9
น้องหรือแฟน
“ใช่ครับ นี่แฟนพี่เอง” หมอหนุ่มบอกเสียงหนักแน่นโดยไม่ปรึกษาพิตาภา แต่ก็หวังว่าหญิงสาวจะเข้าใจเหตุผลที่เขาต้องพูดแบบนี้
“อ้อ” รินลดาแบะปากเล็กน้อยก่อนหันไปมอง ‘แฟนใหม่’ ของอดีตคู่ควง “อย่าหวังอะไรมากนะคะพี่ พี่หมอเค้าไม่จริงจังกับใครหรอก แค่ควงเล่นสนุกๆ เท่านั้นแหละ เดี๋ยวพอพี่หมอเบื่อ พี่ก็จะโดนทิ้งเหมือนหนู”
“...” พิตาภาไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
รินลดาหัวเราะคิก “พูดไม่ออกเลยเหรอคะ สงสัยหนูจะพูดตรงไปหน่อย”
“ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว พี่ขอใช้เวลาส่วนตัวกับแฟนนะครับ” อภิวัฒน์บอกเสียงเย็นเยียบ นัยน์ตาคมไม่เหลือเยื่อใยให้สาวน้อยอีกต่อไป
เจ้าหล่อนหน้าตึงขึ้นเล็กน้อย มือเล็กกำแน่นอย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ร้อนกรุ่น
“เชิญครับ” เขาผายมือและเอ่ยเสียงสุภาพ
รินลดามองชายหนุ่มด้วยแววตาเคืองขุ่น “เชิญตามสบายค่ะ เรนโบว์ก็ไม่ได้อยากเสียเวลากับพี่หมอเหมือนกัน แค่เข้ามาทักทายตามประสาคนเคยรู้จัก และตอนนี้เรนโบว์ก็มีแฟนใหม่แล้วด้วย!” หญิงสาวกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจ แล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง
“ท่าทางน้องเรนโบว์จะแค้นพี่อาร์ตมากนะคะ” พิตาภาทำหน้าหวาดหวั่นแทน
“เฮ้อ” นายแพทย์หนุ่มพรูลมหายใจยาว
“ไม่มีอะไรจะพูด?”
“เรื่องของพี่กับน้องเรนโบว์มันจบไปตั้งหลายเดือนแล้ว อย่าไปพูดถึงอีกเลย” คนตัวโตเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้และถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ้อ...”
“อะไรคะ”
“เมื่อกี้...” เสียงทุ้มแผ่วเบาลง
“คะ?” ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นมาอีกรอบเพราะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
วินาทีที่อภิวัฒน์บอกว่าเธอเป็นแฟนเขา หัวใจดวงน้อยของพิตาภาพองโตคับอก และอดยิ้มอย่างปลาบปลื้มไม่ได้ แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มแค่ใช้เธอเป็นไม้กันหมาเท่านั้น
“ที่พี่บอกว่าพันช์เป็น...” อภิวัฒน์กลายเป็นคนพูดตะกุกตะกักไป ดวงตาคมหลุบต่ำ ไม่กล้าสบตาคนนั่งตรงข้าม “ที่พี่บอกว่าพันช์เป็นแฟนพี่”
“...”
“พี่ขอโทษนะที่พูดออกไปโดยไม่ถามก่อน” ความเงียบของเธอทำให้เขากังวลมากกว่าเดิม
“...”
