านด่านนั้นมาได้ก็ต้องมายืนงุนงงเหมือนหลุดเข้าสู่โลกใหม่

            ผับบาบิโลนมีทั้งหมดสองชั้น ชั้นบนเป็นห้องกระจกขนาดใหญ่ ที่ทำงานของผู้บริหาร โดยชั้นล่างจะเป็นโถงกว้าง กลางโถงนั้นจะเป็นพื้นที่ว่างหน้าเวที ส่วนรอบยกระดับขึ้นสูงกว่าส่วนกลางขึ้นมา มีโต๊ะสำหรับลูกค้าและแบ่งโซนไว้อย่างชัดเจน ตรงข้ามกับเวทีจะมีบาร์เครื่องดื่ม มีเก้าอี้ทรงสูงตั้งไว้สำหรับลูกค้าที่ไม่เปิดโต๊ะใหญ่ เห็นได้ชัดว่าตรงนั้นจะมีสาวๆ มากเป็นพิเศษ อาจเพราะบาร์เทนเดอร์รูปหล่อสามสี่คนที่ยืนอยู่หลังบาร์ก็เป็นได้

            พิราอรพยายามมองหาที่ว่างสำหรับตัวเอง แต่เพราะมันมืดมาก ด้วยความที่ไม่คุ้นเคย และแสงสว่างที่พอทำให้มองเห็นก็มีเพียงแสงสลัวกับไฟสีที่หมุนไปมาน่าเวียนหัว

            “ขอโทษนะคะ ได้จองโต๊ะไว้หรือเปล่า” พนักงานสาวเดินเข้ามาสอบถาม พิราอรส่ายหน้าปฏิเสธ อีกฝ่ายจึงถามต่อ “มากี่ท่านคะ”

            “คนเดียวค่ะ”

            “จะเปิดโต๊ะเลยไหมคะ”

            “ค่ะ เปิดเลย ขอมุมสงบๆ เสียงไม่ดังมาก”

            พนักงานมองหน้าเธอนิดหนึ่ง แล้วยิ้มกว้าง “งั้นเชิญด้านนี้เลยค่ะ”

            พิราอรเดินหลบผู้คนตามหลังพนักงานสาวคนนั้นไปจนถึงโต๊ะว่างค่อนข้างจะเป็นมุมอับ ติดกับทางเดินไปสู่ห้องน้ำซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกไกล มันไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่มาแบบฉายเดี่ยว หญิงสาวไม่ดื่มแอลกอฮอล์จึงสั่งน้ำอัดลมและยินดีที่จะจ่ายเงินค่าเปิดโต๊ะโดยที่ไม่รับเครื่องดื่ม ใจจริงอยากสั่งน้ำผลไม้มากกว่า แต่คิดแล้วมาเที่ยวผับ จะมานั่งจิบน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพก็ดูจะชอบกลอยู่

            ไม่นานพนักงานยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟแล้วมองเธอยิ้มๆ โค้งกายให้แล้วถอยกลับไป พิราอรเริ่มมองสำรวจบรรยากาศรอบตัว เสียงเพลงยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เธอกลืนน้ำลายเพราะรู้สึกว่าหูอื้อ

            “เสียงดังชะมัด นี่มันเกินค่าปกติที่หูคนจะรับได้แล้วนะ”

            สมุดโน้ตเล่มน้อยถูกดึงออกมาจากกระเป๋าสะพายที่วางข้างตัว หญิงสาวก้มจดปัญหาที่คิดว่าจะต้องแก้ไข ข้อแรกเรื่องเสียงดังนี่ละ ต่อมาก็เรื่องแสงสว่าง เวลาผ่านไปเธอยังคงนั่งเก็บรายละเอียดไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงวัยของกลุ่มลูกค้า เครื่องดื่ม กับแกล้ม สลับกับการก้มๆ เงยๆ เดี๋ยวมองเดี๋ยวจด ไม่สนใจผู้ใด แม้ว่าจะมีหลายคนที่เดินผ่านไปเพื่อเข้าห้องน้ำจะปรายตามองอย่างสงสัยก็ตาม

