3

บทที่ 3


3

 

            พิราอรนึกอยากขอตัวลากลับคอนโดเสียตอนนั้นเลย หญิงสาวเม้มปากขณะมองหน้าแขก เธอจำเขาได้ การเจอกันอีกครั้งไม่เคยอยู่ในความคิด แต่ก็เจอกันแล้ว แถมเขายังมานั่งหน้าระรื่นในฐานะแขก เธอตีหน้าไม่ถูก ได้แต่สงสัยทำไมแขกของพ่อกับน้านันท์ถึงกลายเป็นผู้ชายไร้มารยาทคนนี้

            “อึ้งไปเลย ลูกพีชจำพี่เขาได้ด้วยเหรอ”

            “พี่เหรอคะพ่อ” หญิงสาวขมวดคิ้ว แล้วย้อนถามพ่อ

            “อ้าว แล้วกัน เห็นเมื่อกี้ท่าทางตกใจ นึกว่าจำกันได้”

            “พีชไม่รู้จักเขาค่ะพ่อ”

            “ลองมองดีๆ” เดชทัตยังคงสนุกกับการแกล้งลูกสาว กระทั่งถูกภรรยาตีท่อนแขนเบาๆ

            “คุณเดชก็อย่าแกล้งลูกสิคะ เขาไม่เจอหน้ากันตั้งหลายปีจะจำได้ยังไง แล้วไอ้ตัวดีนี่ก็เคยโผล่หน้ามาให้เจอซะที่ไหน วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับอะไรก็ไม่รู้” พัชนันท์ค้อนขวับกับหลานชาย ก่อนจะส่งยิ้มไปทางลูกเลี้ยง ถามนุ่มนวล “ลูกพีชจำพี่ชินได้ไหมลูก หลานชายของน้า ที่เมื่อก่อนเคยตามมาบ้านนี้บ่อยๆ”

            พิราอรมองหน้าแขกอีกครั้ง คราวนี้จ้องแบบไม่สนใจมารยาทอันดีงามเลยด้วย “อย่าบอกนะคะว่านี่คือ...”

            “ใช่จ้ะ นายชินดนัย หลานชายน้าไงจ๊ะ” พัชนันท์เฉลย

            พิราอรนึกอยากเอาหน้าผากโขกพื้นแรงๆ การพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากกรรมซึ่งเคยกระทำร่วมกันมา เธอเชื่อว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับเจ้ากรรมนายเวรอยู่เป็นแน่ ทุกครั้งที่ได้เจอกับผู้ชายคนนี้ หัวใจของเธอไม่เคยเป็นสุขเลย ตอนอยู่ในผับก็ร้อนรนกระสับกระส่าย อยากหนีไปให้พ้นหน้า พอพ้นจากเขาได้ก็โล่งใจถึงขนาดกลับไปสวดมนต์แผ่เมตตาชุดใหญ่ ขออย่าได้เจอกันอีก ไม่คิดเลยว่าผลบุญที่อุทิศไปนั้น มันไม่พอ!

            “สวัสดีจ้ะลูกพีช ไม่เจอกันนานเลยนะ”

            “สะ...สวัสดีค่ะ” พิราอรอึดอัดกับสายตาที่มองมาไม่กะพริบของเขา ผู้ชายคนนี้ไม่รักษามารยาทเลย อย่างน้อยก็น่าจะรู้บ้างว่าพ่อเธอยังนั่งอยู่ ต่อหน้าผู้ใหญ่ยังไม่มีความเกรงใจ อยู่ลับหลังคงไม่ต้องคิด ช่างเป็นคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคมด้วยจริงๆ

            หญิงสาวพยายามไม่สบตาด้วย เพราะจะพาให้คิดถึงตอนนั่งอยู่บนตักเขาร่ำไป ความใกล้ชิดครั้งนั้นมันทำให้เธอสะบัดร้อนสะบัดหนาวคล้ายจะเป็นไข้

            “คราวนี้น่าจะพอจำกันได้แล้วนะ ที่พ่อเรียกเราสองคนมาวันนี้ก็มีเรื่องอยากจะปรึกษานั่นแหละ แต่ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า ไม่รู้ว่าแก้วตั้งโต๊ะเสร็จหรือยัง”

            “งั้นคุณพ่อนั่งคุยไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพีชจะไปดูในครัวให้”

            “ไปพร้อมกันนี่ละค่ะ น้าว่าป่านนี้คุณแก้วจัดการเรียบร้อยแล้ว รายนั้นน่ะแค่รู้ว่าลูกพีชจะมาก็ดีใจยกใหญ่ ออกไปจ่ายตลาดเองเลยนะคะ ไปค่ะ ไปกินข้าวกันก่อน ส่วนเรื่องงานเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”

            พัชนันท์ลุกขึ้นควงแขนเดชทัต นำลูกเลี้ยงและหลานชายไปยังห้องรับประทานอาหาร พิราอรหมดปัญญาจะเลี่ยงจำยอมต้องเดินตามโดยมีชินดนัยรั้งท้าย

            ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินให้ทันเสมอกับเธอ ก่อนจะเอียงใบหน้าที่ยิ้มกรุ้มกริ่มพูดขึ้นลอยๆ

