8

บทที่ 8


 8

 

            กลิ่นและรสชาติของเหล้าในปากเขาทำให้สมองของพิราอรมึนชาว่างเปล่า ขาแข้งอ่อนแรงลงทุกขณะ ในจังหวะที่คิดว่าตัวเองเข่าอ่อนจวนจะทรุดลงไปกองกับพื้น แขนข้างหนึ่งของชินดนัยตวัดรัดเอว ดึงเธอเข้าไปชิด ต้นขาของเธอกับเขาบดเบียดเสียดสีจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว ชินดนัยโอบรัดกายเธอแนบแน่นราวกับต้องการให้หลอมละลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา

            ชายหนุ่มยังคงบดเบียดริมฝีปากอย่างเร่าร้อนรุนแรง ลิ้นเขารุกราน กวาดกวัดอย่างมั่นใจ มือใหญ่คอยประคองใบหน้างามให้แหงนเงยรับจูบที่หมายจะสั่งสอนและแสดงความเป็นเจ้าของในคราวเดียวกัน พิราอรเผลออ้าปากร้องเมื่อเขาแกล้งกัดริมฝีปากล่าง

            นั่นคือการกระทำที่ยืนยันความพ่ายแพ้ของเธออย่างสมบูรณ์

            ชินดนัยตวัดลิ้นลิ้มลองความหวานล้ำที่เริ่มจะติดใจ เธอให้รสสัมผัสที่ดีเยี่ยมจนเขามัวเมาหลงใหล ชายหนุ่มไม่เชื่อว่าเหล้าที่ดื่มมาก่อนหน้านี้จะทำให้เมาได้ แต่เมื่อฤทธิ์เหล้ามาผสานความหวานล้ำไม่ประสาของพิราอร มันกลับทำให้เขาปั่นป่วนหัวใจ อยากกอดให้แน่นกว่านี้ อยากจูบโลมเลียมไปทั้งเนื้อทั้งตัว

            ความปรารถนาลุกโชนโหมกระหน่ำ ร่างกายเขาตื่นตัวและตื่นเต้นกับเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมกรุ่นที่แนบชิด เธอนุ่มนวล หอมหวานจนเขาอยากกลืนกิน ทำให้เธอร่ำร้องหาแต่เขา ชินดนัยขยับปากถอนจูบเพื่อให้เธอได้มีอากาศหายใจ พิราอรหอบสะท้าน ตัวสั่นราวจับไข้

            ดวงตาคมกริบพร่ามัวด้วยแรงปรารถนา มันลึกซึ้งเสียจนคนถูกมองขัดเขิน มุมปากของชินดนัยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มของนักล่าสะกดเธอเอาไว้ ไม่คิดจะปล่อยให้พ้นจากอ้อมแขน

            ใบหน้าคมสันก้มลงซุกไซ้ต้นคอระหง ขบเม้มยั่วเย้าเรียกเสียงครางประท้วงจากหญิงสาว ด้วยประสบการณ์และชั้นเชิงเหนือกว่า ไม่มีทางที่พิราอรจะรอดพ้นมือเขาไปได้

            อึดใจต่อมาชินดนัยรวบร่างหญิงสาว ช้อนตัวเธอขึ้นในวงแขน กดจูบวาบหวามที่ปากนุ่มไม่ยอมให้เธอได้สติ อุ้มพาเธอไปที่โซฟาอย่างไม่รีบร้อน รสชาติหวานล้ำของเธอเจือจางความขุ่นเคืองจนหมดสิ้น ทว่าสิ่งที่ก่อเกิดขึ้นมาอย่างเข้มข้นจนถึงขั้นตึงเครียดก็คือความปรารถนา เขาต้องการเธอจนใกล้จะหมดขีดจำกัดของความอดทนแล้ว!

            แผ่นหลังของพิราอรสัมผัสกับโซฟาตัวยาว ตามด้วยแรงกดทับจากร่างกายใหญ่โตของชินดนัย หญิงสาวได้สติ ผวาเฮือก พลิกหน้าหนี สองมือยันใบหน้าและอกกว้างของชายหนุ่ม พยายามคิดหาทางรอด ในที่สุดก็พึมพำท่องบทสวดออกรัวเร็วจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง

            “นะโม พุทธายะ โมคคัล…”

            “เดี๋ยวๆ พีช” ชินดนัยมีสีหน้าคล้ายจะขำ ขณะเอ่ยขัดหญิงสาว ก่อนเธอจะบริกรรมคาถาจนจบบท เขาหยุดทุกการกระทำ เท้าแขนกับโซฟา ยกตัวขึ้นเพื่อจะได้มองคนข้างล่างให้ถนัด ในดวงตาคมเปล่งประกายเจิดจ้า ไม่รู้ว่าจะเครียดหรือขำก่อนดี “นี่มันใช่เวลาสวดมนต์ไหมคุณ”

            “ถ้าคุณทำอะไรฉันมากกว่านี้ ฉันจะสวดจนกว่าคุณจะหยุด”

            เอากับคุณเธอสิ! อยากจะหัวร่อให้กลิ้งหล่นโซฟา แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้เหลือแค่กระตุกยิ้มมุมปาก ชินดนัยยังคงนอนทาบทับให้ร่างกายส่วนสำคัญด้านล่างเตือนเธอว่าอย่าเล่นตุกติก เขาพร้อมจะเปลี่ยนใจไปต่อได้ทุกเมื่อ

            “พีช...” ชายหนุ่มแกล้งร้อง เฮ้อ...ดังๆ ดับเพลิงปรารถนาที่กำลังลุกลาม ก็ดี พิราอรชิงห้ามไว้ก่อน เพราะเขาเองแทบจะยั้งไม่อยู่แล้วเหมือนกัน แต่เหนือความคาดหมายหน่อยๆ คือเธอดันสวดคาถาใส่เขาซะนี่ จะต้องรู้สึกอย่างไรดี ลงไปนอนชักดิ้นชักงอร้องโอดโอยเหมือนโดนข้าวสารเสกไหม แล้วที่สวดนั่นคาถาอะไร