“พันช์จะด่าพี่ยังไงก็ได้ พี่ยอม แต่พี่ไม่ได้คิดกับพันช์แบบที่พี่บอกน้องเรนโบว์เลยจริงๆ นะ”
‘โธ่เว้ย! พูดไปแล้วก็หงุดหงิดตัวเอง เขาจะไม่คิดได้ยังไงในเมื่อรู้หัวใจตัวเองดี แต่ที่ยังไม่ได้บอกเธอก็เพราะกลัวความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไป’
เมื่อบอกรักแล้ว คำตอบก็มักจะอยู่มีสองอย่าง ไม่สมหวัง ก็ผิดหวัง แต่หากว่าจะต้องผิดหวัง อภิวัฒน์ก็อยากให้วันนั้นมาถึงช้าที่สุด เขายังอยากมีพิตาภาอยู่ในชีวิตแบบนี้ต่อไป
อีกอย่างตอนนี้หญิงสาวก็ยังไม่มีแฟน จะมีก็แต่เขาที่เธอไปไหนมาไหนด้วยบ่อยที่สุด เพราะงั้นเขาก็ยังสบายใจได้ระดับหนึ่งว่าจะไม่มีใครมาแย่งน้องไป
ด้านพิตาภายังคงเงียบ แม้อภิวัฒน์จะเอ่ยไปหลายประโยค สิ่งที่หมอหนุ่มบอกทำให้หัวใจของเธอเหี่ยวแฟบลงราวกับลูกโป่งโดนปล่อยลม ‘พี่อาร์ตไม่ได้คิดอะไรกับเราจริงๆ ด้วย ชัดเจนแล้วนะพันช์’
นัยน์ตาหวานที่สดใสอ่อนแรงลง ความหน่วงหนึบก่อตัวขึ้นมากลางอกจนจุกเจ็บ รู้สึกสงสารตัวเองอย่างบอกไม่ถูกที่แอบรักเขามาได้ตั้งหลายสิบปี โดยที่เขาไม่เคยรักตอบเลยแม้สักวินาที แต่ถึงแม้จะเจ็บแค่ไหน เธอก็ยังพยายามกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มจริงใจ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่อาร์ต พันช์เข้าใจ” กระบอกตาของหญิงสาวร้อนผ่าว รู้สึกหน่วงๆ ที่หัวใจจนอยากจะร้องไห้
“จริงเหรอ” คิ้วหนาเลิกขึ้นเชิงว่าไม่เชื่อ
“จริงสิคะ” พิตาภาพยักหน้าหนักแน่น กัดริมฝีปากเพื่อข่มอารมณ์แสนอ่อนไหวที่แล่นมารวมกันอยู่กลางอก
“เข้าใจว่ายังไง”
“ก็...พี่อาร์ตอยากตัดปัญหา เลยบอกน้องเรนโบว์ว่าพันช์เป็นแฟน เรื่องมันจะได้จบๆ ไป”
ดวงตาคมจับจ้องวงหน้าหวานด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
อภิวัฒน์ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าน้องคิดยังไงกับเขา ที่พิตาภายอมไปนู่นมานี่ด้วยทุกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเพราะเห็นเขาเป็นพี่ชายคนหนึ่ง หรือคิดอะไรมากกว่านั้น
บางทีเขาก็อยากจะถามน้องตรงๆ แต่ตอนนี้ความกลัวมีมากกว่าความกล้า เลยทำได้แค่แอบอิงอยู่ข้างหัวใจเธอเท่านั้น
หญิงสาวขมวดคิ้วเรียวเข้าหากัน “มองหน้าพันช์ทำไมคะ”
บางครั้งดวงตาก็ไม่ใช่หน้าต่างของหัวใจเสมอไปหรอก เพราะหลายครั้งเธอก็เดาไม่ออกว่าอภิวัฒน์กำลังคิดอะไรอยู่
หรือหมอหนุ่มกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอจริงๆ
‘ถ้าเป็นอย่างนั้นก็สบายใจได้นะคะพี่อาร์ต เพราะพันช์ได้ยินชัดเจนแล้วว่าพี่อาร์ตไม่ได้คิดอะไรกับพันช์’
“ไม่มีอะไรจ้ะ” อภิวัฒน์ส่ายหน้าเบาๆ แต่ในแววตายังคงมีความกังวล
บทสนทนาของเขาและเธอหยุดลงเพียงเท่านั้นเมื่อพนักงานของร้านอาหารเกาหลีเดินเข้ามารับออร์เดอร์ พิตาภาจึงสั่งข้าวยำเกาหลีเนื้อให้ตัวเองและชายหนุ่ม
จากนั้นจึงลุกขึ้นและขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำเพื่อทำใจ เพราะตอนนี้หัวใจเปราะบางเต็มทน จนกลัวว่าจะเผลอร้องไห้ต่อหน้าเขา
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำและล็อกประตูเรียบร้อย น้ำตาที่กลั้นมานานก็พรั่งพรูออกมาอย่างเจ็บปวดเพราะความจริงที่เพิ่งได้รับรู้
อภิวัฒน์ไม่รักเธอ ไม่เคยรัก และจะไม่มีวันรัก!