            “รู้จักกันแล้ว คราวนี้ผมเดินหน้าจีบคุณเต็มอัตราศึกได้เลยนะ”

            “ช่วยกรุณารักษามารยาทด้วยนะคะ นี่มันในบ้านของฉัน พ่อกับน้านันท์ก็อยู่ อย่ามาทำอะไรรุ่มร่าม”

            “ผมก็รุ่มร่ามกับคุณคนเดียวนั่นแหละ ขืนลากคนอื่นมาด้วย น้านันท์คงยิงทิ้งตั้งแต่หน้าบ้าน หวงห่วงยังกับงูหวงไข่ ว่าแต่คุณเถอะ ไม่ดีใจเหรอ เราได้เจอกันอีกครั้ง”

            “ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้า ยอมรับตรงไปตรงมา “ฉันค่อนข้างจะกังวลใจและคิดมากพอสมควร ที่จู่ๆ เราก็ต้องมาร่วมวงศาคณาญาติกัน”

            ชินดนัยหลุดขำเสียงดัง จนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองที่เดินนำหน้าหันกลับมามองอย่างสงสัย พัชนันท์สังเกตเห็นสายตาแวววาวของหลานชายที่ใช้มองลูกเลี้ยงก็พอจับเค้าลางบางอย่างได้ ด้วยความไม่ไว้ใจ แม่เลี้ยงแห่งปีรีบปล่อยแขนสามี เดินย้อนไปหาลูกเลี้ยงและจับจูงไปด้วยกัน แต่ก็ยังไม่วายเอ็ดหลานชาย

            “แกแกล้งอะไรน้อง ไปจ้ะลูกพีช อย่าไปฟังไอ้หมอนี่ มันพูดมาก”

            “น้านันท์นี่ ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะครับ”

            “ฉันไม่เชื่อ”

            “เอ้า” ชายหนุ่มได้แต่ทำเสียงสูงแล้วเดินยิ้มตามสองสาวเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหาร

 

            สมาชิกบ้านธุวพรไม่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนานแล้ว เดชทัตจึงดูมีความสุขมากกว่าใคร พัชนันท์ดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิด ชินดนัยก็ช่างสรรหาเรื่องมาเล่าให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องผับเฟรทิสที่เขาดูแลอยู่

            พิราอรเพิ่งรู้ว่าในช่วงเวลาที่เธอไปเรียนต่อ ชินดนัยได้เข้ามาแบ่งเบาภาระของพ่อกับน้านันท์ไปมากทีเดียว พ่อกับเขาดูเข้ากันได้ดี เพราะสิ่งที่คนไม่มีมารยาทนั่นพบเจอล้วนแต่เคยผ่านมือพ่อของเธอมาหมดแล้ว น่าแปลกเวลาที่เขาอยู่กับผู้ใหญ่ ไม่เห็นเจ้าเล่ห์แสนกลเหมือนตอนอยู่ลำพังกับเธอเลย

            ฮึ! คนสองหน้า เธอละเกลียดนัก!

            หญิงสาวถามถึงอาการป่วยด้วยโรคเนื้องอกในตับของพ่อ ผลของการส่งตรวจชิ้นเนื้อออกมาแล้ว พบว่าเป็นเพียงแค่เนื้องอกธรรมดา ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อนั้นออกมา

            ร่างกายของพ่อต่างจากคนทั่วไป การทำงานกลางคืนติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีโดยไม่ได้หยุดพัก ทำให้สุขภาพของท่านไม่แข็งแรง

            และเพราะว่าคุณหมอนัดกำหนดการผ่าตัดไว้แล้วในเดือนหน้า จึงสั่งให้พ่อวางมือจากงานทั้งหมด พ่อมอบหมายให้น้านันท์นั่งรักษาการแทน แต่ปัญหายังติดตรงที่น้านันท์เองก็ต้องดูแลพ่อ ผับบาบิโลนซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของตระกูลธุวพรจะขาดคนดูแลไม่ได้

            ช่วงเวลากระชั้นอย่างนี้จะไปหาใครมาแทน พ่อจึงคิดยกผับให้แก่เธอหลังจากเคยพูดเปรยๆ มาแล้วหลายครั้ง พ่อไม่สามารถเป็นพี่เลี้ยงสอนงานเธอได้เหมือนกับที่เคยสอนชินดนัย ครั้นจะฝากแม่เลี้ยง ฝ่ายนั้นก็งานล้นมือ ทั้งงานหลวงงานราษฎร์

            เหตุนี้จึงทำให้พ่อต้องส่งน้านันท์ไปตามตัวชินดนัยกลับมา ว่ากันตามตรงแล้วเขาเป็นคนหนุ่มไฟแรง เรียนรู้งานได้เร็วจนพ่อออกปากชมอยู่หลายหนจากผลงานที่ผ่านมา หากยกบาบิโลนให้เขาไปเสียเลยก็คงจะไม่มีปัญหา

            แต่การทำแบบนั้นพ่อของเธอมองว่าไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ตัวเธอเองก็คงจะหาเหตุผลบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับมัน สู้จัดการปัญหาให้เด็ดขาดเสียเลยดีกว่า

            หลังจากรับประทานของหวานเสร็จแล้ว เดชทัตก็ชวนทุกคนไปห้องนั่งเล่นเพื่อพูดคุยธุระสำคัญ

