7

บทที่ 7 ลูกเป็ดกับเจ้าชาย


7

ลูกเป็ดกับเจ้าชาย

ย้อนกลับไปสมัยเรียนมัธยมต้น เพื่อนๆ ของพิตาภามักจะไปเรียนพิเศษที่สยามกัน แต่นอกจากเธอจะไปเดินเล่นหาอะไรกินและชอปปิงแล้ว ก็ไม่เคยเข้าสถาบันกวดวิชาเลย เพราะมีติวเตอร์ส่วนตัวอย่างอภิวัฒน์ที่เรียนหนังสือเก่งทุกวิชาจนได้เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าสามจุดแปดทุกเทอม

แล้วเขาก็ไม่ได้เก่งแค่ด้านวิชาการเท่านั้น เพราะดนตรี กีฬา และศิลปะ อภิวัฒน์ก็ทำได้ดีเหมือนกัน บางทีเธอก็แอบหมั่นไส้ที่เขาเพอร์เฟกต์มากขนาดนี้

‘ทำไงพันช์จะเรียนเก่งแบบพี่อาร์ตบ้างอ้ะ’ พิตาภาซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้น ม. 3 โรงเรียนเดียวกันทำหน้ามุ่ย

ในขณะที่อภิวัฒน์เก่งทุกอย่าง แต่เธอทำได้เพียงครึ่งๆ กลางๆ จะว่าดีก็ไม่ใช่ แย่ก็ไม่เชิง เหมือนกับเป็ดที่ว่ายน้ำได้ บินก็ได้ ดำนำก็ได้ แต่ไม่เก่งสุดๆ สักทาง

‘พี่ก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นสักหน่อย ได้แค่สามจุดแปดเอง’ อภิวัฒน์ที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเร็วๆ นี้บอกพร้อมยิ้มกวนๆ วันนี้เป็นวันหยุด เขาจึงมาติววิชาภาษาอังกฤษให้เธอที่บ้านตั้งแต่เช้า

‘แหม...’ เธออยากจะแหมให้ยาวไปถึงดาวอังคาร

เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ‘หมั่นไส้พี่ขนาดนั้นเลย?’

‘ก็ดูพี่อาร์ตพูดสิ ได้แค่สามจุดแปดเอง ใช้คำว่า ‘แค่’ เหรอ เกรงใจคนได้ ‘ตั้ง’ สองจุดเก้าแบบพันช์บ้าง’ บางทีก็เจ็บใจเหมือนกันนะ อีกแค่ศูนย์จุดหนึ่งจะถึงสามอยู่แล้ว แต่มันดันไม่ถึง ถึงใครจะบอกว่าเกรดสองจุดเก้ากับสามไม่เห็นต่างกันตรงไหน แต่สำหรับพิตาภาแล้วมันต่างมาก เพราะมีเลขสามนำหน้ายังไงก็ดีกว่าสอง

แต่ถึงยังไงเกรดสองจุดเก้าที่ได้มานั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณติวเตอร์คนเก่งอย่างอภิวัฒน์ที่ติวให้เกือบทุกวิชา จากคนที่เกรดเฉลี่ยอยู่สองกลางๆ เลยขยับขึ้นมาอีกนิดจนพอจะเชิดหน้าชูตาได้

‘ก็เพราะเกรงใจนี่แหละเลยเรียนให้ได้แค่สามจุดแปดพอ’ เขายิ้มทะเล้น

‘เชอะ!’ เธอสะบัดหน้าใส่คนขี้คุย

‘อยากได้เกรดสูงๆ แบบพี่ไหมล่ะ’

‘อยากได้สิคะ มีวิธีเร็วๆ ไหม’ ดวงตากลมโตของเด็กสาวเป็นประกายแพรวพราว

‘ไม่มีหรอก อยู่ที่ความตั้งใจของเราเองนี่แหละ’

‘พันช์ก็ตั้งใจแล้วนะ แต่มันไม่ได้สักทีอ้ะ’ พิตาภาโอดครวญแล้วถอนหายใจอย่างปลงๆ

‘เพราะพันช์ไม่มีแรงจูงใจไง การที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จได้ต้องมีเป้าหมายว่าเราทำไปเพื่อใคร หรือเพื่ออะไร’

‘แล้วแรงจูงใจของพี่อาร์ตคืออะไรคะ ทำไมต้องเรียนให้เก่ง ทำไมต้องเล่นกีฬา เล่นดนตรีเก่ง ทำไมทำอะไรเก่งทุกอย่าง ทำไมอยากเป็นหมอ ทำไมต้องเป็นคนที่เพอร์เฟกต์ขนาดนี้ด้วย!’ เจ้าของใบหน้าใสรัวคำถามอย่างอยากรู้จริงจัง