            เขาไม่กลัวบทสวดของเธอหรอก แต่เพราะเป็นพิราอร...แม่ชีแสนน่ารัก และตอนนี้เขายิ่งรู้สึกเอ็นดูเธอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แม้จะอยากครอบครองให้สิ้นเรื่อง แต่ช่วงเวลา สถานที่ไม่เอื้ออำนวยสักอย่าง หลังจากได้เธอแล้ว ปัญหาจะตามมาอีกหลายขบวน

            “ตกลงเมื่อกี้สวดอะไร”

            “ฉะ...ฉันเลือกไม่ถูกว่าสถานการณ์นี้จะสวดคาถาบทไหน กันภัย แคล้วคลาด หรือชนะมาร”

            เสียงหวานยังฟังดูขลาดๆ ไม่รู้ว่าคนพูดกลัวหรือเขินที่ยังนอนกอดกันอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าจะให้ปล่อยก็รอไปก่อนเถอะ

            “แล้วตกลงสวดอะไร” ชายหนุ่มแกล้งคาดคั้น เห็นเธอเงียบ ก็โน้มใบหน้าลงไปพร้อมกดสะโพกแนบชิด “พีช...ไม่ตอบ ผมต่อนะ รอบนี้จะไม่หยุดด้วย”

            “เดี๋ยวค่ะ ตะ...ตอบแล้ว คาถาชนะมาร!”

            ชินดนัยกลั้นหัวเราะจนไหล่กว้างสั่น แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา โอ๊ย...เขาอยากจะบ้า นี่เห็นเขาเป็นยักษ์เป็นมารเลยหรือ

            “มั่นใจไหมว่าจะชนะมารอย่างผมได้”

            พิราอรมองเขาอย่างไม่แน่ใจ แล้วสั่นหน้า

            “ปล่อยฉันนะคะ”

            “เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

            “นั่งคุยกันไม่ดีกว่าหรือคะ”

            “นอนคุยกันแบบนี้แหละ เข้าใจกันง่ายดี ทีหลังอย่าไปนั่งกับแขกอย่างนั้นอีก มีโอกาสให้รีบชิ่งหนีเลย ต่อให้เป็นซูเปอร์วีไอพีก็ห้าม”

            หลังจากควบคุมความขบขันได้ ชายหนุ่มก็ยื่นคำขาด แกล้งใช้นิ้วชี้เคาะกับปลายจมูกเธอยั่วเย้า ก่อนเปลี่ยนอารมณ์ถามเธอเสียงหวาน “เมื่อกี้มันแตะตรงไหนบ้าง ตรงนี้ใช่ไหม”

            ไหล่เปลือยถูกเขาจูบเลาะเล็มลิ้มรสเนื้อนวลหอมหวาน สบตากันอีกครั้ง พิราอรก็หน้าแดงก่ำราวเป็นไข้ เนื้อตัวสั่นสะท้านจนเขารู้สึก หญิงสาวหลบตา พยายามดันร่างเขาออก

            “ลุกเถอะค่ะ ตัวคุณหนัก ฉันหายใจไม่ออก”

            “งั้นผมช่วย ผายปอดให้”

            “อย่าค่ะ”

            “ห้ามเก่งจัง คราวนี้จะสวดคาถาไหนดี” ชายหนุ่มแกล้งต่อว่า กดจมูกสูดแก้มแดงๆ ดังฟอด ก่อนจะดึงเธอให้ลุกขึ้น สายตาละห้อยหาจ้องเรียวขาเหมือนยังตัดใจไม่ขาด

            พิราอรรีบขยับไปนั่งชิดโซฟาอีกด้านหนึ่ง พยายามดึงชายกระโปรงที่ร่นขึ้นมาปิดต้นขา แต่ด้วยความสั้นของชุด เมื่อนั่งแบบนี้ก็ปกปิดได้ไม่มากพออย่างที่คิด เธอเห็นลูกตาของชินดนัยวิบวับราวกับมันยิ้มได้ อยากตบสักฉาด แต่จากที่สัมผัสร่างกายกันเมื่อครู่ รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงแข็งขึง ถึงแค้นใจ แต่เธอควรอยู่ห่างๆ เขาไว้ก่อนจะดีกว่า

            “นายชยินนั่นเป็นลูกชายของท่านชยุต เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ใครๆ ก็เกรงใจ ภายนอกมันก็ดูเหมือนกร่างๆ อาศัยบารมีพ่อเบ่งไปวันๆ เที่ยวถามชาวบ้านว่ารู้จักไหมว่ามันลูกใคร ฮึ! ไอ้ลูกไม่รู้จักพ่อ จริงๆ แล้วไอ้หมอนี่ก็แสบใช่ย่อย มีข่าวพัวพันทั้งเรื่องยาและค้าผู้หญิง” เสียงทุ้มพูดขึ้นทำลายความเงียบ

            “ฉันจะระวังตัวค่ะ”

            “ไม่ได้อยากให้แค่ระวัง อยู่ให้ห่างๆ มันไว้จะดีมาก เส้นสายของเราไม่เกี่ยวข้องกัน อำนาจคนละขั้ว มันไม่เกรงใจใครหรอก มีแต่พ่อมันนั่นแหละที่ยังพอจะมีเหตุผลบ้าง ถ้ามีเรื่องผมกลัวจะกระทบกันไปหมด ที่มันมานั่งผับเราบ่อยๆ นี่ก็จับตากันอยู่ว่ามานั่งธรรมดา หรือมาขยายตลาด” ชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ จับมือเธอคลึงเล่น “ผมไม่ใช่พ่อพระ แถมยังเป็นคนบาปเต็มตัว กลัวแต่ว่าถ้ามันมาตอแยกับคุณมากๆ จะลืมตัวกระทืบมันเข้า”

            “คุณชิน!”