            “เออ...ชิน ที่ภูเก็ตตอนนี้คงกำลังไปได้ดีเลยสินะ”

            “ดีครับน้าเดช ผมกำลังมองว่าเราน่าจะขยายบาร์แถบติดชายฝั่งได้อีกสักที่หนึ่งครับ สำหรับพวกลูกค้าที่อยากนั่งชื่นชมบรรยากาศทะเลตอนกลางคืน มีเพลงเพราะๆ ดังคลอเสียงคลื่น”

            “เข้าท่าดีเหมือนกันนะ เพราะลูกค้าบางกลุ่มก็ไม่ได้อยากเที่ยวผับทุกคน ลองดูๆ” เดชทัตพยักหน้าพึงพอใจ

            ด้วยความที่เขาไม่มีลูกชายจึงเอ็นดูชินดนัยเป็นพิเศษ แถมหลานคนนี้ก็ยังเอาการเอางานควบคุมกิจการได้อย่าง ไม่เคยสร้างปัญหารบกวนจิตใจ เขาจึงถ่ายทอดประสบการณ์ทุกอย่างให้จนหมดสิ้น

            ส่วนพิราอรไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานบันเทิงขนาดใหญ่อย่างบาบิโลน ลูกสาวตัวน้อยด้อยเล่ห์เหลี่ยมคงลำบากแน่หากต้องบินเดี่ยวรับงานนี้ เมื่อพัชนันท์เสนอความคิด เดชทัตจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของภรรยาเขาจะต้องกล่อมลูกสาวให้คล้อยตามและยอมรับวิธีนี้เหมือนกับที่เคยทำให้ยอมรับบาบิโลน

            “ฉันขอตัวตาชินไปคุยอะไรข้างนอกสักหน่อยนะคะ คุณจะได้มีเวลาคุยกับลูกพีช”

            “อะไรเหรอครับน้า” ชินดนัยถามน้าสาวงงๆ แต่ก็ยอมลุกตามแรงดึง

            “ก็เรื่องสำคัญนี่แหละ ไปเถอะน่า”

            น้าหลานพ้นจากห้องนั่งเล่น ความสนใจของเดชทัตจึงวนกลับมาที่ลูกสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกล

            “แล้วลูกพีชล่ะ ช่วงนี้งานมูลนิธิยุ่งไหมลูก เคลียร์ให้คุณถวิลเขาหรือยัง”

            “เคลียร์เรียบร้อยแล้วค่ะพ่อ พีชแบ่งงานให้คนที่เกี่ยวข้องดูแลแล้ว คุณถวิลกับพี่อิ่มจะได้ไม่เหนื่อยมาก ไว้มีเวลาว่าง เราก็เข้าไปดูสักสัปดาห์ละครั้งก็ได้ค่ะ”

            “ดีลูก แล้วพร้อมจะเริ่มงานที่บาบิโลนได้เมื่อไร” เดชทัตเห็นลูกสาวอ้ำอึ้งจึงพูดต่อ “พ่ออยากให้พีชรีบเข้าไปจัดการ เพราะคุณนันท์ก็คงต้องยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพ่ออีกเยอะ ไม่ต้องกลัวนะลูก พ่อเตรียมพี่เลี้ยงไว้ให้แล้ว”

            “มีพี่เลี้ยงให้ด้วยหรือคะ” หญิงสาวถามด้วยรอยยิ้ม

            “พ่อไม่ยอมให้ลูกสาวคนเดียวของพ่อลงสนามอย่างเคว้งคว้างหรอกน่า”

            “พีชไม่มั่นใจเลยค่ะพ่อ”

            “นี่ไงลูกถึงต้องมีพี่เลี้ยง ถ้าพ่อแข็งแรงกว่านี้ก็ดีหรอก จะไปช่วยสอนงานให้ แต่หมอสั่งห้ามเด็ดขาด ต้องพักผ่อนให้เพียงพอบ้าง ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ น่าเบื่อแท้ๆ พ่อเลยจำเป็นต้องใช้คนอื่นแทน แต่เชื่อใจเถอะระดับพ่อเลือกแล้วไม่มีพลาด คนนี้พ่อคายตะขาบให้เองกับมือ”

            “ใครกันคะพ่อ ฟังดูอย่างกับทายาทอสูร”

            “นายชินไง พี่เลี้ยงของลูก”

 

            ริมสระว่ายน้ำของบ้านธุวพร สองน้าหลานที่แยกตัวออกมากำลังถกประเด็นคุยเครียด พัชนันท์กังวลใจกับท่าทางของหลานชายที่มีต่อลูกเลี้ยง เธอยังสยดสยองกับข้อความที่ได้รับไม่หาย หรือชินดนัยจะสนใจพิราอรขึ้นมาจริงๆ นั่นจัดได้ว่าเป็นหายนะย่อยๆ เลยทีเดียว เธอไม่เห็นด้วยและไม่มีวันสนับสนุนความสนใจฉาบฉวยพรรค์นั้น ยกเว้นหลานชายจะจริงจัง ซึ่งก็คงยังไม่ใช่แน่