‘พี่อยากให้แม่รักแล้วก็ภูมิใจ’ แววตาคู่นั้นมีความมุ่งมั่นฉายชัด ริมฝีปากหยักลึกระบายยิ้มบางๆ ความจริงตอน ม.ต้น เขาวางแผนจะเรียนต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่พอขึ้น ม.ปลาย ก็เปลี่ยนใจจะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์แทน

‘แล้วก็อยากเป็นขวัญใจของสาวๆ ในโรงเรียนด้วยใช่ม้า’ เธอยิ้มแซว

‘เปล่า พี่ทำทุกอย่างก็เพื่อแม่จริงๆ ไม่ได้คิดว่าสาวๆ จะมาชอบพี่ขนาดนี้เลย’

‘แค่นี้ป้าทิพก็หน้าบานไปถึงไหนต่อไหนแล้วค่า นี่ถ้าพี่อาร์ตสอบแพทย์ติดนะ ท่านคงจะยิ้มไม่หุบไปหลายวัน’ ขนาดเธอยังภูมิใจในตัวเขาเลย แล้วแม่ของอภิวัฒน์จะปลาบปลื้มขนาดไหนที่ลูกชายเป็นเด็กเรียนดี กีฬาเด่น เน้นกิจกรรม สมกับคำขวัญของโรงเรียนมัธยมที่เธอกับเขาเรียนอยู่ ซึ่งไม่ใช่นักเรียนทุกคนจะเป็นอย่างนั้น เพราะสำหรับพิตาภาแล้วคงต้องบอกว่าเรียนไม่ดี กีฬาก็ไม่เด่น แถมงดเว้นกิจกรรมอีกต่างหาก

แต่ตอนนี้เธอพยายามเข้าร่วมกิจกรรมให้มากขึ้นนะ อย่างตอน ม. สอง ก็ไปสมัครเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของสีฟ้าในงานกีฬาสี ผลเป็นยังไงคงไม่ต้องเดา ใช่แล้ว เธอตกรอบตามระเบียบ แต่อภิวัฒน์ทั้งปลอบทั้งกดดันให้ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง พิตาภาก็หวังว่าปีนี้จะได้เป็นหลีดสมใจ

‘หวังว่านะ’ ดวงตาสีเข้มหม่นหมองลงเล็กน้อย แม้ใบหน้าจะยิ้ม

‘ทำไมพูดอย่างงั้นล่ะคะ’

‘ก็...แม่พี่อาจจะยินดีกับคนอื่นมากกว่า’ น้ำเสียงของเด็กหนุ่มมีกระแสของความน้อยใจ

‘พี่อาร์ตหมายถึงนายพอร์ชอะไรนั่นน่ะเหรอ’

‘จะใครล่ะถ้าไม่ใช่มัน’ นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกายแข็งกร้าว

‘แต่พี่อาร์ตเป็นลูกชายแท้ๆ ของป้าทิพนะคะ ป้าทิพต้องยินดีกับพี่อาร์ตมากกว่าอยู่แล้ว แล้วอิตาพอร์ชนั่นจะสอบหมอติดหรือเปล่าก็ไม่รู้ พันช์ว่ามันขี้โม้จะตาย สู้พี่อาร์ตไม่ได้หรอก’ พิตาภามองเขาอย่างให้กำลังใจ

‘สู้ได้ไม่ได้ แต่แม่พี่ก็แต่งงานกับพ่อมันแล้ว’

พ่อแม่ของอภิวัฒน์หย่ากันตั้งแต่ตอนชายหนุ่มเรียนอยู่ชั้น ป. 3 เพราะพ่อของเขามีผู้หญิงคนอื่น หนำซ้ำฝ่ายนั้นก็กำลังตั้งครรภ์ พ่อจึงเลือกทิ้งแม่ไปสร้างครอบครัวใหม่กับผู้หญิงคนนั้น

แม่ของเขาไม่ได้เปิดใจให้ใคร ท่านตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างหนักเพื่อจะลืมความเจ็บปวด จนไม่ค่อยมีเวลาให้เขา หลังกลับจากโรงเรียน อภิวัฒน์มักจะพบเพียงความเงียบภายในบ้านจนชินชา กว่าแม่จะเลิกงานก็ดึก แถมท่านยังต้องบินไปต่างประเทศเพื่อเจรจาธุรกิจบ่อยๆ แต่เขาก็มีพิตาภาอยู่ข้างๆ ตลอด ทำให้ไม่เหงาเกินไปนัก ถ้าวันไหนเธอว่าง เขาก็จะชวนไปกินอะไรอร่อยๆ กัน บางครั้งเขาก็ขอแม่มานอนค้างที่บ้านของพิตาภา เพราะกลับไปที่บ้านก็ไม่มีใครให้คุยด้วย