            พิราอรตาโต อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคำพูดทำนองนี้จะหลุดออกมาจากปากเขา อย่าบอกนะว่าที่ทำไปเมื่อกี้

            “คุณเป็นห่วงฉันเหรอคะ”

            “ไม่ใช่! ผมหึงคุณต่างหาก”

            บ้า...เขาต้องบ้าไปแล้ว ก่อนใครสักคนจะหึงหวงกันได้ มันต้องผ่านหลายอารมณ์ กว่าที่จะข้ามขั้นไปถึงจุดนั้น แต่เธอก็ยังไม่เคยรู้สึกลึกซึ้งอะไรเป็นพิเศษกับเขาเลย จะมีก็แต่อารมณ์วาบหวิวที่ถูกเขาปลุกเร้ากอดจูบลูบไล้กระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมา เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบ หวั่นไหวกับสัมผัสที่เขาแตะต้องเนื้อตัว

            จะเหมาว่าชอบเขาก็คงไม่ใช่ เกลียดไหมมันก็ไม่เชิง เธอแค่มึนงงสับสนมากกว่า ทั้งที่ปฏิเสธได้แต่แรก แต่ก็ปล่อยกายปล่อยใจยินยอมเขาจนเกือบยั้งใจกันไม่อยู่ โชคดีที่สำนึกผิดชอบชั่วดียังยับยั้งไว้ให้หยุดทุกอย่างได้ทัน

            “คุณพูดเหมือนกับว่า...” พิราอรไม่กล้าพูดออกมาจึงเงียบไปเฉยๆ

            ชินดนัยหัวเราะทั้งที่ไม่มีอะไรน่าขำ เขาเดาความคิดหญิงสาวออก แววตากระจ่างใสอธิบายความรู้สึกงุนงงสงสัยได้ดีกว่าคำพูด การมองเขาตื่นๆ แล้วหน้าแดงแจ๋นี่ก็ไม่ต้องคิดเป็นอื่นหรอก ด้วยกลัวว่าพิราอรจะเขินหนักไปกว่านี้ ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง ชะโงกหน้าไปจุ๊บมุมปากเธอเสียอีกหนึ่งครั้งก่อนลุกขึ้นเดินไปที่ประตู แล้วหันกลับมาบอกยิ้มๆ

            “ผมก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน ถ้าผมหึงคุณ แสดงว่าผมก็ต้องรักคุณน่ะสิ ใช่มะ”

            “ฉันจะไปรู้คุณเหรอ”

            “ไม่รู้ก็ไม่รู้ รู้ตอนไหนช่วยบอกผมด้วยแล้วกัน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างขบขัน แล้วสั่งต่อว่า “นั่งรอผมในห้องนี่แหละ สังเกตการณ์จากในนี้จะดีกว่า คืนนี้เสียฤกษ์แล้ว ขืนมีใครมาขายขนมจีบคุณอีกคงได้เปลี่ยนผับเป็นเวทีมวยแน่ อ้อ...ถ้าง่วงก็นอนก่อนได้ ผับปิดแล้วผมจะมารับ”

            ประตูปิดเรียบร้อย พิราอรรีบวิ่งไปกดล็อก ยืนพิงบานประตูด้วยใจระทึก พลางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

            เกือบไปแล้ว...แค่เพียงไม่กี่นาทีเธอเกือบจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปง่ายๆ

            ใช่...เขาเสียฤกษ์ แต่เธอเกือบเสียตัว หญิงสาวหลับตาพยายามสงบสติ

            ชยินอันตราย เธอรู้ระหว่างที่ช่วยเช็ดตัวมือไม้หมอนั่นไม่อยู่สุขนัก แต่ก็ไม่ได้บุกจู่โจมเหมือนชินดนัย ตัวอันตรายแท้จริงก็คนใกล้ตัวนี่ละ เขาทำให้เธอหวั่นไหวทั้งกายและใจ

            จากความใกล้ชิดเร่าร้อน เธอเชื่อว่าเขาสามารถโอ้โลมปลุกเร้าอารมณ์ให้เธอคล้อยตามได้ เพราะก็เห็นอยู่ว่าช่วงหลังเธอแทบจะไม่ได้ขัดขืนเลย หญิงสาวยกมือทาบอก หัวใจยังเต้นตึกตักๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนร่างกายมันพร้อมจะตอบสนองเขาไปเสียทุกส่วน

            เธอต้องบ้าแน่ หญิงสาวสั่นหน้ารัวเร็ว ตัดสินใจเดินไปที่บาร์เครื่องดื่ม หยิบแก้วตั้งรอไว้ เริ่มเปิดขวดเหล้า ดมกลิ่นเลือกเอาที่ไม่แรงนัก จนกระทั่งเลือกเหล้าได้หนึ่งขวด เทใส่แก้ว แล้วถือทั้งขวดไปวางบนโต๊ะที่ตั้งหน้าโซฟา

            พิราอรเดินถือแก้วเหล้าไปหยุดยืนตรงผนังกระจก มองความวุ่นวายเบื้องล่าง จะมืดสลัวแค่ไหนก็ยังอุตส่าห์ตาดีเห็นผู้ชายที่เพิ่งคลุกคลีกับเธอในห้องนี้ยืนนัวเนียกับผู้หญิงคนหนึ่ง มือของฝ่ายหญิงวางทาบกับอกกว้าง ใบหน้าแหงนเงยเชิญชวน ส่วนฝ่ายชายก็ลูบไล้เส้นผมยาวเลื่อนลงไปจนถึงลำแขนกลมกลึง แวบหนึ่งเขามองขึ้นมาราวกับรู้ว่าถูกแอบมอง

            เหล้าในแก้วถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด หญิงสาวหน้าเบ้เมื่อความร้อนขมปร่าไหลผ่านลำคอ กลิ่นไม่แรงติดจะหอม แต่ดีกรีกลับแรงเหลือเกิน เหล้าอะไรของเขากันนะ