            “ฉันขอเตือนแกตรงนี้เลยนะ อย่าแม้แต่จะคิดทำมิดีมิร้ายลูกพีช กับผู้หญิงคนอื่นฉันไม่เคยว่า แกจะมั่ว จะนัวยังไง ตรงไหน มันเรื่องของแก แต่กับลูกพีชถือว่าฉันขอ”

            “น้านันท์ก็คิดมากเกินไป ทำไมครับ ผมหื่นออกนอกหน้าขนาดนั้นเลยเหรอ”

            “ก็ลองกลับไปส่องกระจกประเมินสายตาตัวเองเอาเถอะ ถือว่าฉันขอร้องเถอะนะ ถ้าแกไม่คิดจริงจังก็อย่าไปทำอะไรให้ลูกพีชมัวหมองเลย ลูกเลี้ยงของฉันเป็นเด็กดี คุณเดชไว้ใจแกมาก ฉันไม่อยากให้เขาผิดหวัง ถ้าแกไม่เห็นแก่ฉัน แกก็ควรเห็นแก่คุณเดชที่ชุบเลี้ยงแกมาบ้าง”

            “เฮ้อ...”

            ชินดนัยแกล้งถอนใจแรงๆ ไม่เข้าใจน้าสาวตัวเอง ไม่อยากสูญเสียผับนั่นก็ไปลงทุนลากเขากลับมา พอถึงเวลาดันกลัวว่าเขาจะจับลูกเลี้ยงกินตับเสียอย่างนั้น

            “น้าควรจะรู้แต่แรกแล้วว่าผมมันไว้ใจไม่ได้ ให้ผมสอนงานลูกพีชก็เหมือนส่งเนื้อเข้าปากเสือ และผมก็ไม่ใช่พวกเสือจำศีลกินมังสวิรัติซะด้วย”

            “ฉันก็นึกอยู่แล้ว แต่ถ้าแกกล้าล่วงเกินลูกพีช ฉันนี่แหละจะเป็นคนถลกหนังเสือเอง”

            “อืม...ฟังดูก็เร้าใจดีนะครับ” ชินดนัยลูบปลายคางยิ้มกริ่ม ดักคอน้าสาว “ถามจริงเลยนะ นอกจากเรื่องบาบิโลนแล้ว น้านันท์แอบวางแผนอะไรสำรองไว้ด้วยหรือเปล่า”

            “ฉันไม่ได้เจ้าเล่ห์แพรวพราวอย่างแกนี่ จะได้ซับซ้อน สองแผนสามแผน อยากให้แกสอนงานก็คือแค่สอนงานเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ต้องสอน แกจะมาทำท่าอยากเคลมลูกเลี้ยงฉันไม่ได้ ฉันไม่ชอบ เคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าลูกพีชเป็นเด็กดี หากต้องมัวหมองเพราะแก ฉันก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย เพราะเป็นคนดึงตัวแกเข้ามาในชีวิตของเขา”

            “แต่ละประโยคของน้านันท์นี่ ฟังแล้วผมชั่วช้าเหลือเกิน เอาเถอะครับ ผมจะพยายาม...หักห้ามใจ”

            “ไม่ใช่แค่พยายาม แต่ห้ามแตะ เข้าใจไหม ห้ามแตะ!” พัชนันท์ค้อนขวับ

            ชินดนัยเห็นแล้วก็หัวเราะชอบใจที่ยั่วโมโหน้าสาวได้

            “แล้วตกลงจะพักอยู่ด้วยกันที่นี่หรือเปล่า”

            “ไม่เอาอะ” ชินดนัยส่ายหน้าเร็วๆ บ้านธุวพรไม่เหมาะกับเขา

            ด้วยแนวทางการใช้ชีวิตและหน้าที่การงานในอนาคต ขออยู่คนเดียวดีกว่า น้านันท์คงยังไม่รู้ว่าเขาพักที่ใด เพราะถามเขาก็จะตอบแค่ว่าอยู่คอนโด หากรู้ว่าคอนโดที่ว่านั่นอยู่ไหน มีหวังได้ปรี๊ดแตกอีกรอบ

            “เรื่องที่พักน้านันท์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมให้สาทิตจัดการเรียบร้อยแล้ว น้าน่าจะรู้นะครับว่าคนหนุ่มวัยอย่างผมเนี่ยความเป็นส่วนตัวสำคัญที่สุด”

            “ย่ะ คนอย่างแกน่ะ ส่วนตัวหรือไม่ส่วนตัวก็เห็นมั่วได้ไม่เลือกที่”

            “ว้า...วกกลับมาเรื่องนี้ เลิกคุยดีกว่า เข้าไปข้างในกันเถอะ ชักคิดถึงลูกพีชของน้าแล้วเนี่ย”

            “เอ๊ะ!” พัชนันท์ตาลุก แต่ด่าไม่ทันแล้ว

            ชินดนัยไวกว่า เขาลุกขึ้นเดินหนีเข้าไปในบ้าน เพราะในนั้นมีใบหน้าหวานเจริญหูเจริญตามากกว่าหน้าบึ้งๆ เสียงขู่แว้ดๆ ของน้านันท์เป็นไหนๆ

           