กระทั่งตอนอภิวัฒน์ขึ้น ม. 1 แม่ของเขาซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ก็มีโอกาสได้รู้จักกับนายแพทย์วิเชียร ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่งานสัมมนาสุขภาพ ทั้งสองพูดคุยกันมาเรื่อยๆ เกือบปี จนวันหนึ่งแม่ก็เดินเข้ามาบอกอภิวัฒน์ว่ากำลังคบหากับชายวัยกลางคนซึ่งเป็นพ่อม่ายลูกติดเช่นกัน ก่อนจะพานายแพทย์วิเชียรและพิธานผู้เป็นลูกชายของฝ่ายนั้นซึ่งอายุเท่าเขามาแนะนำให้รู้จัก

หนึ่งปีหลังจากนั้นแม่กับนายแพทย์วิเชียรก็แต่งงานกัน แล้วท่านก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านของชายวัยกลางคน แม่ไม่บังคับว่าเขาต้องไปอยู่ด้วยกัน เพราะเขาก็อายุสิบห้าปีแล้ว ถือว่าโตพอจะรับผิดชอบตัวเองได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ท่านก็อยากให้ย้ายไปที่นั่น เพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน แน่นอนว่าอภิวัฒน์ปฏิเสธโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

 

‘แน่ใจเหรอว่าอยู่คนเดียวได้’ ทิพวรรณมองลูกชายหัวดื้อด้วยความเหนื่อยใจ

‘ได้ครับ ผมโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เพื่อนผมหลายคนมาจากต่างจังหวัดเค้าก็เช่าหอพักอยู่กันเอง ไม่ต้องมีพ่อแม่คอยดูแลก็ได้’ เรื่องอะไรเขาต้องไปอยู่กับคนที่มาแย่งความรักของแม่ไปจากเขาด้วย เขาจะไม่มีวันยอมรับนายแพทย์วิเชียรเป็นพ่อ และยอมรับไอ้พิธานเป็นพี่น้องเด็ดขาด!

‘ตามใจ แต่ถ้าจะเปลี่ยนใจทีหลังก็บอกแม่แล้วกัน พ่อเชียรกับพอร์ชเขาพร้อมต้อนรับอาร์ตเสมอ’ เธอเอ่ยเสียงอารี แม้รู้ว่าลูกโตพอจะอยู่คนเดียวได้แล้ว แต่คนเป็นแม่ยังไงก็ยังห่วงอยู่ดี

‘ฝากขอบคุณลุงเชียรกับพอร์ชด้วยแล้วกันครับ แต่ยังไงผมก็คงไม่เปลี่ยนใจ’ และเขาก็รู้ว่าแม่คงไม่เปลี่ยนใจกลับมาอยู่บ้านตัวเองด้วยเหมือนกัน แม้ว่าเขาอยากให้เป็นอย่างนั้น

‘โอเค ในเมื่ออาร์ตตัดสินใจอย่างนั้น แม่ก็จะไม่บังคับ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรรีบบอกแม่นะ’ แม้เธอจะแต่งงานใหม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่รักลูกแล้ว ทิพวรรณยังพร้อมช่วยเหลือลูกเสมอหากเขาต้องการ

‘ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่บ้านก็ยังมีป้าหน่อย ลุงทอง กับพี่แหววอยู่ ถ้ามีปัญหาพวกเขาน่าจะช่วยผมได้มากกว่าคนอยู่คนละบ้าน’

‘อาร์ตกำลังประชดแม่อยู่ใช่ไหม’

‘ผมไม่ได้ประชดนะครับ ปกติเราควรจะขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวที่สุดก่อนจะไปรบกวนคนอื่นไม่ใช่เหรอครับ ซึ่งคนที่บ้านนี้ก็มีแค่ป้าหน่อย ลุงทอง และพี่แหวว คุณแม่เอาเวลาไปใส่ใจลุงเชียรกับพอร์ชดีกว่าครับ’ เขาไม่มีคุณค่าพอให้แม่มาเสียเวลาด้วยหรอก

ทิพวรรณผ่อนลมหายใจช้าๆ อย่างกลัดกลุ้ม ในขณะที่ลูกชายของนายแพทย์วิเชียรยินดีกับการแต่งงานของพ่อและเข้ากับเธอได้เป็นอย่างดี แต่อภิวัฒน์กลับไม่ยอมรับอะไรเลย เธอไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้อภิวัฒน์เลิกต่อต้าน ได้แต่หวังว่าเวลาจะทำให้เขาเข้าใจเธอ

 

บ้านหลังใหญ่เงียบลงกว่าเดิมเมื่อแม่ย้ายออกไป อภิวัฒน์ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวตั้งแต่นั้น เขาจะพบกับแม่ในวันหยุดหากท่านไม่มีธุระอื่น ส่วนวันธรรมดาถ้าอยากเจอก็ต้องไปที่บ้านของนายแพทย์วิเชียร ซึ่งถ้าไม่จำเป็นอภิวัฒน์ก็จะไม่ไปที่นั่น