เธอก็ไม่ต่างจากคนที่ฝืนจุดเทียนกลางสายฝนในความมืดมิด โดยหวังว่าแสงสว่างจากเทียนเล่มนั้นจะนำทางไปถึงหัวใจของเขาในที่สุด แม้จะประคับประคองไม่ให้แสงเทียนดับและพาตัวเองเดินมาไกลได้ระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายเทียนก็ถูกฝนสาดซัดจนดับลงอยู่ดี
หญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดปากไม่ให้ใครได้ยินเสียงสะอื้น ปล่อยให้น้ำตารินไหลชะล้างความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ข้างในเกือบห้านาทีจนรู้สึกดีขึ้น มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาออกและบอกตัวเองให้เข้มแข็ง แม้ว่าจริงๆ แล้วหัวใจจะกำลังอ่อนแอมากก็ตาม
อภิวัฒน์นั่งชะเง้อคอมองไปยังหน้าประตู คอยคนที่หายไปเกือบสิบนาทีแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา จะโทร. ตามก็ไม่ได้ เพราะน้องไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือไปด้วย ครั้นจะไปเรียกหาน้องที่หน้าห้องน้ำก็อาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพวกโรคจิตอีก จึงทำได้แค่นั่งรอต่อไปด้วยใจตุ๊มๆ ต้อมๆ
‘ทั้งกระเป๋าทั้งมือถือก็อยู่นี่ ยังไงพันช์ก็ต้องกลับมาน่า’ หมอหนุ่มคิดอย่างมั่นใจ แต่ถ้าอีกสิบนาทีพิตาภาไม่กลับมา เขาคงต้องไปตามน้องถึงห้องน้ำจริงๆ เพราะหายไปนานขนาดนั้นต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ
ขณะที่กำลังกระวนกระวายอยู่นั้นเอง เจ้าของร่างเพรียวคุ้นตาก็เดินเข้ามาในร้านพอดี อภิวัฒน์ยิ้มได้อย่างโล่งอก แต่วินาทีต่อมาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตาของน้องบวมๆ เหมือนคนเพิ่งร้องไห้มา
“อาหารมานานหรือยังคะ” พิตาภานั่งลงตรงข้ามเขาและมองข้าวยำเกาหลีในชามหินร้อนบนโต๊ะ
อภิวัฒน์ไม่ตอบ แต่ถามกลับ “พันช์เป็นอะไรหรือเปล่า” ดวงตาคมมองหญิงสาวอย่างห่วงใย
“เปล่าค่ะ”
“แต่ตาพันช์แดงๆ บวมๆ เหมือนกับ...”
“ค่ะ พันช์ร้องไห้”
“ใครอะไรทำอะไรพันช์ บอกมา! เดี๋ยวพี่จะไปจัดการให้” อภิวัฒน์บอกเสียงกร้าว
“ใจเย็นค่ะ ไม่มีใครทำอะไรพันช์หรอก พอดีเมื่อกี้ตอนไปเข้าห้องน้ำ พันช์ซุ่มซ่ามทำโฟมล้างมือกระเด็นเข้าตาน่ะค่ะ แสบมากเลยต้องล้างน้ำอยู่หลายรอบกว่าจะหาย ตามันเลยบวมๆ แดงๆ อย่างที่เห็น”
‘พี่อาร์ตคงไม่รู้สินะว่าตัวเองนั่นแหละที่ทำให้พันช์เป็นแบบนี้’
“แล้วไปกดยังไงมันถึงกระเด็นเข้าตาได้ล่ะนั่น”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คงกดแรงไปมั้ง”
“ไอ้เด็กเอ๋อเอ๊ย ทีหลังก็กดเบาๆ สิ” หมอหนุ่มมองคนซุ่มซ่ามด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู
“ค่ะ” พิตาภายิ้มโล่งใจที่อภิวัฒน์เชื่อคำแก้ตัวของเธอ
“มา กินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย” เขาชวนพร้อมยิ้มกว้าง ก่อนจะลงมือคลุกข้าวยำเกาหลีรสเด็ดให้เข้ากัน “เอ้อ เดือนหน้าพันช์ว่างไหม”
“ทำไมคะ” พิตาภาเงยหน้าขึ้นมองคนถามพลางขมวดคิ้วเรียวเข้าหากัน
“จะชวนไปดูคอนเสิร์ตที่เสม็ด” อภิวัฒน์วางช้อนและตะเกียบในมือลง หันไปเปิดกระเป๋าและหยิบบัตรคอนเสิร์ตสองใบออกมาให้เธอดู “กินลม ชมดาว ฟังเพลงรักเคล้าเสียงคลื่น” นั่นคือชื่อของคอนเสิร์ตซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์กลางเดือนหน้า
“พี่อาร์ตซื้อบัตรแล้ว?”