            เดชทัตกำลังนั่งคุยกับลูกสาว เมื่อชินดนัยโผล่เข้าไปเจ้าของบ้านก็กวักมือเรียกเหมือนรออยู่พอดี ชายหนุ่มเหลือบตามองไปทางพิราอร เธอก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน จากสายตาหวาดหวั่นนั้นแทบไม่ต้องเดา เจ้าพ่อสถานบันเทิงคงจะคุยกับลูกสาวแล้ว

            “ชินมาพอดีเลย น้าคุยกับลูกพีชแล้วนะ ทางนี้เขาไม่มีปัญหา ทางเราล่ะ พร้อมจะเริ่มงานวันไหน”

            “คืนนี้เลยก็ได้ครับ เพิ่งสามทุ่มเอง ถ้าลูกพีชพร้อม ไปซ้อมดูงานสักหน่อยก็ได้”

            “พีชไม่พร้อมค่ะพ่อ อีกอย่างวันนี้พีชแต่งตัวไม่เหมาะด้วย เดี๋ยวโดนแซะว่าเป็นแม่ชีหนีเที่ยว”

            “งั้นก็ไปนัดกันเองแล้วกันนะว่าจะเริ่มงานวันไหน น้าฝากดูน้องด้วยนะชิน สอนน้องให้เหมือนที่น้าสอนเรา เออ...แล้วนี่เรื่องที่พักเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ตั้งแต่กลับมายังไม่เคยนอนบ้านเลยนี่ไอ้เสือ”

            “เรียบร้อยครับ เป็นคอนโดของเพื่อน มันไปต่างประเทศพอดี”

            ชินดนัยยิ้มรับ เขามาถึงกรุงเทพฯ ได้สามวันแล้ว แต่เดชทัตไม่เคยเห็นเขากลับเข้าบ้านก็คงจะเป็นห่วงเรื่องที่พัก นึกแล้วก็น่าน้อยใจ ขนาดเดชทัตเป็นพ่อพิราอรแท้ๆ ยังวางใจเขามากกว่าแม่เลี้ยงอย่างน้านันท์เสียอีก หวงดีนักจะลักตัวไปกอดไว้สักคืน ดูซิคุณแม่เลี้ยงดีเด่นแห่งชาติจะทำอย่างไร

            “ที่จริงก็ไม่น่าลำบาก ไปพักที่อื่นเลย บ้านเราก็ออกใหญ่โตกว้างขวาง” เดชทัตส่ายหน้า บ่นพึมพำ “ชวนให้อยู่ด้วยกันก็ไม่เอา ลูกพีชอีกคน พ่อบอกให้ย้ายกลับมาอยู่บ้านก็ไม่ยอม ไหนๆ หนูก็ไม่ได้ไปทำงานแล้ว”

            “อย่าเลยค่ะพ่อ พีชอยู่คนเดียวจนชินแล้ว” พิราอรยิ้มบาง “ดึกแล้วพีชขอตัวกลับก่อนดีกว่าค่ะ”

            “ผมก็คงต้องกลับเหมือนกันครับ” ชินดนัยบอกกับเดชทัต ก่อนหันไปทางพิราอร “ลูกพีชกลับกับพี่ก็ได้นะ พี่ไปส่งได้ จะได้คุยเรื่องงานกันด้วย”

            “ไม่ค่ะ” พิราอรตอบกลับซะหน้าคนมีน้ำใจหดเหลือสักสองนิ้วได้ “เรื่องงานฉันจะติดต่อไปแล้วกันนะคะ ขอให้ผ่านอาทิตย์นี้ไปก่อน เพราะจะมีประชุมใหญ่ของมูลนิธิ”

            “ไม่มีปัญหาครับ สัปดาห์หน้าเราค่อยเริ่มงานกันก็ได้”

            “พีชกลับก่อนนะคะพ่อ” พิราอรกอดพ่อ หอมแก้มซ้ายขวา ก่อนผละออก ชินดนัยก็ไหว้ลาและเดินออกจากห้องมาพร้อมๆ กัน

            ทั้งคู่มาเจอพัชนันท์เดินเล่นตรงสนามหน้าบ้านจึงเข้าไปลา พิราอรปฏิบัติต่อแม่เลี้ยงเหมือนที่ทำกับพ่อ เป็นการยืนยันว่าทั้งคู่ไม่มีปัญหาแม่เลี้ยงลูกเลี้ยง ชินดนัยไม่สงสัยเลยว่าทำไมน้าสาวถึงทั้งหวงทั้งห่วงลูกเลี้ยงอย่างนี้ น้านันท์ไม่มีลูกจึงรักและเอ็นดูพิราอรมาก และลูกเลี้ยงก็ปฏิบัติต่อแม่เลี้ยงอย่างอ่อนน้อม

            พิราอรดื้อแต่กับน้าเดช แต่พอรู้ว่าพ่อป่วยก็เพลาลงไปเยอะ ต่อไปก็คงจะเปลี่ยนมาดื้อกับเขานี่ละ ดูท่าทางแล้วคงพยศไม่หยอก แต่ไม่เป็นไร เขาชอบปราบเด็กดื้อ

            “ขับรถกลับกันดีๆ นะ”

            “ค่ะ”

            “ครับ”

            “ชิน” พัชนันท์เรียกหลานชายที่กำลังเดินห่างออกไป ชินดนัยหันกลับไปเลิกคิ้วถาม น้าสาวจึงย้ำวัตถุประสงค์ของตนเองอีกครั้ง “แกรู้ใช่ไหมว่าฉันตามตัวแกมาทำอะไร”

            “น้านันท์ก็ตามตัวผมกลับมาเป็นลูกเขยน้าเดชยังไงล่ะครับ” หลานชายขยิบตายั่วก่อนวิ่งหนีไปทันที

            “ไอ้!!!”