แม้ทั้งพ่อและแม่จะแยกทางกัน และต่างคนก็ต่างไปมีครอบครัวใหม่ แต่อภิวัฒน์ก็ไม่ได้ประชดชีวิตด้วยการทำตัวเกเร ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มพยายามทำตัวเป็นลูกที่ดี เขาตั้งใจทำทุกอย่างให้เพอร์เฟกต์ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรียนหนังสือ เล่นดนตรี เล่นกีฬา และอื่นๆ เพราะอยากให้แม่รักและภูมิใจ

สาวๆ แทบทุกคนในโรงเรียนคลั่งไคล้อภิวัฒน์เป็นอย่างมาก เพราะเขาทั้งหล่อและเก่งรอบด้าน ซึ่งเด็กหนุ่มก็มีความสุขที่ได้รับความรักและความชื่นชมจากพวกเธอมาเติมเต็มหัวใจที่ขาดความรักความอบอุ่น แต่คนที่เขาอยากให้รักมากที่สุดก็คือแม่ และเหตุผลที่ทำให้อภิวัฒน์ตัดสินใจจะสอบเข้าคณะแพทย์ก็เพราะรู้ว่าพิธานวางแผนจะสอบคณะนั้น

เขาอยากให้แม่รู้ว่าเขาก็ทำได้เหมือนลูกชายคนใหม่ของท่าน!

‘แต่พันช์เชื่อว่าป้าทิพยังรักพี่อาร์ตอยู่เหมือนเดิมน้า’ เสียงของพิตาภาดึงให้อภิวัฒน์หลุดจากความคิด

‘ขอบคุณที่ปลอบใจพี่ แต่พี่รู้ว่าแม่รักไอ้พอร์ชมากกว่าพี่ คอยดูแล้วกันว่าวันที่ประกาศผลสอบเข้ามหา’ลัย แม่จะดีใจกับใครมากกว่า’ ความน้อยใจก่อตัวขึ้นอย่างมหาศาลในใจเด็กหนุ่ม แม้วันนั้นจะยังไม่มาถึงก็ตาม

เย็นนี้เขา พิตาภา และแม่ของเธอจะต้องไปงานวันเกิดของพิธาน ซึ่งจัดขึ้นที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา บอกตรงๆ ว่าเขาไม่อยากไปเลย เพราะไม่ชอบหน้าไอ้พิธานกับพ่อของมันที่สุด

‘คนอะไรใจน้อยจัง หัวก็ไม่ได้ล้านสักหน่อย’ พิตาภาแซว หวังว่าจะทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้น

‘ถ้าพันช์เป็นพี่ก็ต้องรู้สึกเหมือนกัน โชคดีนะที่น้าแขไม่แต่งงานใหม่ เลยไม่มีใครมาแย่งความรักของน้าแขไปจากพันช์’

‘ถ้าใครมาแย่งก็ลองดู พันช์ไม่ยอมให้แม่รักคนอื่นมากกว่าพันช์แน่ๆ’ เด็กสาวเอ่ยเสียงเหี้ยม

‘ขอให้น้าแขอย่าเป็นเหมือนแม่พี่นะ’ อภิวัฒน์ยิ้มเศร้า

‘สาธุ!” พิตาภาว่าพลางพนมมือ “ว่าแต่...มีสาวๆ ในโรงเรียนกรี๊ดพี่อาร์ตเยอะแยะ ทำไมไม่เห็นพี่อาร์ตเป็นแฟนกับใครเลยล่ะคะ’ เด็กสาวเปลี่ยนประเด็นเพราะไม่อยากให้เขาหดหู่

‘ทำไม อยากให้พี่มีแฟนเหรอ’ อีกฝ่ายสบตาเธอนิ่งๆ

ดวงตากลมโตหลุบต่ำเพราะเกิดอาการประหม่าขึ้นมากะทันหัน

‘เปล่า...แต่วันวาเลนไทน์ทีไรเห็นสาวๆ เอาดอกไม้เอาช็อกโกแลตมาให้พี่อาร์ตเพียบ เลยสงสัยว่าไม่สนใจใครเลยเหรอคะ จริงๆ ไม่เฉพาะวาเลนไทน์หรอก เวลาแข่งกีฬาสีหรือมีกิจกรรมในโรงเรียน ก็มีสาวๆ กรี๊ดพี่อาร์ตตลอด’ รวมทั้งเธอด้วยที่แอบกรี๊ดเขาอยู่เงียบๆ เพราะไม่กล้าไปแข่งกับคนอื่นที่หน้าตาสวยกว่า เก่งกว่า และดีกว่าหลายเท่า