 

            ชินดนัยใจตรงกันกับพิราอรเพียงแต่ต่างคนต่างไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมา ชายหนุ่มมาจากภูเก็ตได้หลายวันแล้วโดยมีสาทิตขอตามมาส่งด้วย พอมาถึงเขาก็กลับมาทักทายเพื่อนเก่าที่เคยร่วมงานกันที่บาบิโลน รำลึกความหลังและสังเกตพฤติกรรมลูกค้าไปด้วย เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องการมาเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้าของผับคนใหม่ แต่กลับดื่มกินเฮฮากับเพื่อนเก่าอย่างสนุกสนาน

            และในขณะที่พิราอรคร่ำเคร่งจดสิ่งที่เธอต้องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ที่โต๊ะ พี่เลี้ยงจอมเลื้อยอย่างชินดนัยก็กำลังคลอเคลียอยู่กับสาวนักเที่ยวนางหนึ่งที่เพิ่งจะพบหน้ากันชั่วโมงก่อน

            เมื่อไฟรักจุดปะทุคุกรุ่นได้ที่ ชายหนุ่มกระซิบชวนคู่เต้นให้ไปหาที่เงียบๆ คุยกันสองคน ทั้งคู่สบตากันรู้ซึ้งถึงความนัยจากคำพูดนั้น นอกจากรอยยิ้มขัดเขินเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีคำปฏิเสธใดหลุดออกมาจากปากสาว อาการสมยอมนั้นทำให้เขาโอบประคองคู่เต้นที่ดูเมามายไม่ได้สติแบบปัจจุบันทันด่วนมาทางห้องน้ำ ซึ่งทางนั้นจะต้องผ่านโต๊ะของแม่สาวเรียบร้อยที่เหมือนเอาการบ้านจากโรงเรียนมานั่งทำในผับ

            ท่าทางขะมักเขม้นผิดที่ผิดทางของหญิงสาวคนหนึ่ง เรียกความสนใจจากคนที่เกือบจะพาสาวในอ้อมแขนเดินผ่านไป ทว่าชินดนัยหยุดเดิน ยืนเพ่งมองให้ชัดๆ ด้วยความที่ไม่เคยเจอกันมานานเขาไม่มีทางรู้ว่านั่นคือพิราอรในปัจจุบัน แต่อะไรบางอย่างทำให้ฉุกคิด ชายหนุ่มยิ้มชอบใจเมื่อเห็นคนขยันยังคงมุ่งมั่นกับสมุดการบ้านในมือ

            “อื้ม...อย่าซนสิจ๊ะ” เพราะมืออันซุกซนของคนในอ้อมแขนทำท่าจะมุดเข้าไปเล่นกับเจ้าน้องชายใต้กางเกง เขาจึงต้องคว้ามือนั้นเอาไว้

            “พี่หยุดเดินทำไมล่ะคะ หรือว่าเราจะ...กันตรงนี้”

            “หายมึนแล้วเหรอ” ชายหนุ่มดักคอ กวาดตามองหาคนสนิท สาทิตยืนดื่มอยู่ไม่ไกล ชินดนัยพยักหน้าส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ก่อนจะบอกกับคนในอ้อมแขน “หายมึนแล้วก็ดีเลย พอดีพี่เพิ่งนึกได้ว่ามีนัดกับคุณแม่น่ะจ้ะ ถ้าน้องไม่รังเกียจ ไปต่อกับเพื่อนพี่ได้นะ พี่ขอตัวก่อน ทิตฝากดูแลน้องต่อที ฉันมีธุระ”

            “อ้าว แล้วคุณชินจะไปไหนครับ”

            “ไปโทร. คุยกับน้านันท์หน่อย”

            สาทิตลูกน้องคู่ใจส่ายหน้า รับคู่ควงของเจ้านายเอาไว้ เธอสะบัดกาย งอแงไม่ยอมให้เขาจับง่ายๆ ผิดกับเมื่อกี้ที่อ่อนระทวยในอ้อมแขนชินดนัยราวคนละคน