            แม่ชีผิดศีลรีบเดินกลับไปรินน้ำเปล่าแล้วดื่มอั้กๆ มือสั่นน้อยๆ รู้สึกในหัวโหวงเหวง แต่พอมองไปข้างล่างก็หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

            เหล้าแก้วต่อๆ มา ลื่นคอดื่มง่ายขึ้น หญิงสาวแสยะยิ้มเมื่อคิดถึงคำพูดของชินดนัยในคืนที่เจอกันครั้งแรกที่นี่

            ...ผมสามารถนอนคุยกับคนที่ไม่รู้จักชื่อได้ทั้งคืน

            มันไม่ใช่การคุยธรรมดาหรอก มองตากันหวานเยิ้มขนาดนั้น คนบ้าตัณหา เห็นแก่ตัวที่สุด! ไม่ใช่เธอก็ใครก็ได้งั้นสิ เขาเก่งอยู่แล้วนี่ ไม่แน่ว่าคืนนี้เธออาจจะต้องกลับแท็กซี่ก็ได้

            ชินดนัย...คุณมันบ้าที่สุดเลย!

 

            ผับใกล้ปิด ชินดนัยตั้งใจขึ้นไปตามพิราอรกลับ แต่หลังจากทั้งเคาะทั้งเรียกอยู่นาน คนข้างในก็ไม่ตอบรับจนเขาต้องย้อนลงไปขอกุญแจสำรองจากสิทธา ผู้จัดการหนุ่มรีบมาช่วยไขให้

            ชายหนุ่มกำลังจะเข้าไป แต่เห็นสิทธายังยืนอยู่จึงเลิกคิ้วถาม

            “ฉันเข้าห้องได้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้านเถอะ ฉันจะพาพีชกลับเหมือนกัน”

            “แต่คุณพีชไม่ตอบโต้อะไรเลย ผมกลัวว่า...”

            “ไม่ไว้ใจฉันตั้งแต่เมื่อไรกันสิทธา” ชายหนุ่มดักคอ มองหน้าคาดคั้น “กลับไปทำงานต่อเถอะ”

            สิทธาพยายามถ่วงเวลาเก็บข้อมูล แต่ดูเหมือนชินดนัยจะระวังตัวมากขึ้น เข้าห้องได้ก็รีบปิดประตูปล่อยให้ผู้จัดการหนุ่มยืนเซ่ออยู่หน้าห้องนั่นเอง แล้วอย่างนี้จะรายงานคุณนันท์ว่าอย่างไรดี

            หนุ่มนอกห้องอับจนหนทาง ขณะที่หนุ่มในห้องสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ กลับไม่เห็นใคร หายไปไหนนะ เขาเดินเข้าไปที่โซฟาแล้วถึงเจอคำตอบ คุณหนูลูกพีชมาแอบหลับอยู่นี่เอง

            กำลังจะสะกิดเรียก แต่สายตาไปสะดุดเข้ากับแก้วและขวดเหล้าวางอยู่ คิ้วเข้มขมวด ดวงตามองไปที่ขวดเหล้าสลับกับหญิงสาวที่หลับตาพริ้มบนโซฟา

            “แอบกินเหล้าย้อมใจเหรอเนี่ย พีช...” ชินดนัยย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้า จับไหล่เปลือยเขย่าเบาๆ “พีช...ตื่นเถอะ กลับบ้านกัน”

            “ฮื้อ อย่ามากวน ฉันจะนอน”

            “แอบกินเหล้าเหรอ เมาหรือเปล่า”

            “ไม่มาววว”

            อ๋อ...ถ้าแบบนี้เมาแน่นอน

            ชายหนุ่มถอนใจ หยิบกระเป๋าใบเล็กของเธอมาสะพาย ก่อนจะช้อนร่างเจ้าของกระเป๋าอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย แม้เจ้าตัวจะพึมพำอะไรออกมา แต่ก็น่าดีใจที่ไม่ได้เป็นคาถาอะไรอีก คนถูกอุ้มขยับตัวยุกยิก วางมือแหมะกับอกแกร่งและนิ่งไป คงขยับได้มุมเหมาะแล้ว

            ชินดนัยอุ้มพิราอรลงมาจากห้องทำงาน สิทธายืนอยู่ไม่ไกลหันมาเห็นเข้าก็ตะลึงอ้าปากค้าง รีบวิ่งเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง

            “คุณพีชเป็นอะไรครับ”

            “สงสัยจะง่วง หนักไปหน่อย”

            “แต่ผมได้กลิ่นเหล้า”

            “แล้วยังไง” ชายหนุ่มย้อนถามหน้าตาย สั่งผู้จัดการช่วยเดินตามไปเปิดรถให้

            โชคดีที่มีทางออกเฉพาะและรถจอดใกล้กับทางออก สิทธายืนมองชินดนัยจัดท่าให้พิราอรนอนสบาย จนกระทั่งประตูรถปิดและอีกฝ่ายหันมาแบมือขอกุญแจรถคืน

            “จะไหวเหรอครับ ให้ผมตามมิลินนั่งไปเป็นเพื่อนไหม”

            “เป็นเพื่อนใคร ฉันหรือพีช” ชินดนัยย้อนถามยิ้มๆ ตบบ่าสิทธาสองสามครั้งแล้วว่า “ขอบคุณมากสิทธา ไม่ต้องห่วงเจ้านายคนใหม่หรอกน่า ฉันจะดูแลพีชเป็นอย่างดี รับรองว่าริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม นายกลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวก็เช้าพอดี ฉันไปนะ”

           

            ถนนโล่ง ชินดนัยไม่มีเค้าว่าจะง่วงเพราะนอนดึกจนชิน เขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่พัก ทุลักทุเลอยู่พักใหญ่ก็อุ้มพิราอรที่ไม่ได้สติเข้าไปในลิฟต์ มายืนอึ้งก็ตอนที่ลิฟต์เปิดแล้วไม่รู้จะไปห้องใครนั่นละ