“ใช่ กลัวจะหมดน่ะ เลยรีบซื้อไว้ก่อนค่อยมาถาม เพราะพันช์ไปกับพี่แน่ๆ ใช่ไหม” คิ้วหนาเหนือดวงตาคมกริบเลิกขึ้น
“มั่นใจขนาดนั้นเลย? แล้วถ้าพันช์ติดธุระล่ะคะ จะทำไง อ้อ แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เพราะพี่อาร์ตหาคนไปด้วยได้อยู่แล้วแหละ” นั่นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับอภิวัฒน์เลยสักนิด
“ไม่ไปไม่ได้เว้ย นี่เห็นปะ บนบัตรคอนเสิร์ตเขาให้ระบุชื่อคนดูด้วย ถ้าพันช์ไม่ไปก็เท่ากับพี่เสียเงินไปฟรีๆ”
มือเรียวเอื้อมไปหยิบบัตรสองใบมาดูก็เห็นชื่อของเธอและเขาบนบัตรจริงๆ
อภิวัฒน์ ไตรรัตนภาคภูมิ
พิตาภา ฤทธาพิชิตพล
“อ้าว แล้วจะทำไงคะเนี่ย”
“หมายความว่าไง พันช์จะไม่ไปกับพี่เหรอ โหย ถ้าไม่ไปเสียดายแย่เลยน้า คอนเสิร์ตนี้มีแต่นักร้องเจ๋งๆ ทั้งนั้น แถมจัดริมทะเล บรรยากาศดี๊ดี ที่สำคัญงานนี้พันช์ไม่ต้องจ่ายสักบาท พี่ออกให้หมด จะหาโอกาสดีๆ อย่างนี้ได้ที่ไหน ถ้าไม่ติดอะไรจริงๆ ก็ไปเหอะ” อภิวัฒน์พยายามหว่านล้อมเต็มที่
‘นี่เขาไม่ได้วางแผนชั่วร้ายอะไรเลยนะ ก็แค่อยากไปดูคอนเสิร์ตกับน้อง ถึงจะมีคนบอกว่า ‘ไปเสม็ดเสร็จทุกราย’ แต่เขาขอรับรองด้วยเกียรติของ นายแพทย์อภิวัฒน์ ไตรรัตนภาคภูมิ เลยว่างานนี้ไม่มีวาระซ่อนเร้น เขาบริสุทธิ์ใจกับน้องจริงจริ๊งงง...’
“วันเสาร์ที่ยี่สิบห้าเดือนหน้าเหรอคะ...” พิตาภาเอ่ยพลางหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเปิดดูตารางนัดหมาย แม้จะรู้ว่าตัวเองยังไม่ได้มีนัดกับใคร
อภิวัฒน์รอลุ้นคำตอบพลางภาวนาในใจ ‘ขอให้น้องว่าง ว่าง ว่าง เพี้ยง!’