ถ้าเปรียบเทียบแบบน้ำเน่าหน่อยก็ประมาณว่าอภิวัฒน์เป็นเจ้าชาย สาวๆ ที่รุมล้อมเขาคือหงส์ ส่วนเธอเป็นลูกเป็ดตัวผอมๆ ขนก็ไม่สวย ไม่มีอะไรคู่ควรกับเจ้าชายเลย แต่ถึงจะไม่ได้สวยและเก่งมาตั้งแต่เกิด พิตาภาก็พยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเพื่อตามอภิวัฒน์ให้ทันอีกสามปีข้างหน้าเมื่อเรียนจบมัธยมปลายแล้ว เธอวางแผนว่าจะสอบเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดียวกับชายหนุ่ม แน่นอนว่าความรู้ของเธอคงไม่ถึงขั้นเรียนคณะแพทย์ แต่เป็นคณะที่พิตาภาคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ดี นั่นก็คือคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาการตลาดนั่นเอง

‘พี่ยังไม่คิดจะมีแฟน ตอนนี้แค่อ่านหนังสือเตรียมสอบก็ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว’ อภิวัฒน์ชอบที่จะยืนอยู่ตรงกลางสปอตไลต์ เป็นที่สนใจของทุกคนต่อไปแบบนี้มากกว่า เพราะเมื่อผูกมัดกับใครสักคนแล้วก็เท่ากับว่าเราพร้อมที่จะเสียใจหากอนาคตความรักไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่เขายังไม่พร้อมจะรับความเจ็บปวด ถ้าเกิดว่าความรักล้มเหลวเหมือนพ่อกับแม่

‘อ้าว แล้วแบบนี้พันช์รบกวนเวลาอ่านหนังสือของพี่อาร์ตหรือเปล่าคะ’ ถ้าเขาสอบเรียนต่อแพทย์ไม่สำเร็จเพราะมัวแต่มาติวหนังสือให้เธอ เธอก็คงรู้สึกผิดมาก

‘ไม่หรอก พี่ติวให้พันช์ก็เหมือนได้ทบทวนเนื้อหาที่พี่อาจจะลืมไปแล้วด้วย’ อภิวัฒน์ยิ้มอย่างยินดี

‘จริงเหรอคะ’ เด็กสาวยังคงไม่มั่นใจนักว่าเธอไม่ได้รบกวนเขาจริงๆ

‘อืม ไม่ต้องคิดมากหรอก เวลาที่พี่มีปัญหาหรือเจออะไรแย่ๆ พันช์ยังอยู่ข้างพี่ คอยเป็นกำลังใจให้พี่ได้ เวลาน้องต้องการความช่วยเหลือ ทำไมพี่จะช่วยไม่ได้ล่ะ มาเรียนต่อกันได้แล้ว มัวแต่ชวนพี่คุยนอกเรื่องอยู่นั่นแหละไอ้เป็ด’ มือหนายื่นมาขยี้หัวเธอจนผมยุ่งไปหมด

‘โอ๊ย! ไอ้พี่อาร์ต เดี๋ยวขยี้คืนเลย’ คนตัวเล็กทำหน้ายู่และใช้มือสางผมให้เรียบร้อย

‘โบราณว่าผู้หญิงห้ามเล่นหัวผู้ชาย มันไม่ดี’ เขายังทำหน้าทะเล้นได้อีก

‘ทำไมคนโบราณไม่ยุติธรรมเลย’ เด็กสาวหน้ามุ่ยไม่หาย

‘หยุดบ่น แล้วมาดูนี่ต่อ Present Perfect Tense’ อภิวัฒน์อธิบายวิธีการใช้ Tense นั้นอย่างละเอียด ก่อนจะถามนักเรียนของเขา ‘มีคำถามไหม’

‘คิดว่าไม่มีนะคะ’

‘คิดว่าไม่ได้ ต้องมั่นใจว่าไม่มีจริงๆ สงสัยตรงไหนถามมา พี่จะได้อธิบายอีกที’

‘เข้าใจจริงๆ ค่ะ’ พิตาภายืนยัน แต่ท่าทางติวเตอร์ของเธอจะไม่ยอมเชื่อง่ายๆ

‘งั้นลองอธิบายมาว่าเราใช้ Present Perfect Tense ตอนไหน’

‘ก็...ใช้ตอนจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินมาจนถึงปัจจุบันค่ะ อย่างเช่น I have studied English with tutor P’Art since 8 am. ฉันเรียนภาษาอังกฤษกับติวเตอร์พี่อาร์ตมาตั้งแต่แปดโมงแล้ว’ เด็กสาวบอกเสียงดังฟังชัด

‘ก็ใช้ถูกนี่นา’ เขายิ้มกว้างอย่างภูมิใจในตัวเธอ

‘บอกแล้วว่าพันช์เข้าใจ’ เธอยิ้มแฉ่งแข่งกับแสงตะวัน

‘ดีแล้ว พี่พูดจนคอแห้ง ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะว่ายังไง’

‘แหม...ถึงพันช์จะไม่ฉลาดเหมือนพี่อาร์ต แต่ก็ไม่ได้สมองเท่าเมล็ดถั่วเขียวนะคะ ถึงจะจำอะไรไม่ได้เลย’