            “ขี้เซาแถมเมาไม่รู้เรื่อง น่าอุ้มเข้าห้องแล้วลักหลับซะเลย” ชายหนุ่มส่ายหน้าระอาแล้วก้าวไปทางห้องของหญิงสาว ค่อยๆ วางเธอลงให้ยืนพิงเขาแล้วเปิดกระเป๋าเอาคีย์การ์ดเปิดห้อง พอเปิดได้ก็อุ้มเธอขึ้นเหมือนเดิม

            ชินดนัยวางหญิงสาวบนเตียงนุ่ม เห็นเอวบางร่างน้อย แต่พออุ้มนานๆ ก็เล่นเอาหอบเหมือนกันนะเนี่ย เขาช่วยถอดรองเท้าให้ ส่วนเดรสสั้นสุดเซ็กซี่ขยี้ใจนั้นได้แต่ยืนมองอย่างเสียดาย ก่อนจะตวัดผ้าห่มคลุมให้

            เขาไม่ใช่พระเอกแสนดี พอนางเอกเมามายแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อย่างสุภาพบุรุษ ตรงข้ามเลยละ เขากล้ายอมรับตรงๆ เลยว่าแค่คิดจะจับพิราอรลอกคราบความคึกคักก็บังเกิดทันที จินตนาการถึงเรือนร่างเปลือยเปล่าของเธอใต้ร่างเขาไม่สิ้นสุด ขอย้ำว่านี่แค่คิด แล้วถ้าได้แตะจริงๆ คงพากันเตลิดเปิดเปิง ลูกพีชได้ร้องครวญครางแทนท่องคาถาชนะมารแน่

            ต้องออกไปแล้ว!

            ชายหนุ่มข่มความต้องการอันท่วมท้น แข็งใจหันหลังให้หญิงสาว แล้วรีบคว้าคีย์การ์ดติดมือ ก้าวเร็วๆ พาตัวเองไปอยู่ในโซนปลอดภัย ถ้าเกิดปล่อยให้ใจอ่อนแล้วอย่างอื่นแข็งขึง ได้เป็นเรื่องแน่

 

            พิราอรตื่นมาพร้อมความกระอักกระอ่วน ท้องไส้ปั่นป่วน ศีรษะหนักอึ้ง อยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำแต่ก็ลุกไม่ขึ้น ได้แต่ยกมือนวดคลึงบริเวณขมับหวังไล่อาการมึนงง เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เหมือนมีอะไรแล่นมาจุกอยู่ที่คอหอย คลื่นเหียนทรมานจนทนนอนต่อไม่ไหว หญิงสาวลากสังขารมาโก่งคออาเจียนใส่ชักโครกอย่างหมดไส้หมดพุง

            อ้วกกก

            ความทรมานผ่านไป ทิ้งไว้เพียงรสขมปร่าของน้ำดีที่น่าสะอิดสะเอียน หญิงสาวอยากบ้วนปากแต่หมดแรงจนต้องหลับตานั่งกับพื้นพิงโถชักโครกอย่างหมดสภาพ เป็นนานกว่าจะยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อและน้ำตาออกไปลวกๆ แม้แขนขาจะยังสั่นอยู่บ้าง แต่ก็พอจะประคองตัวเองไปที่อ่างล้างหน้า เปิดน้ำบ้วนปาก

            กว่าหญิงสาวจะกลับมามีสภาพใกล้เคียงกับพิราอรคนเดิมก็ปาเข้าไปบ่ายกว่า ในหัวยังคงรู้สึกเบาโหวงเหวง จึงทำได้เพียงนอนเน่าๆ อยู่บนโซฟากลางห้อง กาแฟดำเข้มจัดดูจะช่วยเธอไม่ได้มากนัก ดื่มเข้าไปหวังจะถอนก็เหมือนยิ่งจะซ้ำให้หนักขึ้น จึงเลือกหลับตานอนนิ่งๆ และเผลอหลับไป

            เพราะเสียงเรียกหน้าห้องทำให้สะดุ้งตื่น พิราอรงัวเงียลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวแรงๆ ก่อนจะตื่นเต็มตาเพราะเสียงร้อนรนของคนข้างนอก เธอรีบวิ่งไปเปิดประตูตามเสียงเรียกนั้นจนลืมเช็กสภาพของตัวเองว่าเป็นอย่างไร

            “อื้อฮือ” ดวงตาของชินดนัยเป็นประกายขบขันเมื่อเห็นหญิงสาวหัวกระเซิงมาเปิดประตูให้ “นี่สร่างดีหรือยัง”

            “สภาพฉันใกล้เคียงคำว่าสร่างไหมล่ะ”

            “ปฏิกิริยาตอบโต้ดีกว่าเมื่อคืนนะ”

            “คุณมีอะไร”

            “ขอเข้าไปนั่งข้างในได้ไหมล่ะ ขี้เกียจยืนคุย เมื่อยขา”

            เจ้าของห้องเบี่ยงตัวหลบให้เขาเข้ามา โซฟาที่เธอครอบครองมาตั้งแต่ช่วงเช้า เขาก็นั่งลงหน้าตาเฉย ไม่ได้ดูร่องรอยเลยว่าเธอใช้งานมันอยู่ ที่อื่นก็มีทำไมไม่นั่ง เก้าอี้ตัวที่ว่างก็ยังเหลืออีกตั้งสองตัว

            “ท่าทางคุณไม่ดีเลยนะ”

            “ตื่นมาอ้วกจนหมดไส้หมดพุงแล้วก็นอนอึนทั้งวัน ฉันจะสดใสเหมือนดอกไม้แรกแย้มได้ไงล่ะ” พิราอรไม่ยอมแพ้ ทรุดนั่งลงโซฟาตัวเดียวกับเขาแต่คนละฝั่ง “ว่าธุระคุณมาเถอะ”

            “แค่จะมาถามว่าคืนนี้จะไปด้วยกันไหม แต่ดูสภาพแล้ว นอนพักดีกว่ามั้ง”