พิตาภาทำหน้าลำบากใจ ถ้าถามว่าอยากไปไหม เธอก็ตอบตรงๆ ว่าอยากมาก เพราะใครๆ ก็อยากใช้เวลากับคนที่เรารู้สึกดีด้วยทั้งนั้นละ จริงไหม แต่ในเมื่อหมอหนุ่มบอกชัดเจนแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ เธอก็ไม่ควรหวังลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป
คนไม่รักก็คือไม่รัก ถึงเธอจะทุ่มเทมากแค่ไหน ผลลัพธ์ก็ไม่มีวันเปลี่ยน
“ว่าไง มีนัดกับใครหรือยัง” เจ้าของเสียงทุ้มทวงคำตอบเมื่อหญิงสาวเงียบไป
“อืม...พันช์ยังไม่แน่ใจอ้ะค่ะ พอดีทางนั้นเค้าก็ยังไม่ได้คอนเฟิร์ม แค่คุยกันไว้คร่าวๆ ว่าเป็นวันเสาร์ที่ยี่สิบห้า” การพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับความต้องการทำให้หัวใจของพิตาภาบีบรัดจนปวดหนึบ แต่การอยู่ใกล้ชิดกับคนที่ไม่ได้รักเราก็มีแต่จะทำให้เราเจ็บปวดมากขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นเธอควรจะถอยออกมา และเปิดโอกาสให้ตัวเองอีกครั้ง ผู้ชายในโลกนี้ไม่ได้มีคนเดียวสักหน่อย ต้องมีคนที่เกิดมาเพื่อเธอสิ!
ดวงตาสีเข้มฉายแววผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม “เหรอ งั้นพันช์ยกเลิกทางนั้นไปดิ คอนเฟิร์มพี่ก่อน เพราะแพลนของพี่ชัวร์แล้ว”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะอันนั้นเป็นเรื่องงาน ส่วนของพี่อาร์ตแค่ไปเที่ยว”
“โห งั้นพี่ก็เสียตังค์ค่าบัตรฟรีสิเนี่ย” แพทย์หนุ่มโอดครวญเสียงเศร้า
“เท่าไหร่คะ เดี๋ยวพันช์จ่ายคืน”
“ไม่ต้องหรอก ใกล้ๆ วันถ้าพันช์ไปไม่ได้จริงๆ ค่อยว่ากัน” คอยดูนะ! ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปเขาจะสวดมนต์ทุกวันให้คนที่นัดกับพิตาภาเลื่อนนัดเป็นวันอื่น
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอไม่คิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนใจ เพราะตั้งใจจะค่อยๆ ห่างจากอภิวัฒน์ตั้งแต่วันนี้ ไม่ได้ถึงขั้นไม่ติดต่อกัน แค่จะไม่ไปไหนมาไหนกับเขาบ่อยๆ อีกแล้ว เธอไม่อยากทำร้ายหัวใจตัวเองให้บอบช้ำไปมากกว่านี้
หลังกินข้าวเสร็จ อภิวัฒน์ชวนเธอไปดูหนังต่อ เพราะสัปดาห์นี้มีหนังใหม่น่าสนใจเข้าฉายหลายเรื่อง ถ้าเป็นเมื่อก่อนพิตาภาก็คงจะไปแบบไม่ลังเล แต่เมื่อได้บอกตัวเองแล้วว่าจะถอยห่าง เธอก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูด
“ถ้าพี่อาร์ตอยากดูก็ตามสบายนะคะ”
“แล้วพันช์ล่ะ” คิ้วหนาเลิกขึ้น
“พอดีรู้สึกปวดท้องนิดหน่อยน่ะค่ะ” มือเล็กยกขึ้นมาจับบริเวณท้องน้อย “พันช์ว่าจะขอตัวกลับบ้านก่อน แต่พี่อาร์ตไม่ต้องไปส่งพันช์นะ เดี๋ยวนั่งรถไฟฟ้ากลับเอง”
“ไม่ได้ ถ้ากลับก็กลับด้วยกัน พันช์ไม่ดู พี่ก็ไม่ดู” นัยน์ตาคมมองมาอย่างห่วงใย
พิตาภาสบตาชายหนุ่มและถอนหายใจเบาๆ “งั้นแล้วแต่พี่อาร์ตค่ะ” เธอจะยอมเขาแค่วันนี้วันสุดท้ายเท่านั้น ต่อไปจะไม่มีการใจอ่อนอีกแล้ว!
ความคิดเห็น |
---|