            พัชนันท์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกับหลานชายจอมกะล่อน ถ้ามันทำท่าให้จริงจังกว่านี้ เธอก็ยังจะพอหลับหูหลับตาเอาใจช่วยสนับสนุน แต่นี่ดูมันจ้องแต่จะอุ้มลูกพีชขึ้นเตียงอย่างเดียวเลย เธอจะหวังพึ่งพาอะไรได้ มีแต่จะต้องมาแก้ปัญหาขุ่นใจไม่เว้นวันเสียกระมัง

            คิดแล้วยิ่งหวั่นใจ ลูกพีชจะรอดเงื้อมมือมันไหมนะ

 

            พิราอรจอดรถตรงที่ประจำของตน คอนโดมิเนียมแห่งนี้ราคาสูงมาก แต่เพื่อแลกกับความเป็นส่วนตัวและระบบความปลอดภัยต่างๆ ก็ถือว่าคุ้มค่า ห้องที่พิราอรซื้อไว้เป็นห้องชุดขนาดใหญ่ ทั้งชั้นมีอยู่แค่สองห้อง หญิงสาวอยู่มาตั้งแต่แรก ยังไม่เคยเจอเพื่อนบ้านเลย แต่ก็พอทราบว่ามันมีเจ้าของ อาจจะเป็นลูกหลานไฮโซซื้อไว้เก็งกำไรก็เป็นได้

            หญิงสาวเดินหมุนคีย์การ์ดในมือเล่นพร้อมฮัมเพลงเบาๆ แต่แล้วเสียงลิฟต์ก็ทำให้เพลงของเธอหยุดชะงัก ปกติชั้นนี้มีแค่เธอเท่านั้น แล้วใครกันที่โผล่มา หรือว่า...

            เสียงผิวปากของคนที่ก้าวออกจากลิฟต์ทำให้หญิงสาวต้องหันกลับไปมอง สองสายตาประสานกันในระยะไกล ก่อนคนมาใหม่จะค่อยๆ คลี่ยิ้มอย่างยินดี จะมีก็แต่พิราอรเท่านั้นที่ยืนนิ่งราวกับถูกตรึง อึ้งด้วยความคาดไม่ถึง

            “น้องลูกพีช...” ชินดนัยเดินยิ้มกรุ้มกริ่มเข้ามาหา “เจอกันอีกแล้วนะครับ ท่าทางเราสองคนจะดวงสมพงศ์กันนะ”

            “คุณพักห้องนั้นหรือคะ”

            “อื้ม...นั่นห้องเพื่อนผมเอง” ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนชี้ไปยังห้องของเธอ แล้วย้อนถาม “ส่วนนั่นก็ห้องของลูกพีชใช่ไหม แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ อยู่ใกล้ๆ กัน จะทำอะไรๆ ก็สะดวก”

            ชินดนัยหัวเราะตอนที่หญิงสาวขมวดคิ้วมองหน้าเขาเหมือนสงสัย ว่าทำอะไรๆ นั่นหมายความว่าไง

            “ฉันคิดว่าคุณจะเลยไปดูงานที่บาบิโลนเสียอีก” พิราอรเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น นึกเกลียดลูกตาวิบวับแพรวพราวของเขาจริงๆ

            ผู้ชายคนนี้เป็นตัวปัญหาสำหรับเธอ นึกไม่ออกเลยว่าตอนที่ต้องทำงานด้วยกัน เธอจะใช้บทสวดไหนมาสวดสงบใจดี

            “ก็ว่าจะไป แต่เห็นคุณขับรถกลับมาคนเดียวนึกเป็นห่วง เลยขับตามมา”

            “คุณรู้ก่อนหน้านี้หรือเปล่าว่าฉันพักอยู่ที่นี่”

            “เปล๊า!”เขาใช้เสียงสูงเกินจริง หญิงสาวยิ่งมองอย่างจับผิด

            “แต่คุณมาจากภูเก็ตตั้งหลายวันแล้วนี่ ทำไมฉันไม่เคยเจอคุณเลย”

            “ผมก็ไปดูลู่ทางที่บาบิโลนนั่นแหละ ไม่แปลกหรอกที่เราไม่เจอกัน แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ อะ” ชินดนัยคว้ามือเธอก่อนจะยัดคีย์การ์ดให้ บังคับให้เธอกำมันไว้ “พอดีพรุ่งนี้ผมมีนัดสำคัญกับผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง กลัวนอนยาว ตื่นไปคุยไม่ทัน สิบโมงเช้าคุณเอาคีย์การ์ดนี่เปิดห้องเข้าไปปลุกผมทีนะ”

            “เดี๋ยวๆๆๆ แล้วทำไมไม่ตั้งปลุกเอง”