            “ฉันไม่ต้องไปก็ได้เหรอ”

            “ได้สิ ผับของคุณ จะไปไม่ไปก็สิทธิ์ของคุณ”

            “งั้นฉันก็มอบอำนาจให้คุณไปตั้งแต่วันนี้ก็ได้งั้นสิ ฉันจะได้นอนสบายๆ อยู่ห้อง”

            ชินดนัยกดยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยยั่ว “ก็ย่อมได้ ถ้าคุณไม่กลัวผมฮุบผับคุณนะ”

            “ทำอย่างกับว่าฉันอยากได้นักนี่ คุณจะออกไปตอนกี่โมง”

            “ถ้าคุณไปผมก็จะรอ”

            “ฉันขับรถไปเองก็ได้ เผื่อคุณอยากไปต่อ”

            ชินดนัยขมวดคิ้ว มองคนที่พูดเรื่อยๆ เหมือนไม่ใส่ใจ ก็ไอ้ท่าหลับตาคลึงขมับนั่นละทำให้เขาฉุกคิด อยู่ดีๆ ทำไมพิราอรถึงได้นึกครึ้มดื่มเหล้าย้อมใจเสียเมาแอ๋ ถ้าไม่ใช่...

            “ผับปิดตีสอง ผมยังจำเป็นต้องไปต่ออีกเหรอ พาตัวเองกลับห้องนอนก็จะไม่ไหวแล้วมั้ง” เขาลองหยั่งเชิง

            “จะไปรู้เหรอ ฉันก็เกรงใจ คุณยังหนุ่มแน่นแถมไม่ใช่พระ อาจจะมีธุระส่วนตัวต้องทำ” เธอเน้นเสียงคำว่าส่วนตัวหนักๆ

            ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ก่อนจะย้อนถาม “ธุระส่วนตัวที่ว่านี่ หมายถึงเรื่องผู้หญิงเหรอ เพราะถ้าใช่ มันก็แน่นอนอยู่แล้ว คุณมาถูกทางแล้วละที่เข้าใจว่าผมไม่ใช่พระ แถมพละกำลังยังล้นหลามข้ามคืน แต่มันก็มีเรื่องชวนให้ผมสงสัยอย่างหนึ่ง”

            “อะไร เฮ้ย!”

            เพราะชินดนัยขยับเข้ามารวดเร็ว ทิ้งระยะห่างจากเธอไม่มากนัก แรงขยับทำให้พิราอรลืมตามองเขาหน้าตื่น คิดหนีก็ไม่รู้จะหลบไปไหน เพราะติดพนักโซฟา

            “ทำไมเมื่อคืนถึงดื่มเหล้าจนเมาขนาดนั้น” เขาจ้องตาถามคาดคั้น ลมหายใจร้อนผ่าวปะทะแก้มนวล

            ความใกล้ชิดในระดับหายใจรดกันมันเป็นอะไรที่พิราอรไม่คุ้นนัก แก้มเธอเปลี่ยนสีเป็นแดงระเรื่อ ดวงตาหวานซึ้งหลุบลงต่ำมามองแผงอกกว้าง มัดกล้ามดันเสื้อยืดจนนูนขึ้น การตกอยู่ในวงล้อมของชินดนัยไม่ใช่สถานการณ์น่ายินดี หญิงสาวตะกุกตะกักตอบเขาไป

            “ฉะ...ฉัน แค่อยากลองหัดดื่ม”

            “ไม่มีเหตุผลอื่นเลยเหรอ” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้อีก

            “ไม่มี ฉันจะดูแลผับก็ต้องหัดดื่มไว้บ้าง จะมาคออ่อนไม่ได้ ก็เลยลองดู”

            พิราอรไม่กล้าสบตากับเขา เพียงวูบเดียวที่มองกันเธอก็รู้ว่าเขาไม่เชื่อ ก็ช่างสิ เรื่องของเขา สิ่งสุดท้ายที่เธอคิดจะทำก็คือการยอมรับว่าไม่พอใจที่เห็นเขายืนนัวเนียกับผู้หญิงอื่นทั้งๆ ที่เพิ่งผละจากเธอไป เขาทำมันได้อย่างไร ในเมื่อเขาเพิ่งกอดจูบอยู่กับเธอแท้ๆ เขาอาจไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่เธอรังเกียจความมักง่ายเอาไม่เลือกนั้น

            “อยากดื่มผมไม่ว่าหรอก แต่อย่าคิดดื่มด้วยอารมณ์อยากประชด นอกจากจะไม่เข้าท่าแล้ว มันยังจะนำหายนะมาสู่ตัวคุณเองด้วย”

            “เก็บไว้บอกตัวเองเถอะค่ะ”

            “ผมชอบให้คุณบอกผมมากกว่า” เขาส่ายหน้า ตอบกลับมาหน้าระรื่น มองเห็นไฟโทสะกองเล็กๆ ไหวระริกในดวงตาคู่หวาน จึงเลิกคาดคั้นและถอยห่างเพื่อให้เธอมีพื้นที่ได้หายใจหายคอ “ทีหลังถ้าจะหัดดื่ม ผมจะสอนให้ ค่อยๆ เริ่มจากตัวเบาๆ ก่อน ไม่ใช่จัดหนักจนเมาพับตั้งแต่ขวดแรก”

            “ฉันดื่มได้ตั้งหลายแก้ว”

            “แล้วเป็นไงล่ะ ยังจะมาอวดอีก” ชายหนุ่มทิ้งสายตามองเธอเหมือนประเมินความสามารถ

            พิราอรนึกขายหน้าอยู่เหมือนกัน แต่ทำไงได้ ก็ในเมื่อเธอไม่รู้นี่ว่าเหล้าบ้านั่นจะแรงจนเมาหลับไปตอนไหนไม่รู้ หญิงสาวเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ได้ยินเสียงเขาบอก

            “ถ้าไปก็เตรียมตัวนะ เดี๋ยวเย็นๆ ผมมาเคาะห้องเรียก ไปด้วยกันนี่แหละ ถ้ามีคุณอยู่ด้วยธุระส่วนตัวของผมที่คุณกังวลนั้นมันก็ไม่จำเป็นหรอก เมื่อคืนคุณก็น่าจะรู้แล้วว่าเราคงเข้ากันได้ดี มีแค่คุณ คนอื่นก็ไม่จำเป็น”

            “แต่ที่ฉันเห็นมันไม่ใช่”

            “แอบส่องผมเหรอ ดีจังนึกว่าผมจะหึงคุณอยู่ฝ่ายเดียว ที่แท้คุณก็แอบหึงผมเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

            “ไปลงนรกซะ!”