            “ไงจ๊ะน้องจ๋า จะไปต่อหรือว่าพอแค่นี้ เจ้านายพี่ไม่ว่าง แต่พี่อยู่เป็นเพื่อนน้องได้ทั้งคืนนะจ๊ะ” สาทิตยิ้มหวาน เขารู้วิธีรับมือผู้หญิงของเจ้านายดี รายนี้ก็ไม่ได้ยากเย็นเกินรับ

            ชินดนัยชะโงกหน้าออกมาดูเห็นลูกน้องลากแม่สาวคนนั้นไปส่งกลุ่มเพื่อนของเธอก็เป่าลมออกจากปากอย่างโล่งใจ รีบกดโทรศัพท์หาน้าสาว

            “ว่าไง ยังไม่ตายอีกเหรอ ตั้งแต่กลับมานี่ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าแกเลยนะไอ้ตัวแสบ”

            “มาเป็นชุด ค่อยๆ ด่าก็ได้ครับ ผมฟังไม่ทัน”

            “วันหลังฉันจะอัดคลิปเสียงไว้ให้แกเปิดฟังก่อนนอน”

            “เรื่องด่าผมเอาไว้ก่อนเถอะครับ ผมถามอะไรหน่อยสิ”

            “ว่ามา”

            “ลูกพีชหน้าตาเป็นไง”

            “น่ารักมาก แกเห็นแล้วจะต้องตะลึงไปสามวัน เจ็ดวัน”

            ชายหนุ่มร้องเฮ้อดังๆ ถ้าจะมีตำแหน่งแม่เลี้ยงดีเด่นแห่งชาติ น้าสาวเขาไม่พลาดแน่ “น้าก็พูดเกินจริง อันนั้นมันต้องระดับนางฟ้าแล้วครับ”

            “ฉันไม่เถียง เพราะลูกเลี้ยงฉันน่ะนางฟ้าลงมาจุติชัดๆ เรียบร้อย แสนดี มีเมตตา บุหรี่ไม่สูบ เหล้าไม่กิน เช็กอินแต่ในวัด ธรรมะธัมโม ตรงข้ามกับแกทุกอย่าง”

            “ไม่จริงละมั้ง ไหนส่งรูปปัจจุบันให้ดูหน่อยสิครับ”

            “จะเอาไปทำไมเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว เห็นว่าลูกพีชกลับมาจากทิพย์พิมานแล้วนี่” น้าสาวแทงกั๊ก แต่กลับเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ฉันส่งไปให้แล้ว นั่นแหละลูกพีชปัจจุบัน”

            “ขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มแสร้งจุ๊บใส่ ได้ยินเหมือนเสียงบ่น แต่ไม่สนใจจะฟัง

            วางสายจากน้าสาว ชินดนัยก็เปิดดูรูปของพิราอร ซูมดูชัดๆ เปรียบเทียบให้แน่ใจ ก่อนนัยน์ตาของชายหนุ่มจะพราวระยับขึ้นมา

            “ใช่จริงด้วย”

            ถึงเวลาสนุกของเขาแล้ว อย่าโกรธกันเลยนะลูกพีช หากจะโกรธก็ขอให้ไปโกรธพรหมลิขิตโน่นที่ชักนำพาเธอเข้ามาในวงโคจรชีวิตของเขา

            ชายหนุ่มขยับเสื้อนอกให้เข้าที่ ดวงตาคมหรี่มองไปยังโต๊ะของเหยื่อสาวที่กำลังจดบันทึกอย่างคร่ำเคร่ง สมองคิดหาแผนการขณะก้าวเท้าเข้าไปอย่างมาดมั่น ถึงโต๊ะก็นั่งลงโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของ

            พิราอรเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับรอยยิ้มกว้างขวางของแขกที่ไม่ได้เชิญ คำทักทายกลั้วเสียงหัวเราะของเขาทำให้คนฟังแทบตบะแตก

            “ต้องการคนช่วยสอนการบ้านไหมจ๊ะสาวน้อย”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น