            “ก็ส่งคุณเข้าห้องเสร็จนี่ ผมจะไปบาบิโลนต่อ กลับมาก็ดึกแล้วคุณคิดว่าผมจะตื่นทันไหมล่ะ”

            “แต่ว่าฉันไม่เข้าห้องคนอื่น”

            “ไม่แต่แล้ว ผมไม่คิดเล็กคิดน้อยด้วย ให้คีย์การ์ดไปขนาดนี้ผมไม่กลัวคุณขโมยอะไรหรอก เนื้อตัวทั้งหมดนี่ก็ไม่หวงนะ ถ้าคุณอยากได้ก็มาเอาได้ทุกเมื่อ ไป รีบเข้าห้องซะเถอะ” ชินดนัยขยิบตายั่วแล้วจับไหล่ของเธอหมุน ดันให้เดินไปหน้าห้อง “ผมส่งแค่นี้ ฝันดีนะครับแม่ชี”

            “คุณ! คุณ!” พิราอรอยากจะเขวี้ยงคีย์การ์ดใส่หลังเขาแต่ก็ไม่ทันแล้ว ชินดนัยขายาวก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงลิฟต์และกลับลงไป เธอได้แต่ก้มมองสิ่งที่ถืออยู่ อยากให้เธอปลุกเหรอ รอไปเถอะ

            หญิงสาวเข้าห้องและโยนคีย์การ์ดของชินดนัยส่งๆ ไปแถวโต๊ะหัวเตียง ธุระเขา ถ้าไม่ใส่ใจก็แล้วแต่เถอะ เธอไม่ใช่เลขาฯ ส่วนตัว และไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้น

            ใครจะคิดกันละว่าหนีมาอยู่ขนาดนี้ เขายังตามมาอยู่ใกล้ๆ อีก แล้วสายตา ท่าทางนี่ไม่น่าไว้ใจเลย ไม่รู้ว่าน้านันท์กับพ่อจะรู้ด้วยรึเปล่าว่าชินดนัยพักที่เดียวกับเธอ

            หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยพิราอรเตรียมตัวสวดมนต์ก่อนนอนตามปกติ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เป็นน้านันท์ที่โทร. มา

            “ถึงห้องเรียบร้อยแล้วค่า” หญิงสาวกดรับและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใส เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร

            พัชนันท์หัวเราะ ก่อนว่า “ก่อนกลับลืมอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

            “ไม่นี่คะ”

            “แต่โหลคุกกี้ยังตั้งอยู่ที่เดิมเลยนะคะ”

            พิราอรอุทาน เพิ่งนึกได้ว่าพัชนันท์ทำขนมไว้ให้ “น้านันท์...พีชลืมสนิทเลยค่ะ ไว้จะแวะเข้าไปเอานะคะ”

            “ห้ามลืมอีกนะคะ จะได้เอาไว้กินรองท้อง เผื่อวันไหนขี้เกียจตื่นมาทำอาหารเช้าก็พอกลั้วคอกับกาแฟได้ แล้ววันที่หมอนัดตรวจคุณพ่อลูกพีชว่างมาไหมคะ”

            “ว่างค่ะ แล้วเจอกันที่โรงพยาบาลนะคะ”

            “ได้ค่ะ น้าจะได้บอกคุณเดชให้ รายนั้นไปหาหมอทีไรชะเง้อคอรอลูกสาวทุกที คุณหมอก็ใจดีจะตาย จะดุก็ตอนที่คนไข้ไม่ฟังเท่านั้น”

            “ปกติพี่หมอแกก็ไม่ดุหรอกค่ะ คุณพ่อนั่นแหละดื้อเอง แล้วเจอกันนะคะ”

            หลังจากพัชนันท์วางสาย พิราอรก็นั่งพับเพียบ พนมมือระหว่างอกและเริ่มสวดมนต์ เธอทำเช่นนี้เป็นประจำจนคุ้นชินไปแล้ว หากวันไหนไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอนก็คล้ายจะนอนไม่หลับเหมือนมันค้างคา นอกจากนี้เธอยังใช้เวลาว่างจากงานฝึกทำสมาธิอีกด้วย แม่สอนว่าการฝึกสมาธิสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เมื่อจิตใจไม่ฟุ้งซ่านก็จะเกิดสติปัญญา คิดหาหนทางต่างๆ ได้ลงตัว

            ทว่าวันนี้จิตใจของพิราอรไม่สงบเลย ภาพใบหน้าคนเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มยั่วโทสะและสายตาวาววับของชินดนัยคอยจะปรากฏรบกวนอยู่ร่ำไป เธอคอยแต่จะคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากไม่ทำตามที่เขาขอ

            “ไม่! พีช เธอจะไปคล้อยตามเขาไม่ได้” หญิงสาวเตือนตนเอง อยู่มาแต่ไหนแต่ไรยังอยู่ได้ กับแค่ตื่นให้ตรงเวลาไปคุยธุระ ทำไมต้องมาใช้เธอปลุกด้วย