            เธอตวาดแหว หากชินดนัยทอดเวลาช้ากว่านั้นสักวินาที หมอนอิงในมือเจ้าของห้องที่เพิ่งตกลงบนพื้นคงมีโอกาสได้ฟาดหน้าหล่อๆ ของเขาก่อนที่มันจะตกลงมาแน่

           

            การเข้ามารับงานดูแลผับต่อจากพ่อโดยมีชินดนัยคอยเป็นพี่เลี้ยงไม่ได้มีแต่ข้อเสีย ความสามารถของเขาช่วยให้พิราอรเรียนรู้งานได้รวดเร็วมากขึ้น ท่าทีเรื่อยเปื่อยเจ้าสำราญของเขาที่แสดงออกมานั้น เป็นเพียงสิ่งลวงตา ในยามต้องลงมือทำงาน เขาจริงจัง เด็ดขาด มีความเป็นผู้นำสูง ปฏิบัติตัวกับลูกน้องอย่างเพื่อน แต่กลับทำให้ทุกคนเคารพได้ ขนาดคนมาดเนี้ยบอย่างสิทธาที่ทุกคนกล่าวขวัญว่าเจ้าระเบียบสุดในผับ ยังต้องปรึกษาชินดนัยในบางกรณีเลย

            เขาให้คำแนะนำในสิ่งที่เธอควรรู้และปฏิบัติ ตักเตือนในเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจนัก เธอต้องทำความเข้าใจใหม่ นักเที่ยวกลางคืนมีพฤติกรรมและวิถีชีวิตไม่เหมือนผู้คนที่พิราอรเคยพบเจอ นี่คือการก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่อย่างแท้จริง บางครั้งก็ต้องมองผ่านความไม่เหมาะสม มันลำบากใจในช่วงแรกๆ แต่ก็ได้ชินดนัยคนบาปคอยยุแยงนั่นละ ถึงผ่านไปได้

            พิราอรมานึกย้อนดูแล้วตัวเธอช่างมีความคิดคร่ำครึหัวโบราณ บางเหตุการณ์ที่เห็นในผับเธอก็รับไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องประเจิดประเจ้อที่ต้องทำกันในสถานที่มิดชิด แต่ชินดนัยกลับยักไหล่บอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

            เขาพยายามสอนให้เธออย่าคิดมาก คนที่กล้าออกมาเที่ยวกลางคืนอย่างน้อยเจ้าตัวก็ต้องมั่นใจว่าเอาตัวรอดได้ เธอก็เพียงแค่ระวังไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีงามขึ้นในผับก็พอ หากเหตุการณ์มันผิดปกติจวนตัวก็ให้เรียกบรรทัดมาช่วยจัดการ

            ทุกสถานที่ย่อมมีกฎเกณฑ์ เมื่อออกนอกกฎก็ต้องกำจัดไปให้พ้น ในธุรกิจสีเทาไม่มีขาวล้วนและดำสนิท พบเห็นผู้คนเมามายไม่ได้สติยังพอทำใจมองผ่านได้ แต่บางครั้งเธอก็ไม่ชอบใจนักที่ได้เห็นเด็กวัยรุ่นกอดจูบนัวเนียกันในมุมมืด เมื่อหันไปหมายจะบอกกับพี่เลี้ยงหนุ่ม เขาก็ทำยิ้มกรุ้มกริ่ม หัวเราะหึๆ แกล้งมองเธอตาวาว เหมือนอยากทำตามวัยรุ่นพวกนั้นบ้าง

            “วัยรุ่นเลือดร้อน ไฟรักมันยากจะหักห้าม เข้าไปขวางมันบาปนะครับแม่ชี ไปเถอะ อย่ายืนจ้องนาน เดี๋ยวน้องเขาจะเขิน”

            เขาบอกเธอเพียงแค่นั้นแล้วโอบเอวดันให้เดินผ่านไป พิราอรยังขัดใจ แต่จำต้องปล่อยตามที่ชินดนัยบอก ตราบใดที่ลูกค้าพวกนั้นยังไม่เปลี่ยนสภาพผับของเธอให้กลายเป็นโรงแรมม่านรูด เธอก็จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

            ความสัมพันธ์ของเธอกับชินดนัยพัฒนาอยู่ในเกณฑ์ดี ถ้าไม่นับสายตาที่มองมาราวจะกลืนกินยามเผลอตัว เขาเป็นบุคคลอันตรายต่อใจ เสน่ห์ร้ายเหลือ เวลาถูกเขามองอย่างนั้นหญิงสาวก็พลันร้อนผ่าวไปทั้งร่าง รอยสัมผัสที่เขาทิ้งไว้ยังจดจำไม่ลืมและพร่ำเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าริอ่านปล่อยให้เขาทำอย่างนั้นอีกถ้าไม่อยากเสียใจ

            ก็ยังดีที่นอกจากแอบมองด้วยสายตากลัดมันแล้ว ชินดนัยไม่ได้รุกรานอะไรเธออีก นอกจากแตะนิดโอบหน่อยจนพิราอรเริ่มชินและขี้เกียจจะเทศนาสั่งสอน เธอลงความเห็นว่ามันเจ็บคอและเสียเวลาเปล่า ยังไงเขาคงไม่ฟัง หน้าด้านไม่พอยังหูทวนลมอีกต่างหาก