‘พี่ไม่ได้พูดสักคำว่าพันช์เป็นอย่างนั้น’ อภิวัฒน์ขำคำเปรียบเทียบของเธอ

‘สายตาของคุณพี่มันบอกค่ะ แต่ว่าตอนนี้จะเที่ยงแล้ว ไปหาไรกินกันดีกว่า’ พิตาภาชวนเพราะท้องเริ่มหิว

‘กินไรดี’ รอยยิ้มยังคงแตะแต้มอยู่บนริมฝีปากหยักลึกของคนพูด

‘พี่อาร์ตอยากกินไร พันช์กินได้หมดแหละ’

‘งั้นไปกินร้านป้าช้อยกัน’ นั่นคือร้านประจำของเขาและเธอ

‘โอเคค่ะ’

 

ที่ร้านอาหารตามสั่งของป้าช้อยมีลูกค้ามาอุดหนุนอย่างเนืองแน่น พิตาภาและอภิวัฒน์เดินไปนั่งโต๊ะต่อจากลูกค้าอีกกลุ่มที่เพิ่งกินเสร็จ เพราะไม่มีโต๊ะว่างเลย ก่อนจะสั่งกะเพราทะเลราดข้าวพิเศษเพิ่มไข่ดาวคนละจาน รอประมาณสิบห้านาที อาหารร้อนๆ หอมฉุยก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ

พิตาภาเขี่ยพริกออกก่อนเป็นลำดับแรก ส่วนอภิวัฒน์เริ่มกินไปหลายคำแล้ว

‘ขอนะ’ พูดจบเขาก็ตักพริกบนขอบจานของเธอไป

‘เอาไปเลยค่ะ’ เด็กสาวบอกอย่างเต็มใจ เพราะมีคนช่วยกำจัดยังดีกว่าทิ้งไปเฉยๆ

‘มีอะไรไม่กินอีก ตักมาใส่จานพี่เลยก็ได้’

‘ไม่มีแล้วค่ะ ไม่กินแค่พริก นอกนั้นกินหมด’ เมื่อเขี่ยพริกออกหมดแล้ว เธอก็เริ่มกินบ้าง

แม้กะเพราทะเลรวมจะมีทั้งปลาหมึกและกุ้ง แต่พิตาภาสังเกตว่าทุกครั้งที่มากินด้วยกันอภิวัฒน์จะเลือกกินแต่ปลาหมึกก่อน และเขี่ยกุ้งไปรวมกันไว้มุมหนึ่งของจาน พอปลาหมึกหมด เขาก็จัดการกับไข่ดาวต่อ และยังคงไม่สนใจกุ้งเหมือนเดิม

‘กุ้งไม่กินใช่ไหมคะ’ เด็กสาวยื่นส้อมจะไปจิ้ม แต่เขาขยับจานหนีทันที

‘ใครบอก ห้ามยุ่งเลย’ อีกฝ่ายทำหน้าเข้ม

‘ก็ไม่เห็นกินสักทีนี่นา’ แม้รู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวจะกินกุ้งเป็นอย่างสุดท้าย แต่พิตาภาก็อยากแกล้งเล่น

‘กินสิ แต่เอาไว้กินหลังสุด’ คนหวงกุ้งบอก

‘ทำไมไม่กินไปพร้อมๆ กันเลย’ เวลาเธอกินก็ไม่เห็นต้องเลือกสักหน่อยว่าต้องกินอะไรก่อนหลัง

‘ก็กุ้งมันอร่อยสุด ต้องเก็บไว้สุดท้าย’

‘แล้วทำไมไม่สั่งกะเพรากุ้งไปเลยล่ะคะ จะได้กินแต่ของที่ตัวเองชอบ’

‘ปลาหมึกมันก็อร่อยเหมือนกัน’ แต่ถ้าต้องเลือกกินอย่างเดียวจริงๆ เขาก็จะเลือกกุ้งแน่นอน ‘ก็เหมือนพันช์นั่นแหละ ไม่ชอบกินพริก ทำไมไม่สั่งว่าไม่ใส่พริก’

‘ไม่ชอบก็จริง แต่กะเพรามันต้องเผ็ดนิดๆ’

‘เผ็ดภาษาอังกฤษว่าไงนะ’ อยู่ๆ เขาก็ดึงไปเรื่องเรียนภาษาอังกฤษ

‘นี่เวลากินข้าวนะคะติวเตอร์อาร์ต ขอน้องพักสมองบ้างเถอะ’

‘เฮ้ย มันต้องใช้ในชีวิตประจำวันแบบนี้แหละ จะได้จำได้’

‘Spicy ค่า’ พิตาภาตอบเสียงยานคาง ก่อนจะโดนถามต่ออีกหลายคำ

 