            ไม่ไป! เธอจะไม่เหยียบห้องเขาเด็ดขาด

            พิราอรถอนใจแรง เอื้อมมือปิดไฟหัวเตียง ล้มตัวนอน แล้วดึงผ้าห่มคลุมถึงคอ จิตใจตั้งมั่น เธอไม่ได้รับปาก เป็นเขาเองที่รวบรัดตัดบทไม่ฟังใคร หากไปคุยธุระช้าก็เป็นเพราะตัวเขาเองนั่นละ ไม่ใช่ความผิดเธอ

 

            เสียงเคาะประตูห้องดังแรงรัวตามอารมณ์คนเคาะ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร พิราอรเหลือบตามองนาฬิกา นิ่วหน้าน้อยๆ เลยเวลาที่ชินดนัยบอกให้เธอไปปลุกเขามาเกือบชั่วโมงแล้ว เขายังไม่ไปอีกเหรอ หญิงสาววางจานในมือและเดินไปหน้าห้อง ถ้าไม่เปิด เขาคงเคาะจนประตูพังเป็นแน่

            และทันทีที่เธอปลดล็อก ชินดนัยก็บุกเข้ามาราวกับพายุ เขาผลักเธอจนต้องถอยไปด้านหลัง สีหน้าของเขาโกรธจัด แววตาดุดันมองมาอย่างกับเธอไปทำความผิดร้ายแรงมาอย่างนั้น

            “กี่โมงแล้วลูกพีช ทำไมไม่ไปปลุกผม รู้ไหมว่ามันเสียหายแค่ไหน”

            อ๋อ...เรื่องนี้เองเหรอ แล้วมันใช่ความผิดเธอไหมล่ะ งานสำคัญของเขา เขาก็ต้องใส่ใจให้มากกว่านี้สิ ไม่ใช่หวังแต่จะใช้คนอื่น

            “ถ้าจำไม่ผิด ฉันไม่ได้รับปากคุณนะคะ แล้วเราก็ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดที่ฉันจะต้องบุกไปปลุกคุณจนถึงเตียง”

            “ไม่สนิทงั้นเหรอ”

            “ใช่ค่ะ ไม่สนิท” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อดึง

            “ดีนี่นะ ถ้าคิดอย่างนี้ก็ได้เลยคนสวย ไหนๆ ผมก็ไปไม่ทันธุระแล้ว ช่างมันเถอะ ถ้าวันนี้คุณยังไม่สนิทใจจะไปปลุกผมก็ไม่เป็นไร เรามาเริ่มทำความสนิทกันตอนนี้เลยก็ได้ เอาให้สนิทแนบแน่น ต่อไปคุณจะได้มีข้ออ้างสำหรับการไปปลุกผมถึงเตียงได้”

            “คุณจะทำอะไร” พิราอรผงะถอยหนี ขณะเขาย่างสามขุมเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางคุกคามเอาเรื่อง

            ชินดนัยไม่ตอบ ทว่ารอยยิ้มของเขาไม่น่าไว้ใจ พิราอรคิดจะวิ่งหนี แต่ทันทีที่เธอหมุนกายก้าวขา เขาก็กระโจนรวบร่างเธอเอาไว้จนเสียหลักพากันล้มกลิ้งไปบนพื้น ชายหนุ่มพลิกกายขึ้นเหนือร่างเธอ ตรึงสองมือไว้เหนือศีรษะ ขากดทับขาเธอ ร่างกายกำยำล่ำสันของเขาทิ้งน้ำหนักทาบทับร่างบอบบาง สองสายตาประสานกันในระยะประชิด

            “อย่านะ!”

            “คิดว่าผมจะฟังคุณงั้นเรอะ”

            ชายหนุ่มกระตุกยิ้มร้ายกาจแล้วก้มหน้าลงมาประกบริมฝีปากกับเธออย่างแม่นยำ พิราอรตกใจกับการกระทำอันอุกอาจนั้น พอได้สติ เธอพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด ทว่าร่างกายเขาหนักอึ้ง ซ้ำยังเรี่ยวแรงมหาศาล ไม่มีทางรอดสำหรับเธอเลย และยิ่งเสียเปรียบเมื่อโดนเขาปล้นจูบเหมือนจะสูบวิญญาณอย่างนี้

            ชั่ววินาทีที่พิราอรกำลังจะขาดใจ ชินดนัยก็ถอนจูบร้อนแรง จ้องเธอตาเป็นมันเหมือนเสือจ้องเหยื่อ หญิงสาวไม่ได้ไร้เดียงสาจนนึกภาพต่อไม่ออกว่าเหตุการณ์นี้จะลงเอยเช่นไร ซึ่งเธอยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!

            “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”

            “ไม่บ้าหรอก เดี๋ยวคุณนั่นแหละจะร้องขอให้ผมทำบ้าๆ แบบนี้อีก” เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาอีกรอบ กระซิบบอกเย้ายวน “อย่ากลัวไปเลยแม่ชี แล้วมันจะดีเอง เชื่อผม”

            “ไม่นะ” พิราอรตัวสั่น เสียงสั่น พลิกหน้าหลบหลีก แต่ชินดนัยคงตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

            “ไม่ต้องกลัวที่รัก เชื่อโค้ชชิน ฟินไปสามโลก”

            แล้วชินดนัยก็ฉกปากวูบลงมาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวหมดทางสู้ ได้แต่กรีดร้องสุดเสียง

            “ไม่นะ อย่าทำอะไรฉัน ไม่!!!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น