            คืนนี้หญิงสาวถูกพี่เลี้ยงสั่งห้ามเด็ดขาด ถ้าผับไม่ปิด อย่าได้คิดลงไปอวดโฉมด้านล่างอีกแม้แต่น้อย เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะคืนนี้แขกวีไอพีอย่างชยินมานั่งวางท่าอยู่โต๊ะประจำ พอเห็นเธอเมื่อตอนหัวค่ำก็รีบเชื้อเชิญให้ร่วมโต๊ะด้วย โชคดีที่เธอไปกับชินดนัย พี่เลี้ยงของเธอหัวไวรีบหาช่องบ่ายเบี่ยงจนหลุดออกมา หลังจากนั้นเธอก็ถูกสั่งให้มายืนสังเกตการณ์อยู่ในห้องทำงานนี่ แต่อยู่บนนี้ก็ดี ไม่ต้องวุ่นวายเสียงดัง

            มุมปากของหญิงสาวโค้งขึ้นเมื่อเหลือบมองหูฟังป้องกันเสียงรบกวนที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงาน มันเป็นของที่ชินดนัยให้เธอมาตั้งแต่วันแรก จำได้ว่าเธอแอบถามเขาในภายหลังว่าเหตุใดถึงได้เตรียมมันให้ เขายักไหล่ ยิ้มกว้าง ตอบกวนๆ

            ก็เห็นไม่ชอบเสียงดังตั้งแต่แรกๆ แล้ว ผมเลยหามาให้ เพื่อสุขภาพหูของคุณหนูพิราอร

            เขาก็เป็นอย่างนี้ ภายนอกดูร้าย ภายในร้ายยิ่งกว่า พอโตเป็นหนุ่มเขาก็ไม่เหมือนพี่ชินสายเปย์ในความทรงจำ แต่มันก็ยังมีบางมุมทำให้เธอไม่นึกว่าเขาจะคิดถึง อย่างเช่นเรื่องหูฟังกันเสียงรบกวนนั่น บางทีเขาก็ดูใจดี บางทีเขาก็ดูคุกคาม แต่ที่เห็นประจำจนชินตาและขัดใจเสมอก็ตรงที่เขาชอบเลื้อยกับแขกสาวๆ

            พิราอรถอนใจ เตือนตัวเองว่าเธอไม่ควรรู้สึกอะไรทั้งนั้น เขามีสิทธิ์ ดีแล้วที่เขาไปรุ่มร่ามกับผู้หญิงอื่น หากไม่มีทางระบายพลังหนุ่มออกเสียบ้าง เธอนั่นละจะตกอยู่ในอันตราย

            หญิงสาวเดินไปที่ผนังกระจกแล้วหลุบตามองฝ่าความมืดของชั้นล่าง ถึงจะเตือนตัวเองอย่างไร แต่สิ่งแรกที่พิราอรมองหาก็ยังคงเป็นเขา

            “ฮั่นแน่...แอบมองหาผมอยู่หรือเปล่า”

            เธอสะดุ้ง คนที่มองหาเปิดประตูห้องเข้ามา หญิงสาวหันกลับมามองเขา กวักมือเรียก เหมือนอยากให้ดูบางอย่าง จากหัวคิ้วที่ขมวดคงไม่ใช่เรื่องดีนัก

            “รีบมาดูนี่สิคะ” ดวงตาพิราอรยังจับจ้องเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง เด็กสาวทรงผมยังตัดสั้นเหมือนเด็กมัธยมต้น “ถึงสิบแปดหรือยังคะนั่น ยังดูเด็กมากอยู่เลย ปล่อยให้เข้ามาได้ยังไง”

            “เอ๊ะ! เมื่อกี้ยังไม่เห็นมีเลย โผล่มาตอนไหน” สีหน้าของชินดนัยไม่ชอบใจนัก เขาก็คิดเหมือนเธอ

            ชายหนุ่มเพ่งมองจุดที่พิราอรพูดถึง มันเป็นโต๊ะของชยินนั่นละ คงเป็นแขกของไอ้คนไม่รู้จักพ่อตัวเองสินะ เด็กสาวห้าคนนั่งรายล้อมมันเป็นภาพธรรมดา แต่ก็ไม่เหมาะ เพราะยังดูเด็กมากจริงๆ

            “ไล่ออกไปดีกว่ามั้ง ถ้ายังอายุไม่ถึงก็คงต้องเชิญออกกันตรงๆ ผมไม่อยากเสี่ยง การสุ่มตรวจยังคงทำอยู่ ถ้าพลาดขึ้นมาแล้วจะซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง ไอ้เวรนี่มันขยันหางานให้ผมจริงๆ นะ” เขาสบถอย่างหงุดหงิด

            “ให้ฉันไปด้วยไหมคะ”

            “ถ้าคุณช่วยผมไล่เด็กพวกนั้นออกไปแล้วคงต้องห้ามมวยผมกับไอ้บ้านั่นต่อ มันเปลี่ยนเป้าหมายมาที่คุณแทนแน่ เพราะฉะนั้นรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวผมกลับมารับ จะใช้สิทธาก็คงไม่ได้เรื่อง ลูกค้าซูเปอร์วีไอพีอย่างไอ้หมอนี่ต้องผมเอง” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ดูเหมือนวันนี้คงมีเรื่องให้เขาต้องปะทะคารมกับชยินอีกแล้ว

            “แย่แล้ว คุณชินคะ!”

            “อะไรเหรอ”

            น้ำเสียงตื่นตระหนกของพิราอรทำให้ชายหนุ่มชะงัก หมุนกายกลับก่อนเดินเร็วๆ มาหา หญิงสาวหน้าซีดเผือดชี้ให้เขาดู สิ่งที่เห็นทำให้ชินดนัยหงุดหงิดจนอยากตะบันหน้าใครสักคน

            “บ้าฉิบ!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น