ประมาณบ่ายสี่โมงแสงแขก็เดินเข้ามาหาเด็กๆ ทั้งสองคน ซึ่งหลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จก็พากันหลบแดดร้อนตอนบ่ายเข้ามาติวหนังสือต่อในห้องนั่งเล่น

‘อ้าว ยายพันช์ไปไหนแล้วล่ะจ๊ะ’ หญิงวัยต้นสี่สิบถามเมื่อไม่เห็นลูกสาว

‘ไปห้องน้ำครับ’

‘นึกว่าหนีติวเตอร์ไปแล้ว’ แสงแขเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู

‘ผมไม่ยอมให้หนีหรอกครับ’ อภิวัฒน์ยิ้มกว้าง

‘ดีจ้ะ ช่วยดูแลน้องให้น้าหน่อยนะ ให้เก่งได้สักครึ่งนึงของอาร์ตก็ยังดี’ เธอดีใจมากที่ลูกสาวสนิทกับอภิวัฒน์ เพราะเด็กหนุ่มไม่เคยพาพิตาภาออกนอกลู่นอกทางเลย แถมยังช่วยติวหนังสือให้ด้วย

‘ได้ครับ ถ้าพันช์ขี้เกียจ เดี๋ยวผมจัดการเลย’ เจ้าตัวเอ่ยเสียงเข้ม

แสงแขพยักหน้าพลางยิ้ม ‘น้าอนุญาตให้จัดการตามสมควรเลยจ้ะ อ้อ เดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วโมงเราต้องไปกันแล้วนะ อาร์ตบอกพันช์เตรียมตัวด้วยนะลูก’

‘ผมไม่ไปได้ไหมครับน้าแข’ สีหน้าของอภิวัฒน์ค่อนข้างเย็นชา

‘ไม่ได้ ทิพบอกว่าให้น้าพาอาร์ตไปด้วยจ้ะ’

‘ผมไม่ชอบคนพวกนั้น’ เด็กหนุ่มบอกอย่างตรงไปตรงมา

ดวงตาของผู้อาวุโสวัยกว่าฉายแววอาทร ‘อาร์ต... น้าเข้าใจนะว่าอาร์ตรู้สึกยังไง เราอาจจะโกรธ น้อยใจ เสียใจที่แม่แต่งงานใหม่ แต่อาร์ตอย่าลืมนะว่านอกจากดูแลอาร์ตแล้ว แม่ของอาร์ตก็ต้องการคนมาดูแลเค้าเหมือนกัน’

‘แต่ผมก็ดูแลแม่ได้นะครับ’ อภิวัฒน์แย้ง

‘น้าไม่ปฏิเสธว่าอาร์ตดูแลแม่ได้ แต่มันคนละแบบกัน นอกจากความรักความห่วงใยของลูกแล้ว ทิพก็ต้องการคนมาดูแลหัวใจเหมือนกัน และทางนั้นเค้าก็เป็นคนดี มีหน้าที่การงานมั่นคง พร้อมจะดูแลแม่ของเรา ตั้งแต่พ่อของอาร์ตแต่งงานใหม่ ทิพก็ไม่เคยมีใครอีกเลย ทิพบอกน้าว่าเข็ดกับความรักแล้ว แต่สุดท้ายก็มีคนมาทำให้ใจอ่อนจนได้ นี่แสดงว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ น้าว่าเค้าต้องรักอาร์ตเหมือนที่รักทิพได้แน่นอน ขอแค่อาร์ตเปิดใจยอมรับเค้าเท่านั้น’ แสงแขโน้มน้าวอย่างใจเย็น

‘ถ้าผมจะเปิดใจ ผมเปิดใจตั้งแต่ตอนแม่แต่งงานกับเค้าแล้วครับ ไม่รอให้ผ่านมานานขนาดนี้หรอก’ ไม่ว่ายังไงเขาก็ยอมรับคนพวกนั้นไม่ได้จริงๆ

‘น้าอยากให้อาร์ตลองให้โอกาสเค้าดูก่อนนะ แล้วผลจะเป็นยังไงค่อยว่ากันอีกที’ นี่เป็นสิ่งที่เธอบอกเด็กหนุ่มทุกครั้งที่คุยกันเรื่องนี้

อภิวัฒน์ไม่ตอบ แววตายังคงเต็มไปด้วยทิฐิ

‘ว่าไง ถ้าอาร์ตรักแม่ก็ต้องให้โอกาสคนที่แม่ของเรารักนะจ๊ะ’ แสงแขถามเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป

‘คุยอะไรกันอยู่ค้า’ เสียงใสของพิตาภาดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาในห้องรับแขก

อภิวัฒน์โล่งใจที่เธอมาพอดี เพราะน้าแสงแขจะได้ไม่คาดคั้นเขาต่อ

‘คุยเรื่องไปงานวันเกิดพอร์ชเย็นนี้จ้ะ’ แสงแขหันไปยิ้มให้ลูกสาว

‘ร้านที่เราจะไปอร่อยหรือเปล่าคะ ไม่ใช่ว่าหรูอย่างเดียวนะ’

‘ห่วงแต่เรื่องอร่อยไม่อร่อยนะเรา’ หญิงวัยต้นสี่สิบส่ายหน้าไปมาพลางขำ

‘แน่นอนค่ะ ถ้าไม่อร่อย พันช์กับพี่อาร์ตไม่ไปนะคะ จริงไหมคะพี่อาร์ต’ พิตาภาหันไปถามคนที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่

‘อือ’ เขาตอบห้วนๆ

เธอมองอภิวัฒน์อย่างห่วงใย เพราะเมื่อครู่ได้ยินที่เขากับแม่คุยหมดแล้ว ‘เราต้องออกจากบ้านกี่โมงคะคุณแม่’

‘อีกชั่วโมงนึงจ้ะ ตอนนี้ติวหนังสือกันไปก่อนก็ได้’

‘โอเคค่ะ’ พิตาภารับคำเสียงใส

‘งั้นแม่ไปก่อนนะจ๊ะ’ แสงแขพูดจบจึงเดินออกมาจากห้องรับแขกพลางถอนหายใจเบาๆ เธอหวังอย่างยิ่งว่าเด็กหนุ่มจะเก็บคำพูดของเธอไปทบทวน และลบอคติออกจากหัวใจได้ในไม่ช้า

 

‘เมื่อกี้พันช์ได้ยินที่แม่คุยกับพี่อาร์ตแล้ว เราไม่ต้องไปก็ได้นะคะ พี่อาร์ตว่าไง พันช์ก็ว่าตามกัน’ พิตาภาเอ่ยขึ้นหลังจากที่แม่เดินออกไปพักหนึ่งแล้ว เธอพร้อมจะอยู่ข้างอภิวัฒน์เต็มที่ ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจยังไงก็ตาม

‘ถ้าไม่ไป แม่พี่อาจจะไม่พอใจ’ ใบหน้าคมคายซึมเซา

‘แต่ถ้าไป พี่อาร์ตก็จะไม่สบายใจนะคะ’

‘ไม่เป็นไร’ ดวงตาสีเข้มหม่นแสง

‘งั้นพันช์ก็จะไปเป็นเพื่อนพี่อาร์ต แล้วเราก็แอบวางยาถ่ายในแก้วน้ำนายพอร์ชดีไหมคะ’ ดวงตากลมโตฉายแววซุกซน

แผนการชั่วร้ายของสาวน้อยทำเอาอภิวัฒน์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ‘ดูละครมากไปหรือเปล่าเนี่ย’

‘อ้าว ไม่ดีเหรอคะ แกล้งให้นายนั่นท้องเสียเล่นเพื่อความสะใจ!’ พิตาภาเกลียดพิธานไม่แพ้กัน ทั้งที่ฝ่ายนั้นไม่ได้ทำอะไรให้เธอ แต่ทำไมจะเกลียดไม่ได้ล่ะ ก็นายนั่นมาแย่งความรักของป้าทิพไปจากพี่อาร์ตของเธอนี่

‘ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ามันได้รับคะแนนสงสารจากแม่พี่มากกว่าเดิม แม่ง โคตรเกลียด ต่อหน้าแม่พี่มันทำเป็นอ่อนน้อม แต่เวลาอยู่กับพี่มันโคตรโม้แล้วก็โคตรกวนตีนเลย ถ้าไม่เกรงใจแม่ พี่ชกมันไปนานแล้ว’ อภิวัฒน์กำหมัดและเอ่ยอย่างเคืองแค้น

‘ใจเย็นค่าคุณพี่ เพิ่งปรามน้องไปหยกๆ นี่ตัวเองจะใช้กำลังเลยนะคะ’ เด็กสาวแอบขำเบาๆ

‘พี่ไม่ได้ทำเว้ย แค่คิดเฉยๆ’

‘ดีแล้วค่ะ ปล่อยให้กฎแห่งกรรมจัดการกับมันไป! เราอย่าลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับคนพรรค์นั้นเลยค่ะ’ พิตาภาพูดไปเบ้ปากไป

อภิวัฒน์หัวเราะก๊ากเพราะท่าทางโอเวอร์แอกติงของคนตัวเล็ก ‘นี่ๆ พี่ว่าเราควรจะงดดูละครน้ำเน่าสักสามเดือนนะ อินเนอร์นางร้ายชัดๆ’

‘ใช่ค่ะ พันช์เป็นนางร้าย ไม่ใช่นางเอก’ เด็กสาวสะบัดหน้าและยักไหล่ อภิวัฒน์คงไม่รู้ว่าที่เธอทำอยู่ตอนนี้ก็เพื่อให้เขาอารมณ์ดีนั่นละ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น